เขาบอกกันว่า ถ้าเราผอม แสดงว่า ...
- ร่างกายดูดซับสารอาหารได้ไม่ดี = กินเสียข้าวสุก
- ถ้าดูดซับดี -> ร่างกายขับไขมันไปเก็บไว้ในผิวหนังได้ไม่ดี -> ไขมันอุดตันในเส้นเลือด
- ถ้าดูดซัดดี + ขับออกจากเส้นเลือดได้ดี -> อาหารไม่เพียงพอ ?
ประสพการณ์, เรื่องราวทั่วไป, แง่คิด, มุมมอง ที่น่าสนใจ - สิริพงษ์ พงศ์ภิญโญภาพ
Wednesday, February 23, 2011
Personal Mission Statements (Draft)
"อะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิต และ
ลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆในชีวิต อะไรสำคัญกว่าอะไร"
ในสิ่งต่างๆ เช่น ฐานะการเงิน
, ความสำเร็จในอาชีพการงาน
, ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ (เช่น อุทิศตนเพื่อสังคม เป็นต้น)
, สุขภาพ
, ชีวิตสมรส, ครอบครัว, ลูก เป็นต้น
หลายคนใช้เวลาเกือบทั้งชีวิต ทำมาหากิน สร้างฐานะความเป็นอยู่
แล้วก็มีเหตุให้ต้องนอนป่วยในบั้นปลายชีวิต
จึงค้นพบความจริงของชีวิตว่า
คนเราอาจจะไม่ได้ต้องการฐานะความเป็นอยู่ที่ร่ำรวยอะไรมากนัก
แต่อาจจะต้องการ การมีสุขภาพที่ดี มากกว่า
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ก็จะให้เวลาในการออกกำลังกายมากกว่านี้
หรือ มีฐานะที่ดี แต่ลูกหลานเอาแต่นำพาเรื่องเดือนร้อนใจมาให้
ก็อาจจะอยากให้มีฐานะปานกลาง แต่มีความสุขในครอบครัว มากกว่า
อยากย้อนเวลากลับไป เรียงลำดับความสำคัญใหม่
ไม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ
แบ่งเวลาเอาใจใส่เลี้ยงดูอบรมสั่งสอนลูกให้มากกว่าที่เคยทำ เป็นต้น
เมื่อตอบคำถามแรกได้
คำถามที่ว่า
"เป้าหมายในชีวิตเรา หรือ ความสำเร็จที่เรามุ่งหวัง คืออะไร"
เช่น รวย,
,เป็นเจ้าของธนาคาร
,มีครอบครัวที่อบอุ่น
,เป็นคนดีของสังคม หรือประเทศชาติ
,สะสมบุญบารมีให้คุ้มค่ากับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์
เป็นต้น
เช่น สมมุติว่า
เป้าหมายของเราคือ การเป็นคนดี
เกิดมีครั้งนึง เราขัดสนเงินทอง
และไปเจอทองแท่งวางอยู่โดยไม่มีใครเฝ้า
เป้าหมายที่ชัดเจน ที่เรากำหนดไว้ให้กับตัวเองแล้ว
เมื่อมีทางแยกในชีวิตให้เลือกเดิน
แม้สถานการณ์จะบีบคั้น
เราก็จะมีคำตอบให้กับตัวเอง
ทั้งมันจะทำให้เรารู้จักตัวเอง
(ว่าเราดีจุดไหน ไม่ดีจุดไหน
หรือเป็นคนงก คนเอื้อเฟื้ออย่างไร
หลงคิดว่าตัวเองเป็นคนดี ทั้งที่ความจริงไม่ใช่ เป็นต้น)
ดังคำพูดที่ว่า
"อ่านตัวเองให้ออก
บอกเตือนตัวเองให้ได้
ใช้ตัวเองให้เป็น"
เมื่อนำตัวเองได้ดีแล้ว
จึงจะพิจารณาเป็นผู้นำคนอื่น หรือครอบครัว
"อุดมการณ์ที่จะยึดถือไว้ตลอดชีวิตคืออะไร"
สิ่งใดที่ทำให้เราเรียกตัวเองว่า "มนุษย์" อย่างเต็มภูมิ
ผู้ที่ไม่มีคำตอบต่อคำถามเหล่านี้
จะตกเป็นเป้านิ่งไร้เกราะกำบัง
ในช่วงเปราะบางในชีวิต
หนังสือความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
ทำในสิ่งที่ให้เราภูมิใจในภายหลัง เมื่อย้อนกลับมาคิดถึง
มหาตมะคานธี กล่าวไว้ว่า
"ความมุ่งหมายอันเด็ดเดี่ยวของมนุษย์ก็คือ
เอาชนะนิสัยเก่าๆของตน เอาชนะความชั่วที่มีในตน
และคงคืนความดีให้ไปสู่ทางที่ถูก..."
(ปรากฏในหนังสือพุทธปรัชญาเถรวาท)
ลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆในชีวิต อะไรสำคัญกว่าอะไร"
ในสิ่งต่างๆ เช่น ฐานะการเงิน
, ความสำเร็จในอาชีพการงาน
, ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ (เช่น อุทิศตนเพื่อสังคม เป็นต้น)
, สุขภาพ
, ชีวิตสมรส, ครอบครัว, ลูก เป็นต้น
หลายคนใช้เวลาเกือบทั้งชีวิต ทำมาหากิน สร้างฐานะความเป็นอยู่
แล้วก็มีเหตุให้ต้องนอนป่วยในบั้นปลายชีวิต
จึงค้นพบความจริงของชีวิตว่า
คนเราอาจจะไม่ได้ต้องการฐานะความเป็นอยู่ที่ร่ำรวยอะไรมากนัก
แต่อาจจะต้องการ การมีสุขภาพที่ดี มากกว่า
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ก็จะให้เวลาในการออกกำลังกายมากกว่านี้
หรือ มีฐานะที่ดี แต่ลูกหลานเอาแต่นำพาเรื่องเดือนร้อนใจมาให้
ก็อาจจะอยากให้มีฐานะปานกลาง แต่มีความสุขในครอบครัว มากกว่า
อยากย้อนเวลากลับไป เรียงลำดับความสำคัญใหม่
ไม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ
แบ่งเวลาเอาใจใส่เลี้ยงดูอบรมสั่งสอนลูกให้มากกว่าที่เคยทำ เป็นต้น
เมื่อตอบคำถามแรกได้
คำถามที่ว่า
"เป้าหมายในชีวิตเรา หรือ ความสำเร็จที่เรามุ่งหวัง คืออะไร"
เช่น รวย,
,เป็นเจ้าของธนาคาร
,มีครอบครัวที่อบอุ่น
,เป็นคนดีของสังคม หรือประเทศชาติ
,สะสมบุญบารมีให้คุ้มค่ากับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์
เป็นต้น
เช่น สมมุติว่า
เป้าหมายของเราคือ การเป็นคนดี
เกิดมีครั้งนึง เราขัดสนเงินทอง
และไปเจอทองแท่งวางอยู่โดยไม่มีใครเฝ้า
เป้าหมายที่ชัดเจน ที่เรากำหนดไว้ให้กับตัวเองแล้ว
เมื่อมีทางแยกในชีวิตให้เลือกเดิน
แม้สถานการณ์จะบีบคั้น
เราก็จะมีคำตอบให้กับตัวเอง
ทั้งมันจะทำให้เรารู้จักตัวเอง
(ว่าเราดีจุดไหน ไม่ดีจุดไหน
หรือเป็นคนงก คนเอื้อเฟื้ออย่างไร
หลงคิดว่าตัวเองเป็นคนดี ทั้งที่ความจริงไม่ใช่ เป็นต้น)
ดังคำพูดที่ว่า
"อ่านตัวเองให้ออก
บอกเตือนตัวเองให้ได้
ใช้ตัวเองให้เป็น"
เมื่อนำตัวเองได้ดีแล้ว
จึงจะพิจารณาเป็นผู้นำคนอื่น หรือครอบครัว
"อุดมการณ์ที่จะยึดถือไว้ตลอดชีวิตคืออะไร"
สิ่งใดที่ทำให้เราเรียกตัวเองว่า "มนุษย์" อย่างเต็มภูมิ
ผู้ที่ไม่มีคำตอบต่อคำถามเหล่านี้
จะตกเป็นเป้านิ่งไร้เกราะกำบัง
ในช่วงเปราะบางในชีวิต
หนังสือความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
ทำในสิ่งที่ให้เราภูมิใจในภายหลัง เมื่อย้อนกลับมาคิดถึง
มหาตมะคานธี กล่าวไว้ว่า
"ความมุ่งหมายอันเด็ดเดี่ยวของมนุษย์ก็คือ
เอาชนะนิสัยเก่าๆของตน เอาชนะความชั่วที่มีในตน
และคงคืนความดีให้ไปสู่ทางที่ถูก..."
(ปรากฏในหนังสือพุทธปรัชญาเถรวาท)
rubbish honesty
พ่อบ้านบางคนอาจพูดความจริงว่า
"เขาเกลียดขาอ้วนล่ำของเธอ"
สำหรับชีวิตคู่ ความสัตย์ซื่อที่ไม่ก่อประโยชน์ให้อีกฝ่าย
หลายครั้งเป็นความเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากลักษณะที่ยกขึ้นมาตำหนินั้น
เป็นของตายที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
และไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้
แง่คิดจาก หนังสือความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
"เขาเกลียดขาอ้วนล่ำของเธอ"
สำหรับชีวิตคู่ ความสัตย์ซื่อที่ไม่ก่อประโยชน์ให้อีกฝ่าย
หลายครั้งเป็นความเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากลักษณะที่ยกขึ้นมาตำหนินั้น
เป็นของตายที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
และไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้
แง่คิดจาก หนังสือความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
ท้าทายจ่าฝูง
บางครั้งเด็กจะดื้อ ไม่ยอมเชื่อฟัง
ก็เพื่อทดสอบว่าจะรอดตัวได้ถึงระดับใด
เกมนี้มีชื่อเรียกว่า "ท้าทายจ่าฝูง"
(เด็กบางคนเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ และเปี่ยมด้วยทักษะ
แม้แต่เด็กตัวเล็กๆ)
คุณพ่อคนหนึ่งเล่าว่า
เขาพาลูกสาวอายุสามขวบ ไปดูการแข่งบาสเกตบอลโรงเรียน
ก็เป็นธรรมชาติของเด็กที่จะสนใจทุกอย่างรอบข้าง..
เว้นแต่เกมบาสเก็ตบอล
คุณพ่อปล่อยให้เธอเดินเล่น..เขาจูงมือเธอลงไปในสนาม
ชี้ให้ดูบนพื้นปาร์เก้ มันลื่น ที่มีเส้นสีขาวเป็นขอบสนาม
"ห้ามเข้าเส้นนี้เด็ดขาด"
จากนั้นคุณพ่อก็เดินกลับมานั่ง
แม่หนูน้อยเดินตรงไปหยุดที่เส้นขอบสนาม
เงยหน้าอมยิ้มมองคุณพ่อ
ยื่นเท้าข้างหนึ่งข้ามเส้นไป
แววตานั้นคล้ายจะบอกว่า
"แล้วไง ข้ามไปแล้วทำอะไรหนูได้"
วิธีการตอบของพ่อแม่ถือได้ว่ามีความสำคัญยิ่งต่อความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก
หากพ่อแม่ทำเป็นไม่สนใจ ต่อการท้าทายประเภทนี้
จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในจิตใจของเด็ก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กที่มีความคิดเป็นของตนเอง
การท้าทายจ่าฝูง จะเปลี่ยนเป็นขบถเต็มรูปแบบเมื่อถึงวัยรุ่น
..ความจริงที่ขัดแย้งกันก็คือ
เด็กต้องการให้ผู้ใหญ่เป็นผู้นำ
มีข้อแม้เพียงนิดว่า
หากต้องการเป็นผู้นำ ก็ต้องแสดงฝีมือออกมาให้ประจักษ์
และเป็นที่ยอมรับเสียก่อน
ที่มา หนังสือความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
ปล. แนวทางใดจึงจะเหมาะสม?
เข้าไปกัดท้อง ให้แกหัวเราะ
แล้วก็บอกว่าห้ามๆๆๆ ได้ยินมั้ย
อาจกลายเป็นส่งเสริมให้แกดื้อ..
..หรือ ท้าทายเราบ่อยขึ้น
ย้ำเตือนแกว่า มีความจริง 2 ประการ คือ
1) พ่อแม่รักลูกอย่างไม่มีเงื่อนไข กับ 2) วินัย
ก็เพื่อทดสอบว่าจะรอดตัวได้ถึงระดับใด
เกมนี้มีชื่อเรียกว่า "ท้าทายจ่าฝูง"
(เด็กบางคนเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ และเปี่ยมด้วยทักษะ
แม้แต่เด็กตัวเล็กๆ)
คุณพ่อคนหนึ่งเล่าว่า
เขาพาลูกสาวอายุสามขวบ ไปดูการแข่งบาสเกตบอลโรงเรียน
ก็เป็นธรรมชาติของเด็กที่จะสนใจทุกอย่างรอบข้าง..
เว้นแต่เกมบาสเก็ตบอล
คุณพ่อปล่อยให้เธอเดินเล่น..เขาจูงมือเธอลงไปในสนาม
ชี้ให้ดูบนพื้นปาร์เก้ มันลื่น ที่มีเส้นสีขาวเป็นขอบสนาม
"ห้ามเข้าเส้นนี้เด็ดขาด"
จากนั้นคุณพ่อก็เดินกลับมานั่ง
แม่หนูน้อยเดินตรงไปหยุดที่เส้นขอบสนาม
เงยหน้าอมยิ้มมองคุณพ่อ
ยื่นเท้าข้างหนึ่งข้ามเส้นไป
แววตานั้นคล้ายจะบอกว่า
"แล้วไง ข้ามไปแล้วทำอะไรหนูได้"
วิธีการตอบของพ่อแม่ถือได้ว่ามีความสำคัญยิ่งต่อความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก
หากพ่อแม่ทำเป็นไม่สนใจ ต่อการท้าทายประเภทนี้
จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในจิตใจของเด็ก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กที่มีความคิดเป็นของตนเอง
การท้าทายจ่าฝูง จะเปลี่ยนเป็นขบถเต็มรูปแบบเมื่อถึงวัยรุ่น
..ความจริงที่ขัดแย้งกันก็คือ
เด็กต้องการให้ผู้ใหญ่เป็นผู้นำ
มีข้อแม้เพียงนิดว่า
หากต้องการเป็นผู้นำ ก็ต้องแสดงฝีมือออกมาให้ประจักษ์
และเป็นที่ยอมรับเสียก่อน
ที่มา หนังสือความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
ปล. แนวทางใดจึงจะเหมาะสม?
เข้าไปกัดท้อง ให้แกหัวเราะ
แล้วก็บอกว่าห้ามๆๆๆ ได้ยินมั้ย
อาจกลายเป็นส่งเสริมให้แกดื้อ..
..หรือ ท้าทายเราบ่อยขึ้น
ย้ำเตือนแกว่า มีความจริง 2 ประการ คือ
1) พ่อแม่รักลูกอย่างไม่มีเงื่อนไข กับ 2) วินัย
Labels:
raising children
สังคมวิปริต
สมัยก่อนคำว่า "หรู" แปลว่า เกินไป เกินพอดี
ทุกวันนี้ สังคมลืมคำว่า "พอดี"
ไม่มีความรู้สึกกับคำนี้เลย
๑๐ กว่าปีที่แล้ว คำว่า "หรูหรา" เป็นคำที่ค่อนข้างจะเป็นคำตำหนิ
ทุกวันนี้กลายเป็นคำชม
สิ่งที่แต่ก่อนเรียกว่า "สงบวิเวก"
เดี๋ยวนี้เรียกว่า "กันดาร ไม่เจริญ"
ที่มา ชาวพุทธ หรือ ชาวพูด
รวมคติธรรม ของ ท่านพระอาจารย์ชยสาโร
ทุกวันนี้ สังคมลืมคำว่า "พอดี"
ไม่มีความรู้สึกกับคำนี้เลย
๑๐ กว่าปีที่แล้ว คำว่า "หรูหรา" เป็นคำที่ค่อนข้างจะเป็นคำตำหนิ
ทุกวันนี้กลายเป็นคำชม
สิ่งที่แต่ก่อนเรียกว่า "สงบวิเวก"
เดี๋ยวนี้เรียกว่า "กันดาร ไม่เจริญ"
ที่มา ชาวพุทธ หรือ ชาวพูด
รวมคติธรรม ของ ท่านพระอาจารย์ชยสาโร
to tame an elephant
(1) กระบวนการฝึกช้าง เริ่มต้นทันทีหลังจากที่คล้องช้างได้
ควาญจะจับช้างมาขังเดี่ยวสามวันเต็ม
แต่เนื่องจากช้างเป็นสัตว์สังคมขนานแท้
มันจึงสนองตอบต่อการขังเดี่ยวไม่ต่างไปจากมนุษย์
ช้างจะคร่ำครวญโหยหวนโหยหาเพื่อนร่วมโขลง
เมื่อครบกำหนด 3 วันแล้ว
ช้างจะถูกพามาร่วมพิธีรอบกองไฟ
ผู้ฝึกจะตะโกนดุด่าด้วยเสียงอันดังนานหลายชั่วโมงจนถึงรุ่งเช้า
ช้างที่สติเลอะเลือนและแทบจะประคองตัวไม่อยู่นั้น
จะยอมแพ้ศิโรราบ ไม่เหลือความกราดเกรี้ยวแข็งขืนอีกต่อไป
นับจากวันนั้น ช้างเหล่านั้นจะกลายเป็นทาสของควาญช้าง
เจ้านายใหม่ไปชั่วชีวิต
(2) เด็กวัยรุ่นจำนวนนับไม่ถ้วน
ยอมสละความเป็นไท ยอมสละเสรีภาพ
ยินยอมค้อมศีรษะให้ความกดดันในหมู่ผองเพื่อน
ที่มา คชสารกับวัยรุ่น
ในหนังสือความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
ปล. อ่านการบวนการฝึกช้างแล้วคุ้นๆ
คล้ายเคยเจอกับตัว
ควาญจะจับช้างมาขังเดี่ยวสามวันเต็ม
แต่เนื่องจากช้างเป็นสัตว์สังคมขนานแท้
มันจึงสนองตอบต่อการขังเดี่ยวไม่ต่างไปจากมนุษย์
ช้างจะคร่ำครวญโหยหวนโหยหาเพื่อนร่วมโขลง
เมื่อครบกำหนด 3 วันแล้ว
ช้างจะถูกพามาร่วมพิธีรอบกองไฟ
ผู้ฝึกจะตะโกนดุด่าด้วยเสียงอันดังนานหลายชั่วโมงจนถึงรุ่งเช้า
ช้างที่สติเลอะเลือนและแทบจะประคองตัวไม่อยู่นั้น
จะยอมแพ้ศิโรราบ ไม่เหลือความกราดเกรี้ยวแข็งขืนอีกต่อไป
นับจากวันนั้น ช้างเหล่านั้นจะกลายเป็นทาสของควาญช้าง
เจ้านายใหม่ไปชั่วชีวิต
(2) เด็กวัยรุ่นจำนวนนับไม่ถ้วน
ยอมสละความเป็นไท ยอมสละเสรีภาพ
ยินยอมค้อมศีรษะให้ความกดดันในหมู่ผองเพื่อน
ที่มา คชสารกับวัยรุ่น
ในหนังสือความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
ปล. อ่านการบวนการฝึกช้างแล้วคุ้นๆ
คล้ายเคยเจอกับตัว
be humble
To be humble to equals is modesty
To be humble to inferiors is noblesse
To be humble to all is safety
ถ่อมตนต่อผู้เสมอกัน เป็นความสุภาพ
ถ่อมตนต่อผู้ต่ำกว่า เป็นผู้มีเกียรติ มีใจสูง
ถ่อมตนแก่คนทั่วไป เป็นความปลอดภัย
(ปรากฏในหนังสือพุทธปรัชญาเถรวาท)
To be humble to inferiors is noblesse
To be humble to all is safety
ถ่อมตนต่อผู้เสมอกัน เป็นความสุภาพ
ถ่อมตนต่อผู้ต่ำกว่า เป็นผู้มีเกียรติ มีใจสูง
ถ่อมตนแก่คนทั่วไป เป็นความปลอดภัย
(ปรากฏในหนังสือพุทธปรัชญาเถรวาท)
the last for a deceased
ครั้งหนึ่งดิฉันเคยฟังผู้ที่สูญเสียบุตรจากอุบัติเหตุเล่าว่า
แม้ลูกจะตายไปเกือบ ๑๐ ปีแล้ว แต่แม่ก็ยังรู้สึกตำหนิตัวเอง
วันที่รับศพลูก แม่ไม่ได้ตรวจสอบให้ถี่ถ้วน
ว่าลูกยังมีชีวิตอยู่ หรือว่าตายแล้วจริงๆ
การที่แม่เชื่อเจ้าหน้าที่ว่าลูกตาย
โดยไม่ได้เข้าไปตรวจสอบร่างกายลูกให้แน่ใจ
ทำให้ทุกวันนี้ คุณแม่คนดังกล่าวรู้สึกผิด
ที่ไม่ได้ทำหน้าที่แม่ เพื่อปกป้องลูกให้ถึงที่สุด
เพราะหากลูกยังไม่ตายจริง จะได้ช่วยลูกได้
ที่มา กนกนุช ชื่นเลิศสกุล
ในหนังสือบทเรียนจากผู้จากไป
แม้ลูกจะตายไปเกือบ ๑๐ ปีแล้ว แต่แม่ก็ยังรู้สึกตำหนิตัวเอง
วันที่รับศพลูก แม่ไม่ได้ตรวจสอบให้ถี่ถ้วน
ว่าลูกยังมีชีวิตอยู่ หรือว่าตายแล้วจริงๆ
การที่แม่เชื่อเจ้าหน้าที่ว่าลูกตาย
โดยไม่ได้เข้าไปตรวจสอบร่างกายลูกให้แน่ใจ
ทำให้ทุกวันนี้ คุณแม่คนดังกล่าวรู้สึกผิด
ที่ไม่ได้ทำหน้าที่แม่ เพื่อปกป้องลูกให้ถึงที่สุด
เพราะหากลูกยังไม่ตายจริง จะได้ช่วยลูกได้
ที่มา กนกนุช ชื่นเลิศสกุล
ในหนังสือบทเรียนจากผู้จากไป
telling cock-ups
เปิดเผยความจริงเรื่องความโง่
ลินคอล์น (ประธานาธิปดีคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา)
ชอบเล่าให้เพื่อนฟังถึงความผิดพลาดบกพร่องอย่างโง่ๆของตน
เล่าอย่างสนุกสนาน เพื่อนๆก็ชอบฟัง เพราะตามปกติวิสัยองมนุษย์ทั่วไป
"ชอบฟังความโง่ของคนอื่น มากกว่าความฉลาดของคนอื่น
ชอบอวดความฉลาดของตน มากกว่าให้คนอื่นอวดความฉลาดให้ตนฟัง"
การพูดอวดความโง่ของตนแก่คนอื่นนั้น มีส่วนดีไม่ใช่น้อย
ส่วนการอวดฉลาด ถ้ามากเกินไป คนอื่นก็เกลียดชัง
แง่คิดจาก หนังสือพุทธปรัชญาเถรวาท
ในส่วนการพูดความจริง ต้องพูดให้ถูกกาล บุคคล สถานที่
และควรพูดจริงเฉพาะที่เห็นว่าจะเกิดประโยชน์
cock-up [British English] [informal]
a silly mistake when you are doing something – a very informal use
ลินคอล์น (ประธานาธิปดีคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา)
ชอบเล่าให้เพื่อนฟังถึงความผิดพลาดบกพร่องอย่างโง่ๆของตน
เล่าอย่างสนุกสนาน เพื่อนๆก็ชอบฟัง เพราะตามปกติวิสัยองมนุษย์ทั่วไป
"ชอบฟังความโง่ของคนอื่น มากกว่าความฉลาดของคนอื่น
ชอบอวดความฉลาดของตน มากกว่าให้คนอื่นอวดความฉลาดให้ตนฟัง"
การพูดอวดความโง่ของตนแก่คนอื่นนั้น มีส่วนดีไม่ใช่น้อย
ส่วนการอวดฉลาด ถ้ามากเกินไป คนอื่นก็เกลียดชัง
แง่คิดจาก หนังสือพุทธปรัชญาเถรวาท
ในส่วนการพูดความจริง ต้องพูดให้ถูกกาล บุคคล สถานที่
และควรพูดจริงเฉพาะที่เห็นว่าจะเกิดประโยชน์
cock-up [British English] [informal]
a silly mistake when you are doing something – a very informal use
ธรรมโอสถ
อันหนทาง ชีวิต คิดดูเถิด
เมื่อเราเกิด แล้วต้องแก่ แน่ใช่ไหม
หนีไม่พ้น เจ็บไข้ กายและใจ
จะแก้ไข อย่างไร ให้ทุกข์คลาย
เป็นโรคกาย หมอยา รักษาโรค
ถูกโฉลก ถูกเหตุผล ดลโรคหาย
เป็นโรคใจ ภัยรุมเร้า เศร้าปางตาย
ทุกข์มลาย เมื่อรู้ใช้ "โอสถธรรม"
ที่มา ธรรมะกับการปฏิบัติธรรม
ร้านเบสท์ ๒๑-๒๒ ถ.สิบสามห้าง บางลำภู (ข้างธ.ออมสิน)
๐๒-๒๘๑-๐๙๒๙, ๐๒-๒๘๒-๓๓๖๕
เมื่อเราเกิด แล้วต้องแก่ แน่ใช่ไหม
หนีไม่พ้น เจ็บไข้ กายและใจ
จะแก้ไข อย่างไร ให้ทุกข์คลาย
เป็นโรคกาย หมอยา รักษาโรค
ถูกโฉลก ถูกเหตุผล ดลโรคหาย
เป็นโรคใจ ภัยรุมเร้า เศร้าปางตาย
ทุกข์มลาย เมื่อรู้ใช้ "โอสถธรรม"
ที่มา ธรรมะกับการปฏิบัติธรรม
ร้านเบสท์ ๒๑-๒๒ ถ.สิบสามห้าง บางลำภู (ข้างธ.ออมสิน)
๐๒-๒๘๑-๐๙๒๙, ๐๒-๒๘๒-๓๓๖๕
respect your wife
...กล่าวโดยสรุปแล้ว
"ทัศนคติที่ผมมีต่อภรรยา ก็เป็นทัศนคติที่ลูกๆมีต่อแม่นั่นเอง"
...สามีประกาศย้ำให้ลูก ได้ตระหนักว่า
"แม่ของเราเป็นหญิงประเสริฐ
เธอทำงานหนัก และควรได้รับการยกย่องในงานที่เธอทำ
หากจะถามความเห็นของพ่อ..เธอเป็นสตรีที่ดีที่หนึ่งเลย"
ลูกๆจะรับทราบความนับถือของพ่อที่มีต่อแม่
ผลสะท้อน..จะเห็นได้จากพฤติกรรมที่ลูกๆแสดงต่อแม่
งานประชาสัมพันธ์..ประกาศเกียรติคุณของแม่
จึงมีแต่พ่อเท่านั้นที่ทำได้
....
แม่ผู้ประกาศเกียรติคุณของพ่อ
=======================
พ่อ คือวีรบุรุษ หรือเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยในบ้าน
คำตอบนี้ซ่อนอยู่ในสายตาของแม่
อิทธิพลของแม่ทรงพลังอย่างยิ่ง
ซึ่งจะเห็นได้จากหนังสือ "Fathers and Sons"
ของลูอิส ยาบลอนสกี
เขาเล่าถึงการนั่งรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน
แม่บรรยายสรรพคุณองพ่อไว้ดังนี้
"ดูพ่อแกสิ ไหล่ลู่คอตก..ทำอะไรก็ไม่เคยสำเร็จ
ไม่มีความกล้าพอจะหางานใหม่ที่ดีกว่าเดิม
ได้เงินเดือนเยอะกว่าเดิม
ชีวิตนี้พ่อแกคงเอาดีไม่ได้"
พ่อของยาบลอนสกี ไม่ปริปากโต้แย้ง
สายตาจ้องมองจานข้าวเบื้องหน้า
ผลลัพธ์ก็คือ
ลูกชายทั้งสามของพ่อเติบใหญ่ขึ้นด้วยความเชื่อว่าพ่อของตนเป็นคนขี้แพ้
..ไม่มีใครสักคนที่ตระหนักว่าพ่อทำงานหนักเลี้ยงดูครอบครัว
จนลูกชายทั้งสามเติมใหญ่
ที่มา หนังสือความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
.... MIND YOUR WORDS
"ทัศนคติที่ผมมีต่อภรรยา ก็เป็นทัศนคติที่ลูกๆมีต่อแม่นั่นเอง"
...สามีประกาศย้ำให้ลูก ได้ตระหนักว่า
"แม่ของเราเป็นหญิงประเสริฐ
เธอทำงานหนัก และควรได้รับการยกย่องในงานที่เธอทำ
หากจะถามความเห็นของพ่อ..เธอเป็นสตรีที่ดีที่หนึ่งเลย"
ลูกๆจะรับทราบความนับถือของพ่อที่มีต่อแม่
ผลสะท้อน..จะเห็นได้จากพฤติกรรมที่ลูกๆแสดงต่อแม่
งานประชาสัมพันธ์..ประกาศเกียรติคุณของแม่
จึงมีแต่พ่อเท่านั้นที่ทำได้
....
แม่ผู้ประกาศเกียรติคุณของพ่อ
=======================
พ่อ คือวีรบุรุษ หรือเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยในบ้าน
คำตอบนี้ซ่อนอยู่ในสายตาของแม่
อิทธิพลของแม่ทรงพลังอย่างยิ่ง
ซึ่งจะเห็นได้จากหนังสือ "Fathers and Sons"
ของลูอิส ยาบลอนสกี
เขาเล่าถึงการนั่งรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน
แม่บรรยายสรรพคุณองพ่อไว้ดังนี้
"ดูพ่อแกสิ ไหล่ลู่คอตก..ทำอะไรก็ไม่เคยสำเร็จ
ไม่มีความกล้าพอจะหางานใหม่ที่ดีกว่าเดิม
ได้เงินเดือนเยอะกว่าเดิม
ชีวิตนี้พ่อแกคงเอาดีไม่ได้"
พ่อของยาบลอนสกี ไม่ปริปากโต้แย้ง
สายตาจ้องมองจานข้าวเบื้องหน้า
ผลลัพธ์ก็คือ
ลูกชายทั้งสามของพ่อเติบใหญ่ขึ้นด้วยความเชื่อว่าพ่อของตนเป็นคนขี้แพ้
..ไม่มีใครสักคนที่ตระหนักว่าพ่อทำงานหนักเลี้ยงดูครอบครัว
จนลูกชายทั้งสามเติมใหญ่
ที่มา หนังสือความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
.... MIND YOUR WORDS
Labels:
raising children
ภูมิใจในเด็กของคุณ
คุณครูคนหนึ่งได้เล่าว่า เมื่อเขาสอนหนังสือเป็นปีแรก
มีนักเรียนที่เด่นสะดุดตาสองคน ชื่อพิชิตทั้งคู่
พิชิตคนแรกเป็นนักเรียนตัวอย่าง
ส่วนอีกคนใช้เวลาทั้งหมดเพื่อการก่อกวนเหลวไหลจนผู้คนรอบข้างเอือมระอา
ในการประชุมครูผู้ปกครองครั้งแรกของปี
มารดาของพิชิตเดินเข้ามาหาคุณครู
"พิชิต ลูกชายของฉันเป็นอย่า่งไรบ้าง"
คุณครูคิดว่า คงเป็นคุณแม่ของพิชิตเด็กดี
จึงตอบไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า
"หาคำพูดใดมาบรรยายไม่ได้เลยครับ
ผมดีใจที่เขาเป็นเด็กในชั้นเรียนของผม"
เช้าวันถัดมา พิชิตเจ้าปัญหามายืนอยู่หน้าโต๊ะครู
"แม่เล่าให้ผมฟังว่าครูพูดถึงผมอย่างไร..
ทั้งๆที่ไม่เคยมีครูคนไหนต้องการให้ผมเข้าไปอยู่ในห้องเรียน"
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา พิชิตเจ้าปัญหาส่งงานฝีมือ
การบ้านทุกชิ้น สะอาดหมดจด
อีกไม่กี่สัปดาห์ พิชิตเจ้าปัญหากลายเป็นนักเรียนตัวอย่าง
ทำงานหนักที่สุดในห้องเรียน..เป็นเพื่อนชั้นดี ของคุณครู
ที่มา เมื่อครูดูผิด
ในหนังสือความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
มีนักเรียนที่เด่นสะดุดตาสองคน ชื่อพิชิตทั้งคู่
พิชิตคนแรกเป็นนักเรียนตัวอย่าง
ส่วนอีกคนใช้เวลาทั้งหมดเพื่อการก่อกวนเหลวไหลจนผู้คนรอบข้างเอือมระอา
ในการประชุมครูผู้ปกครองครั้งแรกของปี
มารดาของพิชิตเดินเข้ามาหาคุณครู
"พิชิต ลูกชายของฉันเป็นอย่า่งไรบ้าง"
คุณครูคิดว่า คงเป็นคุณแม่ของพิชิตเด็กดี
จึงตอบไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า
"หาคำพูดใดมาบรรยายไม่ได้เลยครับ
ผมดีใจที่เขาเป็นเด็กในชั้นเรียนของผม"
เช้าวันถัดมา พิชิตเจ้าปัญหามายืนอยู่หน้าโต๊ะครู
"แม่เล่าให้ผมฟังว่าครูพูดถึงผมอย่างไร..
ทั้งๆที่ไม่เคยมีครูคนไหนต้องการให้ผมเข้าไปอยู่ในห้องเรียน"
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา พิชิตเจ้าปัญหาส่งงานฝีมือ
การบ้านทุกชิ้น สะอาดหมดจด
อีกไม่กี่สัปดาห์ พิชิตเจ้าปัญหากลายเป็นนักเรียนตัวอย่าง
ทำงานหนักที่สุดในห้องเรียน..เป็นเพื่อนชั้นดี ของคุณครู
ที่มา เมื่อครูดูผิด
ในหนังสือความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
Labels:
raising children
Prima facie duty
(ทางจริยศาสตร์) คือ การตัดสินใจพูดหรือการกระทำให้เหมาะสมแก่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า
แก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ให้บังเกิดประโยชน์แก่คนทุกฝ่าย
เช่น
หมอคนหนึ่ง รักษาคนไข้ที่มีอาการหนักมาก
เมื่อคนไข้ถามว่า "เขาจะรอดหรือตาย"
ทั้งๆที่หมอรู้ตามหลักวิชาว่าไม่น่าจะรอด
แต่หมอตอบว่า "ขอให้ทำใจดีๆ ความหวังที่จะหายนั้นมีอยู่"
(ปรากฏในหนังสือพุทธปรัชญาเถรวาท)
แก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ให้บังเกิดประโยชน์แก่คนทุกฝ่าย
เช่น
หมอคนหนึ่ง รักษาคนไข้ที่มีอาการหนักมาก
เมื่อคนไข้ถามว่า "เขาจะรอดหรือตาย"
ทั้งๆที่หมอรู้ตามหลักวิชาว่าไม่น่าจะรอด
แต่หมอตอบว่า "ขอให้ทำใจดีๆ ความหวังที่จะหายนั้นมีอยู่"
(ปรากฏในหนังสือพุทธปรัชญาเถรวาท)
prepare kids for freedom
อิสรภาพ และ เสรีภาพ
เด็กจะเรียนรู้การจัดการกับอิสรภาพและเสรีภาพได้อย่างไร?
คำตอบคือ ป้อนความรับผิดชอบให้ทีละน้อย
(เพื่อเตรียมเด็กให้พร้อม
และพร้อมเต็มที่เมื่อถึงนาทีสุดท้าย ที่จะบินออกจากอ้อมอกของพ่อแม่)
เมื่อผมอายุสิบเจ็ดปี
พ่อแม่ลาหยุดพักร้อนเพื่อไปเที่ยวสองสัปดาห์เต็ม
พ่อแม่ทิ้งบ้านทั้งหลัง กุญแจรถยนต์
และคำอนุญาตให้ผมพาเพื่อนพ้องมาพักในบ้านได้อย่างไม่มีเงื่อนไข
หลังจากนั้นหลายปี ผมถามแม่ถึงเหตุการณ์นั้น
เธอกล่าวว่า "แม่รู้ว่าในอีก 1 ปีข้างหน้า
ลูกจะออกจากบ้าน ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย
ลูกจะมีเสรีภาพเต็มที่ ไม่มีใครคอยเฝ้าจับตามองอีกต่อไปแล้ว
แม่ต้องการให้ลูกได้รู้จักอิสรภาพอย่างแท้จริง
ในขณะที่ลูกยังอยู่ในความดูแลของแม่"
ถ้าท่านมีลูก เปิดโอกาสให้ลูกได้ลิ้มชิมรสอิสรภาพ
ในระหว่างที่พวกเขาเติบใหญ่ทีละขวบปี
รินเติมให้รับทราบทีละน้อย
แทนที่จะผลักลงมหาสมุทรเวิ้งว้างในคราวเดียว
ที่มา หนังสือความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
เด็กจะเรียนรู้การจัดการกับอิสรภาพและเสรีภาพได้อย่างไร?
คำตอบคือ ป้อนความรับผิดชอบให้ทีละน้อย
(เพื่อเตรียมเด็กให้พร้อม
และพร้อมเต็มที่เมื่อถึงนาทีสุดท้าย ที่จะบินออกจากอ้อมอกของพ่อแม่)
เมื่อผมอายุสิบเจ็ดปี
พ่อแม่ลาหยุดพักร้อนเพื่อไปเที่ยวสองสัปดาห์เต็ม
พ่อแม่ทิ้งบ้านทั้งหลัง กุญแจรถยนต์
และคำอนุญาตให้ผมพาเพื่อนพ้องมาพักในบ้านได้อย่างไม่มีเงื่อนไข
หลังจากนั้นหลายปี ผมถามแม่ถึงเหตุการณ์นั้น
เธอกล่าวว่า "แม่รู้ว่าในอีก 1 ปีข้างหน้า
ลูกจะออกจากบ้าน ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย
ลูกจะมีเสรีภาพเต็มที่ ไม่มีใครคอยเฝ้าจับตามองอีกต่อไปแล้ว
แม่ต้องการให้ลูกได้รู้จักอิสรภาพอย่างแท้จริง
ในขณะที่ลูกยังอยู่ในความดูแลของแม่"
ถ้าท่านมีลูก เปิดโอกาสให้ลูกได้ลิ้มชิมรสอิสรภาพ
ในระหว่างที่พวกเขาเติบใหญ่ทีละขวบปี
รินเติมให้รับทราบทีละน้อย
แทนที่จะผลักลงมหาสมุทรเวิ้งว้างในคราวเดียว
ที่มา หนังสือความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
Labels:
raising children
Fathers and Daughters
บิดากับบุตรี
นานแสนนานก่อนที่เด็กสาววัยรุ่นจะตกหลุมรัก หรือค้นพบคู่ครองของเธอ
ทัศนคติของเธอที่มีต่อบุรุษเพศ จะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างเงียบๆ
จากภาพองพ่อที่เธอมองเห็น...
ถ้าพ่อของแม่หนูเป็นคนติดเหล้า เป็นคนไร้ค่าในครอบครัว
เธอก็จะใช้ชีวิตทั้งหมดค้นหาบุรุษที่จะมาเติมคุณภาพชีวิตองเธอให้เต็ม
เติมช่องว่างในหัวใจที่บิดาไม่อาจมอบให้ได้
หากพ่อเป็นผู้เฝ้าดูแลเลี้ยงดูด้วยความใส่ใจรักใคร่
ลูกสาวก็จะมองหาคู่รักในระดับเดียวกันนั้น
ถ้าพ่อมองเห็นว่าลูกสาวเป็นคนน่ารัก มีความเป็นสตรีเต็มตัว
เธอก็จะมองตนเองในภาพนั้น
แต่ถ้าพ่อเฝ้าเตือนความจำเสมอว่า เธอไร้เสน่ห์ น่าเกลียด
เธอก็จะพาปมด้อยนั้น ติดตัวไปในชีวิตด้วย
..
ถ้าพ่อเป็นคนบ้าอำนาจ หรืออ่อนปวกเปียกโลเล
เธอก็จะดำเนินชีวิตดิ้นรนต่อสู้แย่งชิงอำนาจกับสามีไปตลอดชีวิตสมรส
แต่หากพ่อผสมผสานความรักใคร่และวินัย
กำกับชีวิตให้กลมกลืนกลายเป็นชีวิตรอบรื่นที่เปี่ยมด้วยพลัง
เธอก็จะสบายใจไปกับการให้ และการรับในชีวิตสมรส
บนพื้นฐานของความนับถือระหว่างกัน
แง่คิดจาก หนังสือความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
Remark
คงถูกสำหรับบางคน
แต่คงไม่ทั้งหมด
(เช่น บางคนไม่ได้รับอิทธิพลจากพ่อสักเท่าไหร่)
แต่ยังไงก็เป็นแง่คิดที่น่าสนใจ
นานแสนนานก่อนที่เด็กสาววัยรุ่นจะตกหลุมรัก หรือค้นพบคู่ครองของเธอ
ทัศนคติของเธอที่มีต่อบุรุษเพศ จะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างเงียบๆ
จากภาพองพ่อที่เธอมองเห็น...
ถ้าพ่อของแม่หนูเป็นคนติดเหล้า เป็นคนไร้ค่าในครอบครัว
เธอก็จะใช้ชีวิตทั้งหมดค้นหาบุรุษที่จะมาเติมคุณภาพชีวิตองเธอให้เต็ม
เติมช่องว่างในหัวใจที่บิดาไม่อาจมอบให้ได้
หากพ่อเป็นผู้เฝ้าดูแลเลี้ยงดูด้วยความใส่ใจรักใคร่
ลูกสาวก็จะมองหาคู่รักในระดับเดียวกันนั้น
ถ้าพ่อมองเห็นว่าลูกสาวเป็นคนน่ารัก มีความเป็นสตรีเต็มตัว
เธอก็จะมองตนเองในภาพนั้น
แต่ถ้าพ่อเฝ้าเตือนความจำเสมอว่า เธอไร้เสน่ห์ น่าเกลียด
เธอก็จะพาปมด้อยนั้น ติดตัวไปในชีวิตด้วย
..
ถ้าพ่อเป็นคนบ้าอำนาจ หรืออ่อนปวกเปียกโลเล
เธอก็จะดำเนินชีวิตดิ้นรนต่อสู้แย่งชิงอำนาจกับสามีไปตลอดชีวิตสมรส
แต่หากพ่อผสมผสานความรักใคร่และวินัย
กำกับชีวิตให้กลมกลืนกลายเป็นชีวิตรอบรื่นที่เปี่ยมด้วยพลัง
เธอก็จะสบายใจไปกับการให้ และการรับในชีวิตสมรส
บนพื้นฐานของความนับถือระหว่างกัน
แง่คิดจาก หนังสือความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
Remark
คงถูกสำหรับบางคน
แต่คงไม่ทั้งหมด
(เช่น บางคนไม่ได้รับอิทธิพลจากพ่อสักเท่าไหร่)
แต่ยังไงก็เป็นแง่คิดที่น่าสนใจ
Labels:
raising children
delight your kids
ให้เด็กรู้สึกถึงความอิ่มเอมใจ
ความอภิรมย์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ มีการสนองตอบความต้องการที่รุนแรงนั้น
เปรียบเหมือนกับน้ำแก้วเดียว อาจมีค่ามากกว่าทองคำ
สำหรับคนที่กำลังจะสิ้นใจเพราะความกระหาย
(แต่น้ำแก้วนั้นไร้ค่าสำหรับคนที่มีน้ำดื่มจนเต็มท้อง)
หลักการนี้นำมาปรับใช้ได้กับเด็ก
หากท่านไ่มเคยปล่อยให้ลูกต้องการอะไรมากพอถึงระดับหนึ่ง
เขาจะไม่มีความอภิรมย์ในชีวิตได้เลย
พ่อแม่ซื้อจักรยานสามล้อให้ลูกที่ยังเดินไม่ได้
ซื้อจักรยาน 2 ล้อให้เด็กที่ยังเดินเตาะแตะ
ซื้อรถยนต์ให้ก่อนที่เขาจะขับเป็น
เท่ากับลดทอนความอิ่มเอมในชีวิตที่เขาจะได้รับ
จากการเป็นเจ้าของ ของขวัญชิ้นนั้น
รวมถึง ไม่ได้ฝึกให้เขา มีแรงกระตุ้นที่จะลุกขึ้นมาทำสิ่งต่างๆ
เพื่อที่จะให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ที่มา หนังสือความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
ความอภิรมย์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ มีการสนองตอบความต้องการที่รุนแรงนั้น
เปรียบเหมือนกับน้ำแก้วเดียว อาจมีค่ามากกว่าทองคำ
สำหรับคนที่กำลังจะสิ้นใจเพราะความกระหาย
(แต่น้ำแก้วนั้นไร้ค่าสำหรับคนที่มีน้ำดื่มจนเต็มท้อง)
หลักการนี้นำมาปรับใช้ได้กับเด็ก
หากท่านไ่มเคยปล่อยให้ลูกต้องการอะไรมากพอถึงระดับหนึ่ง
เขาจะไม่มีความอภิรมย์ในชีวิตได้เลย
พ่อแม่ซื้อจักรยานสามล้อให้ลูกที่ยังเดินไม่ได้
ซื้อจักรยาน 2 ล้อให้เด็กที่ยังเดินเตาะแตะ
ซื้อรถยนต์ให้ก่อนที่เขาจะขับเป็น
เท่ากับลดทอนความอิ่มเอมในชีวิตที่เขาจะได้รับ
จากการเป็นเจ้าของ ของขวัญชิ้นนั้น
รวมถึง ไม่ได้ฝึกให้เขา มีแรงกระตุ้นที่จะลุกขึ้นมาทำสิ่งต่างๆ
เพื่อที่จะให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ที่มา หนังสือความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
Labels:
raising children
คนที่ทำงานไม่สุจริต
คนที่ทำงานไม่สุจริต เป็นการปล้นสิ่งมีค่า ๓ อย่างของมนุษย์
คือ เวลา, ทรัพย์สิน, และมโนธรรม
คัดลอกจากหนังสือพุทธปรัชญาเถรวาท
คือ เวลา, ทรัพย์สิน, และมโนธรรม
คัดลอกจากหนังสือพุทธปรัชญาเถรวาท
Labels:
Bedtime Story
dare apologize
เมื่อคุณทำผิด การเอ่ยปากขอโทษลูก
จะเป็นโอกาสอันงามที่จะ
1) สอนสั่งลูกคุณให้มีความรับผิดชอบ
, 2) สมานบาดแผลในใจ ปัดเป่าความระคายเคือง และลดความกดดันของบรรยากาศในครอบครัว
,และ 3) บอกให้ลูกทราบว่าท่านก็มีข้อด้อย ไม่ต่างไปจากคนอื่นๆ
ที่มา หนังสือความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
จะเป็นโอกาสอันงามที่จะ
1) สอนสั่งลูกคุณให้มีความรับผิดชอบ
, 2) สมานบาดแผลในใจ ปัดเป่าความระคายเคือง และลดความกดดันของบรรยากาศในครอบครัว
,และ 3) บอกให้ลูกทราบว่าท่านก็มีข้อด้อย ไม่ต่างไปจากคนอื่นๆ
ที่มา หนังสือความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
conclusion for kids
โค้ชฝึกซ้อมผู้เล่นอย่างหนักมาตลอดฤดูการเก็บตัว
ท้ายที่สุด เมื่อจะต้องลงเล่นเกมแรกสุด
โค้ชไม่อาจสั่งการหรือให้คำแนะนำในสนามได้
โค้ชจะเรียกนักฟุตบอลในทีมมารวมกันในห้องพักนักกีฬา
เพื่อบรรยายสรุปส่งท้าย
เตือนให้ระลึกถึงเทคนิคนานัปการที่ฝึกซ้อมกันมาแล้ว
และกล่าวกระตุ้นให้เกิดความคึก
สุมไฟแห่งความกระหายชัยชนะ ให้ลุกโชติช่วง
การเป็นพ่อแม่ของเด็กก่อนวัยรุ่น
มีความคล้ายคลึงกับการทำหน้าที่โค้ชทีมฟุตบอลในหลายทาง
ที่มา หนังสือ ความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
What is your conclusion, Parents?
ท้ายที่สุด เมื่อจะต้องลงเล่นเกมแรกสุด
โค้ชไม่อาจสั่งการหรือให้คำแนะนำในสนามได้
โค้ชจะเรียกนักฟุตบอลในทีมมารวมกันในห้องพักนักกีฬา
เพื่อบรรยายสรุปส่งท้าย
เตือนให้ระลึกถึงเทคนิคนานัปการที่ฝึกซ้อมกันมาแล้ว
และกล่าวกระตุ้นให้เกิดความคึก
สุมไฟแห่งความกระหายชัยชนะ ให้ลุกโชติช่วง
การเป็นพ่อแม่ของเด็กก่อนวัยรุ่น
มีความคล้ายคลึงกับการทำหน้าที่โค้ชทีมฟุตบอลในหลายทาง
ที่มา หนังสือ ความรักและความอบอุ่น
โดย MK restaurants
What is your conclusion, Parents?
Labels:
raising children
Friday, February 18, 2011
the Eight Virtues of Confucianism
ขงจื้อ (孔子 จีนกลาง : ข่งจวื่อ / แต้จิ๋ว : ค่งจื้อ)(CONFUCIUS)
คำสอนของขงจื้อนั้นจะสั่งสอนให้มนุษย์ทุกคนเป็นคนโดยสมบูรณ์ ด้วยการปฏิบัติตามคุณธรรม 8 ประการ
(八德 ปาเต่อ ในภาษาจีนกลาง / โป่ยเต็ก ในภาษาจีนแต้จิ๋ว)
โดยคุณธรรมทั้ง 8 ประการนั้นจะมีดังนี้
1. 孝 (จีนกลาง : เซี่ยว / จีนแต้จิ๋ว : เห่า) ความกตัญญูกตเวที
ครึ่งบนเป็นตัวชรา ครึ่งล่างเป็นตัวลูก ประกอบกัน
ความหมายในตัวอักษร แสดงให้เห็นว่า พ่อแม่นั้นแก่เฒ่า ลูกอยู่เบื้องล่าง เหมือนมือเท้าเฝ้ารับใช้
เป็นคุณธรรมอันดับแรกที่จะขาดเสียมิได้
ถ้าคนเราไม่รู้สำนึกในบุญคุณคนและไม่รู้จักการตอบแทนบุญคุณแล้ว ถือว่าคนผู้นั้นไร้ซึ่งคุณธรรมเลยทีเดียว
หมื่นพันตำลึงทองมากมาย ยากจะซื้อชีพกายพ่อแม่
ท่านยังอยู่ไม่เคารพดูแล ท่านนิ่งแน่ร้องไห้ให้ป่วยการ
พระคุณพ่อนั้นเพียงพสุธา คุณมารดาดังมหาสมุทรใหญ่
รักลูกผูกถวิลจนสิ้นใจ จะหมายใครดั่งพ่อแม่แท้ไม่มี
แยกย่อยออกเป็น 4 ข้อใหญ่ดังนี้ คือ
1) อัน : ให้ความสงบสุขใจ ไม่นำความเสื่อมเสียมาให้
2) อุ้ย : ปลอบใจช่วยให้คลายทุกข์
3) จิ้ง : เคารพ ตอบแทนบุญคุณด้วยความเคารพและจริงใจ
4) ซุ่น : โอนอ่อนไม่ขัดใจ ไม่ขัดเคืองโกรธตอบในสิ่งที่ท่านสั่งสอน
อีกตอนหนึ่งสอนว่า
ร่างกายตลอตจนปลายเท้าและเส้นผม ได้จากมารดาบิดา มิกล้าทำลาย นี่ คือ กตัญญูในเบื้องต้น
(การดูแลตนเอง เท่ากับการดูแลคนอื่น - ไม่ต้องเป็นภาระให้คนอื่นมาดูแลเรา ไม่ได้หมายถึงให้ดูผมให้สลวยสวยงาม)
สำรวมตนบำเพ็ญธรรม สร้างคุณงามไว้ในโลก เกียรติ ปรากฏแก่มารดาบิดา นี่คือ กตัญญูในเบื้องปลาย
2. 悌 (จีนกลาง : ที่ / จีนแต้จิ๋ว : ตี๋) ความรักใคร่ปรองดอง หรือ การให้ความเคารพปรนนิบัติรับใช้ผู้ที่มีอายุมากกว่า
ในตัวอักษร จุดแรกเป็นพี่ จุดทีหลังเป็นน้อง โค้งตัวเคารพ ครบมือครบเท้าในร่างเดียวกัน คือพ่อแม่เดียวกัน
ครอบครัวหรือชุมชนนั้นมีความปรองดอง รู้จักให้อภัย รู้จักอดทนซึ่งกันและกัน รู้จักเอื้ออารีกัน
ย่อมจะทำให้เกิดความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองตามมา
สายเลือด ที่สนิทชิดเชื้อที่สุด คือ พี่น้อง เหมือนกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ต้นเดียวกัน
เกิดมาจากแม่เดียวกัน ดื่มนมจากแม่เดียวกัน ไม่ตัดมือตัดเท้า
ความเจริญของครอบครัวเกิดได้เพราะพี่น้องปรองดองกัน
3. 忠 (จีนกลาง : ตง / จีนแต้จิ๋ว : ตง) ความซื่อสัตย์, จงรักภักดี, ตรงไปตรงมา
สื่อถึงการวางหัวใจของตนนั้นให้เที่ยงตรงไม่โอนเอียง มีความยุติธรรมเป็นหลัก
ไม่หักหลังทำสิ่งน่าละอายต่อตนเองและผู้อื่น ซื่อตรงต่อฟ้าดิน ต่อบ้านเมือง และบุคคลทั่วไป
คือ มีความซื่อตรงทั้งต่อหน้าและลับหลัง
4. 信 (จีนกลาง : ซิ่น / จีนแต้จิ๋ว : สิ่ง) มีสัจจะ
ประกอบด้วยตัวคน และวาจา หมายความว่า คนควรมีวาจาสัตย์
วาจาสัตย์ เป็นบรรทัดฐานแห่งมนุษยธรรมอันล้ำค่า
กัลยาณชนเอ่ยวาจาใด ต่อให้ม้าฝีเท้าไวก็ไม่อาจตามคืน
การได้พูดจานัดหมายกับใคร จะเป็นซื้อขาย หรือการงานก็ตาม
หากคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์แห่งตนแล้วผิดสัญญาคำสัตย์ หลอกลวงเหลวไหล
ล้วนถือเป็นขาดความสัตย์จริง
5. 礼 หรือ 禮 (จีนกลาง : หลี่ / จีนแต้จิ๋ว : โล่ย, ลี่) จริยธรรม, จารีตประเพณี
มีจริยธรรม มารยาทอันดีงาม รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน มีความสุภาพสง่างาม มีสัมมาคารวะ เคารพในสิทธิของผู้อื่น
6. 义 หรือ 義 (จีนกลาง : อี้ / จีนแต้จิ๋ว : หงี่) มโนธรรม
ไม่โลภในลาภ (สันโดษ) และรู้จักสละทรัพย์ เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
7. 廉 (จีนกลาง : เหลียน / จีนแต้จิ๋ว : เนี้ยม) สุจริตธรรม
เสมอต้นเสมอปลายด้วย
- บริสุทธิ์ 3 สถาน (งานบริสุทธิ์, เงินบริสุทธิ์, บริสุทธิ์สำรวมมารยาทระหว่างชายหญิง)
- เที่ยงตรง 4 ประการ (กายวาจาใจที่เที่ยงตรง และมีพฤติกรรมการแสดงออกที่เที่ยงตรง)
8. 耻 หรือ 恥 (จีนกลาง : ฉวื่อ / จีนแต้จิ๋ว : ชี่) ละอายต่อความชั่ว
ความหมายตามอักษรหมายถึง เนื้อแท้ของจิตเดิม
จิตเดิมของคนเรามีแต่ความดีไม่มีความชั่ว ซึ่งหมายถึงมโนธรรมหรือน้ำใจอันดีงามนั่นเอง
คุณธรรมข้อนี้ยังสอนให้รู้จักอดทนอดกลั้นต่อคำสบประมาทหรือ เหยียดหยาม
โดยก่อนจะโกรธหรือเกลียดใครให้ชั่งใจก่อนว่าสิ่งที่เขากล่าวมานั้น เราได้ทำดีหรือทำผิดไปหรือไม่
ถ้าทำดีแล้วก็ปล่อยวาง แต่ถ้าเราทำไม่ดีอย่างที่เขาว่าก็ควรปรับปรุงตัว
นอกจากคุณธรรมทั้ง 8 ประการของขงจื้อนี้แล้ว ชาวจีนบางท่านอาจนำคำอื่นซึ่งมีความหมายคล้ายกันแทนคุณธรรมข้อ 悌 กับ 信 ก็มีคือคำว่า
仁 (จีนกลาง : เหยิน / จีนแต้จิ๋ว : ยิ้ง) เมตตาปราณี, เมตตาการุณย์, มีสัจจะ, มีศีลธรรม, มีธรรมประจำใจ หรือ คุณธรรมของบัณฑิต
เพราะ ความเมตตาปราณีนั้นจะนำมาซึ่งมิตรที่ดี
爱 หรือ 愛 (จีนกลาง : ไอ้ / จีนแต้จิ๋ว : ไอ่) รักด้วยความจริงใจ, ชอบในสิ่งที่ควร, หวงแหน, สิ่งที่ตนนิยม
อันแสดงถึง ความรักที่เป็นสาธารณะ หรือ ยึดมั่นในอุดมการณ์ที่ถูกต้อง
นี่เองที่ชาวจีนถือว่าเป็นคุณธรรมประจำใจ อันตกทอดสืบต่อกันมาของสายเลือดมังกร
และถือว่าเป็นมงคลแห่งชีวิตที่ควรประพฤติปฏิบัติตาม
ดั่งคำที่ชาวจีนมักกล่าวกันไว้ว่า “เมื่อคนเรามีคุณธรรมแล้ว โชคลาภความร่ำรวยชื่อเสียงเกียรติยศย่อมตามมา”
หรือในมุมกลับกัน “ถ้าไร้ซึ่งคุณธรรมเสียแล้ว แม้จะเก่งกล้าหรือดวงดีสักแค่ไหน สุดท้ายก็จะพบแต่ความพินาศ”
ดังนั้นจึงเห็นว่าชาวจีนมักจะติดวลีคุณธรรมมงคลไว้กันในบ้านเรือนเพื่อเตือนใจ ว่า
“孝悌忠信礼义廉耻” หรือคำว่า “忠孝仁愛禮義廉耻” กันอยู่เสมอ
เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจถึงการมีคุณธรรมประจำใจ อันจะนำมาซึ่งโชคลาภและความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตทั้งมวล
ที่มา
http://horamahawed.com/content.php?cate=china_fortune&id=12
http://www.pattanakit.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538724965&Ntype=128
คุณธรรม (Virtue)
==============
1) แนวความคิดที่ดี นำให้ประพฤติดี
2) สภาพคุณงามความดีทางความประพฤติและจิตใจ
ศีลธรรม (Moral)
==============
หลักความประพฤติที่ดีสำหรับบุคคลพึงปฏิบัติ
จริยธรรม (Ethics)
================
(ศีลธรรมเฉพาะกลุ่ม)
1. ประมวล กฎหมาย ที่กลุ่มชนหรือสังคมหนึ่งๆ ยอมรับเป็นแนวควบคุมความประพฤติ
เพื่อแยกแยะให้เห็นว่าอะไรควร หรือไปกันได้กับการบรรลุวัตถุประสงค์ของกลุ่ม
2. ปรัชญาสาขาหนึ่งว่าด้วย ความประพฤติ และการครองชีวิต
ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิด หรืออะไรควร อะไรไม่ควร
คัดย่อจาก http://www.charuaypontorranin.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=5375831&Ntype=6
คำสอนของขงจื้อนั้นจะสั่งสอนให้มนุษย์ทุกคนเป็นคนโดยสมบูรณ์ ด้วยการปฏิบัติตามคุณธรรม 8 ประการ
(八德 ปาเต่อ ในภาษาจีนกลาง / โป่ยเต็ก ในภาษาจีนแต้จิ๋ว)
โดยคุณธรรมทั้ง 8 ประการนั้นจะมีดังนี้
1. 孝 (จีนกลาง : เซี่ยว / จีนแต้จิ๋ว : เห่า) ความกตัญญูกตเวที
ครึ่งบนเป็นตัวชรา ครึ่งล่างเป็นตัวลูก ประกอบกัน
ความหมายในตัวอักษร แสดงให้เห็นว่า พ่อแม่นั้นแก่เฒ่า ลูกอยู่เบื้องล่าง เหมือนมือเท้าเฝ้ารับใช้
เป็นคุณธรรมอันดับแรกที่จะขาดเสียมิได้
ถ้าคนเราไม่รู้สำนึกในบุญคุณคนและไม่รู้จักการตอบแทนบุญคุณแล้ว ถือว่าคนผู้นั้นไร้ซึ่งคุณธรรมเลยทีเดียว
หมื่นพันตำลึงทองมากมาย ยากจะซื้อชีพกายพ่อแม่
ท่านยังอยู่ไม่เคารพดูแล ท่านนิ่งแน่ร้องไห้ให้ป่วยการ
พระคุณพ่อนั้นเพียงพสุธา คุณมารดาดังมหาสมุทรใหญ่
รักลูกผูกถวิลจนสิ้นใจ จะหมายใครดั่งพ่อแม่แท้ไม่มี
แยกย่อยออกเป็น 4 ข้อใหญ่ดังนี้ คือ
1) อัน : ให้ความสงบสุขใจ ไม่นำความเสื่อมเสียมาให้
2) อุ้ย : ปลอบใจช่วยให้คลายทุกข์
3) จิ้ง : เคารพ ตอบแทนบุญคุณด้วยความเคารพและจริงใจ
4) ซุ่น : โอนอ่อนไม่ขัดใจ ไม่ขัดเคืองโกรธตอบในสิ่งที่ท่านสั่งสอน
อีกตอนหนึ่งสอนว่า
ร่างกายตลอตจนปลายเท้าและเส้นผม ได้จากมารดาบิดา มิกล้าทำลาย นี่ คือ กตัญญูในเบื้องต้น
(การดูแลตนเอง เท่ากับการดูแลคนอื่น - ไม่ต้องเป็นภาระให้คนอื่นมาดูแลเรา ไม่ได้หมายถึงให้ดูผมให้สลวยสวยงาม)
สำรวมตนบำเพ็ญธรรม สร้างคุณงามไว้ในโลก เกียรติ ปรากฏแก่มารดาบิดา นี่คือ กตัญญูในเบื้องปลาย
2. 悌 (จีนกลาง : ที่ / จีนแต้จิ๋ว : ตี๋) ความรักใคร่ปรองดอง หรือ การให้ความเคารพปรนนิบัติรับใช้ผู้ที่มีอายุมากกว่า
ในตัวอักษร จุดแรกเป็นพี่ จุดทีหลังเป็นน้อง โค้งตัวเคารพ ครบมือครบเท้าในร่างเดียวกัน คือพ่อแม่เดียวกัน
ครอบครัวหรือชุมชนนั้นมีความปรองดอง รู้จักให้อภัย รู้จักอดทนซึ่งกันและกัน รู้จักเอื้ออารีกัน
ย่อมจะทำให้เกิดความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองตามมา
สายเลือด ที่สนิทชิดเชื้อที่สุด คือ พี่น้อง เหมือนกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ต้นเดียวกัน
เกิดมาจากแม่เดียวกัน ดื่มนมจากแม่เดียวกัน ไม่ตัดมือตัดเท้า
ความเจริญของครอบครัวเกิดได้เพราะพี่น้องปรองดองกัน
3. 忠 (จีนกลาง : ตง / จีนแต้จิ๋ว : ตง) ความซื่อสัตย์, จงรักภักดี, ตรงไปตรงมา
สื่อถึงการวางหัวใจของตนนั้นให้เที่ยงตรงไม่โอนเอียง มีความยุติธรรมเป็นหลัก
ไม่หักหลังทำสิ่งน่าละอายต่อตนเองและผู้อื่น ซื่อตรงต่อฟ้าดิน ต่อบ้านเมือง และบุคคลทั่วไป
คือ มีความซื่อตรงทั้งต่อหน้าและลับหลัง
4. 信 (จีนกลาง : ซิ่น / จีนแต้จิ๋ว : สิ่ง) มีสัจจะ
ประกอบด้วยตัวคน และวาจา หมายความว่า คนควรมีวาจาสัตย์
วาจาสัตย์ เป็นบรรทัดฐานแห่งมนุษยธรรมอันล้ำค่า
กัลยาณชนเอ่ยวาจาใด ต่อให้ม้าฝีเท้าไวก็ไม่อาจตามคืน
การได้พูดจานัดหมายกับใคร จะเป็นซื้อขาย หรือการงานก็ตาม
หากคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์แห่งตนแล้วผิดสัญญาคำสัตย์ หลอกลวงเหลวไหล
ล้วนถือเป็นขาดความสัตย์จริง
5. 礼 หรือ 禮 (จีนกลาง : หลี่ / จีนแต้จิ๋ว : โล่ย, ลี่) จริยธรรม, จารีตประเพณี
มีจริยธรรม มารยาทอันดีงาม รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน มีความสุภาพสง่างาม มีสัมมาคารวะ เคารพในสิทธิของผู้อื่น
6. 义 หรือ 義 (จีนกลาง : อี้ / จีนแต้จิ๋ว : หงี่) มโนธรรม
ไม่โลภในลาภ (สันโดษ) และรู้จักสละทรัพย์ เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
7. 廉 (จีนกลาง : เหลียน / จีนแต้จิ๋ว : เนี้ยม) สุจริตธรรม
เสมอต้นเสมอปลายด้วย
- บริสุทธิ์ 3 สถาน (งานบริสุทธิ์, เงินบริสุทธิ์, บริสุทธิ์สำรวมมารยาทระหว่างชายหญิง)
- เที่ยงตรง 4 ประการ (กายวาจาใจที่เที่ยงตรง และมีพฤติกรรมการแสดงออกที่เที่ยงตรง)
8. 耻 หรือ 恥 (จีนกลาง : ฉวื่อ / จีนแต้จิ๋ว : ชี่) ละอายต่อความชั่ว
ความหมายตามอักษรหมายถึง เนื้อแท้ของจิตเดิม
จิตเดิมของคนเรามีแต่ความดีไม่มีความชั่ว ซึ่งหมายถึงมโนธรรมหรือน้ำใจอันดีงามนั่นเอง
คุณธรรมข้อนี้ยังสอนให้รู้จักอดทนอดกลั้นต่อคำสบประมาทหรือ เหยียดหยาม
โดยก่อนจะโกรธหรือเกลียดใครให้ชั่งใจก่อนว่าสิ่งที่เขากล่าวมานั้น เราได้ทำดีหรือทำผิดไปหรือไม่
ถ้าทำดีแล้วก็ปล่อยวาง แต่ถ้าเราทำไม่ดีอย่างที่เขาว่าก็ควรปรับปรุงตัว
นอกจากคุณธรรมทั้ง 8 ประการของขงจื้อนี้แล้ว ชาวจีนบางท่านอาจนำคำอื่นซึ่งมีความหมายคล้ายกันแทนคุณธรรมข้อ 悌 กับ 信 ก็มีคือคำว่า
仁 (จีนกลาง : เหยิน / จีนแต้จิ๋ว : ยิ้ง) เมตตาปราณี, เมตตาการุณย์, มีสัจจะ, มีศีลธรรม, มีธรรมประจำใจ หรือ คุณธรรมของบัณฑิต
เพราะ ความเมตตาปราณีนั้นจะนำมาซึ่งมิตรที่ดี
爱 หรือ 愛 (จีนกลาง : ไอ้ / จีนแต้จิ๋ว : ไอ่) รักด้วยความจริงใจ, ชอบในสิ่งที่ควร, หวงแหน, สิ่งที่ตนนิยม
อันแสดงถึง ความรักที่เป็นสาธารณะ หรือ ยึดมั่นในอุดมการณ์ที่ถูกต้อง
นี่เองที่ชาวจีนถือว่าเป็นคุณธรรมประจำใจ อันตกทอดสืบต่อกันมาของสายเลือดมังกร
และถือว่าเป็นมงคลแห่งชีวิตที่ควรประพฤติปฏิบัติตาม
ดั่งคำที่ชาวจีนมักกล่าวกันไว้ว่า “เมื่อคนเรามีคุณธรรมแล้ว โชคลาภความร่ำรวยชื่อเสียงเกียรติยศย่อมตามมา”
หรือในมุมกลับกัน “ถ้าไร้ซึ่งคุณธรรมเสียแล้ว แม้จะเก่งกล้าหรือดวงดีสักแค่ไหน สุดท้ายก็จะพบแต่ความพินาศ”
ดังนั้นจึงเห็นว่าชาวจีนมักจะติดวลีคุณธรรมมงคลไว้กันในบ้านเรือนเพื่อเตือนใจ ว่า
“孝悌忠信礼义廉耻” หรือคำว่า “忠孝仁愛禮義廉耻” กันอยู่เสมอ
เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจถึงการมีคุณธรรมประจำใจ อันจะนำมาซึ่งโชคลาภและความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตทั้งมวล
ที่มา
http://horamahawed.com/content.php?cate=china_fortune&id=12
http://www.pattanakit.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538724965&Ntype=128
คุณธรรม (Virtue)
==============
1) แนวความคิดที่ดี นำให้ประพฤติดี
2) สภาพคุณงามความดีทางความประพฤติและจิตใจ
ศีลธรรม (Moral)
==============
หลักความประพฤติที่ดีสำหรับบุคคลพึงปฏิบัติ
จริยธรรม (Ethics)
================
(ศีลธรรมเฉพาะกลุ่ม)
1. ประมวล กฎหมาย ที่กลุ่มชนหรือสังคมหนึ่งๆ ยอมรับเป็นแนวควบคุมความประพฤติ
เพื่อแยกแยะให้เห็นว่าอะไรควร หรือไปกันได้กับการบรรลุวัตถุประสงค์ของกลุ่ม
2. ปรัชญาสาขาหนึ่งว่าด้วย ความประพฤติ และการครองชีวิต
ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิด หรืออะไรควร อะไรไม่ควร
คัดย่อจาก http://www.charuaypontorranin.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=5375831&Ntype=6
มงคลชีวิต ๓๘
มงคลหมู่ที่ ๑ ฝึกตนให้เป็นคนดี
มงคลที่ ๑ ไม่คบคนพาล
มงคลที่ ๒ คบบัณฑิต
มงคลที่ ๓ บูชาบุคคลที่ควรบูชา
มงคลหมู่ที่ ๒ สร้างความพร้อมในการฝึกตนเอง
มงคลที่ ๔ อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม
มงคลที่ ๕ มีบุญวาสนามาก่อน
มงคลที่ ๖ ตั้งตนชอบ
มงคลหมู่ที่ ๓ ฝึกตนให้เป็นคนมีประโยชน์
มงคลที่ ๗ เป็นพหูสูต
มงคลที่ ๘ มีศิลปะ
มงคลที่ ๙ มีวินัย
มงคลที่ ๑๐ มีวาจาสุภาษิต
มงคลหมู่ที่ ๔ บำเพ็ญประโยชน์ต่อครอบครัว
มงคลที่ ๑๑ บำรุงบิดามารดา
มงคลที่ ๑๒ เลี้ยงดูบุตร
มงคลที่ ๑๓ สงเคราะห์ภรรยา - สามี
มงคลที่ ๑๔ ทำงานไม่คั่งค้าง
มงคลหมู่ที่ ๕ บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม
มงคลที่ ๑๕ บำเพ็ญทาน
มงคลที่ ๑๖ ประพฤติธรรม
มงคลที่ ๑๗ สงเคราะห์ญาติ
มงคลที่ ๑๘ ทำงานไม่มีโทษ
มงคลหมู่ที่ ๖ ปรับเตรียมสภาพใจให้พร้อม
มงคลที่ ๑๙ งดเว้นบาป
มงคลที่ ๒๐ สำรวมจากการดื่มน้ำเมา
มงคลที่ ๒๑ ไม่ประมาทในธรรม
มงคลหมู่ที่ ๗ การแสวงหาธรรมะเบื้องต้นใส่ตัว
มงคลที่ ๒๒ มีความเคารพ
มงคลที่ ๒๓ มีความถ่อมตน
มงคลที่ ๒๔ มีความสันโดษ
มงคลที่ ๒๕ มีความกตัญญู
มงคลที่ ๒๖ ฟังธรรมตามกาล
มงคลหมู่ที่ ๘ การแสวงหาธรรมะเบื้องสูงใส่ตัวให้เต็มที่
มงคลที่ ๒๗ มีความอดทน
มงคลที่ ๒๘ เป็นคนว่าง่าย
มงคลที่ ๒๙ เห็นสมณะ
มงคลที่ ๓๐ สนทนาธรรมตามกาล
มงคลหมู่ที่ ๙ การฝึกภาคปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสให้สิ้นไป
มงคลที่ ๓๑ บำเพ็ญตบะ
มงคลที่ ๓๒ ประพฤติพรหมจรรย์
มงคลที่ ๓๓ เห็นอริยสัจจ์
มงคลที่ ๓๔ ทำนิพพานให้แจ้ง
มงคลหมู่ที่ ๑๐ ผลจากการปฏิบัติจนหมดกิเลส
มงคลที่ ๓๕ จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
มงคลที่ ๓๖ จิตไม่โศก
มงคลที่ ๓๗ จิตปราศจากธุลี
มงคลที่ ๓๘ จิตเกษม
มงคลที่ ๑ ไม่คบคนพาล
มงคลที่ ๒ คบบัณฑิต
มงคลที่ ๓ บูชาบุคคลที่ควรบูชา
มงคลหมู่ที่ ๒ สร้างความพร้อมในการฝึกตนเอง
มงคลที่ ๔ อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม
มงคลที่ ๕ มีบุญวาสนามาก่อน
มงคลที่ ๖ ตั้งตนชอบ
มงคลหมู่ที่ ๓ ฝึกตนให้เป็นคนมีประโยชน์
มงคลที่ ๗ เป็นพหูสูต
มงคลที่ ๘ มีศิลปะ
มงคลที่ ๙ มีวินัย
มงคลที่ ๑๐ มีวาจาสุภาษิต
มงคลหมู่ที่ ๔ บำเพ็ญประโยชน์ต่อครอบครัว
มงคลที่ ๑๑ บำรุงบิดามารดา
มงคลที่ ๑๒ เลี้ยงดูบุตร
มงคลที่ ๑๓ สงเคราะห์ภรรยา - สามี
มงคลที่ ๑๔ ทำงานไม่คั่งค้าง
มงคลหมู่ที่ ๕ บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม
มงคลที่ ๑๕ บำเพ็ญทาน
มงคลที่ ๑๖ ประพฤติธรรม
มงคลที่ ๑๗ สงเคราะห์ญาติ
มงคลที่ ๑๘ ทำงานไม่มีโทษ
มงคลหมู่ที่ ๖ ปรับเตรียมสภาพใจให้พร้อม
มงคลที่ ๑๙ งดเว้นบาป
มงคลที่ ๒๐ สำรวมจากการดื่มน้ำเมา
มงคลที่ ๒๑ ไม่ประมาทในธรรม
มงคลหมู่ที่ ๗ การแสวงหาธรรมะเบื้องต้นใส่ตัว
มงคลที่ ๒๒ มีความเคารพ
มงคลที่ ๒๓ มีความถ่อมตน
มงคลที่ ๒๔ มีความสันโดษ
มงคลที่ ๒๕ มีความกตัญญู
มงคลที่ ๒๖ ฟังธรรมตามกาล
มงคลหมู่ที่ ๘ การแสวงหาธรรมะเบื้องสูงใส่ตัวให้เต็มที่
มงคลที่ ๒๗ มีความอดทน
มงคลที่ ๒๘ เป็นคนว่าง่าย
มงคลที่ ๒๙ เห็นสมณะ
มงคลที่ ๓๐ สนทนาธรรมตามกาล
มงคลหมู่ที่ ๙ การฝึกภาคปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสให้สิ้นไป
มงคลที่ ๓๑ บำเพ็ญตบะ
มงคลที่ ๓๒ ประพฤติพรหมจรรย์
มงคลที่ ๓๓ เห็นอริยสัจจ์
มงคลที่ ๓๔ ทำนิพพานให้แจ้ง
มงคลหมู่ที่ ๑๐ ผลจากการปฏิบัติจนหมดกิเลส
มงคลที่ ๓๕ จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
มงคลที่ ๓๖ จิตไม่โศก
มงคลที่ ๓๗ จิตปราศจากธุลี
มงคลที่ ๓๘ จิตเกษม
How you behave and what you will get
ถ้าท่านทำตัวแข่งกับสังคม ทางแห่งความล่มจมกำลังตามมา
ถ้าท่านทำงานเห็นแก่หน้า ท่านจะพบกับปัญหาเรื่อยไป
ถ้าท่านทำตัวเห็นแก่ได้ ท่านอย่าหวังน้ำใจจากเพื่อนฝูง
ถ้าท่านกลัวจนเกินไป ท่านจะทำอะไรไม่ได้ความ
ถ้าท่านกล้าจนเกินงาม ท่านจะพบกับความเดือดร้อน
ถ้าท่านขาดความพอดี ท่านจะเป็นหนี้เขาตลอดกาล
ถ้าท่านหวังแต่ความสนุก ท่านจะเป็นทุกข์มหาศาล
ถ้าท่านขาดความยั้งคิด ชีวิตทั้งชีวิตจะหมดความหมาย
ถ้าท่านทำใจให้สงบ ท่านจะพบกับความสุขที่เยือกเย็น
ถ้าท่านทำงานเห็นแก่หน้า ท่านจะพบกับปัญหาเรื่อยไป
ถ้าท่านทำตัวเห็นแก่ได้ ท่านอย่าหวังน้ำใจจากเพื่อนฝูง
ถ้าท่านกลัวจนเกินไป ท่านจะทำอะไรไม่ได้ความ
ถ้าท่านกล้าจนเกินงาม ท่านจะพบกับความเดือดร้อน
ถ้าท่านขาดความพอดี ท่านจะเป็นหนี้เขาตลอดกาล
ถ้าท่านหวังแต่ความสนุก ท่านจะเป็นทุกข์มหาศาล
ถ้าท่านขาดความยั้งคิด ชีวิตทั้งชีวิตจะหมดความหมาย
ถ้าท่านทำใจให้สงบ ท่านจะพบกับความสุขที่เยือกเย็น
Poem about Thai parents and their youngsters
พ่อไถนา อาบแดด ถูกแผดเผา
ลูกดืมเหล้า ฟังเพลง ครื้นเครงเหลือ
แม่ขายผัก กินข้าว เคล้ากับเกลือ
ลูกเอื้อเฟื้อ พาสาวเที่ยว เลี้ยวโฮเต็ล
พ่อหาเงิน ส่งลูกเรียน เพียรอุตส่าห์
ลูกติดยา คบเพื่อนชั่ว มั่วให้เห็น
แม่กระหาย ดื่มน้ำคลอง ตอนกลองเพล
ลูกทะเล้น จิบไวน์แดง แพงจับใจ
พ่ออดอยาก ไม่เคยบ่น ทนลำบาก
ลูกมักมาก เพศสัมพันธ์ มันฉิบหาย
แม่ทอผ้า ปลูกหม่อน หารายได้
ลูกหญิงชาย เที่ยวสนุก โรคติดตัว
พ่อสูบน้ำ เข้าแปลงนา ปลูกกล้าข้าว
ลูกมัวเมา การพนัน หมั่นหาผัว
แม่หาบน้ำ เลี้ยงเป็ดไก่ ทำสวนครัว
ลูกใจชั่ว ใช้เงินเพลิน เดินหลงทาง
พ่อขายวัว ส่งควายเรียน เวียนศีรษะ
ลูกตะกละ กินฟาสท์ฟู้ด พูดกว้างขวาง
แม่ปวดเมื่อย สู้งานหนัก ไม่ละวาง
ลูกสำอาง ใช้ของแพง แข่งสังคม
พ่อผอมแห้ง เรี่ยวแรงน้อย ด้อยอาหาร
ลูกประพฤติ อันธพาล ร่านเสพสม
แม่เป็นหนี้ ดอกทบต้น หมดอารมณ์
ลูกเขี้ยวคม ฆ่าพ่อแม่ ก่อนแก่ตาย
ที่มา internet
ลูกดืมเหล้า ฟังเพลง ครื้นเครงเหลือ
แม่ขายผัก กินข้าว เคล้ากับเกลือ
ลูกเอื้อเฟื้อ พาสาวเที่ยว เลี้ยวโฮเต็ล
พ่อหาเงิน ส่งลูกเรียน เพียรอุตส่าห์
ลูกติดยา คบเพื่อนชั่ว มั่วให้เห็น
แม่กระหาย ดื่มน้ำคลอง ตอนกลองเพล
ลูกทะเล้น จิบไวน์แดง แพงจับใจ
พ่ออดอยาก ไม่เคยบ่น ทนลำบาก
ลูกมักมาก เพศสัมพันธ์ มันฉิบหาย
แม่ทอผ้า ปลูกหม่อน หารายได้
ลูกหญิงชาย เที่ยวสนุก โรคติดตัว
พ่อสูบน้ำ เข้าแปลงนา ปลูกกล้าข้าว
ลูกมัวเมา การพนัน หมั่นหาผัว
แม่หาบน้ำ เลี้ยงเป็ดไก่ ทำสวนครัว
ลูกใจชั่ว ใช้เงินเพลิน เดินหลงทาง
พ่อขายวัว ส่งควายเรียน เวียนศีรษะ
ลูกตะกละ กินฟาสท์ฟู้ด พูดกว้างขวาง
แม่ปวดเมื่อย สู้งานหนัก ไม่ละวาง
ลูกสำอาง ใช้ของแพง แข่งสังคม
พ่อผอมแห้ง เรี่ยวแรงน้อย ด้อยอาหาร
ลูกประพฤติ อันธพาล ร่านเสพสม
แม่เป็นหนี้ ดอกทบต้น หมดอารมณ์
ลูกเขี้ยวคม ฆ่าพ่อแม่ ก่อนแก่ตาย
ที่มา internet
คติพจน์เพื่อการดำเนินชีวิต
ของท่านกว๋อฉาง(นักปราชญ์ชาวจีน)
หลักแห่งความสำเร็จ
===============
ขยันแลประหยัด ยืนหยัดอดทน ทำตนเชื่อถือได้
อ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักประมาณตน รู้ผิดแลรู้ชอบ
ตั้งปณิธาน เข้าจิตใจผู้อื่น ไม่โลภรู้สันโดษ
เด็ดเดี่ยวมั่นคง เป็นคนใจกว้าง กล้าได้กล้าเสีย
เหตุแห่งความล้มเหลว
=================
ไม่เข้าใจผู้อื่น ไม่ประมาณตน ไม่เดียงสาต่อการ
มิสำนึกผิดชอบ โลภโมโทสัน เย่อหยิ่งยะโส
โป้ปดมดเท็จ คบค้าเสเพล เกียจคร้านต่องาน
ก่อหนี้ล้นพ้น ขี้เหล้าเมายา หูเบาเฉาปัญญา
ทำตนหัวไม้ ไร้สัจจธรรม ใจคอคับแคบ
คบคนไม่เลือก คิดคดล่อลวง สุรุ่ย สุร่าย
ไร้อุดมการณ์ หลงการพนัน หุนหันพลันแล่น
จิตใจโลเล อิจฉาริษยา นอกรีตดื้อรั้น
หมายถึง
1) ไม่เข้าใจผู้อื่น เป็นคนไม่รู้เขา ไม่รู้เรา เอาแต่ตนเองเป็นประมาณ มีความคับแคบในจิตใจ
2) ไม่ประมาณตน สำคัญตนเองผิด ไม่ทราบว่าตนเองอยู่ในสถานะใด ขาดความเจียมตนอยากใหญ่ อยากดัง อาจจะเป็นคนชอบยกตนข่มท่าน อวดใหญ่อวดโต
3) ไม่เดียงสาต่องาน ขาดความรู้ในหน้าที่การงานที่ปฏิบัติ ไม่ได้ร่ำเรียนมาโดยตรง ไม่ได้รับการฝึกฝนอบรมในเรื่องนั้นๆ ให้เกิดความเข้าใจอย่างแท้จริง ไม่มีความเข้าใจงาน ไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนต่อการปฏิบัติภารกิจนั้น
4) ขาดความสำนึกรับผิดชอบ ไม่รับทราบว่า ในหน้าที่งานที่ตนเองต้องปฏิบัตินั้น ที่จริงแล้วมีสิ่งใดบ้างที่ตนเองจะต้องรับผิดชอบ หรือแม้จะทราบ แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่ทราบ ไม่ยอมรับผิดชอบงานในหน้าที่ของตน หรือคอยจ้องแต่จะรับ "ความชอบ" ส่วนความผิดนั้น มักปัดสวะให้ผู้อื่นรับเอาไป ก็ทำให้เกิดความผิดพลาดเสียหายล้มเหลวได้อย่างมากมาย
5) โลภโมโทสัน เป็นคนมักได้ มักเอา เป็นคนขี้ขอ มีโลภะ เป็นเจ้าเรือน เห็นสิ่งใดมีอาการอยากได้มาเป็นของตนในทุกๆ เรื่อง อาการเช่นนี้ เมื่อมีในตนมากเกินไป ทำให้มีสภาพเป็นคนน่ารังเกียจ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เพราะเขากลับว่า จะไปขอทรัพย์สินของเขานั่นเอง ไร้ซึ่งสัจธรรม คนพูดปด พูดมดเท็จ พูดหลอกลวง พูดเพ้อเจ้อ พูดสับปลับ พูดปากกับใจไม่ตรงกัน ไม่มีคุณธรรมประจำใจ ย่อมไม่มีคนเคารพนับถือ วาจาไม่เป็นที่เชื่อถือแก่ผู้ใดเลย คนประเภทนี้ จะเป็นนักบริหารที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร ที่จะเป็นได้ ก็เป็นเพียงคนจรหมอนหมิ่น สิ้นไรซึ่งความดีงามประจำตนเท่านั้นเอง
6) เย่อหยิ่งยโส คนอวดเบ่ง อวดหยิ่งยโสนั้น ไม่มีใครเขาเกรงกลัว และไม่เคารพนับถืออีกด้วย คนที่คิดว่าตัวเองเก่งนั้น ที่จริงเปรียบเสมือนกับคนที่ตายไปแล้ว เพราะคนที่หลงตัวลืมตนนั้นจะไม่ยอมศึกษาค้นคว้าสิ่งไดเพิ่มเติม เนื่องจากหลงตนคิดว่าตนเองเก่งกว่าใครๆ นั่นเอง
7) ก่อหนี้สินล้นพ้นตัว คนประเภทนี้ เป็นพวกหน้าใหญ่ใจโต ไม่ประมาณตน เห็นช้างขี้ก็อยาก ขี้ตามช้าง เห็นเขานั่งคานหาม ก็อยากนั่งบ้าง แต่หาคานหามไม่ได้ เลยต้อง "เอามือประสานก้นแทน"
8) คบค้าคนเสเพล คนที่คบค้าแต่คนพาล คนเสเพล ย่อมจะเป็นบ่อเกิดแห่งความพินาศฉิบหายไปด้วย ในอบายมุข 6 นั้น บ่งบอกว่า อย่าคบคนชั่วเป็นมิตร
9) เกียจคร้านต่อการงาน การขี้เกียจตัวเป็นขน การงานไม่ยอมทำ กระทำตัวประหนึ่ง "ตุ๊ดตู่" ที่ในเรี่ยวในรูช่างอยู่ได้ ขี้เกียจหนักหนาระอาใจ เขาเรียกให้กินหมากไม่อยากพบ คนขี้เกียจระดับนี้เป็นพวก "กินแล้วนอนรอวันเชือดเหมือนหมู" ยิ่งนอนก็ยิ่งอ้วน ยิ่งนอนก็ยิ่งง่วงหนักมากขึ้น และยิ่งขี้เกียจมากขึ้นทุกที ๆ หนักเข้ากลายเป็นคนอดอยากยากจน เกียจคร้านไม่ยอมทำการงานอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน หนักเข้าก็ต้องกลายเป็นยาจกเข็ญใจเที่ยวขอทานเขากิน
10) ทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ การอวดเก่ง การดังด้วยการตีหัวหมา ด่าแม่เจ๊ก ทำร้ายคนอื่นเกะกะระรานหาเรื่องราวจากสุจริตชนไปเรื่อย ๆ นั้น เป็นบ่อเกิดความเสียหายในชีวิตของบุคคลและท้ายที่สุดอายุก็มักจะไม่ยืนยาว อีกด้วย มักจะถูกทำร้าย ถูกแก้แค้นให้บาดเจ็บ หรือถึงกับล้มตายเสียโดยง่าย มักจะไม่ได้ตายดี แต่จะกลายเป็น "ผีตายโหง" เสมอ
11) ไร้ซึ่งสัจธรรม คนพูดปด พูดมดเท็จ พูดหลอกลวง พูดเพ้อเจ้อ พูดสับปลับ พูดปากกับใจ ไม่ตรงกัน ไม่มีคุณธรรมประจำใจ ย่อมไม่มีคนเคารพนับถือ วาจาไม่เป็นที่เชื่อถือแก่ผู้ใดเลยคนประเภทนี้ จะเป็นนักบริหารที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร ที่จะเป็นได้ ก็เป็นเพียงคนจรหมอนหมิ่น สิ้นไร้ซึ่งความดีงามประจำตนเท่านั้นเอง
12) ใจคอคับแคบ คนจิตใจคับแคบ เป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้อย่างที่สุด เรียกได้ว่า "ขนาดอุจจาระเมื่อถ่ายออกมาแล้วยังไม่ยอมให้สุนัขกิน" นั้นเลยทีเดียว คนประเภทนี้ เรื่องที่ใครจะมาขออะไร ไม่มีทางที่จะให้แก่ใครเลย ส่วนทรัพย์สินสมบัติของคนอื่นๆ นั่น ตนเองจะจ้องตาเป็นมันด้วยความอยากได้มาเป็นของตัว และพยายามทุกวิถีทางที่จะให้ได้มาเป็นของตัว และพยายามทุกวิถีทางที่จะให้ได้มาเป็นสมบัติของตัวเองให้ได้ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกลไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถาถ้าขอเขาไม่ให้ก็ลักขโมยเอา หรือแย่งชิงเอาซึ่งๆ หน้าก็ทำได้
13) คบคนไม่เลือก คนคบคนไม่เลือกนี้ เป็นคนไม่ฉลาด เป็นคนที่สิ้นคิด คนนั้นมีหลายร้อยจำพวก ที่ดีก็มี แต่ที่ชั่วก็มาก หากคบคนไม่เลือก มีโอกาสสูงมากที่จะได้คนพาล คนเลวทรามมาเป็นมิตร บุคคลเหล่านี้จะปอกลอก ล่อลวง ชักชวน ชักจูงให้หลงผิด อาจจะพาไปติดยาเสพติดไปเที่ยวหญิงคนชั่ว มีโรคร้ายที่สังคมรังเกียจติดตัวมา อายุอาจจะไม่ยืนยาว มงคลสูตรข้อแรก สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้บอกไว้ว่า อย่าคบคนพาล แต่จงสมาคมกับบัณฑิต จึงเป็นมงคลอันประเสริฐอุดมดี
14) คิดคดล่อลวง คนคดในข้อ งอในกระดูกนั้น คดในทุกเรื่อง เป็นคนที่ไม่ควรคบหาสมาคมเป็นอย่างยิ่ง คนประเภทนี้ ทำงานสิ่งใดมักจะประสบความล้มเหลวเสมอ เนื่องจากนิสัยที่ชั่วร้ายเลวทรามของเขานั้นเอง มีคำกล่าวสำคัญตอนหนึ่งว่า แม่น้ำคดเคี้ยวก็ควรจร ไม่คดทำศรพอเชื่อได้ เหล็กคดทำเคียวเกี่ยวข้าวใช้ แต่คนคดนั้นไซร้ไม่ต้องการ
15) สุรุ่ยสุร่าย เป็นความเลวทรามชนิดหนึ่งของมนุษย์ ที่มีนิสัยหน้าใหญ่ใจโต มือเติบ จับจ่ายใช้สอยอย่างไม่อั้น ได้น้อย หรือได้มากไม่คำนึงถึง แต่จ่ายมากเข้าไว้ก่อน คำกลอนรุ่นเก่าของสุนทรภู่ว่าไว้ว่า "เป็นผู้ดีมีทรัพย์เที่ยวจับแจก เหมือนเกี่ยวแฝกมุงป่าฉิบหาย" แล้วในที่สุดตนเองก็ต้องล้มละลาย อาจจะต้องถึงขนาดฉิบหายขายตัวไปด้วยกันเลยทีเดียว
16) ไร้อุดมการณ์ บุคคลที่สิ้นไร้ซึ่งอุดมการณ์ ไม่มีจุดยืนที่แน่นอน ไม่มีหลักการใดมา หน่วงเหนี่ยวให้จิตใจยึดมั่นเป็นหลักไว้เสียแล้ว ก็มีสภาพเป็นคนหลักลอย กระทำการสิ่งใดก็ล่องลอยไปเรื่อยๆ ใครทักว่าอย่างไร ก็คล้อยตามไปตามสิ่งที่เขาทักนั้น ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่มีใครเขายอมรับ นับถือบุคคลประเภทนี้ หากต้องการความสำเร็จอย่างแท้จริงในการทำงานแล้ว ต้องเป็น "คนมีหลัก" หลักที่ว่านี้หมายถึง หลักเกณฑ์ หลักธรรมความประพฤติ มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งวิชาชีพ แห่งหน้าที่ การงานของตน
17) ลุ่มหลงการพนัน การพนันนั้น นับเป็นยาเสพติดที่ร้ายแรงที่สุดชนิดหนึ่งสำหรับมนุษย์เมื่อยังไม่เคยเล่น ก็ไม่รู้สึกอะไร เห็นเป็นสิ่งที่ไม่เข้าท่า ไม่ได้เรื่อง ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องวอแวด้วย แต่หากได้เข้าไปเล่นสักครั้งสองครั้งแล้ว อาจลุ่มหลงในเสน่ห์ มนต์มายาแห่งการพนันนั้น ในที่สุดก็ติดงอมแงม วันไหนไม่ได้เล่น ก็เกิดอาการหงุดหงิด กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ตื่นเช้าขึ้นมาก็รีบล้างหน้าล้างตา ไปนั่งรอที่หน้าบ่อน เมื่อมีขาไพ่หรือขาอื่นๆ ครบพอที่จะเล่นกันได้ ก็โจ้กันได้เลยทีเดียวละ ต่อจากนี้ก็แทบจะไม่มีวันเลิกรา ไม่อยากจะจากกันไปเสียเลย ลูกเต้า สามี หรือภรรยานั้นลืมไปหมดแล้ว พวกเขาจะเป็นอยู่อย่างไรก็ช่างหัวมัน จะมีข้าวกินหรือไม่ จะมีเสื้อผ้าใส่หรือไม่จะได้ไปโรงเรียนหรือไม่ กลายเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ธุระของฉันไปเสียแล้ว คนที่ลุ่มหลงการพนันขนาดหนักนี้หนัก ๆ เข้า ก็บ้านแตกสาแหรกขาด ต้องทิ้งขว้างร้างหย่าจากกันไป ครอบครัวใด หากสามีภรรยาเป็นผีพนันด้วยกันทั้งคู่ บาปกรรมก็ตกมาที่ตัวลูก ที่ถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างดีเท่าที่ควร อาจจะเสียคนได้ตั้งแต่วัยเด็ก อาจจะไปมีแฟนเมื่ออายุยังน้อย อาจจะหนีตามกันไปโดยมิได้แต่งงาน อาจจะกลายเป็นนักการพนันตามพ่อแม่ไปด้วย เพราะได้เห็นสิ่งเลวทรามเหล่านั้นติดตามาตั้งแต่ยังเด็ก และมีมิจฉาทิฐิเห็นว่าเป็นสิ่งดีงามที่ตนเองต้องเจริญรอยตามพ่อแม่ไปด้วย เพราะได้เห็นสิ่งเลวทรามเหล่านั้นติดตามาตั้งแต่ยังเด็ก และมีมิจฉาทิฐิเห็นว่าเป็นสิ่งดีงามที่ตนเองต้องเจริญรอยตามพ่อแม่ไปด้วย
18) หุนหันพลันแล่น คนประเภทนี้ เป็นพวกใจร้อน ใจด่วนได้ เมื่ออารมณ์โกรธ หรือโทสะจริตเป็นเจ้าเรือนอยู่เสมอ หากพอใจอะไรก็ทำได้ หากไม่พอใจก็สะบัดก้นลุกเดินหนีไปทันทีได้เช่นเดียวกัน โดยไม่มีอาการเสียดงเสียดายอะไรเลย คนประเภทนี้บางทีเมื่อดีก็ดีใจหาย เมื่อร้ายก็ร้ายแสนเลยทีเดียว หากต้องการจะเป็นนักบริหารที่ประสบความสำเร็จ ไม่ล้มเหลว บุคคลประเภทนี้จะต้องฝึกจิตใจเสียใหม่ ให้เยือกเย็น สุขุมคัมภีรภาพ ไม่ใจเร็วด่วนได้อย่างแต่ก่อนอีก การจึงจะสำเร็จอีก
19) จิตใจโลเล คนประเภทนี้เป็นคนเหลาะแหละ เหมือนกับ "ไม้หลักปักเลน" อยู่แล้ว หลักนั้นย่อมโอนเอนไปมาเสมอ ไม่ตรึงแน่นอยู่กับพื้นได้ เนื่องจากเลนนั้นอ่อนเหลว หลักย่อมล้ม หรืออาจจะหลุดลอยไปจากพื้นเลนได้โดยง่าย การประพฤติตนเป็นคนโลเล เหลาะแหละ ไม่เอาจริงเอาจังในเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น คนย่อมไม่เคารพนับถือ เมื่อเชื่อถือในถ้อยคำ แล้วจะไปบริหารงานให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร ก็ต้องประสบกับความล้มเหลววันยันค่ำ หากต้องการความสำเร็จ ต้องเลิกละนิสัย "โลเล" นี้ให้ได้อย่างเด็ดขาด
20) อิจฉาริษยา คนขี้อิจฉานั้น คือคนที่เห็นคนอื่นดีกว่าตนแล้วทนไม่ได้ รู้สึกเดือดร้อน ไม่สบายใจ เกิดอาการริษยาตามมาอีก คือไม่อยากให้เขาดีไปกว่าตน อยากให้เขาเกิดความพินาศ ล้มเหลว หากเขาเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะสุขสมในอารมณ์เป็นอันมาก เพราะการณ์เป็นไปสมตามที่ตนเองได้สาปแช่งเขาเอาไว้ คนประเภทขี้อิจฉานี้ ที่จริงแล้ว แทบจะไม่สามารถหาความสุขในชีวิตได้เลย เพราะเป็นคนที่ไม่เคยคิดดีๆ ต่อใคร ไม่เคยรู้จักคำว่า "ให้ ให้อภัย เมตตา กรุณา มุทิตา" แต่มีความอยากให้เขาเป็นทุกข์ ให้เขาเจ๊ง ให้เขาพัง ให้เขาเสียชื่อเสียง เห็นคนอื่นเป็นทุกข์ แล้วตนเองกลับเป็นสุข และเมื่อเห็นเขาเป็นสุข ก็พลอยอิจฉาตาร้อน ไม่อยากให้เขาได้รับความสุขนั้นเพราะตนเองมีแต่ทุกข์ และอยากให้เขาได้รับความทุกข์เหมือนตนหรือมากกว่าตน
21) นอกรีตดื้อรั้น คนนอกรีต นอกรอย นั้นคือ คนที่ไม่ยอมประพฤติตามจารีต ตามประเพณีที่ดีงาม ที่คนเก่ารุ่นก่อน ผู้ใหญ่รุ่นปู่ย่าตาทวดเขาได้สร้างสรรค์ขนบประเพณีที่ดีงามเอาไว้คนที่เป็น พวกนอกรีต และหัวดื้อหัวรั้น ผู้ใหญ่บอกก็ไม่ฟัง สั่งก็ไม่เชื่อ ชอบเถียง ชอบโต้แย้ง ชอบขัดขืนคำสั่ง (โดยชอบ) ของผู้บังคับบัญชาเสมอ ผู้ใหญ่ย่อมไม่พึงพอใจ เห็นว่ากระด้างกระเดื่อง ไม่เชื่อฟัง ทำให้เกิดความเสียหายในการปกครองบังคับบัญชา คนประเภทนี้เจริญได้ยาก การประพฤติตนอยู่ในรีตนั้นเป็นสิ่งดี กระทำตามๆ กันมา ชนิดที่เรียนกว่า "เดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด" แต่หากเป็นการอยู่ในรีตไปทุก ๆ เรื่อง คนเก่าคนก่อนเขาทำมาอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น ไม่ยอมปรับปรุงเปลี่ยนอะไรเสียเลย ก็สร้างปัญหาได้เหมือนกัน เพราะสังคมนั้นจะประกอบไปด้วยบุคคลประเภท "ไดโนเสาร์เต่าล้านปี" ที่ไม่ยอมปรับเปลี่ยนอะไรให้รับกับยุคสมัยใหม่เสียบ้างเลย ฉะนั้นคำว่า "นอกรีต" นั้น มีความหมายสองนับ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว นัยหนึ่งนั้นการนอกรีต เป็นเรื่องเสียหาย แต่อีกนัยหนึ่ง การนอกรีตนอกรอย ก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้างเหมือนกัน
ที่มา : วารสารวงการครู ปีที่ 2 ฉบับที่ 19 เดือนกรกฎาคม 2548
http://www.pattanakit.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=5334959&Ntype=121
Labels:
food for thought
Material Worship of the deities
อามิสบูชา หรือ การบูชาด้วยสิ่งของ
คนไทยจำนวนมาก บูชาเทวดาหรือเจ้าที่ ด้วยอาหารในพิธีต่างๆ
แต่ก็มีอีกกลุ่มนึง มีความเห็นเกี่ยวกับการบูชาด้วยอาหารแก่เทวดานี้ว่า
เป็นการ 'ดูถูก' (อย่างรุนแรง) ต่อพระธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดง
เพราะ (ไม่เชื่อสิ่งที่ท่านสอน)
ท่านสอนว่า เทวดานั้นอิ่มทิพย์
ปฏิบัติด้วยเหมือนสัตว์โลก คือ ให้เมตตา
บำเพ็ญเพียรภาวนา ทำจิตใจให้บริสุทธิ์แล้ว แผ่ส่วนบุญไปให้
แต่ละคนก็เชื่อตามความเชื่อของตนเองไป
แล้ว Phoenix จะเชื่อความเชื่อแบบผสมผสานแบบคนไทยจำนวนมาก
หรือเป็นแบบพุทธแท้น้อ....
คนไทยจำนวนมาก บูชาเทวดาหรือเจ้าที่ ด้วยอาหารในพิธีต่างๆ
แต่ก็มีอีกกลุ่มนึง มีความเห็นเกี่ยวกับการบูชาด้วยอาหารแก่เทวดานี้ว่า
เป็นการ 'ดูถูก' (อย่างรุนแรง) ต่อพระธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดง
เพราะ (ไม่เชื่อสิ่งที่ท่านสอน)
ท่านสอนว่า เทวดานั้นอิ่มทิพย์
ปฏิบัติด้วยเหมือนสัตว์โลก คือ ให้เมตตา
บำเพ็ญเพียรภาวนา ทำจิตใจให้บริสุทธิ์แล้ว แผ่ส่วนบุญไปให้
แต่ละคนก็เชื่อตามความเชื่อของตนเองไป
แล้ว Phoenix จะเชื่อความเชื่อแบบผสมผสานแบบคนไทยจำนวนมาก
หรือเป็นแบบพุทธแท้น้อ....
Wednesday, February 16, 2011
hardly listening
สมมุติว่าคุณมีปัญหาสายตา คุณตัดสินใจไปพบแพทย์
หลังจากฟังเสียงบ่นของคุณไม่นาน
จักษุแพทย์ ถอดแว่นตาออก และยื่นส่งให้คุณ
"สวมแว่นนี้เถอะ" จักษุแพทย์บอก "...ฉันสวมแว่นมานานเป็นสิบปี
ช่วยฉันได้มากทีเดียว ฉันมีที่บ้านอีกอัน คุณเอาแว่นนี้ไปใส่เถอะ"
คุณสวมแว่นตาของหมอ ภาพเลอะเลือนเลวร้ายกว่าเดิม
"แย่ที่สุดเลย" คุณอุทานออกมา "...มองอะไรไม่เห็น"
"เป็นอะไรไปหล่ะ" หมอถาม "..ฉันใส่แล้วมองเห็นชัดดี พยายามอีกหน่อย"
"ผมพยายามแล้ว ยิ่งมัวกว่าเดิมอีก"
"คุณเป็นอะไรของคุณนะ..คิดในเชิงบวกซี"
...
"..แย่จัง คนไม่รู้คุณคน" หมอบริภาษ "..ฉันอุตสาห์ทุ่มเทช่วยเหลือถึงปานนี้"
ที่มา 7 habits
PS.
อยากบันทึกไว้เตือนความจำ อ่านแล้วตลกดี
(แม้ว่าพอย้อนกลับมาคิดถึง สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ที่ประสพอยู่เป็นประจำ แล้วจะขำมะค่อยออก)
หลังจากฟังเสียงบ่นของคุณไม่นาน
จักษุแพทย์ ถอดแว่นตาออก และยื่นส่งให้คุณ
"สวมแว่นนี้เถอะ" จักษุแพทย์บอก "...ฉันสวมแว่นมานานเป็นสิบปี
ช่วยฉันได้มากทีเดียว ฉันมีที่บ้านอีกอัน คุณเอาแว่นนี้ไปใส่เถอะ"
คุณสวมแว่นตาของหมอ ภาพเลอะเลือนเลวร้ายกว่าเดิม
"แย่ที่สุดเลย" คุณอุทานออกมา "...มองอะไรไม่เห็น"
"เป็นอะไรไปหล่ะ" หมอถาม "..ฉันใส่แล้วมองเห็นชัดดี พยายามอีกหน่อย"
"ผมพยายามแล้ว ยิ่งมัวกว่าเดิมอีก"
"คุณเป็นอะไรของคุณนะ..คิดในเชิงบวกซี"
...
"..แย่จัง คนไม่รู้คุณคน" หมอบริภาษ "..ฉันอุตสาห์ทุ่มเทช่วยเหลือถึงปานนี้"
ที่มา 7 habits
PS.
อยากบันทึกไว้เตือนความจำ อ่านแล้วตลกดี
(แม้ว่าพอย้อนกลับมาคิดถึง สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ที่ประสพอยู่เป็นประจำ แล้วจะขำมะค่อยออก)
strategy and remarkable Volume
พิธีรับรางวัลประจำปีของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาครั้งหนึ่ง
นักขายกว่า 800 คน มี 40 คนถูกคัดเลือกให้ขึ้นไปรับรางวัลโดดเด่น
"ขายเก่งสุด" "ยอดขายสูงสุด" "ค่าคอมฯสูงสุด" ...
เสียงฮือฮา เสียงอู้ฮู เสียงปรบมือสะเทือนเลื่อนลั่น ในทุกคราวที่มีคนขึ้นไปรับรางวัล
คน 40 คน แสดงฝีมือเป็นเลิศ ได้ชัยชนะอย่างปราศจากข้อกังขา
แต่ความรู้สึกในอีก 760 คน...พ่ายแพ้
ในปีถัดมา มีนักขายเข้าร่วมงานกว่า 1,000 คน และมีกว่า 800 คนที่ได้รับรางวัล
สำหรับคนที่บรรลุผลสำเร็จ จากวัตถุประสงค์ที่เลือกเอง (win/win)
บรรยากาศในงานเปี่ยมด้วยความสนใจและความตื่นเต้น
เพราะทุกผู้ทุกคนได้ร่วมเสพความสุขกับผู้อื่น
ทีมนักขายได้รับรางวัลร่วมกัน รวมทั้งการไปเที่ยววันหยุดร่วมกันทั้งแผนก
จุดที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด คือ กลุ่มนักขายเกือบทั้ง 800 คนที่ได้รับรางวัลในปีนั้น
แต่ละคนทำยอดและผลกำไรได้เท่าเทียมกับยอดรวมกันของนักขาย 40 คนในปีที่ผ่านมา
ที่มา 7 habits
นักขายกว่า 800 คน มี 40 คนถูกคัดเลือกให้ขึ้นไปรับรางวัลโดดเด่น
"ขายเก่งสุด" "ยอดขายสูงสุด" "ค่าคอมฯสูงสุด" ...
เสียงฮือฮา เสียงอู้ฮู เสียงปรบมือสะเทือนเลื่อนลั่น ในทุกคราวที่มีคนขึ้นไปรับรางวัล
คน 40 คน แสดงฝีมือเป็นเลิศ ได้ชัยชนะอย่างปราศจากข้อกังขา
แต่ความรู้สึกในอีก 760 คน...พ่ายแพ้
ในปีถัดมา มีนักขายเข้าร่วมงานกว่า 1,000 คน และมีกว่า 800 คนที่ได้รับรางวัล
สำหรับคนที่บรรลุผลสำเร็จ จากวัตถุประสงค์ที่เลือกเอง (win/win)
บรรยากาศในงานเปี่ยมด้วยความสนใจและความตื่นเต้น
เพราะทุกผู้ทุกคนได้ร่วมเสพความสุขกับผู้อื่น
ทีมนักขายได้รับรางวัลร่วมกัน รวมทั้งการไปเที่ยววันหยุดร่วมกันทั้งแผนก
จุดที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด คือ กลุ่มนักขายเกือบทั้ง 800 คนที่ได้รับรางวัลในปีนั้น
แต่ละคนทำยอดและผลกำไรได้เท่าเทียมกับยอดรวมกันของนักขาย 40 คนในปีที่ผ่านมา
ที่มา 7 habits
Tuesday, February 15, 2011
Stewardship delegation
(การมอบหมายงานทรงประสิทธิผล)
involves expectations in five areas:
* Desired results
ระบุให้ชัดเจนว่า "สิ่งใด" เป็นสิ่งที่คาดหวัง
(มิใช่ "อย่างไร")
* Guidelines
รวมถึง
- ขอบเขตของงาน
- แนะนำจุดต่างๆที่อาจจะทำให้งานล้มเหลว, สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
- ข้อบังคับเด็ดขาดไว้ด้วย
* Resources
* Accountability
ระบุมาตราฐานการปฏิบัติงานที่จะใช้ประเมินผลการทำงาน
เวลาที่แน่ชัดที่จะวัดผล
* Consequences
เช่น รางวัล และการลงโทษ
ตัวอย่างบทสนทนาบางส่วน
=============
"หากลูกรับงานนี้ไปทำ ก็หมายความว่า พ่อจะวางใจให้ลูกทำ
ลูกเป็นเจ้าของสนามหญ้าแห่งนี้ พ่อจะไม่ทำงานนี้อีกแล้ว
ลูกเป็นเจ้านายตัวเอง
ลูกอยากให้พ่อกับแม่คอยบ่นคอยว่าอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่าหล่ะ?"
...
"พ่อจะเป็นลูกมือของลูก"
..
"ลูกจะเป็นผู้ชี้ขาดประเมินผลงาน"
...
"ลูกจะนำพ่อเยี่ยมชมงานที่ลูกทำ สองสัปดาห์ต่อครั้ง"
ที่มา 7 habits
involves expectations in five areas:
* Desired results
ระบุให้ชัดเจนว่า "สิ่งใด" เป็นสิ่งที่คาดหวัง
(มิใช่ "อย่างไร")
* Guidelines
รวมถึง
- ขอบเขตของงาน
- แนะนำจุดต่างๆที่อาจจะทำให้งานล้มเหลว, สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
- ข้อบังคับเด็ดขาดไว้ด้วย
* Resources
* Accountability
ระบุมาตราฐานการปฏิบัติงานที่จะใช้ประเมินผลการทำงาน
เวลาที่แน่ชัดที่จะวัดผล
* Consequences
เช่น รางวัล และการลงโทษ
ตัวอย่างบทสนทนาบางส่วน
=============
"หากลูกรับงานนี้ไปทำ ก็หมายความว่า พ่อจะวางใจให้ลูกทำ
ลูกเป็นเจ้าของสนามหญ้าแห่งนี้ พ่อจะไม่ทำงานนี้อีกแล้ว
ลูกเป็นเจ้านายตัวเอง
ลูกอยากให้พ่อกับแม่คอยบ่นคอยว่าอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่าหล่ะ?"
...
"พ่อจะเป็นลูกมือของลูก"
..
"ลูกจะเป็นผู้ชี้ขาดประเมินผลงาน"
...
"ลูกจะนำพ่อเยี่ยมชมงานที่ลูกทำ สองสัปดาห์ต่อครั้ง"
ที่มา 7 habits
various ways to reply
สถานการณ์: เด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง เพิ่งจะได้เข้าร่วมทีมกีฬาของโรงเรียน
เข้าซ้อมกับทีมเป็นครั้งแรก ด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น
ครูฝึกเรียกหาเด็กคนนั้นและบอกว่าถูกคัดชื่อออกจากทีม
ครูอีกคนหนึ่งพูดกับเขา:
แบบปฏิเสธความรู้สึก
"มันไม่มีเรื่องอะไรต้องมานั่งเสียอกเสียใจหรอกนะ
โลกนี้ยังไม่แตกเป็นเสี่ยงๆ เพียงเพราะเธอไม่ได้เข้าร่วมทีม
ลืมๆมันไปเสียเถอะ"
แบบนักปรัชญา
"ชีวิตคนเราไม่ได้มีแต่ความยุติธรรมเสมอไป
เธอต้องหัดเรียนรู้วิธีการรับมือเรื่องทำนองนี้บ้าง"
แบบให้คำแนะนำ
"อย่ายอมให้เรื่องแค่นี้ทำให้เธอเกิดความท้อแท้
ลองสมัครเข้าทีมกีฬาอื่นดูนะ"
แบบตั้งคำถาม
"เธอคิดว่าทำไมถึงโดนคัดออกจากทีม
คนอื่นในทีมเก่งกว่าเธอรึเปล่า ..."
แบบแก้ต่างแทนคนอื่น
"ลองคิดจากมุมมองครูฝึกสิ ครูเขาต้องการให้ทีมได้ชัยชนะ
มันเป็นการตัดสินใจที่ยากทีเดียวที่จะเลือกให้ใครอยู่หรือไป"
แบบเสียอกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
"โอ้ น่าสงสารจริงๆ ครูรู้สึกเสียใจแทนเธอจัง
เธอได้พยายามอย่างหนักเพื่อเข้าร่วมทีม
แต่เธอคงจะไม่เก่งพอ ป่านนี้เพื่อนๆคงรู้ข่าวกันหมดแล้ว
ครูพนันว่าเธอคงรู้สึกขายหน้าแทบตาย"
แบบสะท้อนความรู้สึก
"การค้นพบว่าตัวเธอถูกคัดออกจากทีมที่เธอมั่นใจเหลือเกินว่าเธอสมควรอยู่ในทีมนั้น
คงเป็นเรื่องน่าตกใจและน่าผิดหวังครั้งใหญ่เลยสินะ"
ที่มา How to talk so kids can learn
นอกจากนั้นยังมี
แบบวิพากษ์วิจารณ์ ต่อว่าต่อขาน
อธิบายถึงปัญหา เช่น พ่อเห็นรอยสีเลอะเทอะเต็มห้องไปหมด
เขียนบันทึก เช่น "ถึงศิลปินทุกท่าน กรุณาทำห้องคืนสู่สภาพเดิม ก่อนเวลาอาหารเย็น จากฝ่ายบริหาร"
รับฟังไม่รับรู้???
เข้าซ้อมกับทีมเป็นครั้งแรก ด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น
ครูฝึกเรียกหาเด็กคนนั้นและบอกว่าถูกคัดชื่อออกจากทีม
ครูอีกคนหนึ่งพูดกับเขา:
แบบปฏิเสธความรู้สึก
"มันไม่มีเรื่องอะไรต้องมานั่งเสียอกเสียใจหรอกนะ
โลกนี้ยังไม่แตกเป็นเสี่ยงๆ เพียงเพราะเธอไม่ได้เข้าร่วมทีม
ลืมๆมันไปเสียเถอะ"
แบบนักปรัชญา
"ชีวิตคนเราไม่ได้มีแต่ความยุติธรรมเสมอไป
เธอต้องหัดเรียนรู้วิธีการรับมือเรื่องทำนองนี้บ้าง"
แบบให้คำแนะนำ
"อย่ายอมให้เรื่องแค่นี้ทำให้เธอเกิดความท้อแท้
ลองสมัครเข้าทีมกีฬาอื่นดูนะ"
แบบตั้งคำถาม
"เธอคิดว่าทำไมถึงโดนคัดออกจากทีม
คนอื่นในทีมเก่งกว่าเธอรึเปล่า ..."
แบบแก้ต่างแทนคนอื่น
"ลองคิดจากมุมมองครูฝึกสิ ครูเขาต้องการให้ทีมได้ชัยชนะ
มันเป็นการตัดสินใจที่ยากทีเดียวที่จะเลือกให้ใครอยู่หรือไป"
แบบเสียอกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
"โอ้ น่าสงสารจริงๆ ครูรู้สึกเสียใจแทนเธอจัง
เธอได้พยายามอย่างหนักเพื่อเข้าร่วมทีม
แต่เธอคงจะไม่เก่งพอ ป่านนี้เพื่อนๆคงรู้ข่าวกันหมดแล้ว
ครูพนันว่าเธอคงรู้สึกขายหน้าแทบตาย"
แบบสะท้อนความรู้สึก
"การค้นพบว่าตัวเธอถูกคัดออกจากทีมที่เธอมั่นใจเหลือเกินว่าเธอสมควรอยู่ในทีมนั้น
คงเป็นเรื่องน่าตกใจและน่าผิดหวังครั้งใหญ่เลยสินะ"
ที่มา How to talk so kids can learn
นอกจากนั้นยังมี
แบบวิพากษ์วิจารณ์ ต่อว่าต่อขาน
อธิบายถึงปัญหา เช่น พ่อเห็นรอยสีเลอะเทอะเต็มห้องไปหมด
เขียนบันทึก เช่น "ถึงศิลปินทุกท่าน กรุณาทำห้องคืนสู่สภาพเดิม ก่อนเวลาอาหารเย็น จากฝ่ายบริหาร"
รับฟังไม่รับรู้???
Labels:
Bedtime Story
immunity
เภสัชท่านนึงบอกว่า
โทษของการให้เด็กกินยาเมื่อป่วยเพียงเล็กน้อย คือ เด็กจะสุขภาพที่ไม่ดีในระยะยาว
เพราะ
๑ ไตทำงานหนัก
๒ ร่างกายไม่ได้เรียนรู้ที่จะสร้างภูมิคุ้มกัน
(Infection usually confers lifelong immunity to the disease.)
ร่างกายจะเคยชินกับการป่วย และพึ่งพายา
โทษของการให้เด็กกินยาเมื่อป่วยเพียงเล็กน้อย คือ เด็กจะสุขภาพที่ไม่ดีในระยะยาว
เพราะ
๑ ไตทำงานหนัก
๒ ร่างกายไม่ได้เรียนรู้ที่จะสร้างภูมิคุ้มกัน
(Infection usually confers lifelong immunity to the disease.)
ร่างกายจะเคยชินกับการป่วย และพึ่งพายา
Monday, February 14, 2011
at the center of our life
สมมุติว่าคืนนี้ คุณนัดภรรยาไปดูคอนเสิร์ต คุณได้ตั๋วมาแล้ว
เธอตื่นเต้นตั้งตารอ ขณะนี้เวลาบ่ายสี่โมง
โดยไม่คาดฝัน เจ้านายโทรมาหาคุณในที่ทำงาน
บอกว่าต้องการความช่วยเหลือ ขอให้ทำงานต่อ เตรียมรายงานสำคัญที่จะ
นำเสนอในการประชุมเก้าโมงเช้า วันพรุ่งนี้
ถ้าคุณยึดคู่สมรสหรือครอบครัวเป็นจุดศูนย์กลาง เป็นสิ่งสำคัญสุด
คุณอาจจะตอบเจ้านายไปว่า
คุณอยู่ทำงานต่อไปไม่ได้ ต้องพาภรรยาไปดูคอนเสิร์ต
ถ้าคุณยึดเงินเป็นจุดศูนย์กลาง
คุณจะมองว่า จะได้เงินล่วงเวลาเพิ่มอีกเท่าใด
การทำงานชิ้นนี้จะมีผลต่อการเลื่อนตำแหน่งหรือไม่
คุณจะโทรศัพท์ไปหาภรรยา บอกว่างานด่วน ต้องยกเลิกการไปดูคอนเสิร์ตคืนนี้
ถ้าคุณยึดงานเป็นจุดศูนย์กลาง
คุณจะมองข้ามไปยังโอกาส คุณจะได้เรียนรู้เรื่องงานมากขึ้น
คุณได้เป็นเจ้าหนี้เจ้านาย มีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง
คุณยกย่องชมเชยตนเองที่ทำงานเกินเวลาไปหลายชั่วโมง
ภรรยาของคุณสมควรจะภูมิใจในตัวคุณ
...
ถ้าคุณยึดความอภิรมย์เป็นจุดศูนย์กลาง
คุณอาจโยนงานทิ้ง ไปดูคอนเสิร์ต
แม้ว่าภรรยาจะทัดทานว่าเธอมีความสุขดี ถ้าคุณทำงานล่วงเวลา
คุณไม่สนใจ คุณควรได้รับรางวัล ได้ดูคอนเสิร์ตคืนนี้
...
ถ้าคุณยึดตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง
คุณจะเพ่งความสนใจไปที่สิ่งใดถือว่าดีที่สุดสำหรับตัวคุณ
จะดีกว่าไหมถ้าจะพักผ่อนสักคืน?
หรือจะดีกว่าถ้าทำดีให้เจ้านายได้เห็น?
ทางเลือกที่จะกระทบต่อ "ตัวคุณ" จะเป็นหนทางในการตัดสินใจ
ถ้าคุณยึดหลักการความถูกต้องเป็นจุดศูนย์กลาง
คุณจะแยกอารมณ์ออกจากสถานการณ์
ตัดสินใจด้วยสติ พิจารณาประเมินทางเลือก
มองดูที่องค์รวม ความจำเป็นของงาน ความจำเป็นของครอบครัว
ความจำเป็นอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
คุณจะพยายามสรรหาทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด หลังจากนำเอาปัจจัยทุกอย่าง
มาร่วมพิจารณาถี่ถ้วนแล้ว
คัดลอกจาก 7 habits
เธอตื่นเต้นตั้งตารอ ขณะนี้เวลาบ่ายสี่โมง
โดยไม่คาดฝัน เจ้านายโทรมาหาคุณในที่ทำงาน
บอกว่าต้องการความช่วยเหลือ ขอให้ทำงานต่อ เตรียมรายงานสำคัญที่จะ
นำเสนอในการประชุมเก้าโมงเช้า วันพรุ่งนี้
ถ้าคุณยึดคู่สมรสหรือครอบครัวเป็นจุดศูนย์กลาง เป็นสิ่งสำคัญสุด
คุณอาจจะตอบเจ้านายไปว่า
คุณอยู่ทำงานต่อไปไม่ได้ ต้องพาภรรยาไปดูคอนเสิร์ต
ถ้าคุณยึดเงินเป็นจุดศูนย์กลาง
คุณจะมองว่า จะได้เงินล่วงเวลาเพิ่มอีกเท่าใด
การทำงานชิ้นนี้จะมีผลต่อการเลื่อนตำแหน่งหรือไม่
คุณจะโทรศัพท์ไปหาภรรยา บอกว่างานด่วน ต้องยกเลิกการไปดูคอนเสิร์ตคืนนี้
ถ้าคุณยึดงานเป็นจุดศูนย์กลาง
คุณจะมองข้ามไปยังโอกาส คุณจะได้เรียนรู้เรื่องงานมากขึ้น
คุณได้เป็นเจ้าหนี้เจ้านาย มีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง
คุณยกย่องชมเชยตนเองที่ทำงานเกินเวลาไปหลายชั่วโมง
ภรรยาของคุณสมควรจะภูมิใจในตัวคุณ
...
ถ้าคุณยึดความอภิรมย์เป็นจุดศูนย์กลาง
คุณอาจโยนงานทิ้ง ไปดูคอนเสิร์ต
แม้ว่าภรรยาจะทัดทานว่าเธอมีความสุขดี ถ้าคุณทำงานล่วงเวลา
คุณไม่สนใจ คุณควรได้รับรางวัล ได้ดูคอนเสิร์ตคืนนี้
...
ถ้าคุณยึดตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง
คุณจะเพ่งความสนใจไปที่สิ่งใดถือว่าดีที่สุดสำหรับตัวคุณ
จะดีกว่าไหมถ้าจะพักผ่อนสักคืน?
หรือจะดีกว่าถ้าทำดีให้เจ้านายได้เห็น?
ทางเลือกที่จะกระทบต่อ "ตัวคุณ" จะเป็นหนทางในการตัดสินใจ
ถ้าคุณยึดหลักการความถูกต้องเป็นจุดศูนย์กลาง
คุณจะแยกอารมณ์ออกจากสถานการณ์
ตัดสินใจด้วยสติ พิจารณาประเมินทางเลือก
มองดูที่องค์รวม ความจำเป็นของงาน ความจำเป็นของครอบครัว
ความจำเป็นอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
คุณจะพยายามสรรหาทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด หลังจากนำเอาปัจจัยทุกอย่าง
มาร่วมพิจารณาถี่ถ้วนแล้ว
คัดลอกจาก 7 habits
Labels:
Bedtime Story
How Thais ease their stress
บันทึกที่น่าสนใจอันหนึ่ง
เกี่ยวกับมุมมองของชาวญีปุ่นในเรื่อง วิธีการจัดการความเครียดของคนไทย:
ผมว่าคนไทยเป็นคนเก่งในการยกเลิกสภาพที่เครียด ทั้งๆที่ปัญหานั้นยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่ก็ยกเลิกไว้ก่อน
ผมเคยเห็นคนไทยใช้วิธีนี้บ่อย
(ไม่ว่าระดับประเทศชาติ หรือระดับบุคคล)
ถ้าพูดแง่ดี ก็เหมือนกับว่าคนไทยมีจิตใจมั่นคง
แต่พูดแง่ลบก็เหมือนกับว่า คนไทยทนสภาพจิตใจที่เคร่งเครียดไม่ค่อยได้
ไม่ค่อยมีโอกาสที่จะคิดหรือทำ ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแบบทุ่มเทเต็มพลัง
เท่าที่ผมมอง คนไทยมีอาการภูมิแพ้กับคำว่าเครียด
เมื่อเครียดแล้ว เริ่มทำอะไรไม่ถูก
พูดคำว่า "โอ๊ย! เครียดแล้วนะ" แล้วก็หยุดคิด
ในความคิดเห็น ผมว่าอาการเครียดนั้น แท้จริงมีหลายระดับ
ทั้งเครียดน้อย เครียดมาก เครียดปานกลาง
แต่เท่าที่เห็น เมื่อเผชิญปัญหา
คนไทยก็ชอบสรุปด้วยคำว่า 'เครียด' เพียงคำเดียว
แล้วก็ยากที่จะลุกขึ้นเข้าไปแก้ไข
คัดลอกจาก ปลาดิบแดดเดียว
เรียวตะ ซูซูกิ
เกี่ยวกับมุมมองของชาวญีปุ่นในเรื่อง วิธีการจัดการความเครียดของคนไทย:
ผมว่าคนไทยเป็นคนเก่งในการยกเลิกสภาพที่เครียด ทั้งๆที่ปัญหานั้นยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่ก็ยกเลิกไว้ก่อน
ผมเคยเห็นคนไทยใช้วิธีนี้บ่อย
(ไม่ว่าระดับประเทศชาติ หรือระดับบุคคล)
ถ้าพูดแง่ดี ก็เหมือนกับว่าคนไทยมีจิตใจมั่นคง
แต่พูดแง่ลบก็เหมือนกับว่า คนไทยทนสภาพจิตใจที่เคร่งเครียดไม่ค่อยได้
ไม่ค่อยมีโอกาสที่จะคิดหรือทำ ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแบบทุ่มเทเต็มพลัง
เท่าที่ผมมอง คนไทยมีอาการภูมิแพ้กับคำว่าเครียด
เมื่อเครียดแล้ว เริ่มทำอะไรไม่ถูก
พูดคำว่า "โอ๊ย! เครียดแล้วนะ" แล้วก็หยุดคิด
ในความคิดเห็น ผมว่าอาการเครียดนั้น แท้จริงมีหลายระดับ
ทั้งเครียดน้อย เครียดมาก เครียดปานกลาง
แต่เท่าที่เห็น เมื่อเผชิญปัญหา
คนไทยก็ชอบสรุปด้วยคำว่า 'เครียด' เพียงคำเดียว
แล้วก็ยากที่จะลุกขึ้นเข้าไปแก้ไข
คัดลอกจาก ปลาดิบแดดเดียว
เรียวตะ ซูซูกิ
Saturday, February 12, 2011
enemy centeredness
อาจารย์ท่านหนึ่ง หดหู่ท้อแท้กับข้อบกพร่องของนักบริหารผู้หนึ่งในสภามหาวิทยาลัยที่ไม่ลงรอยกัน
เขาคิดถึงเรื่องของชายผู้นี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนในที่สุดสรุปว่า
เขาจะย้ายไปสอนที่มหาลัยอื่น
"คุณอยากสอนอยู่ที่นี่เหมือนเดิมหรือไม่
ถ้าชายผู้นั้นไม่นั่งอยู่ในสภามหาวิทยาลัย?" ผมถามเขา
"แน่นอนอยู่แล้ว" เขาตอบรับ
"แต่ถัามันยังอยู่ที่นี่ ชีวิตของผมกระเจิงป่นปี้ไม่มีชิ้นดี ผมต้องไปสอนที่อื่น"
"ทำไมคุณยอมให้นักบริหารผู้นั้นเป็นจุดศูนย์กลางของชีวิตคุณด้วยเล่า?" ผมถาม
และชี้ให้เขาเห็นว่า เขาปล่อยให้มนุษย์อีกคน กับข้อบกพร่องของผู้นั้น
มาก่อกวน ทำลายแผนที่ชีวิตของเขา
ทีมา: 7 habits
เขาคิดถึงเรื่องของชายผู้นี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนในที่สุดสรุปว่า
เขาจะย้ายไปสอนที่มหาลัยอื่น
"คุณอยากสอนอยู่ที่นี่เหมือนเดิมหรือไม่
ถ้าชายผู้นั้นไม่นั่งอยู่ในสภามหาวิทยาลัย?" ผมถามเขา
"แน่นอนอยู่แล้ว" เขาตอบรับ
"แต่ถัามันยังอยู่ที่นี่ ชีวิตของผมกระเจิงป่นปี้ไม่มีชิ้นดี ผมต้องไปสอนที่อื่น"
"ทำไมคุณยอมให้นักบริหารผู้นั้นเป็นจุดศูนย์กลางของชีวิตคุณด้วยเล่า?" ผมถาม
และชี้ให้เขาเห็นว่า เขาปล่อยให้มนุษย์อีกคน กับข้อบกพร่องของผู้นั้น
มาก่อกวน ทำลายแผนที่ชีวิตของเขา
ทีมา: 7 habits
Labels:
Bedtime Story,
food for thought
Thursday, February 10, 2011
Don't lean ladder against the wrong wall
ลองหลับตา นึกถึงภาพเหตุการณ์หนึ่ง...
คุณเดินทางไปยังงานศพแห่งหนึ่ง ภายในงาน คุณมองเห็นเพื่อนพ้องและสมาชิกในครอบครัว
คุณเดินผ่านเข้าไปจนถึงหน้าห้อง มองเข้าไปในพิธีศพ และพบว่า นี่คือ งานศพของคุณ
ผู้คนที่มาร่วมงานศพของคุณ เดินทางมาให้เกียรติ มาแสดงความรู้สึกรักใคร่ เห็นคุณค่าชีวิตของคุณ
ในยามที่คุณทรุดลงนั่ง รอคอยพิธีเริ่มต้น คุณก้มลงมองสูจิบัตรในมือ
งานพิธีมีผู้มากล่าวคำไว้อาลัยสี่คน
คนแรกมาจากครอบครัวของคุณ อาจจะเป็นพี่น้อง ลูกหลาน ลุงป้า
เดินทางมาจากทุกมุมประเทศ เพื่อมาร่วมพิธี
คนที่สองจะเป็นเพื่อนสนิทของคุณ
คนที่จะมาบรรยายสรุปว่าคุณมีลักษณะใดในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
คนที่สามจะเป็นเพื่อนร่วมงาน อยู่ในวงการธุรกิจเดียวกัน
และคนที่สี่มาจากสถาบันศาสนา หรือองค์กรในชุมชนที่คุณมีส่วนร่วมช่วยเหลือ ร่วมทำงานเพื่อชุมชน
...ในวันที่คุณทิ้งสสารทุกอย่างไว้กับโลก
ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทองที่คุณแสวงหาไขว่คว้า
,หรือแม้กระทั่ง ร่างกายของคุณเอง ที่คุณรักใคร่หวงแหน...
คุณอยากจะให้ผู้กล่าวคำไว้อาลัยทั้งสี่ พูดถึงคุณและชีวิตของคุณในแง่ใดบ้าง?
บรรยายในฐานะญาติ ว่าคุณเป็นคนประเภทไหน?
เพื่อนหรือคนทำงานร่วมกัน ว่าคุณมีลักษณะเช่นไร?
คุณลักษณะใดในตัวคุณ ที่คุณอยากให้พวกเขามองเห็น?
ผลงานหรือความสำเร็จใด ที่คุณอยากให้พวกเขาจดจำรำลึกถึง?
เรื่องราวหรือความประทับใจใด ที่คุณเชื่อว่ามีอยู่ในตัว อยากให้มีคนกล่าวถึง?
เหลียวมองรอบตัว มองทุกผู้ทุกคนที่มาร่วมพิธี
คุณทำอะไร สร้างสิ่งใดไว้ในชีวิตของพวกเขาบ้าง?
เริ่มต้นด้วยจุดหมายที่บั้นปลายชีวิต อันจะนำมาเป็นกรอบอ้างอิง สำหรับการตัดสินใจในช่วงชีวิต
ในวันนี้ พรุ่งนี้ และอนาคตต่อไป
สิ่งใดที่ถือว่าสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ?
เมื่อใดที่กำหนดบั้นปลายไว้ชัดเจนในใจ
คุณจะแน่ใจได้ว่า ทุกอย่างที่คุณคิด ทุกอย่างที่จะทำ
จะไม่มีวันฝ่าฝืนเกณฑ์วัดที่คุณนิยามไว้แล้ว ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต
แต่ละวันของชีวิต จะเปี่ยมด้วยคุณค่า
ที่มา: 7 habits
คุณเดินทางไปยังงานศพแห่งหนึ่ง ภายในงาน คุณมองเห็นเพื่อนพ้องและสมาชิกในครอบครัว
คุณเดินผ่านเข้าไปจนถึงหน้าห้อง มองเข้าไปในพิธีศพ และพบว่า นี่คือ งานศพของคุณ
ผู้คนที่มาร่วมงานศพของคุณ เดินทางมาให้เกียรติ มาแสดงความรู้สึกรักใคร่ เห็นคุณค่าชีวิตของคุณ
ในยามที่คุณทรุดลงนั่ง รอคอยพิธีเริ่มต้น คุณก้มลงมองสูจิบัตรในมือ
งานพิธีมีผู้มากล่าวคำไว้อาลัยสี่คน
คนแรกมาจากครอบครัวของคุณ อาจจะเป็นพี่น้อง ลูกหลาน ลุงป้า
เดินทางมาจากทุกมุมประเทศ เพื่อมาร่วมพิธี
คนที่สองจะเป็นเพื่อนสนิทของคุณ
คนที่จะมาบรรยายสรุปว่าคุณมีลักษณะใดในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
คนที่สามจะเป็นเพื่อนร่วมงาน อยู่ในวงการธุรกิจเดียวกัน
และคนที่สี่มาจากสถาบันศาสนา หรือองค์กรในชุมชนที่คุณมีส่วนร่วมช่วยเหลือ ร่วมทำงานเพื่อชุมชน
...ในวันที่คุณทิ้งสสารทุกอย่างไว้กับโลก
ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทองที่คุณแสวงหาไขว่คว้า
,หรือแม้กระทั่ง ร่างกายของคุณเอง ที่คุณรักใคร่หวงแหน...
คุณอยากจะให้ผู้กล่าวคำไว้อาลัยทั้งสี่ พูดถึงคุณและชีวิตของคุณในแง่ใดบ้าง?
บรรยายในฐานะญาติ ว่าคุณเป็นคนประเภทไหน?
เพื่อนหรือคนทำงานร่วมกัน ว่าคุณมีลักษณะเช่นไร?
คุณลักษณะใดในตัวคุณ ที่คุณอยากให้พวกเขามองเห็น?
ผลงานหรือความสำเร็จใด ที่คุณอยากให้พวกเขาจดจำรำลึกถึง?
เรื่องราวหรือความประทับใจใด ที่คุณเชื่อว่ามีอยู่ในตัว อยากให้มีคนกล่าวถึง?
เหลียวมองรอบตัว มองทุกผู้ทุกคนที่มาร่วมพิธี
คุณทำอะไร สร้างสิ่งใดไว้ในชีวิตของพวกเขาบ้าง?
เริ่มต้นด้วยจุดหมายที่บั้นปลายชีวิต อันจะนำมาเป็นกรอบอ้างอิง สำหรับการตัดสินใจในช่วงชีวิต
ในวันนี้ พรุ่งนี้ และอนาคตต่อไป
สิ่งใดที่ถือว่าสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ?
เมื่อใดที่กำหนดบั้นปลายไว้ชัดเจนในใจ
คุณจะแน่ใจได้ว่า ทุกอย่างที่คุณคิด ทุกอย่างที่จะทำ
จะไม่มีวันฝ่าฝืนเกณฑ์วัดที่คุณนิยามไว้แล้ว ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต
แต่ละวันของชีวิต จะเปี่ยมด้วยคุณค่า
หลายคนทำงานหนัก ทุ่มเทอย่างมาก
เพื่อที่จะปีนไต่บันไดสู่ความสำเร็จ
แต่แล้วในบั้นปลายกลับพบว่า
บันไดวางพาดอยู่ "ผิดกำแพง"
ที่มา: 7 habits
proactive approach
คน pro-active
============
คือ คนที่มีมุมมองต่อปัญหา หรือสิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆว่า
เรามีทางเลือกในการตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้น
ซึ่งคน pro-active นี้จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยการวิเคราะห์
และแก้ไขที่ปัจจัยที่แก้ไขได้
คน re-active
======
จะมีทัศนคติตำหนิติเตียน วิพากษ์วิจารย์ กล่าวโทษ
เมื่อเกิดปัญหา จะสนใจที่ข้อบกพร่อง
ตำหนิสิ่งต่างๆ เช่น ตนเอง,คนอื่น, สภาวการณ์, หรือแม้แต่ดวงดาวบนฟ้าที่ส่งผลกำหนดชะตาชีวิตไว้
มองว่าตนเองเป็นเหยื่อ ไม่มีอำนาจควบคุมสิ่งใด
ตัวอย่างคนโปรแอกทีฟ
=============
ประธานบริษัทแห่งหนึ่ง อ่านแนวโน้มทิศทางตลาดได้แม่นยำ
ฉลาดปราดเปรื่อง เปี่ยมด้วยพรสวรรค์และ ความคิดสร้างสรรค์
แต่เขาบริหารองค์กรในแนวเผด็จการ
เขาเป็นผู้ตัดสินใจ ส่วนพนักงาน ไม่มีความคิดความอ่านในสมอง
ผู้จัดการผู้หนึ่ง (ซึ่งก็เป็นเต่าตุ่นอีกตัวหนึ่งในสายตาของประธาน)
แทนที่จะปรับทุกข์กับคนอื่นถึงข้อด้อยของประธาน ดังผู้จัดการ นักบริหารคนอื่นๆ
เขาพิจารณาหน้าที่ และภาระกิจ ของตัวเขาเอง
ประเมินสถานการณ์(ปัญหา) มุ่งเน้นไปในปัจจัยส่วนที่เขาควบคุมได้
สรุปแล้วก็ลงมือทำ ในสิ่งที่เขาควรทำ
ครั้งหนึ่ง เมื่อเขาต้องเตรียมตัวเพื่อที่จะนำเสนอข้อมูลในแผนกของเขาให้แก่ที่ประชุมคณะผู้บริหาร
เขาเพิ่มบทสรุป บทวิเคราะห์ และข้อเสนอแนะ
ที่คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อเป้าหมายการประชุม เข้าไปในหัวข้อรายงาน
ในห้องประชุม การนำเสนอของเขาแสดงให้ประธานเห็นถึง
ความสามารถของเขาในการคิด วิเคราะห์ อย่างเป็นระบบ
ผลก็คือ... มุมมองของประธานต่อผู้จัดการท่านนี้จึงเปลี่ยนไป
หลังจากการนำเสนอครั้งนั้น สำหรับข้อสรุปในที่ประชุม
ประธานคิด, วางแผน, และสั่งการ ให้ผู้บริหารทุกคนนำไปปฏิบัติ เหมือนอย่างเคย
เว้นแต่ถามกับผู้จัดการผู้นั้นว่า
"คุณมีความเห็นอย่างไรในเรื่องนี้"
ที่มา: 7 habits
============
คือ คนที่มีมุมมองต่อปัญหา หรือสิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆว่า
เรามีทางเลือกในการตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้น
ซึ่งคน pro-active นี้จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยการวิเคราะห์
และแก้ไขที่ปัจจัยที่แก้ไขได้
คน re-active
======
จะมีทัศนคติตำหนิติเตียน วิพากษ์วิจารย์ กล่าวโทษ
เมื่อเกิดปัญหา จะสนใจที่ข้อบกพร่อง
ตำหนิสิ่งต่างๆ เช่น ตนเอง,คนอื่น, สภาวการณ์, หรือแม้แต่ดวงดาวบนฟ้าที่ส่งผลกำหนดชะตาชีวิตไว้
มองว่าตนเองเป็นเหยื่อ ไม่มีอำนาจควบคุมสิ่งใด
ภาษาคนรีแอกทีฟ | ภาษาคนโปรแอกทีฟ |
---|---|
ไม่มีอะไรที่ฉันจะทำได้ | ดูทางเลือกอื่นกันไหม |
ฉันเป็นคนอย่างนี้เอง | ฉันเลือกวิธีอื่นได้ |
เขาทำให้ผมโกรธจัด | ฉันควบคุมบัญชาอารมณ์ตนเอง |
ผมจำเป็นต้องทำ | ฉันจะเลือกการตอบสนองที่เหมาะสม |
ผมทำไม่ได้ | ฉันเลือก |
ขอเพียงแค่ | ฉันจะ |
ตัวอย่างคนโปรแอกทีฟ
=============
ประธานบริษัทแห่งหนึ่ง อ่านแนวโน้มทิศทางตลาดได้แม่นยำ
ฉลาดปราดเปรื่อง เปี่ยมด้วยพรสวรรค์และ ความคิดสร้างสรรค์
แต่เขาบริหารองค์กรในแนวเผด็จการ
เขาเป็นผู้ตัดสินใจ ส่วนพนักงาน ไม่มีความคิดความอ่านในสมอง
ผู้จัดการผู้หนึ่ง (ซึ่งก็เป็นเต่าตุ่นอีกตัวหนึ่งในสายตาของประธาน)
แทนที่จะปรับทุกข์กับคนอื่นถึงข้อด้อยของประธาน ดังผู้จัดการ นักบริหารคนอื่นๆ
เขาพิจารณาหน้าที่ และภาระกิจ ของตัวเขาเอง
ประเมินสถานการณ์(ปัญหา) มุ่งเน้นไปในปัจจัยส่วนที่เขาควบคุมได้
สรุปแล้วก็ลงมือทำ ในสิ่งที่เขาควรทำ
ครั้งหนึ่ง เมื่อเขาต้องเตรียมตัวเพื่อที่จะนำเสนอข้อมูลในแผนกของเขาให้แก่ที่ประชุมคณะผู้บริหาร
เขาเพิ่มบทสรุป บทวิเคราะห์ และข้อเสนอแนะ
ที่คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อเป้าหมายการประชุม เข้าไปในหัวข้อรายงาน
ในห้องประชุม การนำเสนอของเขาแสดงให้ประธานเห็นถึง
ความสามารถของเขาในการคิด วิเคราะห์ อย่างเป็นระบบ
ผลก็คือ... มุมมองของประธานต่อผู้จัดการท่านนี้จึงเปลี่ยนไป
หลังจากการนำเสนอครั้งนั้น สำหรับข้อสรุปในที่ประชุม
ประธานคิด, วางแผน, และสั่งการ ให้ผู้บริหารทุกคนนำไปปฏิบัติ เหมือนอย่างเคย
เว้นแต่ถามกับผู้จัดการผู้นั้นว่า
"คุณมีความเห็นอย่างไรในเรื่องนี้"
ที่มา: 7 habits
Leaders & Managers
การบริหารจัดการ คือ ทำให้สำเร็จ
ส่วนผู้นำ จะเป็นผู้เลือกเรื่องที่ถูกต้อง
ตัวอย่างเช่น ในการตัดต้นไม้ในป่าเพื่อไปขาย
นักบริหารยกทัพ จัดสรรกลุ่มคนให้ลับขวาน
เขียนนโยบาย และคู่มือปฏิบัติงาน
จัดให้มีโครงการฝึกกล้ามเนื้อให้แข็งแกร่ง
นำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในการถางป่า
กำหนดตารางเวลาในการทำงาน
ผู้นำจะเป็นคนที่ปีนขึ้นต้นไม้สูงที่สุด
เหลียวมองไปโดยรอบ ก่อนจะตะโกนลงมาบอกเบื้องล่างว่า
"ผิดป่าแล้ว"
ที่มา: 7 habits
ส่วนผู้นำ จะเป็นผู้เลือกเรื่องที่ถูกต้อง
ตัวอย่างเช่น ในการตัดต้นไม้ในป่าเพื่อไปขาย
นักบริหารยกทัพ จัดสรรกลุ่มคนให้ลับขวาน
เขียนนโยบาย และคู่มือปฏิบัติงาน
จัดให้มีโครงการฝึกกล้ามเนื้อให้แข็งแกร่ง
นำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในการถางป่า
กำหนดตารางเวลาในการทำงาน
ผู้นำจะเป็นคนที่ปีนขึ้นต้นไม้สูงที่สุด
เหลียวมองไปโดยรอบ ก่อนจะตะโกนลงมาบอกเบื้องล่างว่า
"ผิดป่าแล้ว"
ที่มา: 7 habits
When being an employer
ดูแลพนักงานเหมือนอาสาสมัคร
เท่าเทียมกับการดูแลลูกค้าให้เหมือนกับอาสาสมัคร
เพราะนั่นเป็นตัวตนแท้จริง
พวกเขาอาสานำเอาสิ่งดีที่สุดมามอบให้ ทั้งหัวใจและสมอง
ที่มา: 7 habits
เท่าเทียมกับการดูแลลูกค้าให้เหมือนกับอาสาสมัคร
เพราะนั่นเป็นตัวตนแท้จริง
พวกเขาอาสานำเอาสิ่งดีที่สุดมามอบให้ ทั้งหัวใจและสมอง
ที่มา: 7 habits
Wednesday, February 9, 2011
kitchenware
วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตภาชนะหุงต้ม อาจปนเปื้อนออกมาในอาหารที่เราปรุงเป็นประจำทุกวัน
และอาจก่ออันตรายให้กับร่างกายได้
ภาชนะจากอลูมิเนียม
ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่าอาจก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ จนทำให้คุณแม่บ้านหลายครัวเรือนพากันโยนหม้อแบบนี้ทิ้ง แต่ว่าข้อมูลการวิจัยในปัจจุบันพบว่าอะลูมิเนียมที่ละลายออกมาปนในอาหารมี ปริมาณเพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นการใช้ภาชนะอะลูมิเนียมหุงต้มอาหารจึงค่อนข้างปลอดภัย
ภาชนะจากสแตนเลส
สเตนเลสมีส่วนผสมของโลหะหลายชนิด เช่น นิกเกิล โครเมียม เหล็ก และโมลิบเดนัม จากการวิจัยพบว่าภาชนะเครื่องครัวที่ทำจากสเตนเลสอาจให้ประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะโครเมียมและธาตุเหล็กเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เมื่อนำมาใช้หุงต้มก็จะมีธาตุเหล่านั้นออกมาปะปนในอาหารเพียงเล็กน้อยจึงไม่ เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่ในขณะเดียวกันสารนิกเกิลอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการของผิวหนังได้ในผู้ ที่แพ้นิกเกิล อย่างไรก็ตามนิกเกิลจะละลายออกมาในอาหารที่เครื่องปรุงมีฤทธิ์เป็นกรด ดังนั้นอาจจะเลือกใช้ภาชนะสแตนเลสที่เคลือบสารอีนาเมล ซึ่งเป็นสารเคมีที่ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยากับอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดได้
ภาชนะจากทองแดง
เป็นภาชนะที่ตอบสนองต่อความร้อนได้ดี แต่ว่าทองแดงจะละลายออกมาได้หากสัมผัสกับอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งหากได้รับในปริมาณเล็กน้อย ก็ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย แต่ถ้าได้รับสะสมมากเกินไปที่ร่างกายต้องการ อาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย และอาเจียนจากอาการทองแดงเป็นพิษได้ ดังนั้นจึงควรเลือกแบบที่เคลือบดีบุกเอาไว้ แต่ดีบุกก็จะเสื่อมไปตามอายุการใช้งาน เมื่อใช้ไปได้ระยะหนึ่งก็ควรเปลี่ยนใหม่
ภาชนะที่เคลือบสารเทฟลอน
สารชนิดนี้ช่วยให้อาหารไม่ติดกระทะ ลดการใช้น้ำมันในการปรุงอาหารและทำความสะอาดได้ง่าย อีกทั้งไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ถึงแม้จะละลายปะปนมากับอาหาร เนื่องจากเป็นสารที่ไม่มีพิษ ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้ และจะถูกกำจัดออกไปได้
คัดลอกจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/42123
และอาจก่ออันตรายให้กับร่างกายได้
ภาชนะจากอลูมิเนียม
ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่าอาจก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ จนทำให้คุณแม่บ้านหลายครัวเรือนพากันโยนหม้อแบบนี้ทิ้ง แต่ว่าข้อมูลการวิจัยในปัจจุบันพบว่าอะลูมิเนียมที่ละลายออกมาปนในอาหารมี ปริมาณเพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นการใช้ภาชนะอะลูมิเนียมหุงต้มอาหารจึงค่อนข้างปลอดภัย
ภาชนะจากสแตนเลส
สเตนเลสมีส่วนผสมของโลหะหลายชนิด เช่น นิกเกิล โครเมียม เหล็ก และโมลิบเดนัม จากการวิจัยพบว่าภาชนะเครื่องครัวที่ทำจากสเตนเลสอาจให้ประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะโครเมียมและธาตุเหล็กเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เมื่อนำมาใช้หุงต้มก็จะมีธาตุเหล่านั้นออกมาปะปนในอาหารเพียงเล็กน้อยจึงไม่ เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่ในขณะเดียวกันสารนิกเกิลอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการของผิวหนังได้ในผู้ ที่แพ้นิกเกิล อย่างไรก็ตามนิกเกิลจะละลายออกมาในอาหารที่เครื่องปรุงมีฤทธิ์เป็นกรด ดังนั้นอาจจะเลือกใช้ภาชนะสแตนเลสที่เคลือบสารอีนาเมล ซึ่งเป็นสารเคมีที่ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยากับอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดได้
ภาชนะจากทองแดง
เป็นภาชนะที่ตอบสนองต่อความร้อนได้ดี แต่ว่าทองแดงจะละลายออกมาได้หากสัมผัสกับอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งหากได้รับในปริมาณเล็กน้อย ก็ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย แต่ถ้าได้รับสะสมมากเกินไปที่ร่างกายต้องการ อาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย และอาเจียนจากอาการทองแดงเป็นพิษได้ ดังนั้นจึงควรเลือกแบบที่เคลือบดีบุกเอาไว้ แต่ดีบุกก็จะเสื่อมไปตามอายุการใช้งาน เมื่อใช้ไปได้ระยะหนึ่งก็ควรเปลี่ยนใหม่
ภาชนะเซรามิก
ภาชนะเซรามิกมีส่วนผสมของสารตะกั่วอยู่ จึงไม่เหมาะที่จะนำมาประกอบอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด และห้ามใช้กับกาแฟร้อน ชาร้อน ซุปมะเขือเทศและน้ำผลไม้ เพราะจะทำให้ตะกั่วละลายออกมาได้ เป็นอันตรายต่อร่างกาย
ภาชนะที่เคลือบสารเทฟลอน
สารชนิดนี้ช่วยให้อาหารไม่ติดกระทะ ลดการใช้น้ำมันในการปรุงอาหารและทำความสะอาดได้ง่าย อีกทั้งไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ถึงแม้จะละลายปะปนมากับอาหาร เนื่องจากเป็นสารที่ไม่มีพิษ ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้ และจะถูกกำจัดออกไปได้
คัดลอกจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/42123
Saturday, February 5, 2011
experience of being a monk
ได้ลองหัดทานมื้อเดียว ว่าอยู่ได้ มีความสุขดี
ได้ลองหัดนอนให้น้อย แล้วก็ได้รู้ว่า ก่อนจะนอน ให้กำหนดเวลาที่จะตื่นนอน
ได้เข้าใจความรู้สึกของคนที่นั่งบนที่นั่งแข็งๆแล้วเจ็บ
ไม่ป่วยเลย แม้กระทั่งหวัด
รู้ว่ากุฏิสงฆ์เพื่อเป็นที่พักของพระภิกษุสามเณรและพระอาคันตุกะทั้ง 4 ทิศ
แต่สำหรับในกรุงเทพฯ นั้นเต็มเสมอ
ฆราวาส ถวายปัจจัย อุปัฏฐากพระสงฆ์ ไม่เลือก
จำนวนคนเข้ามาหากินโดยผ้าเหลืองบังหน้าก็มาก
พระดีๆก็กลายเป็นหมู่น้อย
อยู่ยาก (ปัจจัยที่เอื้อให้ยังเป็นพระดีนั้นขาดแคลน)
ศาสนาก็เสื่อมลงๆ
ดังคำกล่าวในพระไตรปิฎกที่กล่าวว่า
ผู้ที่จะทำลายพุทธศาสนา ก็คือ พุทธศาสนิกชนนั่นแหละ
บางวัด มีคนเอาหมาแมว มาปล่อยทุกวัน
เป็นภาระให้แก่วัด+บรรพชิต เยอะทีเดียว
หมา(วัด) (หลายตัว)กินผักด้วย
เป็นภิกษุ ออกกำลังกาย เช่น วิดพื้น นั้นไม่เหมาะสม
-> กล้ามเนื้อ ไร้เรี่ยวแรง
-> ลาสิกขา -> ออกกำลังกาย -> ปวดหลังอย่างที่ไม่เคยปวดมาก่อน
ได้ลองหัดนอนให้น้อย แล้วก็ได้รู้ว่า ก่อนจะนอน ให้กำหนดเวลาที่จะตื่นนอน
ได้เข้าใจความรู้สึกของคนที่นั่งบนที่นั่งแข็งๆแล้วเจ็บ
ไม่ป่วยเลย แม้กระทั่งหวัด
รู้ว่ากุฏิสงฆ์เพื่อเป็นที่พักของพระภิกษุสามเณรและพระอาคันตุกะทั้ง 4 ทิศ
แต่สำหรับในกรุงเทพฯ นั้นเต็มเสมอ
ฆราวาส ถวายปัจจัย อุปัฏฐากพระสงฆ์ ไม่เลือก
จำนวนคนเข้ามาหากินโดยผ้าเหลืองบังหน้าก็มาก
พระดีๆก็กลายเป็นหมู่น้อย
อยู่ยาก (ปัจจัยที่เอื้อให้ยังเป็นพระดีนั้นขาดแคลน)
ศาสนาก็เสื่อมลงๆ
ดังคำกล่าวในพระไตรปิฎกที่กล่าวว่า
ผู้ที่จะทำลายพุทธศาสนา ก็คือ พุทธศาสนิกชนนั่นแหละ
บางวัด มีคนเอาหมาแมว มาปล่อยทุกวัน
เป็นภาระให้แก่วัด+บรรพชิต เยอะทีเดียว
หมา(วัด) (หลายตัว)กินผักด้วย
เป็นภิกษุ ออกกำลังกาย เช่น วิดพื้น นั้นไม่เหมาะสม
-> กล้ามเนื้อ ไร้เรี่ยวแรง
-> ลาสิกขา -> ออกกำลังกาย -> ปวดหลังอย่างที่ไม่เคยปวดมาก่อน
Subscribe to:
Posts (Atom)