Sunday, May 31, 2020

Dyson

เจมส์ ไดสัน คิดค้นเครื่องดูดฝุ่นในตำนาน จากความพยายาม 5,127 ครั้ง
.
ถ้าได้ลองทำอะไรบางอย่างแล้วล้มเหลว คุณจะลุกขึ้นมาลองใหม่อีกกี่ครั้ง สิบครั้งร้อยครั้งอาจเรียกว่าความพยายาม แต่ถ้ามากกว่าพันครั้ง เราเรียกมันว่าความดื้อรั้นได้หรือเปล่า?
.
หลายคนรู้จัก เจมส์ ไดสัน (James Dyson) ในฐานะนักประดิษฐ์และนักออกแบบนวัตกรรม ที่คิดค้นเครื่องดูดฝุ่นพลังไซโคลนเครื่องแรกของโลก ไดสันได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘อัจฉริยะนักออกแบบ’ ที่หลายคนชื่นชม เพราะผลงานพัดลม และไดร์เป่าผมไร้ใบพัด คือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกยกย่องให้เป็นงานออกแบบแถวหน้า แต่ใครจะรู้ว่าก่อนหน้านั้นชีวิตของไดสันเคยถูกโกง ล้มเหลว ดิ่งลงเหวถึงขีดสุด
.
ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น ชีวิตของเจมส์ ไดสัน ไม่ได้สวยหรูงดงามอะไรนัก เขาเป็นแค่เด็กหนุ่มชาวอังกฤษธรรมดา ๆ  ที่โตมากับทิวทัศน์ของทะเลในแถบนอร์ฟอล์ก เมืองทางตะวันออกของอังกฤษ ชีวิตวัยเด็กไม่ได้มีอะไรพิเศษ หลังจากพ่อเสียชีวิตเขาก็โตมาในโรงเรียนประจำ และทำเรื่องที่เด็ก ๆ ทั่วไปต้องทำคือเรียน เรียน และเรียนเพื่ออนาคต
.
เพราะตอนเด็กเขาชอบเรียนวิชาศิลปะ ไดสันจึงตัดสินใจย้ายไปเรียนที่โรงเรียนศิลปะ บายอัม ชอว์ (Byam Shaw School of Art) ในกรุงลอนดอน ก่อนจะค้นพบตัวเองว่าชื่นชอบการออกแบบเชิงนวัตกรรม มากกว่าการเรียนศิลปะทั่วไป เขาเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยที่ Royal College of Art สาขาการออกแบบอุตสาหกรรม ทำให้ค้นพบความหลงใหลในการออกแบบเชิง functional design คือเน้นประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก 
.
ตอนนี้เองที่เขามีโอกาสออกแบบ Rotork Sea Truck เรือบรรทุกความเร็วสูงที่สามารถเดินทางได้ 50 ไมล์ต่อชั่วโมง แถมสามารถทอดสมอจอดได้โดยไม่ต้องมีท่าเรือ แม้ตอนนั้นไดสันยังทำหน้าที่แค่ออกแบบ ไม่ได้มีส่วนร่วมกับกระบวนการก่อสร้างมากนัก แต่เพราะผลงานชิ้นนั้นถูกนำไปใช้จริงในอุตสาหกรรมน้ำมัน และการก่อสร้าง รวมถึงใช้ในกองทหารของอังกฤษ ไดสันจึงเริ่มต้นอาชีพนักออกแบบของเขาต่อจากนั้น
.
เส้นทางนักประดิษฐ์ของไดสัน เริ่มต้นจากการที่เขามีโอกาสคิดวิธีแก้ปัญหาของรถเข็น ที่มักจะเกิดสนิมและจมไปกับดินอ่อน เขาออกแบบ Ballbarrow รถเข็นพลาสติกที่มีล้อเป็นลูกบอลแทนล้อปกติ ทำให้แก้ปัญหานั้นได้ชะงัด น่าเสียดายที่ความสำเร็จนี้อยู่ไม่ได้นานเพราะความผิดพลาดด้านการจดสิทธิบัตร ไดสันถูกบีบให้ต้องขายไอเดียนี้แก่นักลงทุน ผลงานเครื่องดูดฝุ่นที่เกิดขึ้นภายหลัง จึงต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่าง
.
แม้คนส่วนใหญ่จะมองว่าเครื่องดูดฝุ่นที่มีมันดีอยู่แล้ว แต่ไดสันมองว่า โลกต้องการของที่ดีกว่านี้
.
มองในแง่ความเป็นมา โฉมหน้าของเครื่องดูดฝุ่นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ตั้งแต่ปี 1901 มันทำงานโดยใช้ปั๊มลมสุญญากาศดูดสิ่งสกปรกเข้าไปเก็บไว้ในถุงผ้าภายในตัวเครื่อง ไดสันค้นพบว่ากลไกนี้มีปัญหา เพราะหลังจากดูดฝุ่นไปได้ไม่นาน เขาก็ต้องรำคาญกับการคอยนำถุงผ้าไปทำความสะอาด เพราะมีฝุ่นอุดตันจนใช้งานต่อไม่ได้
.
ช่วงเวลานั้นมีนวัตกรรมใหม่เป็นถุงกระดาษแบบใช้แล้วทิ้ง ซึ่งทำมาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว แต่ไดสันก็มองว่าเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ แถมยังทำให้ผู้คนต้องเสียเงินซื้อถุงกระดาษใหม่ไปเรื่อย ๆ ขณะที่กำลังทำงานอยู่ในโรงเลื่อย เขาก็บังเอิญได้ไอเดียออกแบบไส้กรองแบบใหม่จากพัดลมดูดอากาศพลังสูง ที่สามารถดูดขี้เลื่อยเข้าไปเก็บได้โดยไม่ต้องมีไส้กรอง แถมยังไม่ติดขัด ไดสันคิดว่าน่าจะมีวิธีย่อส่วนกลไกนี้ลงไปในเครื่องดูดฝุ่นเพื่อกำจัดปัญหาไส้กรองตันได้
.
แต่ไอเดียอย่างเดียวใช่จะสร้างได้ง่าย ๆ เพราะไดสันเป็นเพียงนักออกแบบ ไม่ใช่วิศวกร ตอนนั้นเขาไม่ได้เก่งหรือเชี่ยวชาญด้านการออกแบบกลไกต่าง ๆ ได้อย่างใจนึก เขาเริ่มศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์พร้อม ๆ กับการคิดค้นเครื่องดูดฝุ่น ค่อย ๆ ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง เริ่มจากการวาดทุกอย่างลงในกระดาษ ค่อย ๆ ออกแบบอะไหล่ไปทีละชิ้น จนสามารถประกอบเป็นโมเดลต้นแบบที่เขาใช้เวลาทดลองและพัฒนางานอยู่นานกว่า 5 ปี 
.
“ผมเคยคิดจะยอมแพ้อยู่ทุกวัน เพราะมันต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการต่อสู้กับความล้มเหลว ผมทดลองตัวต้นแบบมาแล้วถึง 5,126 ครั้ง แต่ละครั้งก็พยายามแก้ปัญหาจากความผิดพลาดที่มีมาเรื่อย ๆ จนสำเร็จในครั้งที่ 5,127” 
.
ช่วงเวลาที่พัฒนาต้นแบบอยู่ ไดสันแทบจะกลายเป็นบุคคลล้มละลาย เพราะเขาไม่มีรายได้มาจ่ายเงินกู้ค่าอุปกรณ์ที่ซื้อมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่โลกไม่เคยรู้จัก ไดสันเล่าว่า เขาเคยอยู่ได้ด้วยการปลูกผัก และใช้เงินเดือนของภรรยาที่เป็นครูสอนศิลปะ เพื่อประทังชีวิต 
.
แม้ในปี 1978 ไดสันจะได้ต้นแบบที่พอใจมาแล้ว แต่ก็ใช่ว่าอะไร ๆ จะง่ายขึ้น เพราะพอพยายามขายไอเดียเครื่องดูดฝุ่นให้บริษัทในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ก็ดูเหมือนว่าจะได้คำตอบไม่ดีเท่าไหร่ เพราะตอนนั้นธุรกิจถุงกระดาษทำกำไรให้บริษัทเหล่านี้อย่างมหาศาล ไดสันตัดสินใจเปลี่ยนมาขายไอเดียให้ Apex Inc. บริษัทสัญชาติญี่ปุ่นแทน G-Force เครื่องดูดฝุ่นพลังไซโคลนเครื่องแรกจึงเริ่มวางขายในญี่ปุ่น ซึ่งเครื่องดูดฝุ่นรุ่นนี้ได้กระแสตอบรับดี แถมยังได้รับรางวัลนวัตกรรมดีเยี่ยม จากการประกวดงานมหกรรมออกแบบนานาชาติ ปี 1991 ด้วย
.
หลังเห็นความเป็นไปได้จากตลาดญี่ปุ่น ไดสันพยายามขายสิทธิ์การผลิตให้บริษัทในอเมริกาบ้าง ต้องบอกว่ามันเกือบนำ ‘หายนะ’ มาให้เขา เพราะบริษัทนั้นพยายามผลิตเครื่องดูดฝุ่น ‘เลียนแบบ’ แทนที่จะซื้อสิทธิ์ไปผลิตตามกฎหมาย ไดสันกลายเป็นคนหวาดระแวงว่าจะโดนขโมยไอเดีย เพราะบทเรียนราคาแพงเก่า ๆ เขาตัดสินใจว่า ต่อจากนี้ถ้าจะล้มก็ขอล้มเอง จึงนำบ้านไปจำนอง และใช้เงินทั้งหมดเปิดบริษัท Dyson ขึ้นในปี 1993 ซึ่งนับ ๆ แล้วใช้เวลาถึง 15 ปี กว่าเขาจะมีแบรนด์ของตัวเอง 
.
ด้วยคำโฆษณา ‘บอกลาถุงได้แล้ว’ ทำให้เครื่องดูดฝุ่นรุ่น DC01 (Dyson Cyclone) ที่มีราคาสูงลิ่ว กลายมาเป็นเครื่องดูดฝุ่นที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ ไดสันกลายเป็นผู้นำตลาดเครื่องดูดฝุ่นของอังกฤษ ด้วยส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 38% ในปี 2002 ด้วยนวัตกรรมที่เขาพัฒนาเรื่อยมา ทำให้แบรนด์ของเขามีสินค้าไดร์เป่าผม พัดลม และเครื่องปรับอากาศ ที่นำมาซึ่งรางวัล ชื่อเสียง และการยอมรับแก่แบรนด์อย่างที่ไม่มีใครคาด 
.
“คนมักจะมองว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ เป็นแนวคิดที่โผล่ขึ้นมาในอากาศ พวกเขามองมันเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญที่มักเกิดขึ้นในอัจฉริยะ แต่ที่จริงมันไม่ใช่ ความคิดสร้างสรรค์เกิดจากความพยายาม มันมีลักษณะเฉพาะตัวที่ถ้าเราไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เราก็ไม่สามารถทำให้มันดีขึ้นได้” เจมส์ ไดสัน กล่าวกับแมททิว ไซด์ (Matthew Syed) ผู้เขียนหนังสือ Black Box Thinking: Marginal Gains and the Secrets of High Performance
.
หลายคนอาจมองไดสันเป็นอัจฉริยะ แต่ที่จริงแล้วเขาคิดว่า เขาเป็นแค่คนช่างสังเกต ที่พอเห็นปัญหาแล้วก็พยายามออกแบบวิธีแก้ ไดสันไม่ได้หาคำตอบเจอได้ทันที เขาเสียเวลาไป 5 ปี กับความล้มเหลวอีกกว่า 5 พันครั้ง (ความจริงคือ 5,126) เขาบอกว่าความผิดพลาดทั้งหมดทำให้ความสำเร็จในครั้งที่ 5,127 มีค่ามหาศาล 
.
ตอนนี้ไดสันกลายเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินกว่า 6 พันล้านดอลลาร์​ (เกือบ 2 แสนล้านบาท) เขานำเงินจากรายได้ไปบริจาคให้มหาวิทยาลัย โรงเรียน รวมถึงเปิดสถาบันเพื่อสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาการศึกษาภาควิศวกรรม ไดสันได้รับการอวยยศ เซอร์ ‘Sir’ ในปี 2007 จากการทำสาธารณประโยชน์อย่างต่อเนื่อง 
.
สำหรับใครที่ยังพยายามกับเรื่องบางอย่างอยู่ หวังว่าเรื่องราวของไดสันจะเป็นตัวอย่างที่ดีของความพยายามที่บรรลุผล เขาไม่สนใจคำพูดของคนที่ดูถูก ดูแคลนหรือไม่เข้าใจวิธีคิดของเขา ไดสันเพียงแค่ทดลอง ลงมือทำ และทำซ้ำ ๆ ในสิ่งที่คิดว่าดี เพื่อตอบสนองความเชื่อบางอย่างที่หล่อเลี้ยงจิตใจของเขา 
.
เขาท้าทายภูมิปัญญาเก่า เพื่อพัฒนาเป็นนวัตกรรมที่ดียิ่งขึ้น โดยหัวใจหลักของแบรนด์และผลิตภัณฑ์ก็ยังเป็น ‘งานวิศวกรรม’ ที่กระหายการพัฒนา และไม่เคยเพียงพอหรือหยุดนิ่งกับสิ่งที่คิดค้นไปแล้ว 
.
“เราต้องพัฒนาและขัดเกลาความคิดของเราไปเรื่อย ๆ ทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีก ผิดพลาดมันซ้ำ ๆ เพื่อทำให้งานชิ้นต่อ ๆ ไปนั้นสมบูรณ์แบบ”
.
เรื่อง พาขวัญ ศักดิ์ขจรยศ
.
ที่มา
.
หนังสือ 100 Great Business Leaders โดย Jonathan Gifford     
https://www.dyson.co.th/t
https://www.inc.com/gordon-tredgold/27-tips-for-when-you-feel-like-giving-up-from-billionaire-failure-expert-sir-james-dyson.html
https://www.bbc.com/news/business-46149743
https://www.theverge.com/2020/3/26/21195433/dyson-ventilators-covent-coronavirus-develop-produce-uk-nhs-donate-vacuum-motor
.
อ่าน "เจมส์ ไดสัน คิดค้นเครื่องดูดฝุ่นในตำนาน จากความพยายาม 5,127 ครั้ง" เวอร์ชันเว็บไซต์ที่ https://thepeople.co/james-dyson-5127-prototypes-to-invent-the-first-vacuum-cleaner/

Friday, May 29, 2020

Salaryman-Freelancer

>>>>>กับดักมนุษย์เงินเดือน จากใจฟรีแลนซ์<<<<<
.
- เราเคยทำงานฟรีแลนซ์มา 3 ปี แต่มีโอกาสได้กลับไปทำงานแบบได้เงินเดือน
เพราะเป็นบริษัทเท่ ๆ ที่เราเคยอยากอยู่มานานแล้ว
___________________________________
- (1) เราพบว่า ใช้เงินเยอะขึ้น เพราะทุกครั้งที่อยากได้อะไร
ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะเดี๋ยวก็ได้เงินเดือนแล้ว

- ไม่ต้องกังวลเหมือนตอนเป็นฟรีแลนซ์ ที่รายได้ไม่สม่ำเสมอ เรารู้ตัวอีกที ก็พบว่ารูดบัตรซื้อเสื้อผ้าไปเป็นสิบตัว 
ตอนเป็นฟรีแลนซ์จะคิดตลอดว่า ชุดนี้ซื้อไปแล้วใส่ทำงานได้มั้ย ชุดนี้ทำให้เราสวยขึ้น รายได้เพิ่มมากขึ้นรึป่าว??

- ทำให้เราคิดรอบคอบก่อนจะตัดสินใจซื้ออะไร
เราเข้าใจแล้วว่าทำไมมนุษย์เงินเดือนถึงเผลอใช้เงินง่ายๆ
ก็เพราะมันมีเงินในอนาคตออยู่ทุกเดือน ใช้หมดเดี๋ยวก็มาใหม่
___________________________________
-  (2) เรากลับมาต้องการสิ่งบันเทิงในชีวิต
ตอนเป็นฟรีแลนซ์ เราแทบไม่ต้องการดูหนัง ท่องเที่ยว
หรือพึ่งพาสิ่งของภายนอกมาปรนเปรอความสุขเลย
ไม่ต้องเดินทางท่องเที่ยวก็ได้ เพราะรู้สึกว่าได้ทำงานที่รัก
งานที่อิสระตามใจเรา ก็เหมือนได้พักผ่อนอยู่แล้ว
.
- ไม่เคยเครียดจนต้องการเสียเงินซื้อความสุขเลย
นั่งเฉย ๆ ก็มีความสุขแล้ว แต่พอเราทำงานประจำ 
เราเหมือนทำงานให้องค์กร เราไม่ได้ทำงานที่เป็นงานที่เป็นตัวของเรา
มันทำให้เรารู้สึกเหมือนใช้เวลาทำงานให้คนอื่น ๆ
สมองเราเลยสร้างกิเลสว่าไปพักผ่อนเพื่อตัวเองเถอะ
ทำให้คนอื่นแล้ว ต้องให้รางวัลตัวเองบ้าง
.
- ซึ่งจริง ๆ แล้วเราควรทำทุกอย่างเหมือนบริษัทนี้เป็นของเรา
เราจะได้ไม่รู้สึกว่าทำให้ใคร แต่ทำเพื่อตัวเรา
.
- เราเลยรู้ว่า มนุษย์เงินเดือนต้องเสียเวลาไปเยอะมากเพื่อปรนเปรอความสุข
หาสิ่งบันเทิงชดเชยความรู้สึกว่าเราทำงานให้คนอื่นมาทั้งวันแล้ว
___________________________________
- (3) เราเริ่มไม่พัฒนาตัวเองอ่านหนังสือดี ๆ ด้านอื่น ๆ เราเริ่มพบว่าตัวเอง
ไม่มีอารมณ์อ่านหนังสืออื่น ๆ ไม่มีอารมณ์พัฒนาตัวเองเพราะรู้สึกว่า 
ทำแค่นี้ก็ได้เงินเดือนเยอะแล้ว คืออยู่ไปเรื่อยๆแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว 
ไม่มีเหตุจำเป็นให้ต้องเก่งขึ้น 
___________________________________
- (4) เราคิดว่าชีวิตนี้แน่นอน
เพราะเรามีงานประจำ ทุกอย่างมีความมั่นคง
เราก็เริ่มประมาทในชีวิต ใช้ชีวิตแบบไหลไปเรื่อย ๆ
ไหลไปตามงานของบริษัทที่กินเวลาถึง 8 ชม. ต่อวัน
เราไม่ต้องวางแผนอะไรกับชีวิต ทำงานไปเรื่อย ๆ รอรับเงินเดือนอย่างเดียว
หยุดสร้างอาวุธทางปัญญาในการหารายได้ทางอื่น ๆ
จะไปมัวหาทำไม ก็งานประจำเงินเดือนก็เยอะอยู่แล้ว
เราประมาทในชีวิตว่ามันแน่นอนมากขึ้นเรื่อย ๆ
___________________________________
- (5) เราทำงานแบบไม่กระตือรือร้น
ทำงานแบบรอเจ้านายสั่ง เพราะเราขายเวลา 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็นให้นายไปแล้ว
อยากให้ทำอะไรเพิ่มก็บอก ไม่บอกก็อยู่เฉย ๆ แต่ตอนเป็นฟรีแลนซ์จะกระตือรือร้นมาก คอยสร้างสรรค์ไอเดีย ช่วยลูกค้าคิดงานตลอด
เรียกได้ว่าทำเกินหน้าที่ อะไรที่คิดออก สามารถนำเสนอได้
ก็งัดมาหมด จัดเต็มตลอด ไม่เคยกั๊ก 
.
- นี่เป็นเพียงบางข้อที่เราสังเกตตัวเองและคิดออก
และรู้สึกสะพรึงถึงกับดักของงานประจำรายได้แน่นอนเอามาก ๆ
.
- ส่วนด้านแย่ ๆ อื่น ๆ ของการทำงานประจำ
ก็ทำให้เราต้องเผชิญกับเรื่องน่าเบื่อที่เราไม่เคยเจอมานานมาก
เช่น รถติด เราต้องตื่น 6 โมง เพื่อเจอรถติด 2 ชั่วโมง
ทั้ง ๆ ที่ปกติตื่นกี่โมงก็ได้ เดินทางตอนสายรถวิ่งฉิว
.
- ถ้าเราจะเป็นมนุษย์เงินเดือนต่อไป
เราต้องเอาหัวใจตอนเป็นฟรีแลนซ์กลับมาใช้
คือ คิดก่อนใช้เงิน พัฒนาตัวเองตลอด อ่านหนังสือพัฒนาตัวเอง 
หยุดตามใจกิเลส มีความสุขในงานที่ทำ ทำงานให้เต็มที่เหมือนเป็นบริษัทตัวเอง
แล้วเงินก็จะไหลมาเทมา
.
.
--
.
#ไปให้ถึง100ล้าน

Thursday, May 28, 2020

Needs

#หม้อทอดไร้น้ำมัน สินค้าที่เป็นมากกว่าเครื่องครัว...และเล่นกับความต้องการของมนุษย์ได้อย่างน่าสนใจ เรื่องราวมันเป็นยังไง #เดี๋ยวสรุปให้ฟัง
.
.
1) เค้าว่ากันว่า…มนุษย์…เวลาจะซื้อของ เรามีความต้องการอยู่ 5 ระดับ หลายครั้งเราก็ซื้อของโดยไม่ได้ต้องการใช้ประโยชน์หลักของมัน ลองมาดูตัวอย่างทั้ง 5 ระดับที่เข้ากับยุคนี้จากสินค้ายอดฮิตอย่าง “หม้อทอดไร้น้ำมัน” กันครับ 
.
.
2) สมมติว่าคุณกำลังเดินอยู่ในแผนกเครื่องครัว ตั้งใจจะไปซื้อ “หม้อทอดไร้น้ำมัน” เลยบอกกับพนักงานว่า... “น้องๆ พี่อยากได้หม้อทอดน้ำมันสักเครื่อง แนะนำให้พี่หน่อย” นี่คือความต้องการระดับที่ 1 หรือเรียกว่าความต้องการที่ลูกค้าพูดออกมาเลยว่าต้องการอะไร (Stated Needs) แต่มันใช่ความต้องการจริงๆ รึเปล่านะ ?
.
.
3) แล้วคุณก็คิดในใจ “อืม…จริงๆ แล้วแค่อยากได้เครื่องครัวที่มันทำอาหารได้ง่ายๆ เหมาะกับคนทำอาหารไม่เป็นแบบฉันนี่แหละ แล้วถ้ามันทำแล้วไม่อ้วนด้วยก็น่าจะดีนะ…” นี่คือความต้องการระดับัที่ 2 หรือเรียกว่าความต้องการที่แท้จริง (Real Needs) ที่คุณไม่ได้ให้พนักงานฟัง (แต่พนักงานก็รู้แหละ…)
.
.
4) “ว่าแต่… แล้วเครื่องนี้เค้ารับประกันรึเปล่านะ? แล้วถ้ามันเสียเค้าจะซ่อมให้มั้ย… หรือถ้าเค้าเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้ฟรีเลยมันก็คงจะดีไม่ใช่น้อย” นี่คือความต้องการระดับที่ 3 หรือความต้องการที่ไม่ได้พูดออกมา แต่ลึกๆ แล้วก็คาดหวังว่าจะได้รับ (Unstated Needs)
.
.
5) กำลังจะจ่ายเงินแล้ว พนักงานก็บอกคุณว่า “คุณพี่ครับ…ตอนนี้เรามีคลาสออนไลน์ฟรีสอนทำอาหารด้วยหม้อทอดไร้น้ำมันจากเชฟมิชลินโดยเฉพาะสำหรับลูกค้าที่ซื้อช่วงนี้เท่านั้นเลย คุณพี่จะได้เมนูลับที่หาที่ไหนไม่ได้แน่นอนครับ” เรียบร้อย… อะไรมันจะดีขนาดนี้ นี่คือความต้องการระดับที่ 4 หรือความต้องการที่เกินกว่าความคาดหวัง (Delight Needs) ลูกค้าไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะมี แต่ถ้ามันมีก็จะประทับใจสุดๆ
.
.
6) ซื้อหม้อทอดกลับบ้านไปเรียบร้อยแล้ว… เข้าไปเรียนคลาสจากเชฟมิชลิน ได้เมนูลับมาแล้ว ทำไงต่อดี? เอ้า!! อัดวิดีโอแจกสูตรให้เพื่อนๆ ใน “สมาคมเราจะผอมด้วยเมนูจากหม้อทอดไร้น้ำมัน” สิครับรออะไร! แล้วก็นั่งดูเพื่อนๆ comment ชื่นชมพร้อมกับเอาสูตรไปทำตาม… ครับ…และนี่ก็คือตัวอย่างความต้องการระดับที่ 5 หรือความต้องการแบบลับๆ (Secret Needs) คือเหตุผลลึกๆ จริงๆ ว่าทำไมคุณออกไปซื้อเจ้าหม้อทอดอันนี้มาตั้งแต่แรก…
.
.
7) ถึงตรงนี้…ใครจะรู้ว่าคนเราซื้อหม้อทอดไร้น้ำมันเพราะจริงๆ แล้วอยากเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน… หรืออยากได้รับการยอมรับจากเพื่อนฝูง… หรืออาจจะอยากได้เพื่อนใหม่ๆ ที่รู้จักกันในกรุ๊ปเฟสบุ๊ค หรือแม้กระทั่งอยากรู้สึกว่าตัวเองก็ทำอาหารเป็นนะ ซึ่งมาพร้อมกับความรู้สึกที่เราสามารถควบคุมสิ่งรอบตัวและพึ่งพาตัวเองได้ในแบบที่เราไม่เคยคิดมาก่อน
.
.
8) ที่พูดมาทั้งหมดก็แค่ตัวอย่างนึงที่อาจเกิดขึ้นได้… ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องเป็นแบบนี้นะครับ (และไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดอะไรเลย) แน่นอนว่า มีคนอีกมากมายที่ซื้อหม้อทอดไร้น้ำมันเพราะแค่จะเอาไปทำอาหารง่ายๆ สะดวกๆ ไม่ชอบการเก็บล้างที่วุ่นวาย หรือซื้อไปเพราะอยากทำอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และเป็นงานอดิเรกอันนึงที่ผ่อนคลายจากความเครียดในช่วงนี้
.
.
#สรุปแล้ว สำหรับแบรนด์หรือธุรกิจก็คงต้องพยายามทำให้สินค้าของเราตอบโจทย์กับความต้องการลับๆ หรือ Secret Needs ของลูกค้าให้ได้มากที่สุด บางทีเราอาจจะพบว่าสินค้าชิ้นเดิมนี่แหละที่มันเคยขายได้เฉพาะกลุ่มเล็กๆ อาจจะกลายเป็นสินค้ายอดฮิตเมื่อมันไปแก้ปัญหาหรือตอบสนองต่อความต้องการที่ “ใหญ่กว่า” ของมนุษย์…
.
.
#ทิ้งท้าย แต่สำหรับใครอีกหลายๆ คน Secret Needs ของการซื้อหม้อทอดไร้น้ำมันก็อาจจะเป็นแค่ความสุขเล็กๆ ที่ได้รับรอยยิ้มพร้อมคำชมว่า “วันนี้ทำอาหารอร่อยจังเลย” จากคนที่เรารัก… แค่นั้นก็พอแล้ว

ป.ล. กรุ๊ปเฟสบุ๊ค "สมาคมเราจะผอมด้วยเมนูจากหม้อทอดไร้น้ำมัน" นี่สุดยอดมากครับ แอดมินยกให้เป็นกรุ๊ปที่แอคทีฟและช่วยเหลือกันสุดๆ ใครสนใจอยากได้เมนูไปทำนี่แนะนำเลยครับ ตอนนี้สมาชิกมีเกือบ 5แสนคนแล้ว!!

ที่มา: เดี๋ยวสรุปให้ฟัง