Tuesday, November 19, 2019

Lucky

โชค

โลกธุรกิจไม่เคยใจดีกับผู้ที่ไม่ค่อยฉลาด เรียนไม่เก่ง ไม่ได้ดี เด่น ดัง ประตูแห่งโอกาสแทบจะปิดตายกับคนเหล่านั้นเสมอ..

.................

คุณสมชาย เหล่าสายเชือ้ มหาเศรษฐีแห่งอีสาน เจ้าของโตโยต้าดีเยี่ยม  เริ่มต้นจากติดลบทั้งชาติกำเนิด และสมองที่ได้รับมา คุณสมชายเล่าให้ฟังว่า ตอนเด็กหัวทึบมาก สอบตกครั้งแล้วครั้งเล่า มีแต่คนเรียกไอ้โง่ กว่าจะจบ ป. 5 ก็ตอนอายุ 17 ปี คุณสมชายเคยให้สัมภาษณ์ว่าคนอื่นหัดร้องเพลงหนึ่งเพลงอาจจะสิบนาทีแต่เขาต้องใช้เวลาสามเดือนก็ยังไม่ได้

หลังจากจบ ป. ห้า คุณสมชายก็ได้แต่ทำงานกรรมกร ไม่มีทางเลือกใดๆ ทำทุกอย่างที่มีคนจ้างให้ทำ โดนหลอกโดนโกงมาตลอด ใช้แต่ความขยันเข้าสู้ ทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด งานลำบาก งานที่ไม่มีใครทำคุณสมชายทำหมด ผิดหวังล้มเหลวก็บ่อย แต่เพราะสำนึกว่าตัวเองหัวไม่ดี ก็ได้แต่ก้มหน้าทำงานหนักทุกประเภทมาตลอด

คุณสมชายมีความฝันมีความชอบเรื่องรถ แต่ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ เพราะจบแค่ ป. 5 แถมพูดช้าคิดช้า ไม่มีแววอะไรเลย สมัครทีไรก็แพ้คู่แข่งคนอื่นเสมอ จนคุณสมชายมาสมัครงานที่ศูนย์บริการโตโยต้า อุบลราชธานี ที่มีคุณสมบัติขั้นต่ำต้องจบปริญญาตรี เบื้องต้นก็ถูกปฏิเสธ แต่คุณสมชายยื่นข้อเสนอสามข้อ ที่ทำให้ประตูบานแรกของคุณสมชายเปิดออก  ข้อหนึ่งคือ ทำงานอะไรก็ได้ ข้อสองคือเงินเดือนเท่าไหร่ก็ได้ ไม่จ่ายก็ได้ ข้อสามคือ ทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด

เถ้าแก่ไม่รู้จะไม่รับได้อย่างไร หลังจากนั้นความขยันทำงาน ทำงานทุกอย่างที่ให้ทำ รับใช้ทุกคนไม่เฉพาะเถ้าแก่ จนไว้ใจ และทำให้เกิดโอกาสอื่นๆตามมา ได้ขยับขยายตำแหน่ง หลายปีจนเถ้าแก่เสียชีวิต เลยมาเปิดกิจการของตัวเองและสร้างตำนานตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

……

คุณสุทธิชัย หยุ่น ผู้ที่เราคุ้นเคยกันดี เป็นเด็กต่างจังหวัดด้อยโอกาสที่พยายามฝึกฝนภาษาอังกฤษมาโดยตลอด มีความฝันที่จะได้เป็นนักสื่อสารมวลชน ได้ทำงานกับหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษระดับชาติ  คุณสุทธิชัยได้มีโอกาสเข้าเรียนภาคค่ำที่จุฬา คณะนิเทศศาสตร์ 

ตอนที่เพิ่งเป็นนิสิตปี 1 คุณสุทธิชัย เห็นข้อความรับสมัคร proof reader กับ subeditor ของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ มีคุณสมบัติขั้นต่ำต้องจบปริญญาโทหรือมีประสบการณ์ทำงานไม่น้อยกว่า 5 ปี  คุณสุทธิชัยอยากทำงานในฝันนี้มากและรู้ดีว่าถ้าส่งใบสมัครไปธรรมดาก็จะไม่มีทางได้ทำงานแน่เพราะสู้คนอื่นที่มีคุณสมบัติตรงไม่ได้

คุณสุทธิชัยเลยตัดสินใจเดินทางไปหาบรรณาธิการที่โรงพิมพ์ ไปขอคุยด้วย ถูกเลขายื้อไม่ให้พบเพราะไม่ได้นัดไว้ พอดีบรรณาธิการซึ่งเป็นชาวต่างชาติมองทะลุกระจกเห็นเขายืนเถียงกับเลขา เลยสงสัยและเรียกตัวให้เข้ามาคุย คุณสุทธิชัยเลยบอกว่ามาสมัครงาน บรรณาธิการก็ไล่ให้ไปกรอกใบสมัคร คุณสุทธิชัยก็บอกว่าคุณสมบัติไม่ถึง แต่ “ตื๊อ” ขอให้เทสต์พิสูจน์ความสามารถให้ดู

บรรณาธิการคงรำคาญและกำลังต้องไปประชุม เลยให้คุณสุทธิชัย “ลอง” เขียนข่าวดู พอบรรณาธิการกลับมาก็ยังเห็นเด็กที่ชื่อสุทธิชัยนั่งรออยู่พร้อมงานที่พิมพ์เสร็จ ไม่ยอมกลับไปง่ายๆ และตื๊อต่อด้วยความอยากทำ พร้อมที่จะเรียนรู้ทุกอย่าง และบอกด้วยว่าเคยเขียน letter to editor และยื้อให้บรรณาธิการดู ซึ่งก็เพิ่งลงในฉบับที่อยู่ในห้องพอดี

บรรณาธิการคงเห็นความตั้งใจ พร้อมจะเรียนรู้ การ “ตื๊อ” ที่ไม่หยุดพร้อมทักษะที่พอใช้ได้  คุณสุทธิชัยเลยได้เดินเข้าประตูแห่งโอกาสบานแรกจนกลายเป็นนักหนังสือพิมพ์ในตำนานจนปัจจุบัน

.....................

ประตูที่แทบจะไม่เคยเปิดให้กับผู้ด้อยโอกาส ดูเหมือนจะถูกไขได้ด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า ความไม่มีอะไรจะเสีย ความกล้าหาญที่ยอมทำในสิ่งที่คนมีโอกาสดีไม่ทำ ความไม่มีทางเลือกได้แต่ลองเดินหน้าต่อ เป็นกุญแจที่สองท่านนี้ไขให้ดูเป็นตัวอย่าง แต่แรงที่จะก้าวขาข้ามประตูไปสู่โลกใหม่ก็ไม่ใช่ง่ายเช่นกัน ความขยันอดทนที่ถูกสั่งสม ทักษะที่ถูกฝึกฝนมานับหมื่นชั่วโมง ก่อนหน้าโอกาสจะมาถึงจึงทำให้ทั้งสองท่านพร้อมเมื่อประตูนั้นเปิดออก

มีคนเคยบอกว่า คำว่าโชคนั้นจริงๆแล้วประกอบด้วยคำสองคำที่อยู่ด้วยกัน คำแรกคือ “โอกาส” และอีกคำหนึ่งก็คือ “การเตรียมพร้อม” เมื่อมีสองอย่างนี้มาบรรจบกัน โชคดีจึงจะเกิดขึ้นได้

อย่างเช่นผู้โชคดีสองท่านที่เล่ามาในวันนี้

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=104371211028588&id=101815121284197

Wednesday, November 13, 2019

Lucky

#หนูเป็นเด็กโชคดี
.
หมอเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขียนว่า
ถ้าเราชมคนอื่นว่า #โชคดี 
มันจะแฝงความรู้สึกอิจฉาเข้าไปด้วย
เพราะ ไม่มีความสำเร็จใดๆ ได้มาด้วย โชค
หมอเลยคิดทบทวน....ก็จริงนะ😁
หลังจากนั้น หมอไม่เคยใช้คำว่า #โชคดีจัง 
ในการชื่นชมคนอื่นเลย
แม้จะรู้สึกอิจฉาจริงๆก็ตาม😅😅
.
แต่ในฐานะที่เป็น หมอเด็ก ใน รพ. รัฐบาล มานาน
หมอได้เห็นครอบครัว หลายแบบ 
ได้เห็นการเลี้ยงดูที่แตกต่าง 
และผลลัพธ์ของการเลี้ยงดูนั้น
หมอรู้แล้ว....ว่าคำว่า #โชคดีจัง 
เอาไว้พูดตอนไหน
.
ตอนที่หมอเป็นแพทย์ประจำบ้าน
โรคทางเดินหายใจเด็กที่รพ.จุฬาลงกรณ์
คนไข้เด็กที่มีความพิการบางคน
ไม่สามารถหายใจได้ด้วยตัวเอง
ต้องเจาะท่อที่หลอดลมคอ
 และกลับไปใช้เครื่องช่วยหายใจที่บ้าน
คนดูแลหลัก คุณพ่อ คุณแม่ 
ต้องมาเรียนรู้เพื่อกลับไปดูแลลูกให้ได้
ตั้งแต่ เรียนการใช้เครื่องช่วยหายใจ
เรียนการดูดเสมหะ การทำอาหารที่จะให้ทางสายยาง 
การให้อาหาร การดูแลแผลที่ท่อหลอดลมคอ
ไปจนถึง การฝึกช่วยชีวิตพื้นฐาน การกดหน้าอก
ทั้งหมดนี้ พ่อแม่ ต้องทำต่อหน้าหมอ 
และหมอประเมินว่าผ่านเกณฑ์
(เหมือนสอบ นักศึกษาแพทย์ยังไงยังงั้นเลยค่ะ)
ถึงจะได้รับอนุญาตให้พาลูกของเค้ากลับบ้านได้
คนไข้ทุกคน อยู่รพ.นานหลักเดือน บางคนหลักปี
.
ที่นี่ หมอได้พบกับ
พ่อแม่ของคนไข้เด็กกลุ่มนี้หลายคน ที่หมอนับถือมาก
อาจารย์ของหมอ พูดเสมอ 

“เด็กที่พิเศษ เบื้องบนเค้าคัดเลือกพ่อแม่ที่วิเศษไว้ให้แล้ว”

ซึ่งเป็นอย่างที่อาจารย์พูด ไม่ผิดเพี้ยน 
พ่อแม่ที่ดูแลเด็กกลุ่มนี้ให้มี #คุณภาพชีวิตที่ดี ได้
ไม่เรียกวิเศษจะเรียกว่าอะไร
.
ตอนหมอเป็นแม่เอง
หมอรู้ซึ้งจริงๆ...
ลูกของเรา ร่างกายสมบูรณ์ดีทุกอย่าง
แค่ลูกกินยาก ก็ฟูมฟายจะเป็นจะตาย
แต่เด็กคนอื่น #หายใจเองยังไม่ได้ คุณแม่เค้ายังสู้ไม่ถอย
ปัญหาเราดูเล็กน้อยมาก
และอีกหลายๆปัญหาที่ต้องเจอ หมอจะได้กำลังใจจากเรื่องนี้มาช่วยทุกครั้ง
.
ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน
เด็กหญิง อายุ 3 ปี หน้าตาน่ารัก น่าเอ็นดู
เธอมีร่างกายสมบูรณ์ 
มารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยเรื่องปอดอักเสบ
ตั้งแต่เข้ามาโรงพยาบาล 
เด็กน้อยไม่เคยได้สบตา ไม่เคยพูดให้หมอได้ยินเลย
เพราะคุณยาย ซึ่งเป็นคนเลี้ยงดูหลัก 
กลัวหลานจะงอแง เลยยื่นมือถือให้ จะได้ดูแลง่ายๆ
เด็กก้มหน้าดูจอตลอดเวลาที่ตื่น
แม่ของเด็กไม่ได้มาเฝ้า แม่ยังเรียนหนังสือ

หมอแนะนำคุณยายเรื่องการเลี้ยงดูหลายอย่าง
รวมถึงผลเสียของหน้าจอ ที่มีต่อพัฒนาการเด็ก
คุณยายรับฟัง แต่ไม่รับไปปฏิบัติ 
เพราะคุณยายงอน 
ที่หมอพูดว่าหลานติดมือถือแล้วจะไม่ปกติ
เพราะหลานยายปกติ 
และฉลาดกว่ายายอีก เรื่องมือถือ 
จะดูช่องไหน ไม่เคยต้องสอน เปิดเองหมด
ขนาดยายยังทำไม่เป็น
.
หมอยิ้มอ่อน 
.
เตียงถัดมา เป็นเด็กหญิง อายุ 3 ปี เท่ากัน
เธอเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงและตาบอด ตั้งแต่กำเนิด
เข้ารับการรักษาเพราะติดเชื้อแบคทีเรียที่กรวยไต
และรอบนี้ แม่ของเธอ เพิ่งได้รู้ข่าวใหม่ 
ว่าไม่ใช่แค่กล้ามเนื้อ กับตาที่ลูกไม่ปกติ 
แต่ผลการอัลตราซาวด์ช่องท้อง 
พบว่า ไตของลูกก็ผิดปกติเหมือนกัน

เด็กคนนี้ ถึงจะกล้ามเนื้ออ่อนแรง 
แต่ระหว่างที่อยู่ในโรงพยาบาล 
หมอจะชอบแอบมองเธอกับแม่
แม่ร้องเพลงให้ฟัง อ่านหนังสือให้ฟัง เธอจะยิ้มแย้ม
แม่ลูกกอดกัน หอมกัน 
เสียงเด็กน้อย เรียก แม่จ๋า แม่จ๋า
มันน่ารักมาก
(แม้ตอนหมอเดินไปใกล้เธอจะระแวง พูดน้อยลง)
กล้ามเนื้อที่อ่อนแรง แม่ก็สอนให้เอามือมาประกบกัน
ไหว้ผู้ใหญ่ ตอนนี้เธอพูดชัด เป็นประโยคยาวๆ 
แม่บอกว่าร้องเพลงได้หลายเพลงแล้ว
.
อ่านเรื่องราวของเด็กสองคนนี้
คิดว่าใคร #โชคดี กว่ากันคะ
.
ถ้าตัดเรื่องร่างกายออกไป
ถามว่า....อะไรที่ทำให้ เด็กคนหนึ่ง 
เติบโตไปเป็นมนุษย์ที่มีความสุขหรือไม่มีความสุข
คำตอบคือ #การเลี้ยงดู
.
เด็ก เลือกเกิด ไม่ได้
เค้าไม่ได้วางแผนมาก่อนว่าจะต้องมาเจอกับพ่อแม่แบบไหน
ดังนั้นหมอคิดว่า คำว่าโชคดี เกิดขึ้นกับมนุษย์ 1 ครั้ง
คือ คุณเกิดมาเป็นลูกของใคร
สิ่งนั้นจะเป็นตัวกำหนดชีวิตของคุณ
.
หมอเดินไปหาเด็กน้อย
ที่เอามืออ่อนแรง ประกบกันบนตัก เป็นการไหว้หมอ 
หมอเข้าไปลูบหัวเธอ ยิ้มให้คุณแม่
และพูดกับเด็กน้อยว่า #หนูเป็นคนโชคดีมากเลยลูก
.
แล้วเราอยากให้ลูกของเราเป็นเด็ก #โชคดี มั้ยคะ
เราสร้างโชคดีให้ลูกได้ ด้วยการพัฒนาเป็นพ่อแม่ที่ดีขึ้นนะคะ
.
หมอแพม

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=835314796803215&id=332559453745421

Saturday, October 26, 2019

Melon

การปลูกเมลล่อนที่ญี่ปุ่น

เพื่อจะทำให้เมลล่อนลูกนั้นหวาน สมบูรณ์แบบ 
เราต้องตัดลูกเมลล่อนลูกอื่น ๆ ทิ้ง 
สารอาหารและทุกอย่างจะได้วิ่งไปที่เมลล่อนลูกเดียว
.
.
มลล่อนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน 
หาเมลล่อนของเราให้เจอ แล้วทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
.
แล้วผลลัพธ์มันจะออกมาดีเองครับ

เครดิต: นิ้วกลม

Thursday, October 3, 2019

Right Position

บิดาผู้หนึ่ง ก่อนตายเขาได้บอกกับลูกชายว่า

:นี่คือนาฬิกาของปู่ของปู่ของปู่ของเจ้า อายุมันมากกว่า200ปี แต่ก่อนที่ข้าจะให้มันแก่เจ้า เจ้าจงไปที่ร้านนาฬิกาต้นถนนและบอกเขาว่า:ฉันอยากขายมันและจงดูซิว่าเขาจะให้ราคาเท่าไหร่?

ลูกชายออกไปแล้วกลับมาบอกพ่อว่า

:เขาจ่ายห้าดอลลาร์เท่านั้นเพราะมันเก่าแล้ว!

เขาจึงบอกกับลูกว่า

:เจ้าจงไปที่ร้านขายของเก่าและลองเสนอขายนาฬิกานี้แก่เขาดู.

เขาไปแล้วกลับมาบอกว่า

:เขาให้ห้าพันดอลลาร์!!!!

ผู้เป็นพ่อจึงบอกลูกว่า

:เจ้าจงไปที่พิพิธภัณฑ์และเสนอขายนาฬิกาเรือนนี้แก่พวกเขาดู.
เขาไปแล้วกลับมาบอกว่า

:พวกเขาได้ตามผู้เชี่ยวชาญมาประเมินและเสนอราคาให้ฉันหนึ่งล้านดอลลาร์แลกกับของชิ้นนี้!!!!!!!!

พ่อจึงกล่าวกับลูกชายว่า

:ข้าต้องการสอนเจ้าว่า  สถานที่ที่ถูกต้องจะประเมินค่าของเจ้าอย่างถูกต้อง

ดังนั้นเจ้าอย่าได้วางตัวเจ้าผิดที่ผิดทางแล้วโมโหโทโสว่าคนอื่นไม่ให้เกียรตเจ้า.

คนที่รู้ค่าของเจ้าเท่านั้นที่จะให้เกียรติเจ้า ดังนั้นอย่าอยู่ในที่ที่ไม่เหมาะกับเจ้า.

Cr.มหาลัยชีวิตดอทคอม

Wednesday, October 2, 2019

3 types of kids

ยิ่งโต ความสุข ความอยากเรียนรู้ หายไปทุกที......

เลี้ยงลูกมาแบบที่คุณหมอสอนโพสต์ก่อน เล่นเต็มที่
เสริมวิชาการตามธรรมชาติ ลูกกระตือรือร้น ชอบเรียนรู้

เข้ารร.ยิ่งโต แววตาความสุข ความกระตือรือร้น หายไปเรื่อยๆ
กลายเป็นดีใจปิดเทอม ดีใจวันศุกร์ วันจันทร์อีกแล้วเหรอ
เรียนไปตามหน้าที่ เมื่อก่อน ไม่ใช่แบบนี้ !!!

ยังไงเราก็ต้องอยู่กับระบบนี้ เสียดายสิ่งที่สะสมมาอย่างดี
อยากให้ลูกมีความสุขกับระบบการศึกษาแบบไทยๆ
มีเป้าหมาย กระตือรือร้น รู้ว่าตัวเองชอบอะไร
ทำยังไงดีคะ คุณหมอ ??
.

.
การอยู่ในระบบการศึกษาไทยได้อย่างมีความสุข
และไม่ถูกเด็ดปีกไปก่อน
พ่อแม่ต้องรู้ธรรมชาติลูกตัวเอง
ต้องมีใจหนักแน่น รู้เป้าหมายตัวเองชัด
และหมอขอแนะนำวิธีการช่วยลูก ให้อยู่ในโรงเรียน
ภายใต้ภาวะที่เราคิดว่าไม่เหมาะในการพัฒนาเด็ก !!
ช่วยพัฒนาเด็ก และให้เด็กอยู่ได้อย่างมีความสุข ในแบบที่เค้าควรจะเป็นนะคะ <3
.
1. ธรรมชาติของเด็ก มีผลกับความสุขที่ รร.
เด็กไม่ได้ผิด ผิดที่ระบบการวัดผล !!
เด็กทุกคนมีธรรมชาติที่แตกต่างกัน เขามีเอกลักษณ์ในตัว
ทุกคนในโลกนี้ มีสิ่งดีๆติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด
ธรรมชาติตั้งใจให้สิ่งหลากหลายเหล่านั้นมา เพื่อพัฒนาโลก

ลองคิดดูว่า
ถ้าทุกคนได้รับคุณสมบัติมาเหมือนกันทุกประการสิคะ
เราจะพัฒนาชาติ หรือพัฒนาโลกให้ก้าวหน้าได้ยังไง
แต่ตอนนี้ เรากำลังพยายาม เอาทุกคนมาลงบล็อก หล่อออกไปให้ทุกคนเป็นแบบเดียวกัน !!
.
บทเรียนจาก Napoleon Hill
ผู้เขียนหนังสือ “ศาสตร์แห่งความสำเร็จ” ฉบับสมบูรณ์ที่สุดของโลก !!
ศึกษาคุณสมบัติของคนสำเร็จระดับสูงของโลก ที่มีเหมือนกันออกมาสอนคน
สอนให้ ดึงเอาคุณสมบัติดีๆ ของแต่ละคนมาทำงานร่วมกัน
สอนให้ตัดทัศนคติที่เหนี่ยวรั้งความสำเร็จ ของเรา นั่นคือ
“การแข่งขัน เปรียบเทียบ”
ซึ่งเป็นทางที่เรากำลังฝังทัศนคติที่ผิด
ให้กับเด็กของเรามากขึ้นทุกวัน !!
.
เด็กกลุ่มที่ 1 เด็กที่มีธรรมชาติ ตรงกับระบบวัดผลในโรงเรียน
ชอบวิชาการ สนุกกับการอ่าน “หนังสือเรียน”
เด็กกลุ่มนี้ จะรู้สึกว่า เราเก่ง เรามีความสามารถ
ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดี
แต่อีกแง่มุมหนึ่ง สิ่งที่ต้องพึงระวังและต้องให้เด็กได้คิดอยู่เสมอ
สิ่งที่ลูกเก่งอยู่ในขณะนี้ คือความสามารถด้านเดียว
ลูกอาจจำเนื้อหาเก่ง อ่านหนังสือเก่ง หรือทำข้อสอบเก่ง
.
Napoleon Hill เขียนบอกพ่อแม่ให้สอนเด็กๆว่า...
จงสอนเด็กว่า โรงเรียนทุกแห่งและตำราทุกเล่ม
คือเครื่องมือที่อาจจะมีประโยชน์
ในการพัฒนา “ความคิด” ของพวกเขา
แต่โรงเรียนเดียวที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง คือ
"มหาวิทยาลัยแห่งชีวิต"
ที่ซึ่งเรา ได้รับสิทธิพิเศษในการเรียนรู้จาก “ประสบการณ์” <3
.
Dr.Hillกล่าวว่า..สิ่งสำคัญของการศึกษา ไม่ใช่ความรู้ที่มากมาย ))
มนุษย์ไม่ได้ประสบความสำเร็จ "แค่จากสิ่งที่เขารู้"
แต่มนุษย์จะประสบความสำเร็จหรือได้รับค่าตอบแทน
"จากการที่เขา (( ลงมือทำ )) จากสิ่งที่เขารู้"
สิ่งที่ Dr.Hillสอน คือคำพูดที่เรามักได้ยินเพื่อเตือนใจ เสมอว่า
เรียนเก่ง เกรดดี ไม่ได้การันตี ความสำเร็จ !!
.
<3 เพราะฉะนั้น พ่อแม่ต้องเปิดโอกาสเด็ก
ให้ได้เรียนรู้จากประสบการณ์
เรียนรู้จากการลงมือทำในชีวิตจริงเยอะๆ แทนการ ทุ่มเทเวลา
ฝึกแต่ในกระดาษ เรียนรู้แค่ในห้องสี่เหลี่ยม <3
.
สิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้กับเด็กเก่งในโรงเรียนคือ เชี่ยวชาญในการ"เรียนรู้วิธีคิดของคนอื่น"
เขาเคยชินกับระบบที่ต้องทำให้ถูกมากที่สุด
คนตอบถูก ไม่ผิดเลย ได้คะแนนเยอะ คือคนเก่ง

(แต่ในชีวิตจริง เป็นไปไม่ได้ ที่เราจะทำได้ถูกไปซะหมด
และความผิดพลาดนี่แหละ ที่จะเป็นบันไดให้เราเรียนรู้และพัฒนาขึ้น)

ระบบอาจหล่อหลอมให้เด็กกลุ่มนี้ จริงๆคือ เด็กที่อยู่ในระบบการศึกษาแบบนี้
กลัว ไม่กล้าคิด หรือลองทำสิ่งใหม่ๆ
และอาจติดกรอบ ชิน ในการเรียนรู้ ทำตามวิธีคิดของคนอื่น

แต่ในชีวิตจริง ต้องการคนคิดนอกกรอบ แตกต่าง สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ !!
.
ในด้านการเรียน เด็กเก่ง อาจถูกคาดหวังจากพ่อแม่ จากสังคม
ให้เรียนคณะกระแสนิยม ซึ่งพอมาถึงช่วงเวลาของการทำงาน การใช้ชีวิตจริงๆ
อาจไม่เหมาะกับ วิถีชีวิต life style ที่แต่ละคนชอบแตกต่างกัน
ทำให้เขาไม่ได้ใช้ศักยภาพที่แท้จริงที่เขารัก เขาถนัด
และความสุขถูกกระทบ จากวิถีชีวิตที่ไม่เป็นอย่างที่ตัวเองฝัน
ใช้ชีวิตตามความคาดหวังของคนอื่น พ่อแม่ กระแสสังคม
และลึกๆแล้ว มนุษย์ทุกคนจะยังไม่มีความสุข หรือได้รับการเติมเต็มอย่างแท้จริง
ถ้าเขายังหาสิ่งที่รักไม่เจอ หรือไม่ได้ลงมือทำในสิ่งที่เขารัก <3 <3
.
หรือที่หมอเคยเขียน หมอเคยคุยกับหมอวิแบบขำๆ กันว่า
ตอนเป็นเด็ก เราคิดว่า เราทำหน้าที่ได้ดีมาตลอด
เรียนดี สอบได้ จบการศึกษา สารภาพว่า..เราเคยคิดกันว่า
นี่คือ ประสบความสำเร็จแล้ว ))) :)
.
เมื่อตื่นจากฝัน เราพบว่า มันเป็นเพียงแค่ การเริ่มต้นของชีวิต
มันเป็นแค่ 1 ด้านของชีวิต “สำเร็จในรั้วสถานศึกษา”
ยังมีด้านอื่นๆ ในชีวิตจริง เช่น การงาน ความสัมพันธ์ สุขภาพ
การเงิน จิตใจ อารมณ์ ทักษะความสำเร็จและด้านจิตวิญญาณ (spiritual)
ที่เราต้องเรียนรู้ พัฒนา เพราะถ้าเรามีปัญหาหรือไม่ได้พัฒนาด้านไหน
ปัญหานั้นจะเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกับชีวิตเราไปหมด !!
ขาดสมดุล ไม่ประสบความสำเร็จ อาจกระทบกับความสุขในชีวิต
.
การพัฒนาเด็กกลุ่มนี้ คือ แนะนำเขาว่า
ลูกทำได้ดีเรื่องนี้ แม่ชื่นชมและดีใจไปกับลูก แต่นี่ไม่ใช่ทั้งหมดในชีวิตเรา
มีสิ่งสำคัญมากๆ ที่ลูกควรพัฒนาเพิ่ม
นอกจากหาจุดเด่นด้านอื่นๆของลูกที่โรงเรียนไม่ได้วัด และพัฒนาให้ชัดขึ้นแล้ว
คือ ต้องแบ่งเวลาพัฒนาทักษะที่จำเป็นในชีวิตด้านอื่นๆ ซึ่งในชีวิตจริงๆ ต้องใช้ด้วย !!
เช่น ทักษะชีวิต ทักษะเอาตัวรอด ทักษะความสำเร็จ ทักษะในยุคศตวรรษที่ 21
ทักษะการเป็นเจ้านายอารมณ์ ทักษะการเงิน สุขภาพ ความสัมพันธ์ จิตวิญญาณ (spiritual)
เรื่องเหล่านี้สำคัญกับชีวิตมาก ได้ใช้แน่ๆ
รร.ไม่ได้สอน พ่อแม่ต้องสอนเอง !!
จากประสบการณ์ การจัดแบ่งเวลาเพื่อให้ลูกได้ฝึกฝนพัฒนาตนเองด้านต่างๆ ของหมอกับลูก
ตั้งแต่เล็กๆ ค่อยเป็นค่อยไป จนลูกมีทักษะเหล่านี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต้องใช้เวลามากเช่นกัน <3 <3
.
เด็กกลุ่มที่ 2 อาจมีคุณสมบัติเด่นเรื่องอื่น
แต่เมื่อไม่ได้รับการส่งเสริม หรือเจอเครื่องตัด ทริม
คุณสมบัติเหล่านั้น ออกไป
ให้เด็กทุกคนออกมาเหมือนกันหมด
เด็กจะใช้ความพยายามเพื่อให้ตัวเองเก่งเรื่องที่รร.วัด
ใช้เวลามากขึ้น เพื่อให้ตัวเองมีความรู้เยอะขึ้น จำเก่งขึ้น ทำข้อสอบได้ดีขึ้น
อาจด้วยการเรียนพิเศษเยอะขึ้น หรือพยายามอ่านและใช้เวลากับการเรียนมากกว่าอีกกลุ่ม
ศักยภาพมนุษย์ ไม่ว่าเราใช้เวลากับเรื่องไหนมาก เราก็จะเก่งเรื่องนั้นมากขึ้นเป็นธรรมดา :)
.
เด็กกลุ่มนี้ หมอมองว่า ข้อดีที่เกิดขึ้น คือ เขาจะได้พัฒนาความมุ่งมั่น
ความอดทน ความขยัน ความมีวินัยในตัว
โอกาสดีที่เกิดขึ้นกับเด็กกลุ่มนี้ได้ คือ การมี growth mindset ที่หมอเคยโพสต์ไป
คือ รู้สึกว่าเราเก่งขึ้นได้ เราพัฒนาได้ ถ้าเรามุ่งมั่นตั้งใจ ไม่มีเรื่องอะไรที่เราทำไม่ได้ !!
ซึ่งคุณสมบัตินี้ จะติดตัวและสามารถไปใช้กับเรื่องอื่นในชีวิตที่นอกเหนือจากการเรียน
อันนี้ หมอพูดจากประสบการณ์ตัวเองนะคะเพราะหมอคิดว่า ตัวเองก็เป็นเด็กในกลุ่มนี้ :) :)
ที่ใช้การเรียนพัฒนาตัวเอง จนมี growth mindset ไปใช้กับด้านอื่นๆของชีวิตด้วย <3
.
เด็กกลุ่มนี้ ถ้าอยู่ในช่วงที่เขาพัฒนาตัวเอง
เขาจะรู้สึกยากลำบากเล็กน้อยจนไปถึงมาก ขึ้นกับความถนัดตามที่รร.วัดมากน้อย
ในตอนที่เรียน “ความเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง”
อาจถูกกระทบทำให้รู้สึกว่า เราเป็นคนไม่เก่ง
เพราะเขาต้องใช้ความพยายามมากเหลือเกินและตอนนี้
ก็ยังไม่สัมฤทธิ์ผล
ถ้าไม่ได้รับการเสริมสร้างถูกวิธี ไม่ได้รับการพัฒนาต่อ
เด็กส่วนหนึ่ง จะถูกเด็ดปีกให้อยู่อย่างหมดพลัง
ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ด้วยความที่รู้สึกว่า เราไม่เก่ง เราได้แค่นี้
ทั้งที่จริง ไม่ใช่ !! มนุษย์ทุกคนมีความสามารถ
ทุกคนมี “ของ” ดีๆในตัว ที่เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์กับโลกใบนี้ได้ <3 <3
.
เด็กกลุ่มนี้ ถ้าเด็กถูกตัด ถูกทริมปีกออกแล้ว
และเขาสามารถพัฒนาตัวเองให้อยู่ในกลุ่มคล้ายกับกลุ่มแรก
ต่างกันที่ ต้องใช้ความพยายามมากกว่า
การพัฒนาก็คล้ายกับกลุ่มแรก
แต่พ่อแม่ ต้องย้ำให้ลูกรู้ชัดว่า..
การเรียนที่รร.เป็นแค่ส่วนหนึ่งในชีวิต
เราไม่จำเป็นต้องไปฝังจิต ฝังใจ ทุ่มเท จนหมดเวลาไปกับสิ่งนี้มากเกินไป
เกรด ลำดับที่ ไม่ได้การันตีว่า คนจะประสบความสำเร็จ
ชีวิตจริง ต้องการทักษะหลายอย่างกว่านั้น
สิ่งดีๆ ที่ลูกมีในตัว มีเยอะแยะ
หาสิ่งที่ลูกรัก ลูกถนัด พัฒนามันให้ชัดขึ้น
เด็กจะเริ่มเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง
เกิดความเคารพนับถือตัวเอง
รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง และนำคุณสมบัติภายในนี้ไปพัฒนาตัวเองได้ต่อ ไม่ว่าด้านไหน
และสนับสนุนให้ลูกได้พัฒนาทักษะต่างๆที่จำเป็น ที่ชีวิตจริงต้องใช้ !!
.
เด็กกลุ่มที่ 3 การวัดในแบบรร.ไม่ใช่ทางของเขาเลย
เขามีจุดเด่นด้านอื่นๆ ที่รร.ไม่ได้วัด
ถ้าพ่อแม่เด็กกลุ่มนี้ ปล่อยเขาไว้ตามระบบ
เด็กกลุ่มนี้ จะไม่มีความสุขในโรงเรียนมากที่สุด
เขาจะถูกให้ความสำคัญเป็นอันดับหลัง
ถูกจัดไว้ในตำแหน่งท้ายๆ
ระบบจะตอกย้ำ เขาเสมอว่า..เขาไม่เก่ง ไม่มีความสามารถ
ไม่มีความสำคัญ !!
ธรรมชาติมนุษย์ ต้องการการยอมรับ เราทุกคนต้องการเป็นคนสำคัญ
พ่อแม่ติดปีก อ่านในหนังสือแล้วนะคะ นี่คือบันไดสำคัญในการพัฒนาเด็ก <3
ระบบกำลังทำลายคนสำคัญกลุ่มใหญ่ ที่มีสิ่งดีๆในตัว
ด้วยความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเด็กเหล่านี้...
.
พ่อแม่สามารถช่วยเขาพัฒนา
ด้วยการย้ำกับเขาเสมอว่า เขามีดีหลากหลายอย่างในตัว
ด้วยหลักคิดที่ 17-22สิ่งที่เด่นของหลักคิดเหล่านี้ คือ
การ ไฮไลท์สิ่งดีของลูกให้เด่นขึ้น ให้เด็กๆเชื่อว่า “ฉันทำได้”
และหลักคิดเรื่อง self esteem สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ต้องทำให้ได้ !!
.
=> การวัดในรร.เป็นแค่ด้านหนึ่ง ซึ่งไม่ตรงกับด้านที่ลูกมี
และยกตัวอย่าง คนที่ไม่ได้เก่ง ไม่ได้เกรดดี ในรร.
แต่ประสบความสำเร็จได้ในโลกของความเป็นจริง
ลูกเอง แม่ก็เชื่อว่า ลูกก็ทำได้เช่นกัน <3 <3
อย่าปล่อยให้โรงเรียนหรือระบบการศึกษา เด็ดปีกลูกๆของเรานะคะ <3

=> พ่อแม่เอาตัวเองให้ชัด เป้าหมายเราคืออะไร
ความสุขของพ่อแม่ มักถูกกระทบ
เมื่อเรารู้สึกว่า เป็นทางที่ไม่ใช่ แต่เราต้องทำ !!
.
หากเรารู้ว่า ระบบการศึกษามีปัญหา
เราก็จงสนใจ ให้ความสำคัญกับระบบที่มาวัดลูกให้น้อยลง
รู้ตัวเสมอว่า เรากำลังมุ่งหน้าไปทางไหน
.
เริ่มต้นด้วยการแสดงให้ลูกรู้ ทั้งคำพูด สีหน้า ท่าทาง
ว่าคุณค่าที่แม่ให้ ไม่ใช่เรื่องเกรด ลำดับที่ คะแนน การสอบแข่งขัน
ชื่นชมคุณสมบัติดีๆด้านอื่นๆ ของลูก ชื่นชมจุดเด่น ข้อดีที่เขามีในตัว
พ่อแม่ต้องพัฒนาสายตาเรดาห์มองหา เพื่อให้มองเห็นสิ่งดีๆในตัวลูก
และไฮไลท์สิ่งนั้นให้เด่นชัดขึ้น ให้ลูกรู้สึกว่า เขามีดีในตัวมากมาย
ต้องไม่มีการเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น
.
หรือให้ลูกใช้เวลากับการเรียนทั้งวัน มาต่อด้วยเรียนพิเศษตอนเย็น
เสาร์ อาทิตย์ก็ไม่ต้องหยุด เพราะเป้าหมาย เรื่องเรียน การสอบให้ได้ คือชีวิตทั้งหมด !!
เด็กสัมผัสได้ ว่าเราให้ความสำคัญเรื่องอะไร
.
สนับสนุนให้ลูกได้ใช้เวลาในการพัฒนาทักษะที่หลากหลาย
ทักษะที่จำเป็นที่ต้องใช้ในชีวิตจริง ได้ฝึกฝน ลงมือทำเพื่อให้เกิดประสบการณ์
แทนการใช้เวลามากๆในห้องเรียน หรือฝึกฝนแค่ในกระดาษ
.
มีคนบอกว่า..ระบบไทย ยังไงก็ต้องจำ ต้องอ่าน ต้องท่อง เพื่อให้สอบเข้าได้
หนีไม่พ้น ยังไงก็ต้องไปติว ไปเรียนพิเศษ ไม่งั้นสอบไม่ได้ เรียนไม่ทันเค้า

หมอมองว่า...สิ่งสำคัญในการพัฒนาเด็กเรื่องการเรียน
ควรพัฒนาเด็กจากภายใน เช่น สร้างคุณสมบัติรักการอ่าน
พัฒนาภาษา การค้นหาข้อมูล คงคุณสมบัติอยากเรียนรู้ของเด็กไว้ให้มากที่สุด
ให้เขาสนุกกับการเรียนรู้ ปลูกฝัง growth mindset ว่า
ไม่ว่าลูกอยากเก่ง อยากพัฒนาเรื่องไหน ลูกทำได้หมด !!
ขอให้มีความมุ่งมั่น พยายาม ไม่ล้มเลิก ลูกทำได้ทุกอย่าง ขอเพียงลูกตั้งใจ..
สร้างแรงบันดาลใจ แรงขับดันจากภายใน
ให้เด็กพยายามฝึกฝนการเรียนด้วยตนเองให้มากที่สุด
.
การอยากเรียนรู้ เป็นธรรมชาติของเด็กทุกคน
แต่พอมาเจอการเรียนที่ไม่สนุก ไม่เข้ากับสไตล์การเรียนของเรา
เช่น นั่งจด อ่านตัวหนังสือเยอะๆ ทำข้อสอบ จำเนื้อหามากมาย
ทำให้เด็กคิดว่า การเรียนคือเรื่องเหนื่อยหนัก ไม่สนุก
ติดทัศนคตินี้จนไปถึงตอนทำงาน ก็คิดว่าการทำงานคือเรื่องเหนื่อยหนัก ไม่สนุก
ซึ่งไม่จริง คนที่ได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก
ตัวเองชอบ การทำงานเป็นเรื่องสนุกมากกกกก <3 <3
(ชีวิตคนเราจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องสำคัญ แต่อาจเป็นเรื่องที่เราไม่ได้ชอบ ไม่ถนัด
หมอมักให้ลูกหาวิธีการเรียนรู้เรื่องเหล่านั้นให้สนุกแบบของตัวเอง)
เมื่อมีแรงขับดันภายใน มีสิ่งต่างๆ ที่เขียนมาข้างบน
ไม่ว่าจะสอบหรือพัฒนาชีวิตด้านไหนก็ทำได้ไม่ยาก !!
.
หมอเคยให้ข้อมูล การให้เด็กเรียนพิเศษ เหมือนกับการใส่ห่วงยางให้เด็กว่ายน้ำ
อาจถึงที่หมายจริง แต่ไม่ได้ว่ายด้วยตนเอง
ลองอ่านดูในโพสต์ เลี้ยงลูกให้มีหลากหลาย app ดูนะคะ <3
.
สำหรับหมอมองว่า ติวบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าติวแบบ เอาเป็นเอาตาย
ติวตลอดเวลา จนไม่มีเวลาจะมาเรียนเอง ทบทวนเอง มาพัฒนาทักษะอย่างอื่น แบบเด็กยุคนี้
เขากำลังถูกหล่อหลอมให้เคยชินกับการ "ป้อน"
ไม่ได้พัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ซึ่งเป็นทักษะสำคัญมาก
เพราะมนุษย์ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต !!
.
พ่อแม่เอาเป้าหมายให้ชัด เปิดโอกาสให้ลูกพัฒนาทักษะหลากหลาย
ให้พื้นที่เขาในการค้นหาตัวตน สนับสนุนให้เขาเอาสิ่งที่เขารัก เขาถนัด
มาพัฒนาเป็นอาชีพ มาสร้างงานของตัวเอง <3 <3
.
ในวันที่โลกก้าวหน้า จนเราแทบจินตนาการไม่ได้ หมอเองยังไม่คิดว่า
จะได้พูดคุยกับเพื่อนในอีกซีกโลกนึงได้ง่าย ได้วีดีโอคอล เห็นหน้าคนอยู่ไกลได้แบบทุกวันนี้
แล้วยุคของลูกล่ะ งานบางอย่างอาจจะหายไป รูปแบบอาชีพ การใช้ชีวิตอาจไม่ใช่แบบที่เราคิด
.
คนที่ได้รับการฝึกฝนให้เรียนรู้โดยการคิดสร้างสรรค์ ลงมือทำ
ให้เกิดประสบการณ์ เกิดทักษะต่างๆติดตัว
เขาจะเติบโตมาในแบบที่ "สร้างงานเอง" แทนการ "หางาน"
ถ้าเขาได้ฝึกฝนทักษะที่หมอเขียนมาข้างบน เขาจะมีความคิดแตกต่าง สร้างสรรค์ มีความเป็นผู้นำ
รู้จักดึงเอาจุดเด่นของคนที่เก่งในการ "เรียนรู้วิธีคิดของคนอื่น"
มาเรียนรู้วิธีคิดของเขา และนำมาช่วยงานของเขาให้เกิดประโยชน์กับโลกได้
คนที่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก ตัวเองถนัด สิ่งแรกที่ได้รับคือความสุข
และย่อมทำได้ดีกว่าคนไม่ชอบ ไม่ถนัดแน่ๆ <3 <3
โอกาสจะประสบความสำเร็จก็ย่อมมีมากกว่า
คนที่มีทักษะในชีวิตทุกด้าน จัดสมดุลในชีวิตได้ดี ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปแค่ไหน
ถ้าพ่อแม่ได้มอบของขวัญอันล้ำค่า ติดตัวเขาไปใช้ ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล

เรียนรู้ธรรมชาติของลูก พัฒนาเค้าไปในแบบที่เค้าเป็น
สัญญานะ เรา..จะไม่เด็ดปีกลูก

ด้วยความรัก
หมอภา/Jeerapa prapaspong

Friday, September 27, 2019

Point of view

ถ้าคุณเล็งไปที่ปัญหา
คุณจะมองเห็นแต่ปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าคุณเล็งไปที่ความเป็นไปได้
คุณจะเห็นโอกาส เห็นหลายสิ่งที่เป็นไปได้

Lift

"ความเข้าใจ" สำคัญกว่า "ประสบการณ์"
.
- เมื่อบริษัทลิฟท์ถูกบ่นว่าช้า
แต่ทางบริษัท "ไม่ได้ติดตัวใหม่ให้เร็วขึ้น"
แต่ติดกระจกเข้าไปภายใน เพราะเข้าใจว่าคนเราชอบดูตัวเอง
จากที่คนบ่นว่าช้า ก็แก้ปัญหาได้ถึง 90%
เพราะคนมัวแต่ส่องตัวเอง จนไม่รู้ว่าอยู่ชั้นอะไร หรือลิฟท์ไปเร็วหรือช้าแค่ไหน
.
- “กระจกที่อยู่ในลิฟท์ ไม่ได้มีไว้เพื่อให้คนมาส่อง เเต่มีไว้เพื่อทำให้ลิฟท์เร็วขึ้น”
.
- เรื่องนี้เกิดขึ้นจากหัวหน้าฝ่ายอาคารสถานที่ของตึกสำนักงานให้เช่าเเห่งหนึ่ง ได้รับเรื่องร้องเรียนหนักจากงานบริษัทที่เช่าตึกเกี่ยวกับปัญหา “ลิฟท์ช้า” อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งนับวันก็ยิ่งมีผู้ร้องเรียนเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มบานปลายเป็นปัญหาใหญ่โต
.
- หัวหน้าฝ่ายฯจึงเรียกทีมวิศวกรจากบริษัทที่ติดตั้งลิฟท์มาหาวิธีทำให้ลิฟท์เร็วขึ้น
.
- หลังจากทีมวิศวกรได้ตรวจสอบลิฟท์อย่างละเอียดเเล้ว ก็ได้มาบอกกับหัวหน้าฝ่ายฯว่า “วิธีเดียวที่จะทำให้ลิฟท์เร็วขึ้นได้ คือการเปลี่ยนลิฟท์รุ่นใหม่ที่เร็วกว่า” ซึ่งเเน่นอนว่าราคาของลิฟท์ใหม่นั้นไม่ใช่ถูกๆ เพราะอย่างต่ำก็อยู่ที่ประมาณ 7 หลัก
.
- หัวหน้าฝ่ายฯ จึงส่งเรื่องขอเปลี่ยนลิฟท์ใหม่ไปยังผู้จัดการของตึกสำนักงานเเห่งนี้
.
- เมื่อผู้จัดการได้รับเรื่องดังกล่าว จึงตัดสินใจเข้าไปทดลองใช้ลิฟท์ที่สำนักงานพร้อมกับพนักงานคนอื่นๆที่ร้องเรียนเข้ามา
.
- เมื่อเข้าไปในลิฟท์เเล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทุกคนอัดกันในลิฟท์จนเเน่นไปหมด เเถมยังต้องอยู่ร่วมกับคนไม่รู้จัก
.
- นั่นจึงทำให้ผู้จัดการค้นพบว่า “ปัญหาที่เเท้จริงไม่ใช่เพราะลิฟท์ช้า เเต่เป็นเพราะคนไม่ชอบประสบการณ์ตอนอยู่ในลิฟท์” เเละ “คนก็ไม่ได้ต้องการลิฟท์ที่เร็ว เเต่คนไม่ต้องการรอลิฟท์” ต่างหาก
.
- วันรุ่งขึ้นผู้จัดการจึงสั่งให้ช่างมาติด “กระจก” บานใหญ่บนผนังทุกด้านภายในลิฟท์
.
- กระจกที่ติดอยู่ในลิฟท์ได้เข้าไปเปลี่ยนประสบการณ์การของการใช้ลิฟท์ "ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าเวลาที่อยู่ในลิฟท์นั้นสั้นลง" ไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังรอลิฟท์นานๆ  เพราะมัวเเต่ส่องกระจกอยู่
.
- ผลปรากฎว่าเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาลิฟท์ช้านั้นลดลงถึง 90% เพราะลึกๆ เเล้วมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบดูตัวเอง เห็นกระจกที่ไหนก็มักจะส่องดูตัวเองเสมอ
.
- “กระจก” จึงกลายเป็นนวัตกรรมที่ทำให้ลิฟท์เร็วขึ้น ทั้งๆที่ไม่ได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานของลิฟท์เลย
.
- การเเก้ปัญหาของผู้จัดการ เกิดจากการเข้าใจถึงความต้องการลึกๆจริงๆของคน  ไม่ใช่เเค่การฟังจากสิ่งที่คนพูดเท่านั้น
.
- เพราะผู้ใช้ไม่มีทางรู้หรอกว่าเขาต้องการอะไร จนกว่าเขาจะได้เห็นสิ่งนั้น อย่างคำกล่าวของ Peter Drucker ที่ว่า “สุดยอดของการฟัง คือการฟังให้ได้ยินในสิ่งที่ลูกค้าไม่ได้พูด”
.
.
#BusinessClub
#ไปให้ถึง100ล้าน