Tuesday, June 16, 2015

ตะกั่ว

คร.เตือนภัยร้ายใกล้ตัว! ภาวะพิษจากสารตะกั่ว พบปนเปื้อนทั่วไป เสี่ยงสูงในวัยทำงานรับผลกระทบมากสุด หวั่นปัญหาวินิจฉัยอาการยาก รักษาแบบประคับประคองเท่านั้น....

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2557 นายแพทย์ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากการเฝ้าระวังโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม พบว่า ภาวะพิษจากโลหะหนัก (Heavy metal poisoning) พบจำนวนมากขึ้นทุกปี ตั้งแต่ปี 2546-2554 พบผู้ป่วยทั้งหมด 49 ราย เฉลี่ยปีละ 7 ราย จําแนกเป็น พิษสารตะกั่ว 27 ราย ร้อยละ 55.10, แคดเมียม 7 ราย ร้อยละ 14.28, ดีบุกและส่วนประกอบ 5 ราย ร้อยละ 10.2, สารหนู 4 ราย, ทองแดง 1 ราย อื่น ๆ ไม่ระบุ 5 ราย ผู้ป่วยพิษโลหะหนัก ส่วนใหญ่ มีอาชีพรับจ้าง และในเด็ก พบการสัมผัสสารตะกั่วสูงขึ้น ซึ่งตะกั่ว เป็นโลหะหนักที่มีลักษณะอ่อนทำให้หลอมเหลวได้ง่าย และสามารถพิมพ์แบบออกมาเป็นรูปร่างต่างๆ ได้ดี จึงนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ภาวะตะกั่วเป็นพิษเป็นโรคที่พบได้บ่อยในประเทศไทย เพราะตะกั่วเป็นสารที่พบปนเปื้อนทั่วไป อาการของตะกั่วเป็นพิษเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับอวัยวะหลายระบบ และคล้ายกับอาการของโรคอื่นๆ ดังนั้นถ้าแพทย์ไม่ได้นึกถึงทำให้การวินิจฉัยผิดพลาด

ในสมัยก่อนเด็กเป็นโรคพิษตะกั่วจากการรับประทานสีทาบ้าน หรือใช้มือจับของที่ติดสีดังกล่าว ในปัจจุบันแหล่งที่สำคัญที่ทำให้เกิดพิษตะกั่วในประชาชนวัยทำงาน เช่น การทำงานในโรงงานทำแบตเตอรี่ โรงงานทำเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับประชาชนทั่วไป และเด็กอาจได้รับตะกั่ว จากอากาศ ยาสมุนไพร ภาชนะเซรามิกที่มีตะกั่ว ท่อประปาที่ทำด้วยตะกั่ว หมึก ผลิตภัณฑ์จากแบตเตอรี่ อาหารที่มีตะกั่วปนเปื้อน แป้งทาตัวเด็ก สีที่ทาของใช้ของเล่นเด็ก เป็นต้น

นายแพทย์ศิริวัฒน์ กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุข จึงร่วมกับเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น องค์การอนามัยโลก สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี สถาบันศึกษาต่างๆ สมาคมผู้ผลิตสีไทย เป็นต้น ร่วมดำเนินการและรณรงค์ลดความเสี่ยงในการได้รับพิษจากสารตะกั่วทั้งในเด็กและประชาชนทั่วไป

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้มีการพัฒนาระบบเฝ้าระวังโรคพิษจากสารตะกั่ว การติดตามสอบสวน ค้นหาหาสาเหตุของโรค และเพื่อหาแนวทางการวางแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคและภัยสุขภาพ โดยเฉพาะในที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง จากการทํางานและการได้รับสัมผัสสารมลพิษที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม รวมทั้งในเด็ก

ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สารตะกั่วเข้าสู่ร่างกาย 1. ทางปาก เป็นทางเข้าสู่ร่างกายเนื่องจากคนงานเอง เช่น สูบบุหรี่ รับประทานอาหารในโรงอาหารในโรงงานซึ่งมีตะกั่วอยู่ในบรรยากาศ 2. ทางการหายใจ โดยการสูดเอาฝุ่น ควัน ไอระเหย ของตะกั่วที่นำมาใช้แล้ว ขาดการป้องกันควบคุมอย่างถูกต้อง และเหมาะสม ทำให้ควันเหล่านั้นแพร่กระจายไปในสิ่งแวดล้อมของการทำงาน 3. ทางผิวหนัง มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ทำงานกับน้ำมันเบนซิน เช่น ช่างฟิต เป็นต้น

เนื่องจากตะกั่วในน้ำมันเบนซิน ซึ่งเป็นตะกั่วอินทรีย์สามารถดูดซึมผ่านผิวหนังได้ดี อาการตะกั่วเป็นพิษมักจะค่อยเป็นค่อยไป คือ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หงุดหงิดง่าย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้องบริเวณรอบสะดือ ท้องผูก โลหิตจาง มึนชาอวัยวะแขนขา บางคนอาจมาด้วยอาการความจำถดถอย ไม่มีสมาธิ ในรายที่มีระดับตะกั่วสูงมากผู้ป่วยอาจมีอาการชัก ซึม หมดสติ และเสียชีวิต เป็นต้น อาการต่างๆ เหล่านี้บ่อยครั้งเป็นแบบไม่จำเพาะ ทำให้การวินิจฉัยยาก ดังนั้นจึงควรจะต้องนึกถึงภาวะตะกั่วเป็นพิษเสมอ ถ้าคนไข้มาด้วยอาการดังกล่าว

นอกจากนี้ มีการศึกษาผลกระทบของตะกั่วของการพัฒนาการในเด็ก พบว่า อาจจะทำให้การพัฒนาทางสติปัญญาด้อยลง การวินิจฉัย การวินิจฉัยภาวะตะกั่วเป็นพิษอาจทำได้ยาก เพราะอาการแสดงหลากหลาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการหลายอย่าง ซึ่งแต่ละอย่างต้องอาศัยการแปลผลจำเพาะ

การรักษาผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากสารตะกั่วเป็นแบบประคับประคอง ผู้ป่วยที่มีภาวะเป็นพิษอาจมีอาการหลายระบบเช่น ชัก ปัญหาโรคตับ โรคไต อาการปวดท้อง และอื่นๆ ซึ่งจะต้องประคับประคองให้ดี สำหรับการป้องกัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนงานที่ทำงานเกี่ยวข้องกับตะกั่วและกลุ่มที่มีอัตราเสี่ยงสูง โดยการรักษาความสะอาดร่างกาย การใส่หน้ากากป้องกันการหายใจเอาตะกั่วเข้าไป และควรจะเฝ้าระวังการเกิดพิษตะกั่วโดยการตรวจร่างกาย และตรวจวัดระดับตะกั่วเป็นประจำ

"ทั้งนี้ ถ้ามีอาการเจ็บป่วยเหล่านี้เรื้อรัง เช่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หงุดหงิดง่าย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้องบริเวณรอบสะดือ ท้องผูก โลหิตจาง มึนชาอวัยวะแขนขา บางคนอาจมาด้วยอาการความจำถดถอย ไม่มีสมาธิ ในรายที่มีระดับตะกั่วสูงมากผู้ป่วยอาจมีอาการชัก ซึม หมดสติ ควรรีบมาพบแพทย์ ประชาชนที่มีความสนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม โทร 0-2591 8172 หรือ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422" นายแพทย์โสภณกล่าว.

ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/458500

Monday, June 15, 2015

ธุรกิจใหม่

ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่อยากตั้งตัวสร้างธุรกิจของตัวเอง นี่เป็นข้อแนะนำของผม

1. จุดเริ่มต้น คุณต้องถามตัวเองว่า

Why the world need another restaurant brand?
Why the world need another consulting firm?
Why the world need another digital agency?
........

ทำไมโลกต้องการร้านอาหารใหม่อีกหนึ่งร้าน
ทำไมโลกต้องการบริษัทที่ปรึกษาอีกหนึ่งบริษัท
ทำไมโลกต้องการ Digital agency อีกหนึ่งบริษัท

ถ้าคุณยังตอบคำถามนี้ไม่ได้ โอกาสที่คุณจะประสบความสำเร็จยากมาก

การจะตอบคำถามนี้ได้ คุณต้องมี Point of view ที่มีเฉพาะตัวที่คุณมี และคนอื่นไม่มีเหมือนคุณ

ตอนที่ผมตั้งบริษัทของผมทั้งสองบริษัท ผมเริ่มต้นจากการคิดเรื่องนี้ ซึ่งใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงก็คิดออก

Point of view เปรียบเสมือนประภาคารที่ทำให้คุณฝ่าคลื่นแห่งการแข่งขัน แล้วแล่นเรือท่ามกลางความมืดไปถึงจุดหมายปลายทาง

2. คุณต้องมีสมองใหญ่เท่ากับพื้นโลก กล้าคิดเรื่องใหม่ ๆ Keep innovating, keep on moving your point of view forward. ทำให้ใครก็แล้วแต่ที่มา Copy คุณ ไม่มีทางตามคุณทัน

3. คุณต้องมีใจใหญ่เท่ากับท้องทะเล ไม่มีคำว่ากลัว ชืวิตคนเราถ้า "กลัว" อย่าออกมาเป็นเถ้าแก่

ให้กลับไปเป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนเดิมจะดีกว่า

นี่คือ check list 3 ข้อของการเป็นโจรสลัด

ที่มา : https://www.facebook.com/Blacksheeprunbusiness/posts/941539225896908

พลังแห่งความเพิกเฉย

Stanley Pollitt หนึ่งในสามผู้ก่อตั้งบริษัท BMP (Boase Massimi Pollitt) ซึ่งเป็นบริษัทเอเจนซี่โฆษณาชื่อดังของประเทศอังกฤษ ได้มีความไฝ่ฝันมาตลอดว่าชีวิตว่า อยากจะมีฟาร์มเลี้ยงแกะเป็นของตัวเองให้ได้ในสักวันหนึ่ง

จนกระทั่งในปี 1989 Omnicon Group ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทางการตลาดของสหรัฐอเมริกา ก็ได้ตกลงที่จะซื้อบริษัท BMP ด้วยราคาราว 5,000 ล้านบาท ดีลในครั้งนั้นเองทำให้ Pollitt ได้รับส่วนแบ่งจากการขาย ที่เรียกว่าไม่น้อยเลยทีเดียว

เมื่อ Pollitt มีเงินมากพอ เขาจึงเดินตามฝันของตัวเอง ด้วยการซื้อฟาร์มเล็กๆในเมือง Kent

ณ ฟาร์มแห่งนี้ Pollitt ได้เนรมิตทุกอย่างให้ดูสวยงามรวมกับภาพวาดที่เขาได้ฝันไว้ตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ

มีเพียงอย่างเดียวที่ขัดตา....... ก็คือแกะ....... ที่มันดูเหมือนจะอ้วนเอา อ้วนเอา ทุกวัน

“เอ.... สงสัยเราจะให้อาหารมันเยอะเกินไป” Pollitt คิดในใจ ระหว่างมองแกะอ้วนเหล่านั้น

Pollitt จึงตัดสินใจลดปริมาณอาหารลงส่วนหนึ่งในเช้าวันต่อมา แต่ก็ไม่เป็นผล ผ่านมาราว 1 สัปดาห์ แกะเหล่านั้นดูเหมือนจะยังไม่ยอมหยุดอ้วน

Pollitt จึงตัดสินใจลดปริมาณอาหารอีก แต่แกะเหล่านั้นก็ยังอ้วนขึ้นอีก

Pollitt จึงตัดสินใจลดอีก....... ในเช้าวันหนี่ง แกะทั้งหมดในฟาร์มก็ล้มตายลง
.
.
พวกมันตายเพราะขาดอาหาร

จริงๆแล้ว แกะไม่ได้อ้วนขึ้นเลย แต่เป็นเพราะขนของมันมากขึ้นต่างหาก

หากเรื่องนี้รู้ถึงหูพวกชาวไร่คนอื่นๆ พวกเขาคงคิดว่า Pollitt นั้นซื่อบื้อมากๆ อะไรกัน เรื่องแค่นี้ก็ยังไม่รู้ แต่ Pollitt ไม่รู้ เพราะเขาไม่ได้เป็นขาวไร่ตั้งแต่กำเนิด

สิ่งที่เรื่องนี้ต้องการจะสื่อก็คือ คนเรามีชุดความรู้ไม่เหมือนกัน Pollitt อาจจะเป็นเทพในแวดวงการตลาด แต่สำหรับเรื่องการทำฟาร์มแล้ว ความรู้เขาอาจจะเทียบเท่าเด็กอนุบาลเท่านั้น

ความ ”ไม่รู้” นั้นไม่ผิด แต่เป็นเพราะความไม่รู้แล้ว ”ไม่ยอมถาม” ของ Pollitt เขาจึงถูก พลังแห่งความเพิกเฉยสั่งสอน อาจจะเป็นบทเรียนเล็กๆ แต่เชื่อว่าเขาจะจำมันได้ตลอดไป

แต่ในชีวิตจริง ขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ การที่เราจะรู้ว่า เราไม่รู้อะไรนั้น เป็นเรื่องที่ยากมาก ส่วนใหญ่ก็จะใช้การตีความจากสิ่งที่เห็นเข้ากับประสบการณ์ของเราทั้งสิ้น

ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า หากรวมความรู้ของคนทั้งโลกใบนี้เข้าด้วยกัน นั่นก็เป็นแค่ 0.01% ของความรู้ทั้งหมดในจักรวาลนี้เท่านั้น ยังมีสิ่งที่เราไม่รู้อีกมากมายเต็มไปหมด

ในการทำธุรกิจก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้เราจะนั่งเรียนหลักสูตรบริหารธุรกิจมาเป็น 1,000 ชั่วโมง ศึกษา Case Study ต่างๆมากมาย แต่ทั้งหมดนั้นก็ยังสู้การทำธุรกิจจริง แล้วล้มเหลว 1 ครั้งไม่ได้ เพราะการเรียนเราใช้สมองจำ แต่ทำธุรกิจจริง เจ็บจริง ล้มจริง มันจะเป็นประสบการณ์ที่ติดอยู่ในจิตใจของเราตลอดไป

ไม่ต่างอะไรจากการว่ายน้ำหรือการปั่นจักรยาน ถึงแม้จะอ่านคู่มือหรือวิธีการไปเป็น 10 ปี ก็ไม่ทำให้เราว่ายหรือปั่นได้ ถ้าเราไม่เคยได้ลองปฏิบัติจริง

ดังนั้น สำหรับผู้ที่จะเริ่มทำธุรกิจครั้งแรก วิธีที่ลดความเสี่ยงได้อย่างมากก็คือ”การถาม” ถามคนที่เขาเคยทำธุรกิจมาก่อนแล้ว อาจจะเป็นเพื่อน เป็นญาติ หรือเป็นรุ่นพี่ก็ได้ การถามเป็นการลดความเสี่ยงที่ประหยัดที่สุดแล้ว

การยอมรับว่าตัวเองไม่รู้แล้วถาม คือการเปิดประตูไปสู่สิ่งใหม่นั่นเอง แต่หากท่านเพิกเฉย มองว่าตัวเองเก่งที่สุด ทำตัวเป็น One man show ท่านอาจจะเห็นพลังแห่งการเพิกเฉยแบบที่ Pollitt ได้เจอมาในเร็ววันก็ได้
.
.
.
ผู้ทรงความรู้แท้จริงไม่อายที่จะถามผู้ด้อยการศึกษา – เล่าจื้อ

ที่มา :
https://www.facebook.com/1536715283275877/photos/a.1541486682798737.1073741827.1536715283275877/1589341414679930/

Always challenge the old ways

Frikkie Lubbe เป็นนักกสิกรรมของบริษัทเบียร์เซาท์แอฟริกา (South Afican Breweries) หน้าที่หลักของเขาคือ คอยดูแลและให้คำปรึกษาแก่เครือข่ายเกษตรผู้ปลูกข้าวบาร์เลย์ เพื่อส่งให้บริษัทฯ นำไปสกัดเป็นมอลต์ต่อไป

นอกเหนือจากงานประจำพวกนี้แล้ว ในทุกๆปี บริษัทฯจะมอบหมายภารกิจให้แก่เขา ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกการพัฒนาคุณภาพและผลผลิต เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้เหนือกว่าคู่แข่ง

ในปี 2010 บริษัทฯมอบหมายภารกิจให้ Lubbe สองข้อ คือ

1. บริษัทฯ ต้องการที่จะผลิตเบียร์ที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้น ดังนั้น Lubbe ต้องหาทางพัฒนาให้ข้าวบาร์เลย์มีคุณภาพที่ดีขึ้น

2. บริษัทฯ ต้องการทำ CSR ให้กับสังคม โดยตั้งเป้าว่าจะลดปริมาณน้ำที่ใช้ปลูกข้าวบาร์เลย์ลง 10 เปอร์เซนต์ (ปกติแล้ว การปลูกข้าวบาร์เลย์เพื่อจะนำมาทำเบียร์ 1 ลิตร จะต้องใช้น้ำประมาณ 155 ลิตร)

เพราะฉะนั้น ความท้าทายของ Lubbe ก็คือ ทำอย่างไรจึงจะให้ข้าวบาร์เลย์มีคุณภาพดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็ต้องใช้น้ำลดลง 10 เปอร์เซนต์ด้วย

เมื่อบริษัทฯให้ภารกิจมา ยังไงก็ไม่มีทางเลือก เขาจึงตอบตกลง ทั้งๆที่รู้ว่าลำพังแค่จะให้ลดการใช้น้ำอย่างเดียว 10 เปอร์เซนต์ ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายมากๆแล้ว นี่ยังต้องมาดูถึงการเพิ่มคุณภาพอีก

ถึงตรงนี้ อยากให้ท่านผู้อ่านหยุดคิดสักนิดนะครับ ว่าหากท่านได้รับภารกิจแบบ Lubbe ท่านจะเริ่มจากจุดไหนก่อน
.
.
.
ผ่างงงง……… สิ่งแรกที่เขาทำคือ เดินครับ เดินออกนอก Office ไปลงพื้นที่จริงเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม เพราะเขาคิดว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งคิดคนเดียว ยังไงหลายหัวก็ดีกว่าหัวเดียวอยู่แล้ว เขาจึงเรียกเกษตรในเครือข่ายทุกคนที่ส่งข้าวบาร์เลย์ให้บริษัทฯ มาประชุม แล้วถามคำถามกับเกษตรกรทั้งหมดว่า

“ในที่นี้ ใครเคยมีประสบการณ์ในการถูกจำกัดน้ำ แต่ยังให้ผลผลิตดีบ้าง”

สิ้นเสียงคำถาม ชาวนาคนหนึ่งยกมือขึ้นแล้วบอกว่า ครับ มีอยู่ปีหนึ่ง เครื่องสูบน้ำในไร่ผมเสีย สูบน้ำไปรดนาข้าวได้น้อยมาก ทำให้ข้าวไม่เจริญเติบโต แต่เมื่อถึงหน้าเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ได้ก็ไม่แตกต่างกับปีก่อนๆครับ

...ใช้น้ำน้อย แต่กลับได้ผลผลิตเท่าเดิม ?? คำตอบที่ได้ฟัง ทำให้ Lubbe รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

หลังจากนั้น เขาจึงทำการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับข้าวบาร์เลย์เพิ่มเติมจากรายงานทางวิชาการต่างๆก็พบว่า การเจริญเติบโตของข้าวบาร์เล่ย์แบ่งออกเป็น 3 ลำดับขั้น

ขั้นแรก คือช่วงหลังการหว่าน เมล็ดพันธุ์จะเริ่มพัฒนาเพื่อเตรียมการเจริญเติบโต

ขั้นที่สองคือ หลังจากที่เมล็ดพันธุ์พัฒนาเต็มที่แล้วก็จะออกเป็นลำต้นขึ้นมา โดยบนสุดของลำต้นจะมีเมล็ดข้าวเพื่อเตรียมออกเป็นรวงไว้ แต่ในขั้นนี้ จะพัฒนาแต่ลำต้นเท่านั้น ส่วนที่เป็นเมล็ดที่อยู่ด้านบนสุดจะหยุดพัฒนา

ขั้นสุดท้ายคือ เมล็ดที่อยู่ด้านบนสุดของลำต้นจะเริ่มพัฒนา จนออกเป็นรวงข้าวพร้อมเก็บเกี่ยว

เมื่อนำข้อมูลทั้งสองที่เขาได้รับมารวมกัน Lubbe จึงตั้งสมมติฐานว่า

ในการปลูกข้าว สิ่งที่เราอยากได้คือเมล็ดข้าว ไม่ใช่ลำต้น

ดังนั้น ถ้าเราให้น้ำในขั้นที่สองน้อยมากๆ แค่พอเลี้ยงให้ข้าวไม่ตาย ก็จะทำให้ลำต้นเตี้ยเพราะพัฒนาได้น้อย จากนั้นค่อยให้น้ำปกติในขั้นที่สาม

การทำให้ต้นข้าวบาร์เลย์เตี้ยจะสามารถลดอัตราการล้มของข้าวได้ ทำให้ได้ผลผลิตต่อไร่ดีขึ้น (ถ้าลำต้นของข้าวสูง อัตราการล้มของต้นข้าวก็จะสูงไปด้วย) อีกทั้งคุณภาพข้าวก็อาจจะดีขึ้นด้วย เพราะน้ำและสารอาหารจากดินจะถูกส่งไปที่เมล็ดข้าวด้านบนได้เร็ว ไม่ต้องผ่านลำต้นเยอะ

หลังจากตั้งสมมติฐานเสร็จแล้ว Lubbe ก็ได้เรียกเกษตรกรมาประชุมอีกครั้ง และขออาสาสมัครเกษตรกรเพื่อทดลองการปลูกพืชแบบใหม่นี้ แต่เขาไม่การันตีผลไม่สำเร็จ เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน จึงขอให้ทดลองแค่ 20 เปอร์เซนต์ของพื้นที่เท่านั้น ผลปรากฎว่ามีเกษตรกรจำนวน 9 รายยอมเป็นอาสาสมัคร โดย Lubbe จะเข้ามาเยี่ยมทุกอาทิตย์เพื่อศึกษาผลลัพธ์

ผลปรากฎว่า วิธีการปลูกแบบใหม่นี้ให้ผลเป็นที่น่าพอใจมาก สามารถลดการใช้น้ำลงได้ถึง 48 เปอร์เซนต์ (จากเป้าหมายในตอนแรกแค่ 10 เปอร์เซนต์เท่านั้น) คุณภาพของข้าวก็ดีขึ้น ผลผลิตต่อไร่ก็ดีขึ้นจากการลดการล้มของข้าว อีกทั้งเกษตรกรยังสามารถลดต้นทุนค่าไฟลงได้ 40 เหรียญต่อ 100 เอเคอร์ จากการลดการใช้เครื่องปั้มน้ำในการสูบน้ำเพื่อใช้ในขั้นตอนที่ 2

Lubbe ถามกับเกษตรกรว่า ทำไมไม่มีใครทดลองวิธีการปลูกแบบนี้ ทุกคนต่างบอกว่า ก็ปลูกต่อๆกันมาตั้งแต่อดีตแล้ว เพราะเกษตรกรในแอฟริกาใต้นั้นส่วนใหญ่ปลูกข้าวสาลีมาก่อน พอเปลี่ยนมาปลูกข้าวบาร์เลย์นั้นจึงใช้วิธีการปลูกแบบเดิมๆ ใช้น้ำเท่าเดิม ทั้งที่จริงๆแล้ว การปลูกข้าวบาร์เลย์นั้นไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมากเท่าข้าวสาลี

จากผลการทดลองของ Lubbe นี้เอง ทำให้บริษัท South African Breweries ได้บอกวิธีปลูกข้าวบาร์เลย์ใหม่นี้ให้กับเกษตรกรทั่วทั้งประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งสามารถเพิ่มผลผลิตข้าวบาร์เลย์ได้ทั้งประเทศได้เป็นอย่างมาก
.
.
สไตล์ของ Lubbe คือ เมื่อได้รับมอบหมายงานมา เขาจะน้อมรับมันอย่างสุดใจโดยไม่หาข้ออ้าง ถึงแม้งานนั้นยากและท้าทายแค่ไหนก็ตาม

เขาเริ่มจากการคิดออกจากกรอบเดิมๆ โดยการตั้งคำถามที่แตกต่าง ไม่ขลุกอยู่แต่ในบริษัทฯ ออกไปหาข้อมูลใหม่ๆ เมื่อได้ข้อมูลและตั้งสมมติฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอแล้ว ก็ทำการทดลอง โดยจำกัดความเสี่ยงในการล้มเหลว และเขาก็จะทุ่มสุดตัวในการวิเคราะห์ผลนั้น

นี่แหล่ะครับ ปัจจัยในการสำเร็จของ Lubbe

ท่านผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้นะครับ
.
.
เมื่อเจอคำถามที่ท้าทายแล้วจงเปิดใจรับมัน เชื่อเถอะครับว่าคำถามยิ่งยาก คำตอบยิ่งเปลี่ยนโลกได้มาก

เหมือนดั่งปรัชญาประจำตัวของ Howard Schultz แห่ง Starbucks ที่ได้กล่าวไว้ว่า “Always challenge the old ways”

ที่มา :  https://www.facebook.com/1536715283275877/photos/a.1541486682798737.1073741827.1536715283275877/1556483324632406/

ดื้อเงียบ - ทางเลือกที่ดีกว่าการเจรจา

เมื่อวานนี้ได้เห็นคนแชร์คลิป ชายขับเก๋งป้ายแดง ทุบรถคู่กรณี เต็มโลกออนไลน์ไปหมด ถึงแม้ผมจะไม่รู้ที่มาที่ไป และได้เห็นเพียงด้านเดียว แต่ก็ทำให้คิดได้ว่า เราไม่รู้ว่าใครเป็นใครเลยบนท้องถนน ทางที่ดี อย่าไปหาเรื่องใครจะดีกว่า

หลายคนก็ Comment ประมาณว่า โห่ เป็นผมนะ จะเปิดประตูลงไปซัดกับมันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย grin emoticon

หลายคนอาจคิดว่าการเจรจาต่อรองนั้นเป็นสิ่งที่ดีงามและควรทำ แต่สำหรับนักเจรจาต่อรองที่ดีแล้ว ก่อนจะไปเจรจากับใครนั้น เขาจะวิเคราะห์สภาพแวดล้อม เพื่อหา “ทางเลือกอื่นที่ดีกว่าการเจรจา” ก่อนเสมอ หรือภาษาอังกฤษเรียกสั้นๆว่า BATNA (Best Alternative to a Negotiated Agreement) หากไม่มีแล้ว จึงค่อยไปเจรจากับคนนั้นๆ

ในกรณีนี้ ชัดเจนคือขับรถออกไปเลยครับ คนในคลิปทำถูกแล้ว คิดไม่ออกซักอย่างครับ ว่าลงจากรถไปแล้วจะได้อะไรดีขึ้นมา

BATNA ยังสามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกหลายกรณีนะครับ เช่น สามี ภรรยาทะเลาะกัน ภรรยาอาจจับได้ว่าสามีแอบมีกุ๊กๆกิ๊กๆ (แหะๆ ไม่ดีนะครัช) แล้วมีปากเสียงกับเรา หากเราไปขึ้นเสียงเลยก็มีแต่เสียกับเสียครับ BATNA ในกรณีนี้คือเงียบครับ พูดให้น้อยๆ เน้นขอโทษ รอเวลาผ่านไปให้ภรรยาใจร่มๆ แล้วค่อยเอาน้ำเย็นเข้าลูบ

BATNA ในทางการเมืองก็มีให้เห็นเยอะครับ เช่น ตอนที่สหรัฐอเมริกาถล่มอิรัก ไม่มีการเจรจาครับ ใช้กำลังเข้าข่มเลย และสามารถเข้าควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในเวลาอันสั้น

ในชีวิตประจำวัน คนเราทุกคนย่อมหลีกหนีการเจรจาต่อรองไปไม่พ้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนรวม เรื่องส่วนตัว หรือเรื่องธุรกิจ ถ้าอยากจะเป็นนักเจรจาต่อรองที่ดี ก่อนจะไปคุยกับใคร ต้องใช้สมองก่อนปากเสมอนะครับ

ที่มา : https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1569621433318595&id=1536715283275877

พื้นฐานสู่ความมั่งคั่ง

หากมีคนถามว่า ใครเป็นยอดนักขายที่เก่งที่สุดในเมืองไทยในยุคนี้?

เชื่อว่าคงมีคนไม่น้อยที่ตอบว่า "คุณตัน อิชิตัน" แต่จริงๆ ผมว่า คุณตันไม่ได้เป็นสุดยอดนักขายหรอก แกเป็นสุดยอดนักการตลาดต่างหาก...

คุณตันไม่เคยออกมาป่าวประกาศให้คนมาซื้อชาเขียวของแกแลย แกทำการตลาดอย่างเดียว คุณตันรู้นิสัยของคนไทยจริงๆ แกทำ Promotion แต่ละปี ก็มีคนไปต่อแถวซื้อชาเขียวแกถล่มทลายแล้ว

วันหนึ่งของปีที่แล้ว หุ้นส่วนผมเขาเปิดประตูออฟฟิศเข้ามา พร้อมยกอิชิตันมา 1 ลัง แกะกล่องเสร็จแล้วก็เดินออกไปแจกให้กับพนักงานในไลน์ผลิต เขาบอก "อ่ะพี่ ให้ปอร์เช่คันนึง" พนักงานก็ขอบอกขอบใจกันใหญ่ คงจะเหมือนกับซื้อ Lottery ให้ ผมก็มาคิดว่า โอ้โห...Campaign นี้มันได้ผลถึงขนาดนี้เลยหรอวะเนี่ย (ส่วนตัวก็ส่งไปหลายฝาเหมือนกัน...แฮ่) เห็นว่าปีนี้แจกเบนซ์ 50 วัน 50 คัน ยอดขายคงถล่มทลายเหมือนเดิม...

อีกซักตัวอย่างหนึ่ง หากมีคนถามว่าใครเป็นสุดยอดนักประดิษฐ์ในประวัติศาสตร์โลก ส่วนใหญ่คงตอบว่า "โทมัส แอลวา เอดิสัน" แต่หลายคนอาจแย้งว่า "นิโคลา เทสลา" สิเจ๋งกว่า ทั้งคู่เป็นคนในยุคสมัยเดียวกัน เอดิสันคิดไฟฟ้ากระแสตรง เทสลาคิดไฟฟ้ากระแสสลับ , เอดิสันคิดหลอดไฟแบบมีไส้ แต่เทสลาคิดหลอดไฟแบบฟลูออเรสเซนต์ แถมเทสลายังเป็นคนค้นพบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คิดค้นสัญญาณวิทยุ เรดาร์ และการสื่อสารแบบไร้สาย ฯลฯ เรียกได้ว่าเจ๋งสุดๆ...

หากเป็นเรื่องนักประดิษฐ์ ทั้งคู่ถือได้ว่าเป็นสองสุดยอด กินกันไม่ลง แต่ถ้ามองในแง่ของความมั่งคั่งและการประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วล่ะก็ ถือว่าห่างกันมาก เทสลาถือเป็นนักประดิษฐ์ที่เรียกได้ว่า ประดิษฐ์ของอย่างเดียวแต่ไม่รู้จะไปขายใคร แต่เอดิสันเป็นนักประดิษฐ์ที่มีหัวการตลาดด้วย เขาจะประดิษฐ์เฉพาะของที่มีตลาดรองรับเท่านั้น

หลายคนอาจไม่รู้ว่า บริษัท General Electrics อันเกรียงไกรและอยู่ยั้งยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้ แท้ที่จริงแล้ว โทมัส แอลวา เอดิสันเป็นผู้ก่อตั้ง และครั้งหนึ่ง เทสลาก็เคยเป็นพนักงานของเอดิสันด้วย

เทสลาจบชีวิตในวัย 86 ปีอย่างโดดเดี่ยวในโรงแรมแห่งหนึ่งในนิวยอร์คด้วยหนี้สินมากมาย กว่าแม่บ้านทำความสะอาดจะมาพบศพเขาก็อีกหลายวันให้หลัง...

ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไร นักดนตรี นักร้อง นักขาย นักโฆษณา นักวิทยาศาสตร์ พ่อครัว ติวเตอร์ หากคุณต้องการที่จะมีความมั่งคั่งในชีวิต ต้องการที่จะประสบความสำเร็จ หนึ่งในพื้นฐานที่สำคัญที่สุดคือ...

"คุณต้องมี Marketing Mind ต้องเข้าใจเรื่องของการตลาดด้วยครับ"

ที่มา https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1824569601101836&id=1632981996927265

จับกุ้งฝอย

ณ เมืองอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา ปี 2009, Kraftfoods บริษัทผลิตขนมชื่อดังของประเทศ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ Oreo, Ritz, Toblerone ฯลฯ ได้ทำการเข้าซื้อกิจการของบริษัท Cadbury Adams ผู้ผลิตขนมชื่อดังของประเทศอังกฤษ เจ้าของแบรนด์ ลูกอม Halls, Clorets, Trident, Chiclets ฯลฯ ซึ่งมีโรงงานผลิตขนาดใหญ่มากมาย กระจายอยู่แทบจะทุกทวีปทั่วโลก

ดีลในครั้งนั้น จบลงด้วยจำนวนเงินราว 520,000 ล้านบาท ส่งผลให้ Kraftfoods กลายเป็นผู้ผลิตขนมรายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกทันที (รองจาก Mars เท่านั้น)

ห่างออกมาราว 2,000 ไมล์ ในอีก 5 ปีต่อมา ที่ Silicon Valley

Facebook ได้ทำการเข้าซื้อกิจการ Whatsapp ด้วยราคาถึง 610,000 ล้านบาท!?

ซึ่งในขณะนั้น Whatapps มีพนักงานเพียง 55 คน กับออฟฟิตเล็กๆอีก 1 แห่งเท่านั้น

มองแบบผิวเผินแล้ว ทำไมราคาของ Whatapp มันถึงได้สูงมหาโหดเยี่ยงนี้? ดูแล้วกิจการแทบจะไม่มีอะไรเลย มีแค่ App อันเดียว แล้วก็แทบจะไม่ได้ก่อให้เกิดการผลิตอะไรขึ้นมาเลย

แม้จะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เพราะมันมีคนใช้งานมากกว่า 470 ล้านคนเฉลี่ยต่อเดือน(ในเวลานั้น) นี่ล่ะครับ ที่ก่อให้เกิด impact มหาศาลต่อวงการสื่อสาร และ Facebook ก็ได้มองเห็นว่า Whatsapp ยังสามารถไปได้อีกไกล (ปัจจุบัน Whatsapp มีผู้ใช้งานเกิน 800 ล้านคนทั่วโลกไปแล้ว)

ลองดูบริษัทใกล้ตัวกันบ้างครับ

CPF สุดยอดบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการอาหารของไทย โรงงานผลิตขนาดใหญ่และทันสมัย สามารถส่งออกอาหารไปขายได้ทั่วโลก มูลค่าบริษัทในปัจจุบันอยู่ที่ราว 179,000 ล้านบาท

ส่วนมูลค่าของ Facebook อยู่ที่ 8,800,000 ล้านบาท (ข้อมูล Update วันที่ 13 มิ.ย. 58)

ห่างกันเกือบ 50 เท่า!

เป็นเพราะ Facebook นั้น impact กับคนแทบจะค่อนโลกไปแล้ว (ปัจจุบันมีผู้ใช้ราว 1.5 พันล้านคน)

ตอนแรกที่ Facebook เข้าตลาดหลักทรัพย์ ในปี 2012 ราคาก็ดิ่งลงเลย เพราะตอนนั้นผู้คนต่างคิดว่า ฉาบฉวยหรือเปล่า? ธุรกิจมีแต่ Website จะหาเงินได้อย่างไร?

แต่มาวันนี้ Facebook ได้พิสูจน์แล้วว่า การที่มีจำนวนผู้ใช้งานทั่วโลกมากขนาดนี้สามารถดึงดูดเม็ดเงินโฆษณาจากบริษัทต่างๆทั่วโลกได้อย่างมากมาย และรายได้ของพวกเขาก็น่าประทับใจเลยทีเดียว

ในปี 2014 Facebook มีรายได้ทั้งหมด 400,000 ล้านบาท กำไรสุทธิ 94,000 ล้านบาท (เทียบกับ CPF ที่มีกำไรสุทธิราว 10,600 ล้านบาทในปีเดียวกัน)
.
.
.

สำหรับผู้ที่มีไอเดียและต้องการเริ่มธุรกิจใหม่ ลองสำรวจดูว่าไอเดียของท่านเหล่านั้นมันมีผลกระทบต่อผู้คนเป็นวงกว้างหรือไม่ หากดูแล้วมีแวว ถึงแม้ตอนแรกจะมองไม่เห็นวิธีการทำกำไรก็น่าลองครับ เพราะเม็ดเงินมันจะตามมาเองหากธุรกิจของท่านส่งผลกระทบต่อผู้คนมากพอ

“เคยได้ยินว่าคนจับกุ้งฝอยจนรวย ไม่เคยได้ยินว่าใครจับปลาวาฬแล้วรวย” – Jack Ma

ที่มา : https://www.facebook.com/1536715283275877/photos/a.1541486682798737.1073741827.1536715283275877/1589893631291375/

Friday, June 12, 2015

แข่งขันปีน

ครั้งหนึ่ง มีกลุ่มของลูกกบตัวเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง ได้มาร่วมกันจัดการแข่งขันเพื่อจะปีนขึ้นไปยอดเสาไฟฟ้า มีกลุ่มชนชาวกบมากมายมารอชม และเชียร์การแข่งขันครั้งนี้...

การแข่งขันเริ่มขึ้น...

พูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีชนชาวกบตัวใด จะเชื่อว่าเจ้ากบตัวเล็กๆ เหล่านั้นจะปีนขึ้นไปจนถึงยอดได้

มีเสียงพูดลอยมาให้ได้ยิน เป็นต้นว่า "เขาไม่มีทางจะขึ้นไปถึงยอดหรอก มันยากลำบากขนาดนั้น" หรือ "เขาไม่มีโอกาสจะประสบความสำเร็จหรอก เสามันสูงขนาดนั้น"

เจ้ากบตัวน้อยๆ เหล่านี้ก็เริ่มที่จะร่วงหล่นลงไปทีละตัวๆ...ยกเว้นเจ้าตัวหนึ่งซึ่งยังปีนอย่างมุ่งมั่น สูงขึ้น และสูงขึ้น...

ฝูงกบก็เริ่มส่งเสียงร้องตะโกน "มันยากเกินไป ไม่มีใครทำได้หรอก!!" กบส่วนใหญ่เริ่มเหนื่อย และยอมแพ้

...แต่มีกบตัวหนึ่งที่ยังตั้งหน้าตั้งตาปีนสูงขึ้น สูงขึ้นๆ... เจ้าตัวนี้ไม่ยอมแพ้!!

เมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน กบตัวอื่นๆ ต่างยอมแพ้ที่จะปีนสู่ยอดเสาจนหมด ยกเว้นกบตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ด้วยความพยายามอย่างสุดกำลัง มันก็สามารถปีนขึ้นสู่ยอดเสาได้!

กบคู่แข่งขันอยากรู้ว่า เจ้ากบเล็กๆ ตัวนี้มีพลังในการปีนขึ้นสู่ยอดเสาอันเป็นเป้าหมาย จนประสบความสำเร็จได้อย่างไร? เรื่องกลับกลายเป็นว่า...

เจ้ากบผู้ชนะตัวนั้น หูหนวก!!!!

ที่มา : internet

หมาขี้เรื้อน

ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน เพื่อเห็นแก่แม่ บัณฑิตใหม่หมาดๆ จากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้

เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯ แห่งหนึ่งเสร็จแล้ว ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน พระหนุ่มการศึกษาสูง มาจากตระกูลผู้ดี มีแต่ความสุขสบาย เมื่อมาอยู่วัดป่า กว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน แต่ก็นั่นแหละกว่าจะ "นิ่ง" ก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆ กัน

ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอา ก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิดและชอบอวดรู้ ยกหู ชู หางตัวเองอยู่เป็นประจำ วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้า ก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่ หาว่าล้าสมัย ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกิน กว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่ง จนขาเป็นเหน็บชา ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้าง ก็ทำท่าล้างอย่างขอไปที ล้างไปบ่นไป ตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอก ต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้...

โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจ สิ่งนั้นสิ่งนี้ ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้ว ช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตู นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ กลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ

อยู่มาได้พักใหญ่ พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่า ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆ ครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง วันๆ ไม่เห็นท่านทำอะไร เอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง (พระ-เณรน้อยก็มี ไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง

เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา อุตส่าห์เขียนคำวิพากษ์วิจารณ์การบริหารจัดการวัดได้ร่วมยี่สิบข้อ เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่า ล้าสมัย รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่ง เพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูกอีก

หนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้น พระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้น เทศน์ให้มากขึ้น และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเองด้วยตนเอง ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า

...เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟัง แต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตา พลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ

"เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อนคันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้น เดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้ อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม เจ้าหมาตัวนั้นน่ะ มันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้น หาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่ แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคเรื้อน ซึ่งเกาะกินอยู่บนหลังของตัวมันเองนั่นต่างหาก"

พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลง เป็นสัญญาณให้รู้ว่าได้เวลาภาวนา หลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว

ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบแต่ในวุ่นว่าย นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง

บะหมี่ชามเดียว

เด็กน้อยหนึ่ง ทะเลาะแม่ หนีจากบ้าน
เดินซมซาน มาจนถึง ร้านบะหมี่
ท้องร้องหิว แต่กระเป๋า เงินไม่มี
ลุงใจดี ให้กินฟรี ไม่คิดเงิน

เด็กน้อยซึ้ง ในน้ำใจ ลุงใจดี
บอกชีวี ของข้านี้ จดจำไว้
ไม่มีวัน จะลืมเลือน ในน้ำใจ
ที่ท่านได้ ให้บะหมี่ ข้าหนึ่งชาม
ลุงให้เจ้า บะหมี่น้ำ แค่ชามหนึ่ง
เจ้ายังซึ้ง ถึงกับบอก ลืมไม่ได้
มารดาเจ้า ให้มากมาย ตั้งเท่าไร
ก็แล้วใย ไม่คิดถึง ซึ่งบุญคุณ
ยามคนอื่น ทำดีให้ แค่เพียงนิด
เรามักคิด ว่านี่เป็น เรื่องยิ่งใหญ่
แม่ของเรา ทำให้เรา ตั้งมากมาย
เราทำไม เห็นเป็นเรื่อง ธรรมดา
กวีธุลีธรรม

ใบปริญญา

...เด็กหนุ่มคนหนึ่ง เรียนเก่งมาก ได้ทุนไปเรียนอเมริกาตั้งแต่เด็กจนจบด็อกเตอร์ จึงกลับมาเยี่ยมบ้าน

บ้านของเด็กหนุ่ม อยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบ ต้องนั่งเรือแจวข้ามไป ใช้เวลาแจวประมาณหนึ่งชั่วโมง
"เรือที่ติดเครื่องยนต์ไม่มีเหรอลุง?"
"ไม่มีหรอกหลาน ที่นี่มันบ้านนอก มันห่างไกลความเจริญมีแต่เรือแจว"
"โอ...ล้าสมัยมากเลยนะลุง โบราณมาก ที่อเมริกาเขาใช้เครื่องบินกันแล้วลุง ลุงยังมานั่งแจวเรืออยู่อีก ไปส่งผมฝั่งโน้น เอาเท่าไหร่ลุง?"
"80 บาท"
"OK…ไปเลยลุง"

ในขณะที่ลุงแจวเรือ หนุ่มนักเรียนนอกก็เล่าเรื่องความทันสมัย ความก้าวหน้า ความศิวิไลช์ ของอเมริกาให้ลุงฟัง
"เมืองไทย...เมื่อเทียบกับอเมริกาแล้วล้าสมัยมาก ไม่รู้คนไทยอยู่กันได้ยังไง? ทำไมไม่พัฒนา ทำไมไม่ทำตามเขา เลียนแบบเขาให้ทัน? ลุง...ลุงใช้คอมพิวเตอร์ ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นไหม?"
"ลุงไม่รู้หรอก...ใช้ไม่เป็น"
"โอโฮ้...ลุงไม่รู้เรื่องนี้น่ะ ชีวิตลุงหายไปแล้ว 25%"
"แล้วลุงรู้ไหมว่า เศรษฐกิจของโลกตอนนี้เป็นยังไง?"
"ลุงไม่รู้หรอก"
"ลุงไม่รู้เรื่องนี้นะ ชีวิตของลุงหายไป 50%"
"ลุง...ลุงรู้เรื่องนโยบายการค้าโลกไหมลุง?"
"ลุง...ลุงรู้เรื่องดาวเทียมไหมลุง?"
"ลุงไม่รู้หรอก...หลานเอ๊ย"
"ชีวิตของลุง ลุงรู้อยู่อย่างเดียวว่าจะทำยังไงถึงจะแจวเรือให้ถึงฝั่งโน้น ถ้าลุงไม่รู้เรื่องนี้ ชีวิตของลุงหายไปแล้ว 75%"

พอดีช่วงนั้นเกิดลมพายุพัดมาอย่างแรง คลื่นลูกใหญ่มาก ท้องฟ้ามืดครึ้ม
"นี่พ่อหนุ่มเรียนหนังสือมาเยอะจบดอกเตอร์จากต่างประเทศ ลุงอยากถามอะไรสักหน่อยได้ไหม?"
"ได้...จะถามอะไรหรือลุง?"
"เอ็งว่ายน้ำเป็นไหม?"
"ไม่เป็นจ๊ะ...ลุง"
"หาาา...ชีวิตของเอ็งกำลังจะหายไป 100% แล้วพ่อหนุ่ม"

...อย่าคิดว่าตัวเราเหนือกว่าคนอื่นเพียงแค่มีการศึกษาสูง
ยังมีประสบการณ์ชีวิตที่ต้องศึกษาอีกมาก แม้จะไม่มีใบประกาศมอบให้

ที่มา :
https://www.facebook.com/wirodePAG/photos/a.1636356973256434.1073741828.1632981996927265/1878735155685280/?type=1

คำสอนของตะปู

    เด็กน้อยคนหนึ่ง มีสีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก  พ่อของเขาจึงได้นำตะปู มาให้เขา1 ถุง และได้บอกกับเขาว่า " ทุกครั้ง เวลาที่เขารู้สึกโมโห หรือ โกรธใครซักคน ให้ตอกตะปู  1ตัวเข้าไปกับ รั้วหลังบ้าน "

   วันแรกผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเข้าไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว และก็ค่อย ๆ ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวันผ่านไป ก็ลดจำนวนลง เพราะเขารู้สึกว่า การควบคุมอารมณ์ตนเองเริ่มสงบลง และแล้ว  หลังจากที่เขา สามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขาจึงเข้าไปพบกับพ่อ และบอกกับ พ่อของเขาว่า เขาสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้แล้ว....
    
   พ่อยิ้ม..และบอกกับลูกชายว่า..." ถ้าเป็นเช่นนั้น ลองพิสูจน์ให้พ่อรู้ โดยทุก ๆครั้งที่สามารถควบคุมตนเองได้   ให้ถอนตะปู ออกจากรั้วบ้าน 1 ตัว  ทุกครั้ง "

    วันแล้ว วันเล่า  เด็กน้อยค่อย ๆ ถอนตะปู ออก ทีละตัว จาก1 เป็น 2   2 เป็น  3
จนในที่สุด ตะปู ถูกถอดออกจนหมด เด็กน้อยดีใจมาก  รีบวิ่งไปบอกพ่อ

" ฉันทำได้ ในที่สุด ฉันก็ทำสำเร็จ  ..!!  พ่อไม่ได้พูดอะไร  แต่ได้จูงมือ ลูกชายไปที่
รั้วหลังบ้าน  " เจ้าลองมองที่รั้วเหล่านั้นสิ  มันไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะมีรอยตะปูเต็มไปหมด  จำไว้นะลูก เวลาทำอะไรลงไป โดยใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผล ต่อให้ใช้คำพูดว่า ขอโทษ สักกี่หน ก็ไม่อาจลบ ความเจ็บปวด ไม่อาจรบรอยแผล ที่เกิดขึ้นกับคนนั้นได้ กับเพื่อน   เพื่อนเปรียบเสมือนอัญมณี ที่หายาก เป็นคนทำให้เรายิ้ม  ให้กำลังใจยินดีเมื่อเราประสบความสำเร็จ ปลอบใจเมื่อยามเศร้า ร่วมทุกข์ร่วมสุข กับเรา และจริงใจกับ

       เราเสมอ ......จงระวัง ในสิ่งที่เราทำลงไป  ไม่ว่าจะป็น คำพูด หรือ การกระทำ   และ จดจำไว้เสมอว่า  คำขอโทษ  ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เราหรือไม่ แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือ รอยร้าว แผลเป็นที่เค้าคงไม่อาจลืมมันได้  ......ตลอดไป

ที่มา Internet

เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

มิตตวินทุกะชาดก

เรื่องก็มี ลูกเศรษฐี พราราณสีอยู่
นิสัยดู ชั่งชั่วช้า อย่าสงสัย
คอยแต่สร้าง เรื่องลุกลาม ความบรรลัย
ชื่อเขาไซร้ มิตวินทุกะ ปะแล้วซวย
ไม่เคยเชื่อ คำพ่อแม่ ที่แก่เฒ่า
ไม่เคยเอา ใจดูแล พ่อแม่หนา
ไม่เคยช่วย ด้วยพ่อแม่ หาข้าวปลา
ทั้งชั่วช้า จ้องทรพี ไม่ดีเลย
พ่อตายไป เหลือแต่แม่ ที่แก่เฒ่า
คอยอยู่เฝ้า กองสมบัติ พัสสถาน
แม่คอยสอน ให้เล่าเรียน เพียรทำงาน
กลับรำคาญ ด่าว่าแม่ แก่เลอะเลือน
มาวันหนึ่ง วินทุกะ จะค้าขาย
เมื่อตอนสาย เรือใบค้า จะมาถึง
แม่ร้องห้าม ลูกอย่าไป ใจคำนึง
กลัวลูกถึง ชะตาฆาต ขาดกลางเล
วินทุกะ ตะโกนว่า ข้าไม่สน
หลบให้พ้น ข้าจะไป ตามใจฉัน
แม่จึงรีบ ยืนบังทาง ขวางลูกพลัน
วินทุกะนั้น พลันโดดถีบ รีบลงเรือ
เรือแล่นไป ได้หกวัน พลันสะดุด
ลอยไปหยุด กลางสมุทรกว้าง ห่างวิถี
กัปตันเรือ ก็จนใจ ไร้วิธี
สงสัยมี กาลกิณีไซร้ ในเรือเรา
จึงเอาติ้ว ไม้ใช้นับ จับสลาก
อันหนึ่งบาก ไว้ให้เห็น เป็นเครื่องหมาย
เรียงหน้าเข้า มาหยิบจับ ทีละราย
ผลสุดท้าย วินทุกะ ปะไม้ซวย
แม้จับใหม่ ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม
ไม่พ้นความ ซวยอยู่ตน พ้นไปไหน
ทุกคนพา กันโล่งอก ตกลงใจ
จับมันไป ใส่แพลอย ค่อยออกเรือ
แพลำน้อย ลอยไปไหน ไม่รู้ทิศ
ลอยไปติด เขตเกาะร้าง ทางของผี
ผีก็หลอก ลวงให้หลง กามราคี
ปราสาทศรี เนรมิตไว้ ให้ลวงตา
เสพกามอยู่ มิรู้คลาย จนกายผอม
แต่ก็ยอม เพราะใจนั้น มันสุขสันต์
เห็นเกาะใกล้ อยากรู้ไหน ดีกว่ากัน
เกาะแห่งนั้น ปราสาทเงิน เชิญลิ้มลอง
แล้วลงแพ แถถ่อล่อง ท่องเกาะเที่ยว
ถูกใจเชียว วิมานเงิน เนินสวรรค์
เปรตอีกตน ดลจิตใจ ไว้เร็วพลัน
ให้เห็นมัน เป็นหญิงงาม เหมือนตามเคย
อยู่เสพกาม ได้สักพัก ชักจะเบื่อ
ด้วยใจเชื่อ ว่าอีกเกาะ เหมาะเหมือนฝัน
กระโดดลง ถ่อแพไป ไม่ถึงวัน
ถึงเกาะนั้น ปราสาททอง ผ่องโสภี
ด้วยว่ามี เปรตอีกตน ก็ดลจิต
เนรมิต ร่างสาวงาม ตามวิสัย
หลอกลวงล่อ ขอเสพกาม เอาตามใจ
วินทุกะไซร้ เกือบแดดิ้น สิ้นชีวี
แต่ด้วยความ ที่มักมาก ยากจะหยุด
จึงรีบรุด ไปอีกเกาะ เหมือนเหาะเหิน
ปราสาทแก้ว แววเรืองรอง จ้องเชื้อเชิญ
อยู่กันเพลิน กับนางเปรตเหตุ เพราะกรรม
เอาแล้วไง อยู่อยู่ไป ชักเบื่ออีก
จึงรีบปลีก ตัวลงแพ แถอีกหน
ด้วยเพราะเหตุ กรรมของตัว ชั่วของตน
กรรมบันดล จนพบเกาะ เหมาะกับตัว
กรรมที่ตบ ตีมารดา พาให้เห็น
เกาะนั้นเป็น ดังสวรรค์ ที่สรรหา
ความอัปรีย์ ทรพี ที่นำพา
หลงเข้ามา อุสุทะ นรกเลว
เปรตตนหนึ่ง ซึ่งต้องโทษ โลดแล่นอยู่
น่าอดสู มีกงจักร ปักบนหัว
จักรหมุนติ้ว เผ่นแล่นลิ่ว ร้องระรัว
เพราะกรรมชั่ว ที่ติดตัว ทรพี
วินทุกะ นั้นหลงผิด ถึงขีดสุด
เห็นมงกุฎ ดอกบัวแก้ว แววสดใส
ก็ถึงคราว กรรมบังตัว ชั่วบังใจ
ร้องอยากได้ มงกุฎตัว บัวงดงาม
เปรตร้องบอก ไม่ใช่บัวแต่ เป็นจักร
หมุนวนปัก กลางหัวข้า น่าสงสาร
นานหลายกัป ที่ทนทุกข์ ทรมาน
เจ้าสันดาน พาลมองเห็น เป็นดอกบัว
วินทุกะ ไม่ยอมฟัง ดังเขาบอก
อย่ามาหลอก ฉันดีกว่า ไอ้หน้าผี
เอามงกุฎ ชุดดอกบัว มาดี ดี
อย่าให้มี ซึ่งโมโห โกรธากัน
เอ้าก็ได้ จงเอาไป ดังใจเจ้า
มาคว้าเอา ไปเองเถิด จะเกิดผล
ไม่สามารถ เอาออกได้ ด้วยมือตน
จนกว่าคน มีมาเปลี่ยน หมุนเวียนกรรม
วินทุกะ รีบคว้าเอา บัวกงจักร
ด้วยทึกทัก ว่าเป็นบัว มัวสุขสม
จักรปั่นหัว รู้สึกตัว ทุกข์ระทม
ร้องระงม ชดใช้กรรม ที่ทำมา
................................
นี่แหละหนา ที่เขาว่า อันกงจักร
คนชั่วมัก แค่มองเห็น เป็นของสวย
เป็นดอกบัว ที่สุกงอม หอมระรวย
หายงง งวย จึงเห็นจักร ปักหัวตน

พระดิน สมาหิโต

ที่มา http://www.dhammathai.org/kaveedhamma/dbview.php?No=365

คู่แข่งที่แท้จริง

ทุกปีในสหรัฐอเมริกาจะมีการประกวดแข่งขันสะกดคำ โดยจำกัดเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี งานนี้เป็นงานระดับชาติ มีเด็กมาร่วมแข่งขันถึง 10 ล้านคน และมีการถ่ายทอดสดทั่วประเทศในรอบสุดท้าย

ปีนี้ผู้ที่ฝ่ามาถึงรอบสุดท้ายมีเพียง 13 คน ซามีร์ ปาเตล วัย 12 ขวบ ซึ่งปีที่แล้วได้อันดับ 2 เป็นตัวเต็งอันดับ 1 ส่วนอันดับ 2 คือราชีพ ทาริโกพูลา ซึ่งได้ที่ 4 เมื่อปีที่แล้ว

ชัยชนะน่าจะเป็นของซามีร์ แต่แล้วเขาก็พลาดเมื่อเจอคำว่า eramacausis (แปลว่าอะไร โปรดหาจากพจนานุกรมเล่มใหญ่ๆ) การตกรอบของซามีร์ ทำให้ราชีพเป็นตัวเต็งอันดับ 1 ทันที

มีนักข่าวคนหนึ่งถามราชีพว่า ดีใจไหมที่คู่ปรับตกรอบไป คำตอบของราชีพก็คือ "ไม่ครับ นี่เป็นการแข่งขันกับ คำ ไม่ใช่กับ คน ครับ"...

คำตอบของราชีพคงทำให้ผู้ใหญ่หลายคนได้คิด ใช่หรือไม่ว่าเวลาเราแข่งขันในเรื่องอะไรก็ตาม เรามักจะมองเห็นผู้ร่วมแข่งขันเป็นปรปักษ์หรือฝ่ายตรงข้าม ในใจจึงอยากให้เขามีอันเป็นไป เพื่อเราจะได้เป็นผู้ชนะแต่ผู้เดียว หารู้ไม่ว่าลึกๆ ความอิจฉาและพยาบาทกำลังก่อตัวขึ้น ดังนั้น แข่งไปจึงทุกข์ไป แข่งเสร็จแล้วก็ยังทุกข์อีกที่เห็นคนอื่นเก่งกว่าตน

แต่สำหรับราชีพ แม้การแข่งขันจะดุเดือดอย่างไร เขาไม่ได้มองไปที่คน แต่มองไปที่คำ สำหรับเขาความท้าทายอยู่ที่การต่อสู้กับคำยากๆ คำยากทุกคำคือปริศนาที่เขาต้องถอดออกมาเป็นตัวๆ ให้ได้ เมื่อใจไปจดจ่ออยู่ที่คำเหล่านี้ เขาจึงไม่ยินดียินร้ายที่ผู้ร่วมแข่งขันจะไปหรืออยู่

แม้ว่าในที่สุดราชีพจะได้เป็นที่ 4 (เพราะแพ้คำว่า Heiligenschein) แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ทุกข์เพราะเกลียดหรืออิจฉาคนที่เก่งกว่าเขา คงมีแต่ความมุ่งมั่นที่จะศึกษาค้นคว้าให้หนักขึ้นเพื่อพิชิตคำยากๆ ในปีหน้า

มุมมองของราชีพนั้น ไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะในยามแข่งขันเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าสำหรับการดำเนินชีวิต และสัมพันธ์กับผู้คนด้วย...ใช่หรือไม่ว่า ในชีวิตประจำวัน เมื่อเราถูกวิพากษ์วิจารณ์ ใจเรามักจะพุ่งตรงไปยังคนวิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่ค่อยสนใจคำวิพากษ์วิจารณ์เท่าใดนัก ดังนั้นแม้ว่าคำวิพากษ์วิจารณ์จะถูกต้อง ให้แง่คิดที่ดีเพียงใดก็ตาม แต่เราไม่สนใจที่จะไตร่ตรองเสียแล้ว เพราะใจนั้นเต็มไปด้วยความเกลียด และโกรธคนที่วิพากษ์วิจารณ์เรา

ถ้าเราหันมาใส่ใจกับคำวิพากษ์วิจารณ์กันให้มากขึ้น และสนใจให้น้อยลงกับการตอบโต้เพื่อเอาชนะคะคานคนที่วิพากษ์วิจารณ์ นอกจากเราจะทุกข์หรือโกรธเกลียดน้อยลงแล้ว เรายังมีโอกาสที่จะได้ประโยชน์จากคำวิพากษ์วิจารณ์นั้นด้วย โดยเฉพาะหากเป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ถูกต้อง

คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งเมืองโบราณ ถึงกับบอกว่า
วันไหนไม่ได้รับคำตำหนิ วันนั้นถือเป็นอัปมงคลเลยทีเดียว

ที่มา :
https://www.facebook.com/wirodePAG/photos/a.1636356973256434.1073741828.1632981996927265/1879218635636932/?type=1

Thursday, June 11, 2015

การอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว .. คุยกันเยอะๆ

“ใจของชั้นมันบอกว่าชั้นเกลียดแม่”

เรื่องราวในวันนี้คือเรื่องของ “ ป้าศรี ”

ป้าศรี..หญิงไทยอายุใกล้ 50 ปี มาหาหมอด้วยอาการเบื่อ ไม่มีสมาธิ กินอาหารได้น้อยลงและอาการอื่นๆที่เข้ากับการวินิจฉัยว่าเป็น “โรคซึมเศร้า” ป้าศรีเริ่มมีอาการตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้วตั้งแต่รับแม่มาดูแล เดิมป้าศรีเป็นลูกคนที่ 3 ในบรรดาพี่น้อง 5 คน พ่อแม่ของป้าศรีเป็นครูทั้งคู่ป้าศรีเติบโตมาท่ามกลางการดูแลอย่างดีตามอัตภาพจากพ่อแม่แต่สิ่งที่ป้าศรีแตกต่างจากพี่ๆน้องๆคือ ป้าศรีเรียนหนังสือไม่ทันน้อง ทั้งๆที่ด้านอื่นๆป้าศรีก็ไม่ได้ช้ากว่าน้อง บางครั้งเพื่อนๆก็แซว่าน้องยังอ่านหนังสือเก่งกว่าป้าศรีอีก ป้าศรีก็ไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด ป้าศรีมักไม่เข้าใจเรื่องที่ครูสอนจนป้าศรีต้องให้แม่ช่วยสอนซ้ำเป็นประจำ พ่อแม่ของป้าศรีก็ช่วยสอนบทเรียนให้อีกโดยไม่ได้ดุว่าใดๆป้าศรีรู้สึกน้อยใจแต่ก็ไม่ได้คิดมากนัก แต่สิ่งที่ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายเมื่อป้าศรีเรียนจบชั้นป.4 แม่ของป้าศรีไม่ให้ป้าศรีเรียนหนังสือต่อแต่ส่งป้าศรีให้ไปเรียนเย็บผ้าและเรียนทำกับข้าวกับญาติแทนทั้งที่ป้าศรีอยากเรียนหนังสือต่อและพี่ๆน้องๆคนอื่นๆก็ได้ไปเรียนหนังสือต่อ เมื่อพ่อและแม่ตัดสินใจแบบนั้นป้าศรีก็ไม่สามารถทัดทานได้และรู้ถึงความสามารถด้านการเรียนของตนเองว่าเรียนไม่เก่ง ป้าศรีไปอยู่กับญาติ เรียนเย็บผ้าและเรียนทำอาหารตามที่แม่ต้องการแม้จะไม่ชอบ แต่พอผ่านไปก็กลายเป็นความเคยชิน ผ่านไปปีแล้วปีเล่า ป้าศรีเริ่มเย็บผ้าได้เก่งขึ้นจนสามารถเป็นลูกมือร้านตัดชุดวิวาห์ชื่อดังในเมืองได้ ป้าศรีมีรายได้เป็นของตัวเอง ประกอบกับป้าศรีเป็นผู้หญิงที่หน้าตาดี จึงมีหนุ่มๆมาขายขนมจีบให้สม่ำเสมอ เมือถึงวัยที่พร้อมป้าศรีจึงแต่งงาน แยกครอบครัวออกไป ตั้งแต่แยกครอบครัวออกไปแล้ว ป้าศรีมักไม่ค่อยกลับไปเยี่ยมบ้าน ถ้าเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยงเพราะไม่อยากจะต้องไปเจอกับบรรยากาศที่พี่ๆน้องๆซึ่งรับราชการกันทุกคนกลับมาบ้านแล้วมาคุยกันเรื่องที่ทำงาน ป้าศรีไม่อยากพูดถึง ชีวิตของป้าศรีก็ดำเนินมาตามปกติ จนกระทั่งเมื่อ 2 ปีก่อน แม่ของป้าศรีป่วยเป็นอัมพฤกษ์ เดินไม่ได้ พี่ๆน้องๆไม่มีความพร้อมที่จะดูแลเพราะต่างคนต่างแยกย้ายไปรับราชการกันคนละทิศละทาง ทุกคนจึงลงความเห็นว่า ให้แม่มาอยู่กับป้าศรีซึ่งพร้อมที่สุดเพราะป้าศรีมีร้านตัดเสื้อของตัวเองพร้อมๆกับร้านขายเบอร์เกอรี่ที่มีลูกจ้างอยู่เต็มร้าน ป้าศรียินดีรับแม่มาดูแลทั้งที่ยังรู้สึกบางอย่างอยู่ ป้าศรีดูแลแม่เองโดยให้ลูกจ้างในร้านช่วยเล็กน้อยเท่านั้น ป้าศรีดูแลแม่อย่างดีแต่ความรู้สึกนั้นเป็นเพียงการทำตามหน้าที่ของคนเป็นลูกที่จะต้องตอบแทนบุพการียามแก่เฒ่า เรียกว่า เลี้ยงเพียงให้ยังอยู่ก็ว่าได้ ป้าศรีคุยกับแม่น้อยมาก บางครั้งเวลาที่แม่เรียกให้มาช่วยพาเข้าห้องน้ำป้าศรีก็มาช่วย เมื่อคนแก่เคลื่อนไหวช้าบ้าง เงอะงะบ้าง ป้าศรีก็จับแขนแม่เผลอกระแทกแรงๆบ้าง พูดเสียงดังบ้าง พร่ำบ่นบ้าง เมื่อมาคิดทีหลังป้าศรีก็รู้สึกผิดทุกครั้งที่ได้ทำลงไป ป้าศรีทุกข์ใจกับความรู้สึกนี้จึงตัดสินใจมาพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ช่วย “เอาความโกรธเกลียดออกจากใจฉันที”
เมื่อหมอให้การดูแลไประยะหนึ่ง ป้าศรีนอนได้ กินได้ สมาธิดีขึ้นทำงานได้ดี แต่สิ่งที่ยังอยู่ในใจคือความรู้สึกเกลียดที่มีต่อแม่ หมอให้สำรวจว่ามาจากเหตุการณ์อะไร ...คงเดาได้ไม่ยาก...ใช่ค่ะ มาจากการที่แม่ไม่ให้เรียนต่อ
เรื่องนี้เลยไม่จบเพียงแต่การให้ยาและการเสริมทักษะการแก้ปัญหา หมอจึงนัดแม่มาด้วยในวันที่ป้าศรีต้องมาติดตามการรักษา โดยอ้างว่า หมอขอประเมินแม่ให้ เผื่อท่านอาจมีภาวะทางอารมณ์จากที่เป็นอัมพฤกษ์ (มุสาล้วนๆ...เฮ้อ !) เมื่อหมอคุยกับป้าศรีเสร็จ หมอขอคุยกับแม่ของป้าศรีเป็นการส่วนตัว โดยให้ป้าศรีไปรออีกห้องหนึ่ง ที่มีเพียงม่านกั้น (ที่ไม่ใช่ม่านประเพณีนะคะ...อย่าเล่นมุก) การสนทนาเริ่มต้นด้วยการพูดคุยเล็กๆน้อยๆพอเป็นพิธี เอาล่ะ...ถึงจุดยุทธศาสตร์แระ ...หมอถามแม่ของป้าศรีว่า เพราะอะไรตอนนั้นถึงให้ป้าศรีไปเรียนเย็บผ้า ทั้งที่ป้าศรีอยากเรียนหนังสือ ??
ท่านตอบมาว่า “ชั้นเป็นครูนะหมอ ชั้นรู้ว่าลูกชั้นมันไม่โง่ แต่ไม่รู้เพราะอะไร มันเรียนไม่ได้เหมือนพี่เหมือนน้อง ไม่ใช่ไม่ทุกข์นะหมอ ชั้นกับพ่อมันไม่รู้จะทำยังงัย ชั้นรู้ว่ามันเรียนเหมือนพี่เหมือนน้องคงไม่ได้ แล้วถ้าชั้นกับพ่อมันไม่อยู่กันแล้ว มันจะเอาอะไรกิน ชั้นเลยให้มันไปเรียนเย็บผ้า เพราะเห็นแววตอนมันเด็กๆที่มันชอบตัดกระดาษมาปะๆติดๆ เออ...ถ้ามันเรียนเย็บผ้าแล้วเป็นอาชีพได้ ชั้นกับพ่อมันก็คงตายตาหลับ” ...ขณะที่หมอฟัง หมอเห็นประตูของการจัดการความเกลียดที่ป้าศรีมีแล้ว จะรอช้าอยู่ใย ?? หมอถามอีกประโยคนึงต่อมา “ในบรรดาลูกทั้ง 5คน คุณยายภูมิใจลูกคนไหนมากที่สุดคะ?? ...ยายตอบมาเหมือนนัดกันไว้ (ปล่าวนัดนะคะ แต่เห็นสัญญาณบางอย่างแล้ว) “ ก็ภูมิใจศรีนี่แหละ ดูสิ่หมอ ชั้นแทบจะไม่เคยได้ให้อะไรมันเลย เรียนก็ไม่ได้เรียน แต่มันก็ขยันทำมาหากิน มีเงินมีทองใช้ ไม่ต้องพึ่งพิงใคร แถมมันยังเป็นคนที่ดูแลชั้นอย่างดีด้วย"...คนแก่อาจไม่คิดอะไรมาก....แต่หมอได้ยินเสียงสะอื้นจากหลังม่านแล้ว...เอาล่ะ พอแล้ว ให้เวลาเค้ากันเถอะ...เป็นการขุดประเด็นที่เปลืองกระดาษทิชชู่มากที่สุดตั้งแต่เป็นจิตแพทย์มา
หลังจากการเจอกันครั้งนั้น ป้าศรีก็ดีขึ้น ไม่โกรธแม่หรือตัวเองแล้ว ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอ ป้าศรีมาคนเดียว มาเล่าด้วยแววตาเป็นประกาย น้ำเสียงสดชื่นมากว่า “หมอรู้มั้ย ตอนนี้นะ ชั้นดีใจและภูมิใจมากที่ชั้นไม่ได้เรียนต่อ” อ้าว...หมองง มายังงัย ป้าศรีบอกต่อทันทีว่า” ก็ตอนนี้นะ ชั้นน่ะ เป็นเจ้าหนี้ให้บรรดาพี่ๆน้องๆของชั้นที่เป็นข้าราชการทั้งหลายเนี่ย ...กินเฉพาะดอกเบี้ยก็อยู่ได้แล้วหมอ 5555 คงจริงอย่างที่เค้าว่าเนอะ เป็นข้าราชการบางทีก็ไส้แห้ง 55555”....ป้าศรีหัวเราะชอบใจ แต่หมอ ปวดถึงไส้แล้ววววว
********************
สรุปว่า ป้าศรีน่าจะเป็นโรคแอลดี (learning disability) เป็นความบกพร่องอย่างหนึ่งของเด็กที่ดูเหมือนฉลาดในทุกๆด้านแต่พอให้อ่านเขียนสะกดคำหรือคิดเลข กลับทำไม่ได้ซะงั้น

ที่มา :
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=788703697888799&id=100002475281832

ความขัดแย้ง


ลูกดื้อ

“ดื้อตามวัย โตมาเดี๋ยวก็หาย?”

ปิ่นวัย 2 ปี ไม่เชื่อฟังและต่อต้านแม่มาก....
เวลาเรียกมานั่งกินข้าว...เป็นเรื่องที่แม่เครียดที่สุด

เรื่องอื่นๆที่ลูกไม่เชื่อฟัง แม่พอจะรับได้
แต่เรื่องกินข้าว แม่กลุ้มใจมาก....

แม่จึงต้องอนุโลมให้ปิ่นกินข้าวไป เดินเล่นไปด้วย....
แต่ลึกๆในใจแม่...แม่คิดว่า เราน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้....
แม่จึงมาหาหมอ....

ในห้องตรวจ ปิ่นเดินไปมารื้อของเล่น....
สลับกับเปิด ปิดประตูห้องตรวจเป็นระยะๆ....
ปิ่นไม่ได้สนใจเล่นของเล่นเป็นเรื่องเป็นราว....
ดูเหมือนสำรวจมากกว่าเล่น....

พ่อ “ผมปล่อยเขาเล่นอิสระ เมื่ออิสระเขาน่าจะเกิดความคิดสร้างสรรค์”
หมอ “แต่หมอเห็นว่า เขาไม่ได้ลงมือเล่นเลยค่ะ เขาเดินสำรวจไปมา เหมือนไม่สนใจอยากจะเล่นอะไรเลย”

แม่ “ใช่ค่ะ ไม่ค่อยสนใจจะเล่นของเล่น ถ้าเล่นก็หยอดก้อนไม้ชิ้นกลมๆ หากเป็นทรงอื่น ใส่ไม่ลงก็เลิก ไม่เคยเห็นพยายามจะเล่นให้จบเลยค่ะ ส่วนนิทานยิ่งฟังไม่จบเข้าไปใหญ่ อยากเปิดเอง หยิบเอง เอาแต่หน้าที่ตัวเองสนใจ ทำให้เขารู้แต่หน้านี้หน้าเดียวมาเป็นอาทิตย์แล้วค่ะ”

หมอ “หมอคิดว่าเขาอิสระมากเกินไป มากจนไม่รู้ว่าขอบเขตอยู่ตรงไหน ทำให้ความคิดสร้างสรรค์เขาไม่มาแล้วค่ะ”

หมอ “ก่อนที่คนเราจะเล่นอิสระได้อย่างมีความคิดสร้างสรรค์ หรือเรียกว่าจะคิดนอกกรอบได้ ก็ต้องเข้าใจความเป็นไปของเรื่องราวในกรอบก่อน หมอคิดว่า ปิ่นไม่รู้ทั้งกรอบกติกาของวินัย ที่คุณพ่อคุณแม่ ไม่ทันได้ตระหนักว่าสำคัญ และปิ่นก็ไม่รู้ว่าของเล่นที่มีอยู่เขาออกแบบมาเพื่อให้เล่นอย่างไร”

หมอ “เมื่อปิ่นไม่รู้ว่าของเล่นควรต้องเล่นอย่างไร หรือเมื่อใส่ไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะต้องพยายามบิดข้อมือหรือเปลี่ยนชิ้นอื่นก่อน ก็จะไม่เคยทำสำเร็จ ดังนั้นความภาคภูมิใจก็จะไม่มี ปิ่นก็ย่อมไม่พาตัวเองลงมานั่งเล่นของเล่นแบบนี้ ที่นอกจากจะทำไม่ได้ เล่นไม่สนุกแล้ว ยังทำให้รู้สึกไม่ดีอีก ที่ติดขัดแล้วไปต่อไม่เป็น”

หมอ “เมื่อปิ่นไม่สนใจกติกาของบ้านที่พ่อแม่กำหนด ปิ่นก็จะไม่เรียนรู้การเชื่อฟัง... ลูกไม่เคารพเรา และเมื่อเราอยากให้ลูกนั่งทานข้าว ความที่ไม่เชื่อเรา เชื่อแต่ตัวเองจึงทำให้ลูก ไม่ยอมลงนั่ง....”

หมอ “หมอไม่แนะนำให้เรามาจริงจังเฉพาะทานข้าว เพราะนั่นจะทำให้เกิดการร้องไห้ ทรมานกิน เกิดความเครียด แต่หมอขอให้เราจริงจังกับกติกาอื่นๆก่อนเพื่อพัฒนาตนเองให้ลูกเคารพ เมื่อนั้นการเรียกมาก็จะง่ายขึ้น”

หมอ “ส่วนความคิดสร้างสรรค์นั้น เราสามารถช่วยลูกพัฒนาได้ เมื่อคนเรารู้เนื้อในของกรอบ และมีความอดทน อดกลั้นเป็น การต่อยอดต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องลำบาก เพียงแต่ตอนนี้ ช่วยให้เขารู้ก่อนว่า เขาจะภาคภูมิใจในตัวเองกับของเล่นได้อย่างไร”

พ่อ “เด็กไม่เชื่อฟัง โตขึ้นเดี๋ยวก็หายมั๊ยครับหมอ?”
หมอ “ตามหลักเวลาเด็กโตขึ้น ความเข้าใจจะมากขึ้น จึงทำให้คุยกันรู้เรื่อง โอกาสที่ลูกจะหายดื้อก็สูง แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าจะหาย เพียงแต่เรามีโอกาสที่จะช่วยลูกได้ง่ายขึ้น

แต่หากเราไม่ได้ทำอะไรต่างจากเดิม ยังเลี้ยงแบบเดิมๆ ก็แปลว่ามีคนอื่นมาช่วยทำให้หายแทน...เช่น ครู ญาติ ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นใช้วิธีอะไรทำให้ลูกหายดื้อ และจะมีผลข้างเคียงอะไรเหลืออยู่ในใจหรือไม่ เราก็ไม่รู้”

หมอ “เราสามารถทำได้ด้วยตัวเองนะคะ อย่าเพิ่งถอดใจ ที่ผ่านมาเราเพียงแต่ไม่รู้วิธี กลับไปปรับการเลี้ยงดูใหม่ ทั้งตาชั่งฝั่งบวกและฝั่งลบตามที่คุยกัน แล้วเราจะค้นพบว่า เรามีความสามารถมากกว่าที่เราคิด”

ที่มา :
https://www.facebook.com/237160756408180/photos/a.237161899741399.1073741827.237160756408180/289810494476539/

KFC

หลายคนที่ไม่เคยลิ้มรสความล้มเหลว ก็ไม่มีวันที่จะได้ลิ้มรสความหอมหวานของชัยชนะได้เช่นกัน

เริ่มตั้งแต่วัยเด็ก ต้องหนีออกจากบ้านเพราะทะเลาะกับพ่อเลี้ยง เคยทำงานเป็นคนรับจ้างทำงานในไร่ ขายประกัน พนักงานดับเพลิง ขับเรือกลไฟ ฯลฯ .... ล้มเหลวมาตลอด

"แซนเดอร์ส" เริ่มต้นชีวิตอีกครั้งตอนอายุ 40 ปี เขาพาครอบครัวไปปักหลักที่เมืองคอร์บิน รัฐเคนตั๊กกี้ เปิดปั๊มน้ำมัน และทำร้านอาหารเล็กๆ สำหรับผู้ผ่านทาง ใช้โต๊ะกินข้าวในบ้านเป็นโต๊ะอาหารสำหรับลูกค้า

"แซนเดอร์ส" เป็นคนทำอาหารอร่อย เพราะต้องทำกับข้าวให้กับน้องๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย ตอน 7 ขวบเคยได้รับรางวัลชนะเลิศทำอาหารประจำหมู่บ้าน ไม่แปลกที่ร้านอาหารของเขาจะทำรายได้ให้กับเขาสูงกว่าปั๊มน้ำมัน จากโต๊ะเดียวในบ้าน เขาขยายเป็น 142 ที่นั่งในเวลาต่อมา
เขาเริ่มคิดสูตร "ไก่ทอด" ยอดอร่อยขึ้นมาในช่วงนั้น อร่อยจนนักวิจารณ์ชื่อดังแนะนำร้านของเขา ผู้ว่าการรัฐเคนตั๊กกี้จึงแต่งตั้งให้เขาเป็น "ผู้พันแห่งเคนตั๊กกี้" และนั่นคือที่มาของชื่อ "ผู้พันแซนเดอร์ส" ที่คนรู้จักทั่วโลก

แต่ความสำเร็จก็อยู่กับเขาเพียงชั่วระยะหนึ่ง เมื่อรัฐบาลสร้างถนนสายใหม่ขึ้นมา นักเดินทางที่เคยผ่านร้านของเขาก็เลี่ยงไปใช้ถนนสายใหม่ ยอดขายของร้านลดลงเรื่อยๆ จน "ผู้พันแซนเดอร์ส" ต้องขายกิจการ .... 

ชราอายุ 65 ปี มีเพียง 2 ทาง ทางหนึ่งคือ การใช้ชีวิตเพื่อรอลมหายใจสุดท้าย
กับเงินช่วยเหลือของรัฐบาล หรืออีกทางหนึ่ง...ลุกขึ้นสู้อีกครั้ง วินาทีนั้น "ผู้พันแซนเดอร์ส" ค้นพบว่าเขายังเหลือ "ทรัพย์สิน" อีก 2 อย่างที่คนอื่นไม่มี นั่นคือ "สูตรไก่ทอด" และ "หัวใจ" ที่ไม่ยอมแพ้

ผู้พันแซนเดอร์สเดินทางไปทั่วประเทศ เพื่อขายแฟรนไชส์ "สูตรไก่ทอด"
มีคนบอกว่าตอนที่เขาเสนอขาย "สูตรไก่ทอด" นี้
เขาต้องเผชิญกับคำปฏิเสธถึง 1,009 ครั้ง ก่อนที่เขาจะประสบความสำเร็จในที่สุด 

และนั่นคือที่มาของ "เคเอฟซี" ในวันนี้

ความล้มเหลวไม่ได้แปลว่าพ่ายแพ้
แต่มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นสู่ชัยชนะ

ที่มา : internet

การให้เด็กเรียนพิเศษ

#เพราะอะไรจึงไม่ควรให้เด็กอนุบาลเรียนพิเศษ (อธิบายตาม Brain-based approach)

ในการทำงานเป็นจิตแพทย์เด็กทำให้ได้เจอคุณพ่อคุณแม่หลายคนที่มาถามเรื่องการเรียนพิเศษ อย่างที่ทราบว่าสมัยนี้เรียนพิเศษเหมือนเป็นของจำเป็น ขาดไม่ได้ ลูกเค้าเรียน ลูกเราต้องเรียนด้วย ถ้าไม่เรียนเดี๋ยวสู้เค้าไม่ได้ สอบไม่ผ่าน สอบเข้าโรงเรียนระดับดีเลิศไม่ได้

แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ เดี๋ยวนี้ เริ่มให้เด็กเรียนกวดวิชากันตั้งแต่ชั้นอนุบาล

"ก็ต้องสอบเข้าป.1ที่สาธิต...หมอ ไม่เรียนไม่มีทางได้ เด็กเค้าเรียนกันทุกคน" แม่คนหนึ่งพูดให้หมอฟัง

มีเด็กผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งที่ชีวิตมีแต่การเรียน มาปรึกษาด้วยเรื่องเรียนดีแต่ไม่มีความมั่นใจ เด็กบอกว่าในชีวิตเรื่องที่ทำได้ดีคือเรียน กับสอบ แต่เล่นกีฬาไม่ได้เรื่อง อยากเล่นบาสเก่งๆ ถูกเพื่อนล้อบ่อยๆว่าซุ่มซ่าม

ตรงนี้มีสาเหตุ...

หมอจึงอยากมาอธิบายให้ฟังตามลักษณะการพัฒนาการของสมองตั้งแต่เกิดจนโต

ต้องเข้าใจก่อนว่าสมองคนเรานั้น ไม่ได้เจริญแบบผลส้ม ไม่ใช่แค่ว่า ขนาดใหญ่ขึ้นตามวัยเท่านั้น แต่สมองจะมีการเจริญพัฒนาโดยเปลี่ยนรูปแบบสมองไปเรื่อย โดยมีการเจริญของสมองส่วนต่างๆที่ทำหน้าที่ต่างกัน คือ สมองส่วนล่าง ส่วนตรงกลาง ส่วนบนสุด โดยการพัฒนาจะเริ่มจาก ส่วนล่างไปสู่ส่วนบน (Lower to upper) ถ้าดูการทำหน้าที่ของสมองส่วนล่างและส่วนบน ก็คือ พัฒนาจากการควบคุมจากสิ่งที่ทำได้ทั่วไป (การรับรู้ประสาทสัมผัส การได้ยิน มองเห็น อารมณ์) ไปสู่สิ่งที่เฉพาะมากขึ้น (ความคิด การรับรู้ที่ซับซ้อน) ตามลำดับ

ซึ่งในเด็กเล็กๆนั้น สิ่งที่เราควรพัฒนาให้สอดคล้องกับการพัฒนาของสมองในขณะนั้น ก็คือ พัฒนาการรับรู้ประสาทสัมผัส การได้ยิน มองเห็น อารมณ์ เช่น การฝึกกล้ามเนื้อ ระดับแรกควรเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ แล้วค่อยเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก (ดังนั้นเด็กเล็กก็ควรให้ออกกำลังกาย มีกิจกรรม ฝึกให้เด็กช่วยเหลือตัวเองตามที่เขาทำได้อย่างเหมาะสม ไม่ควรอุ้มเด็กอย่างเดียว หรือฝึกผิดๆอย่างให้จิ้มไอแพด ไอโฟน จะทำให้ขาดการฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่ตามวัย ซึ่งหากไม่ได้รับการฝึก ก็จะโตไปเป็นเด็กที่ Clumsy เล่นกีฬาไม่ค่อยดี เคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว ซุ่มซ่าม เป็นเหมือนเด็กวัยรุ่นคนที่มาหาหมอ)

ไม่ใช่ว่าเด็กเล็กๆให้เรียนพิเศษ ถ้าทำแบบนั้น จะเป็นการขวางโอกาสในการพัฒนาที่เหมาะสมตามวัย เกิดผลเสียตามมา

แล้วถ้าถามว่าควรให้เรียนแบบวิชาการเมื่ออายุเท่าไหร่ โดยส่วนใหญ่นั้นการเรียนรู้ที่เฉพาะเจาะจงจะเริ่มพัฒนาเมื่อเด็กอายุ 6 ปีและจะพัฒนาเต็มที่ที่อายุ 20 ปี ดังนั้น การเรียนแบบสมัยก่อนที่พ่อแม่ให้ลูกเริ่มเรียน ป.1 เลยที่ 6 ขวบ หมอก็รู้สึกว่า เหมาะสมแล้ว ไม่ใช่ว่าเด็กสองขวบ ก็ให้เขียนหนังสือ เรียนเหมือนผู้ใหญ่ แบบนั้นไม่เหมาะเท่าไหร่

หมอสงสารเด็กสมัยนี้ ดูไม่มีความสุข ชีวิตมีแต่การแข่งขัน ขาดประสบการณ์ การเรียนรู้ตามวัย

ที่มา : https://www.facebook.com/kendekthai/photos/a.468916916480833.98758.468898189816039/688886307817225/

โรคสมาธิสั้น

“ลูกเข้าข่ายสมาธิสั้นรึเปล่า” ดูจะเป็นคำถามยอดฮิตที่ผู้ปกครองหลายท่านมักจะถามจิตแพทย์ เมื่อลูกเริ่มเข้าวัยอนุบาล เนื่องด้วยวัยนี้เป็นวัยที่เด็กๆจะค่อนข้างซน (มากกกกก) จนทำให้ผู้ปกครองเกิดความกังวลว่าซนขนาดนี้จะเข้าเกณฑ์ที่จะเป็นโรคสมาธิสั้น (Attention-Deficit/Hyperactivity Disorder หรือ ADHD) หรือไม่

สิ่งแรกที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทราบก่อน คือ โรคสมาธิสั้นนั้นมันเป็น “โรค (Disease)” นะครับ ส่วนคำว่า “ซน” “อยู่ไม่นิ่ง” “hyper” “ไม่มีสมาธิ” นั้นเป็นเพียงแค่ “อาการ (symptom) ” ซึ่งแน่นอนว่าหากเป็นโรค “สมาธิสั้น” เด็กๆนั้นก็จะมีอาการ ซน อยู่ไม่นิ่ง ไม่มีสมาธิ หุนหันพลันแล่น ฯลฯ

แต่ตรงกันข้าม หากลูกของคุณนั้น ซน อยู่ไม่นิ่ง ไม่มีสมาธิ หรือ มีปัญหาหุนหันพลันแล่น แล้วละก็ อาการเหล่านี้อาจจะไม่ได้เกิดจากโรคสมาธิสั้น แต่อาจจะเกิดจากโรค หรือ ปัญหาอย่างอื่นก็ได้ (เหมือนอาการ มีน้ำมูก นั้นอาจจะเกิดจาก โรค ไข้หวัดใหญ่ หรือ โรคภูมิแพ้ ก็ได้)

และอีกเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทราบ เกี่ยวกับโรคสมาธิสั้นนั้นก็คือ โรคนี้ เป็น “โรคทางสมอง” ครับ เนื่องจากว่าในปัจจุบันมีการค้นพบแล้วว่า ผู้ป่วยโรคสมาธิสั้น จะมีปัญหาในระบบ “Attention system” ของสมอง (ดูรูปได้จากที่มาของบทความ)

ซึ่งระบบนี้จะทำหน้าที่ในการทำให้คนเรามีสมาธิ สามารถคุมตัวเองให้อยู่นิ่งๆได้ และ สามารถที่จะคิดให้ถ้วนถี่ก่อนที่จะทำอะไรลงไป โดยระบบนี้ถูกควบคุมด้วยสารในสมองหลักๆอยู่ 2 ตัว คือ Dopamine และ Norepinephrine

สำหรับอาการต่างๆที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคสมาธิสั้นนั้น ทางการแพทย์เชื่อว่าเกิดจากการขาดสารในสมอง 2 ตัวนี้ ซึ่งมีผลให้ระบบ Attention system ในสมองของผู้ป่วยทำงานน้อยกว่าคนปกติ

จึงเป็นที่มาของการรักษาโรค สมาธิสั้นแบบตรงไปตรงมา นั่นคือ การกินยาอะไรก็ตามที่จะไปเพิ่มสาร 2 ตัวนี้ เพื่อให้ Attention system ของผู้ป่วยกลับมาทำงานได้ตามปกติ

หรือ พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ อาการของโรคสมาธิสั้นนั้น เกิดจาก “สมองไม่ทำงาน” ไม่ได้เกิดจาก ความซนตามวัย นิสัยที่ไม่ดี หรือจากการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม (แต่หากเลี้ยงดูไม่ถูกวิธีก็อาจทำให้อาการของโรคแย่ลงได้ครับ)

ดังนั้น การที่จะประเมินว่า เด็กคนไหน “เป็น” หรือ “ไม่เป็น” โรคสมาธิสั้นนั้น โดยส่วนตัว ผมจะไม่ได้ดูเพียงแค่ว่าเขานั้นซนแค่ไหน แต่ผมจะดูด้วยว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้อง ใช้สมาธิ ต้องอยู่นิ่งๆ ต้องควบคุมตัวเองนั้น เด็กๆสามารถทำได้รึเปล่า

โดยการพยายามมองหา พฤติกรรมที่แสดงถึงว่า “Attention system” ในสมองของเขานั้นยังทำงานอยู่ ซึ่งดูได้จากสิ่งต่างๆดังต่อไปนี้ครับ (โดยอายุที่จะทำการประเมินได้ดีคือ 3 ขวบขึ้นไป หากอายุน้อยกว่านี้จะประเมินได้ยากครับ)

1.ในกลุ่มอาการด้านสมาธิ

1.1 หากลูกของคุณสามารถที่จะทำอะไรก็ตามที่ต้องใช้การวางแผน (planning) หรือ การจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง (Organization) ซึ่งทักษะเหล่านี้ เกิดจากการทำงานของสมองส่วนหน้า( prefrontal cortex) ซึ่งในผู้ป่วยโรคสมาธิสั้นนั้นมักจะมีปัญหา

ดังนั้นหากลูกของคุณสามารถที่จะ ตื่นนอนขึ้นมาแล้ว แปรงฟัน อาบน้ำ แต่งตัว แล้วลงมานั่งรอข้าวเช้าได้ด้วยตัวเองโดยที่คุณไม่ต้องคอย “กำกับ” หรือเขาสามารถที่จะช่วยคุณทำงานบ้านที่มีหลายขั้นตอน เช่น ล้างจาน ซักผ้า หรือ จัดตารางสอน ได้โดยที่คุณไม่ต้องคอยคุม

บอกได้เลยครับว่า เขา “ไม่ค่อยเหมือน” เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นสักเท่าไหร่ (ลืมบอกไปว่าเด็กๆจะเริ่มทำทักษะเหล่านี้ได้เองประมาณ 6 ขวบขึ้นไปครับ)

1.2 หากคุณครูที่โรงเรียนบอกคุณว่า ลูกของคุณสามารถที่จะนั่งทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จด้วยตัวเองได้ โดยถ้าเป็นเด็กอนุบาล อาจจะทำเสร็จแล้วลุกไปวิ่งเล่น หรือ นั่งทำไปส่ายก้นไป (แต่ก็เสร็จ) ก็ยังถือว่าเขาสามารถที่จะฟังคำสั่ง จดจ่อกับสิ่งที่ทำ และ ทำงานให้เสร็จตามที่ได้รับมอบหมายได้ ก็ถือว่าผ่านครับ

และ ยิ่ง เขาสามารถเอาการบ้านมานั่งทำที่บ้านด้วยตัวเองได้โดยที่คุณไม่ต้องนั่งเฝ้า อันนี้ถือว่าเป็น สุดยอดของผู้มีสมาธิเลยครับ

สำหรับความรับผิดชอบเรื่องการเรียน อาจจะมีเด็กบางคนที่คุณสังเกตเห็นว่า เขาสามารถที่จะทำงานได้เองเฉพาะบางวิชา (ส่วนมากจะเป็นวิชาเลข) และ ก็จะมีบางวิชาที่เขามักจะทำไม่เสร็จ เสร็จช้า หรือ เอาไปซ่อนเลยก็มี (ส่วนมากมักจะเป็นวิชาที่เกี่ยวกับภาษา)

ก็ขอให้รู้ไว้เลยครับว่าเขา “ไม่น่าจะเป็น” โรคสมาธิสั้น เนื่องจากว่าเขายังสามารถที่จะมีสมาธิด้วยตัวเองได้(แม้จะเป็นบางวิชา) ส่วนสาเหตุที่เขาทำงานไม่เสร็จในบางวิชานั้นมักจะเกิดจาก โรคอื่นๆ เช่น Specific learning disorder (LD) ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายโรคที่บทความต่างๆมักพูดถึงว่าคือ “สมาธิสั้นเทียม” นั่นเองครับ

1.3 ตามเกณฑ์การวินิจโรคสมาธิสั้นนั้นจะพูดถึง อาการ “ขี้ลืม” และ “ลืมของ” ดังนั้นแน่นอนครับว่า หากลูกของคุณเป็นเด็กที่ “รักษาของ” ได้ดีมาก และ “มีความจำเป็นเลิศ”

เช่น จำได้หมดว่าวันนี้ครูที่โรงเรียนสั่งการบ้านอะไรมาบ้าง หรือ เมื่อคุณสั่งให้เขาทำอะไรสัก 3 อย่างแล้วเขาจำมันได้ครบ (แต่ทำหรือไม่ทำนั้นอีกเรื่องนึงครับ) ก็เป็นอีกประเด็นที่ทำให้เขานั้น “ไม่ค่อยเหมือน” เด็กที่ป่วยเป็นโรคสมาธิสั้นครับ

สำหรับในตอนนี้ ผู้ปกครองท่านใดที่อ่านแล้วพบว่ามีบางข้อที่ลูกนั้นทำไม่ได้ ก็อย่าพึ่งตกใจไปครับ เพราะโรคสมาธิสั้นนี่ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ (พบได้ประมาณ 5-10 % ของประชากรเด็ก)

การสังเกตอาการในกลุ่ม ซน อยู่/ไม่นิ่ง และ หุนหันพลันแล่น

2.ในกลุ่มอาการซน อยู่/ไม่นิ่ง และ หุนหันพลันแล่น

2.1 หากลูกของคุณเป็นเด็กที่ “ขี้กลัว” โดย เฉพาะอย่างยิ่ง กลัวในสิ่งที่จะเป็นอันตราย เช่น ความสูง น้ำลึก ของร้อน ของมีคม หรือ รถที่วิ่งมาเร็วๆ ก็ขอให้รู้ไว้ครับว่า นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ค่อยได้เจอในเด็กที่ป่วยเป็นโรคสมาธิสั้น

เพราะเนื่องจากเด็กๆที่ป่วยนั้นมักจะไม่สามารถที่จะหยุดตัวเองเพื่อนึกถึงความอันตรายของกิจกรรมต่างๆ และ มักจะลงเอยด้วยการบาดเจ็บ (ซึ่งก็ไม่เคยเข็ด) อยู่เสมอ

2.2 หากลูกของคุณเป็นเด็กที่ “รอคอย” เป็น ก็ขอให้ดีใจได้เลยครับ เพราะ การที่เด็กรอคอยได้ นั้นแปลว่าเขายังมีความสามารถที่จะควบคุมตัวเองได้อยู่ โดยคุณสามารถสังเกตเรื่องนี้ได้จากการที่ลูกของคุณสามารถที่จะ

2.2.1 ผลัดกันเล่นกับเพื่อนได้ (เพราะตอนที่คนอื่นเล่นอยู่นั้นเป็นเวลาที่เขาต้องรอครับ)

2.2.2 รอให้คุณพูดจบก่อนแล้วค่อยพูด (คือไม่พูดแทรกนั่นเองครับ)

2.2.3 เวลาไปห้าง หรือ ตลาด แล้วลูกของคุณอยากที่จะไปตรงอื่น เมื่อคุณบอกให้รอไปพร้อมคุณ แล้วเขารอได้ (แม้จะรอไปบ่นไปก็ถือว่ารอได้นะครับ เพราะถ้ารอไม่ได้จริงๆเมื่อ คุณหันมาเขาจะหายไปแล้วครับ)

2.2.4 ลูกของคุณสามารถที่จะต่อแถว เข้าคิว เพื่อไปทานอาหารกลางวันที่โรงเรียน หรือ เพื่อรับของแจกได้ (ถึงจะยุกยิกในแถว แต่ตราบใดยังไม่วิ่งออกมาจากแถว ถือว่ารอได้ครับ)

2.3. ถึงลูกของคุณจะซน แต่เมื่อถึงเวลาที่เขาต้อง “เลิกซน” แล้วเขาสามารถที่จะหยุดซนได้ เช่น ขณะที่กำลังวิ่งเล่นกับเพื่อนอย่างเมามัน เมื่อคุณครูสั่งว่า “เอ้าเด็กๆ มาเข้าแถวเร็ว เดี๋ยวเราจะไปฟังนิทานกัน” แล้วเขาสามารถที่จะปรับ mode ของตัวเองมาเข้าแถวกับเพื่อน แล้วไปร่วมนั่งฟังนิทานกับเพื่อนได้ แบบนี้ก็ “ไม่เหมือน” ครับ

2.4 หากลูกของคุณเป็นเด็ก “ใจเย็น” โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเขาเป็นเด็กที่คุมอารมณ์ตัวเองได้ดี อันนี้ก็ “ไม่ค่อยเหมือน” ครับ เพราะผู้ป่วยสมาธิสั้นส่วนใหญ่มักมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ ประมาณว่า “โกรธปุ๊บ ชกเปรี้ยง” หรือ “อยากได้ปุ๊บ คว้าปั๊บ” อะไรทำนองนั้น

ขอย้ำอีกทีว่าการสังเกตอาการทั้งหมดนี้ควรเริ่มต้นที่อายุ 3 ปีขึ้นไปครับ เพราะเป็นวัยที่เริ่มมีการทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิ ซึ่งจะทำให้เราสังเกตเขาได้ง่าย

สำหรับในเด็กที่อายุน้อยกว่านี้ คุณพ่อคุณแม่อาจจะสังเกตด้วยตัวเองได้ยากครับ และความซนในเด็กที่อายุน้อยกว่า 3 ปี ก็อาจจะมาจากสาเหตุอื่นๆได้ เช่น จากการพูดช้า หรือ การเลี้ยงดู แนะนำว่าหากไม่แน่ใจควรพาน้องไปปรึกษาแพทย์ครับ

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ แต่ไม่รู้จะเอาไปเขียนลงข้อไหนคือ หากคุณเห็นว่า ลูกของคุณมีอาการนั่นนี่ของโรคสมาธิสั้นเต็มไปหมด แต่อาการเหล่านั้นจะเป็นมากเฉพาะเมื่ออยู่กับ “บางคน” (โดยมากมักจะเป็นกับคุณแม่ หรือ ปู่ย่าตายายที่ใจดี) แต่ลูกมักจะกลายเป็น “อีกคน” (เป็นเด็กดี เรียบร้อย เชื่อฟัง) ในเวลาที่อยู่กับ “บางคน” เช่น คุณพ่อ, คุณครูที่ดุๆ หรือ คนที่ปรับพฤติกรรมเด็กเก่งๆ

อันนี้ก็ขอบอกเลยครับ ว่าเขา “ไม่น่าจะเป็น” โรคสมาธิสั้น แต่อาจจะมีปัญหาอื่น เช่น ดื้อ+เอาแต่ใจ ซึ่งมักจะมีอาการที่คล้ายกับโรคสมาธิสั้น เช่น รอคอยไม่ได้ เบื่อง่าย ขี้โมโห ไม่มีระเบียบวินัย โดยจะเป็นเฉพาะกับคนที่ใจดี และ ยอมตามเขาเท่านั้น ซึ่งก็จัดว่าเป็น “สมาธิสั้นเทียม”อีกแบบที่พบได้บ่อยครับ

อ้อ! ลืมบอกไปเรื่องอีกนึงครับ เนื่องจากว่ามีคุณพ่อคุณแม่หลายท่านที่เข้าใจว่าลูกไม่น่าที่จะเป็นโรคสมาธิสั้น โดยให้เหตุผลว่าเวลา ดูทีวี เล่นคอมพิวเตอร์ หรือ แท็ปเล็ตนั้น ดูเขาจะมีสมาธิจดจ่อดีมาก

อันนี้ต้องขอบอกเลยครับว่า “ไม่นับ” เพราะเนื่องจากว่า สื่ออิเล็คทรอนิกส์เหล่านั้นเป็น ภาพที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นที่เด็กดูเหมือนจะนิ่งก็เพราะว่าเขาถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าใหม่ๆในทุกวินาทีที่เขานั่งดูมันนั่นเอง

หากลูกของท่านสามารถทำสิ่งต่างๆที่กล่าวมาได้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเป็นโรคสมาธิสั้นน้อยลงเท่านั้น แต่หากคุณพบว่า มีหลายสิ่งที่ไม่ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ เขาก็ทำไม่ได้ (แต่เพื่อนๆของเขาส่วนใหญ่ทำได้) หรือ ที่กล่าวมานั้นเขาทำไม่ได้เลยสักอย่าง ก็ยังไม่ได้แปลว่า เขานั้น “เป็นโรคสมาธิสั้นแน่แล้ว” นะครับ

แต่แปลว่า “ควรพาเขาไปพบแพทย์ “ครับ เพราะการวินิจฉัยโรคสมาธิสั้นนั้นไม่สามารถทำได้ด้วยการ เช็คอาการจากอินเตอร์เน็ต และ แนวทางที่ผมได้ให้ไว้ก็เป็นเพียงข้อมูลเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่นำไปประกอบการตัดสินใจว่า ควรจะพาลูกไปพบแพทย์ดีหรือไม่

เพราะการที่จะวินิจฉัยว่าเด็กคนไหนป่วยเป็นโรคสมาธิสั้นนั้น แพทย์จำเป็นที่จะต้องประเมินตัวเด็ก และ ถามข้อมูลเพิ่มเติม เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณา เช่น อายุของเด็ก วิธีการเลี้ยงดู

และ สำคัญอย่างยิ่ง คือ ข้อมูลจากโรงเรียน (เพราะมีบางรายที่คุณพ่อคุณแม่รู้สึกว่าลูกไม่มีปัญหา แต่ ครูที่โรงเรียนนี่เครียดจนแทบจะลาออก) และ แพทย์ยังต้องทำการประเมินด้วยว่า อาการหรือปัญหาของเขานั้น ไม่ได้เกิดจากสาเหตุอื่นๆที่ไม่ใช่โรคสมาธิสั้น

สุดท้ายนี้หากใครที่ก็ยังไม่แน่ใจ แต่เห็นว่าลูกยังอายุน้อย (ไม่เกิน 5 ปี) หรือ รู้สึกว่าปัญหาสมาธิหรือความซนของลูกยังไม่รุนแรง (เช่น ครูที่โรงเรียนไม่ได้ว่าอะไร) แล้วอยากที่จะลองปรับพฤติกรรมลูกดูก่อน ตอนหน้าผมจะขอแนะนำวิธีในการช่วยลูกให้มีสมาธิ และ มีความสามารถในการควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น

ที่มา : https://www.facebook.com/Growingupnormal/photos/a.257974647717243.1073741829.257704944410880/420465158134857/

เฉินชวน











Wednesday, June 10, 2015

นิทานก่อนนอน : ความผิดพลาดในชีวิต

------- วันนี้ช่วงเช้าหมอตรวจเด็กชายวัยรุ่นคนนึง (A นามสมมติ) อายุ 15 ปี
เป็นเด็กหน้าตาดี เรียนภาษาเก่ง(โดยเฉพาะภาษาจีน) อัธยาศัยดี เป็นที่รักของเพื่อนและครู
แต่เมื่อต้นปีที่แล้ว น้องA มีปัญหาพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับแฟนที่โรงเรียน
ทำให้เด็กถูกไล่ออก หลังจากนั้น...เด็กเริ่มไม่สนใจเรียน
แม้แต่ภาษาจีนที่มักจะกลับมาทบทวนสม่ำเสมอ เล่นเกมมากขึ้น
แม่เป็นห่วงมากเรื่องที่เด็กเริ่มไม่สนใจเรียนเหมือนเดิม
-------

หมอ : A ... ดูนะ (หยิบบล็อกไม้มาต่อเป็นกำแพง)
A หน้าตาดี (ลงบล็อกหนึ่งก้อน) เก่งภาษาจีน ...เล่นดนตรีได้ ...
อัธยาศัยดี ... มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ... มีน้ำใจ ...
(ไล่ข้อดีไปเรื่อยๆ ช่วยกันกับแม่ พร้อมลงบล็อกทีละก้อน) ...
แต่วันนี้เราโดนไล่ออกเพราะปัญหาเรื่องแฟนใช่มั้ย (วางบล็อคเบี้ยวๆ) ....
เอาล่ะดูสิ เป็นแบบนี้เรายังต่อบล็อกกันต่อได้อีกมั้ย

A : ได้ครับ...เบี้ยวแค่ก้อนเดียวเอง
หมอ : ใช่ (ยิ้ม) ... แค่บล็อกก้อนเดียวเอง เราก็ยังต่อได้อีกตั้งเยอะ ...ดูสิ
ก้อนที่ A ทำไว้สวยๆมีตั้งเยอะ ไปสนใจอะไรกับบล็อกเบี้ยวๆก้อนเดียว ...
หมอว่าเรามามองกันต่อดีกว่าว่า จะวางแผนอย่างไรให้ไปถึงเป้าหมาย

ชีวิตเรามีทั้งสิ่งดีและไม่ดีนะครับ ...
แต่เรามักสนใจสิ่งไม่ดีแล้วมาทับถมตัวเอง ทับถมลูก
ทำให้เค้าขาดความมั่นใจจะเดินต่อ ... ลองมองกว้างๆสิครับ
จะเห็นว่าสิ่งดีๆที่เค้าทำมามีตั้งเยอะ ...
แล้วทำไมเค้าจะดีขึ้นกว่านี้อีกไม่ได้ กะอีแค่บล็อกเบี้ยวๆก้อนเดียว

ที่มา : https://www.facebook.com/Sangdekgroup/photos/a.128526893984708.1073741831.128509253986472/239547796215950/?type=1

นิทานก่อนนอน: เครียดกับเป้าหมาย และความผิดหวัง

เชื่อมั้ยครับว่า นักฟุตบอล เป็นอาชีพที่ต้องพบกับความผิดหวังบ่อยมาก

ไม่เชื่อลองสังเกตสถิติตอนท้ายเกมสิครับ แล้วคุณจะเห็นว่าในการแข่งขัน 90 นาที แต่ละทีมจะมีความพยายามในการยิงประตูฝ่ายตรงข้ามเฉลี่ยประมาณ 20 – 30 ครั้ง

แต่บ่อยครั้งที่ความพยายามเหล่านั้นประสบผลสำเร็จเพียง 1-2 ประตูเท่านั้น (บางเกมก็ 0 เลย)

หรือพูดง่ายๆว่าที่ยิงไปอีกกว่า 20 ครั้งนั้นมัน “ไม่เข้า”

แล้วคุณเคยลองสังเกตดูมั้ยครับว่า เมื่อยิงประตูไม่เข้า (โดยเฉพาะเวลายิงจุดโทษ) นักฟุตบอลแต่ละคนนั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง

คุณเคยเห็นนักฟุตบอลที่ร้องไห้ฟูมฟาย หรือ เดินไปด่าผู้รักษาประตูฝ่ายตรงข้ามว่า “ยิงตั้งหลายทีแล้ว ปัดออกอยู่ได้ เล่นแบบนี้ไม่เล่นด้วยแล้วโว้ย” แล้วเดินออกจากสนามไปเลยมั้ยครับ

ส่วนมากที่ผมเห็นคือ สีหน้าท่าทางที่แสดงความผิดหวังไม่เกิน 10 วินาที แล้วเขาเหล่านั้นก็รีบวิ่งกลับไปประจำตำแหน่งของตัวเองเพื่อเริ่มต้น “บุก” ใหม่อีกครั้ง

ที่เป็นเช่นนั้นได้ ผมเชื่อว่าเป็นเพราะ

1.นักฟุตบอลแต่ละคนนั้นไม่ได้ “คาดหวัง”ว่าการยิงประตูแต่ละครั้งนั้นมันจะต้อง “สำเร็จ” ไปเสียทุกครั้ง

2.การแข่งขันยังไม่จบ แปลว่ายังมีโอกาส และยังไม่ใช่เวลาที่จะมาคร่ำครวญ

3.การยิงประตูที่ไม่สำเร็จ ไม่ใช่ความผิดของตัวเขาเองคนเดียว แต่อาจเกิดจากเพื่อนร่วมทีม การวางแผนของโค้ช หรือ ความเก่งกาจแบบผิดมนุษย์ของผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม(โดยเฉพาะผู้รักษาประตู)

ซึ่งหากจะนำประเด็นเหล่านี้มาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน คุณก็อาจจะเปรียบการยิงประตูของนักฟุตบอลว่าเหมือนกับการที่คุณมีความตั้งใจที่อยากจะทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จไม่ว่าจะเป็น งานประจำของคุณ หุ้น(หรือหวย)ที่คุณเก็งไว้ หรือแม้กระทั่งการเลี้ยงลูกของคุณ

หากคุณ “คาดหวัง” ว่าสิ่งใดก็ตามที่คุณกำลังทำอยู่นั้นอย่างไรก็ต้อง “สำเร็จ” สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ ยิ่งคุณคาดหวังกับมันมากเท่าไหร่ ความผิดหวังก็จะทำให้คุณเจ็บปวดมากเท่านั้น

ดังนั้นเพื่อให้คุณสามารถที่จะลุกขึ้นมาเล่น “เกมชีวิต” ต่อได้อย่างรวดเร็วทุกคราวที่คุณผิดหวัง ล้มเหลว หรือ พ่ายแพ้ ผมขอแนะนำให้ใช้วิธี “หวังแต่พองาม” ครับ

เช่นหากคุณมีความคิดที่ว่า “ลูกต้องสอบเข้าสาธิต....ให้ได้” เพื่อไม่ให้เป็นการกดดันตัวเองจนเกินไปคุณก็ควรที่จะปรับให้เป็น “ถ้าลูกสอบเข้าสาธิต....ได้ก็ดี แต่ถ้าทำดีที่สุดแล้วยังไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”

เมื่อมาถึงตรงนี้ก็อาจจะมีหลายคนที่สงสัยว่า “ถ้าไม่กดดันตัวเองสักหน่อย แล้วมันจะสำเร็จเหรอ”

ก็ขอบอกเลยครับว่าความสำเร็จในการทำสิ่งใดก็ตามไม่ได้เกิดขึ้นจากความ “คาดหวัง” ที่เรามีต่อเรื่องนั้น
แต่ความสำเร็จมักจะเกิดจากการที่เราได้ “ลงมือทำ” สิ่งนั้นอย่างสุดความสามารถครับ

ถ้าไม่เชื่อผมแนะนำให้คุณลองหาลูกฟุตบอลมาสัก 1 ลูก แล้ว “คาดหวัง” กับมันให้มากๆว่า “เอ็งต้องเข้าประตูนะ ไม่เข้าไม่ได้นะ ยังไงเอ็งก็ต้องเข้าประตู พุ่งไปแรงๆ ไซด์ก้อยนิดๆ แล้วมุดคานเสียบเสาสองไปเลยนะ” โดยไม่ต้องไปเตะมันนะครับ

ลองสังเกตดูนะครับว่าความคาดหวังอันแรงกล้ามหาศาลของคุณนั้นทำให้ลูกบอลขยับได้รึเปล่า

ดังนั้นเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายโดยมีใจที่พร้อมจะรับความผิดหวังผมแนะนำว่าคุณควรที่จะ “หวังแต่พองาม แต่ลงมือทำมันให้เต็มที่”

ซึ่งแน่นอนครับว่าหากคุณลงมือทำอะไรอย่างเต็มที่แล้ว จะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณและอุปสรรคที่คุณเจอครับ (ไม่เกี่ยวเลยว่าคุณจะคาดหวังกับมันมากหรือน้อยแค่ไหน)

และถึงแม้ว่าความล้มเหลวจะทำให้คุณรู้สึกแย่เพียงใด อย่างน้อยคุณก็ยังบอกตัวเองได้ว่า คุณได้พยายามทำมันอย่างดีที่สุดแล้ว และแน่นอนว่าตราบใดที่ยมฑูตยังไม่เป่านกหวีดหมดเวลาของชีวิต คุณก็ยังมีโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ

ที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแง่คิดดีๆที่เกิดขึ้นได้จาก “กีฬา” ดังนั้นหากลูกของคุณกำลังประสบปัญหาชีวิตบางอย่าง การนำนักฟุตบอลหรือนักกีฬาชนิดอื่นๆมาเป็นตัวอย่างก็อาจจะทำให้ลูกเข้าใจและเห็นภาพในสิ่งที่คุณกำลังสอนเขาได้ง่ายขึ้นด้วยครับ

ที่มา :
https://www.facebook.com/Growingupnormal/photos/a.257974647717243.1073741829.257704944410880/293004097547631/?type=1