Saturday, October 9, 2010

self

ปกติลิงจะเป็นสัตว์ว่องไวมาก ทั้งวิ่งหนี ทั้งปีนต้นไม้
ชาวสวนไทยจะนำมะพร้าวมาเจาะรู ขูดเนื้อมะพร้าวออก และเอาถั่วลิสงใส่ลงไป
เจ้าลิงพอได้กลิ่นของชอบก็วิ่งมา ล้วงมือเข้าไปในลูกมะพร้าว กำของโปรดของมันไว้แน่น
แล้วคราวนี้มันจะพบว่า พอมันจะดึงมือออกมา มันกลับดึงออกไม่ได้
นั่งรอจนชาวสวนมาจับตัวไว้ได้

มนุษย์มากมาย หัวเราะเยาะลิงว่า โง่จริง ๆ
ถ้าอยากให้มือหลุดออกไป ก็แค่ปล่อยถั่วที่กำไว้เท่านั้น

วันนี้ทุกปัญหา ทุกความทุกข์ที่เราทุกข์กับมันหนักหนา
เราก็เหมือนลิงกำถั่ว ที่กำความคิด ความอยาก ความยึดว่านี่ของเรา
ต้องเป็นอย่างใจเราเอาไว้อย่างแน่นหนา

เรากำความคิดว่า
- หนี้ก้อนนี้ต้องจ่ายเท่านี้ ไม่งั้นก็ยอมยืดเยื้อฟ้องร้องกัน
- ที่ดินแปลงนี้ต้องขายได้เท่าที่เราอยากได้ ไม่อย่างนั้นก็ยอมให้ธนาคารยึดไป
ทั้งๆที่เราขาดทุนมากขึ้นด้วยซ้ำ
- คนนั้นต้องพูดให้ถูกใจเรา ทำให้ถูกใจเราเสียก่อน
- ฝังใจยึดอยู่กับอดีตที่เราเคยมี
จนหลายครั้งพลาดโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่ในชีวิต ที่อาจจะดีกว่าเก่าเสียด้วยซ้ำ

คัดย่อสรุปจาก เข็มทิศชีวิต

เรากำอะไรอยู่บ้าง ?

เป้าหมายในชีวิต

สตรีคนหนึ่ง เดินออกจากบ้านไปจ่ายตลาดประจำสัปดาห์ด้วยใจเบิกบาน
เห็นขนมคบเคี้ยว ผ้าเช็ดโต๊ะ ขัน โอ่ง อ่างถูกใจ จึงเดินซื้อมาตลอดทาง
ทันทีที่ถึงแผนกอาหาร ยา ของใช้จำเป็น สตรีคนนั้นหมดเงิน
ตะกร้ามีของไม่จำเป็นอยู่เต็ม
สองมือหอบหิ้วทุกอย่างจนอ่อนล้า
ไม่สามารถที่จะซื้ออะไรเพิ่มได้อีก
แล้วอาทิตย์นั้นทั้งอาทิตย์ เธอคนนั้นและครอบครัว จะเป็นอย่างไร

ชีวิตเราก็เป็นแบบนี้ ธรรมชาติให้เวลาทุกคนมาจำกัดเท่ากันหมด
เรามีสิทธิ์เลือกว่าจะเอาอะไรใส่ลงไปในตะกร้าชีวิตของเราบ้าง
ถ้าเราไม่ระมัดระวัง ตะกร้าชีวิตของเราซึ่งถูกจำกัดด้วยเวลา
กำลังความสามารถ แรงกายแรงใจของเรา ก็จะหมดไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็นในชีวิต

เรื่องต่างๆในชีวิตเรามีอยู่ 4 ลักษณะ
1) ไม่สำคัญ ไม่เร่งด่วน เช่น ดูละครทีวี
2) ไม่สำคัญ แต่เร่งด่วน
3) สำคัญ แต่ไม่เร่งด่วน เช่น การวางแผนชีวิต ดูแลสุขภาพ
4) สำคัญ และเร่งด่วน เช่น ความเจ็บป่วย

หัวใจของการบริหารชีวิต คือ
รู้ให้แน่นอนว่าอะไรสำคัญกับชีวิต
แล้วจัดสรรทรัพยากรที่เรามีอย่างจำกัด ไม่ว่าจะเป็นเวลา เงิน แรงกาย แรงใจ
ความคิด สติปัญญา ความรู้สึก โดยทุ่มเทให้สิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริงในชีวิตก่อน


มีคุณลุงคนหนึ่งพายเรือขายกาแฟอยู่แถวตลาดน้ำ
สายๆ พอแดดเริ่มแรง ของขายหมด
แกก็พักผ่อนนอนล่องเรือเป่าขลุ่ยรับลม
นักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ ไปเห็นเข้า ก็บอกลุงว่า
"ลุงของขายหมด ทำไมไม่ทำมาขายเพิ่มเยอะๆ ล่ะ
จะได้มีเงิน ต่อไปก็อาจตั้งเป็นร้านกาแฟใหญ่ๆ
ขยายสาขาไปเมืองต่างๆ ขายกาแฟไปทั่วโลกเลยก็ยังได้"

คุณลุงก็ถามว่า "เปิดร้านกาแฟทั่วโลกแล้วดียังไงล่ะ"
นักท่องเที่ยวชาวกรุงก็บอกว่า
"อ้าวลุงก็จะได้รวย นั่งๆ นอนรับลมเล่นริมน้ำสบายใจยังไงก็ได้ไงลุง"

คุณลุงส่ายหัวก่อนจะพายเรือหนีไป แกพึมพำเบาๆ ว่า
"แล้วนี่คิดว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ล่ะ"

เงินอาจไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงของคุณ !!!


ดัดแปลงจาก เข็มทิศชีวิต

ยศและลาภ จะหาบไป ไม่ได้แน่
เว้นเสียแต่ ส่วนต้นทุน บุญกุศล
ทิ้งสมบัติ ไว้ทั้งหลาย ให้ปวงชน
ร่างของตน เขายังเอา ไปเผาไฟ

When got threatened

เมื่อมีคนคิดร้ายหรือ จะเข้ามาทำร้าย
1) เตือนว่าถ้าเข้ามา เราจะป้องกันตัว
2) ถ้าเข้ามาแบบมีอาวุธ โดยเราไม่มีอาวุธ, เรียกร้องให้เข้ามาแบบผู้ชาย
3) เรียกร้องให้ ไม่ลอบทำร้าย (กัด)
4) เรียกร้องให้ ไม่รุม สู้แบบตัวต่อตัว (ไม่มาเป็นฝูง)

Monday, October 4, 2010

ทำอะไรก็ผิดไปหมด

ไม่มีใครเข้าใจเรา

เด็กอ้วนกินอุจจาระ

ครั้งหนึ่งท่านชยสาโร พระภิกษุชาวอังกฤษ อดีตท่านเจ้าอาวาสวักป่านานาชาติ
และเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ชา สุภัทโท ได้เคยเล่าให้ฟังถึงภาพภาพหนึ่งว่า

เป็นภาพของเด็กผู้ชายตัวอ้วนน่ารักกำลังทำท่าตักอาหาร
และรับประทานอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย
หากแต่อาหารในจานนั้น ...
เป็นกองอุจจาระขนาดใหญ่ที่มีแมลงวันตอมอยู่เต็ม !!!

คำใต้ภาพบรรยายกล่าวว่า

แมลงวันหลายล้านตัวบนโลกนี้ จะหลงผิดได้อย่างไร
(ถ้าอุจจาระไม่อร่อยจริง)


ความจริงก็คือ
การที่คนมากมายทำตามๆกัน ไม่ได้แปลว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีเสมอไป

วินาทีนี้ ลองหยุดทบทวนการดำเนินชีวิตของพวกเราดู
เราแน่ใจแล้วหรือว่า การที่เราทำเหมือนคนอื่นทำนั้น
จะทำให้ชีวิตถึงจุดหมายมีความสุขได้อย่างที่เราใฝ่ฝัน !!!

เราจะหยุดพัฒนาตัวเองเพียงเพื่อหาเงินได้ เข้าสังคมได้
เป็นที่ยอมรับ ทั้งที่เรารู้ว่า ไม่ว่าทุ่มเทมากแค่ไหน
ทุกอย่างในชีวิตสามารถผกผันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

ภายในพริบตาเดียว ครอบครัว การงาน ทรัพย์สมบัติ
หรือแม้แต่คนรัก อาจไม่อยู่กับเราดีๆ อย่างนี้ตลอดไป

ที่มา เข็มทิศชีวิต

คุณยายเจ้าปัญญา

มีคุณยายคนนึง อาศัยอยู่กับหลานอีกคน
ทุกวัน หลานจะออกไปเที่ยวสนุกสนานตามห้าง, โรงหนัง
ทิ้งให้คุณยายอยู่บ้านคนเดียว
พอคุณยายกห้ามปราม หลานก็ตอบว่า
"แหม ทำงานมาเหน็ดเหนื่อย ก็ขอออกไปหาความสุขบ้างสิ"

กลางดึกวันหนึ่ง หลานกลับถึงบ้าน เห็นคุณยายกำลังก้มๆเงยๆอยู่หน้าบ้าน
ถามได้ความว่า คุณยายกำลังหาเข็มเย็บผ้าที่ทำตกไป
หลานถามว่า คุณยายทำตกตรงไหน จะได้ช่วยหา

คุณยายตอบว่า "ยายทำเข็มหล่นตรงหน้าเตียงในห้องนอนจ๊ะ"

"อ้าว แล้วยายมาหาตรงนี้ทำไมล่ะจ๊ะ" หลานถาม

"ก็ยายเห็นว่า ตรงนี้น่ะไฟมันสว่างดี เผื่อจะได้เจอง่ายๆ"

เท่านั้นเอง หลานหัวเราะจนท้องแข็ง

"ยายจ๋า ยายงงรึเปล่า เข็มหล่นในห้อง แล้วมาหาที่ใต้เสาไฟนี้นะ"

คุณยายตอบกลับทันที
"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ หลานรัก
ก็ทีหลานน่ะ ทำความสุขหล่นหายไปจากใจ
ยังไปเที่ยวหาตามโรงหนัง ตามห้างได้ทุกวัน"

Saturday, September 11, 2010

Name

ชื่อมี ๔ อย่าง คือ
- อาวัตถิกนาม
- ลิงคิกนาม
- เนมิตติกนาม
- อธิจฺจสมุบันนาม

อาวัตถิกนาม
=======
ชื่อที่เรียกตามความประพฤติ หรือความเป็นไปของบุคคลนั้น ไม่สาธารณะแก่ทั่วไป
เช่น โคด่าง โคถึก เป็นต้น

ลิงคิกนาม
=====
ชื่อที่เรียกตามเพศ หรือลักษณะประจำตัวคนนั้นเท่านั้น
เช่น "ฉัตตปาณิ" แปลว่า "ผู้มีมือถือร่ม"
บุคคลในพระไตรปิฏก ที่ไปไหนก็จะถือร่มไปด้วย
(ตรงกับ สมญานาม ของคนไทย)

เนมิตติกนาม
=========
ชื่อที่อาศัยคุณสมบัติประจำตัวมาเป็นนิมิต คือเป็นเหตุตั้ง
เช่น ฉฬภิญโญ แปลว่า ผู้ได้อภิญญา ๖
ถ้าปัจจุบัน ก็คนที่เราเรียกว่า หมอ วิศวกร เป็นต้น

อธิจฺจสมุบันนาม
=========
ชื่อที่ตั้งขึ้นลอยๆ
เช่น นางมาลี เป็นต้น


ที่มา: ไชยวัฒน์ กปิลกาญจน์
วัดบุรณศิริมาตยาราม

เพิ่มเติมในพระไตรปิฏก

Sunday, September 5, 2010

ระวังลูกขาดไอโอดีน

ใส่เกลือให้เด็กกินแล้ว
แต่เด็กอาจยังขาดไอโอดีนได้
เพราะ
1)ไอโอดีนที่เสริมลงในเกลือจะคงอยู่สภาพได้แค่ 1 เดือน
กว่าจะถึงมือผู้บริโภค มักจะหมดสรรพคุณไปแล้ว
2)ไอโอดีนจะเสื่อมสลายเมื่อถูกความร้อนในการปรุงอาหาร

ที่มา ลดโง่กันเถอะ - แม่ทองต่อ พ่อประหยัด
4 กันยายน 53

มีคนแนะนำว่าให้กินมะขามจิ้มเกลือ
ไม่รู้ใช้ได้ป่าว

Remember that

Remember that - admonition
ปฏิบัติธรรมตั้งแต่ยังเด็ก เป็นหนุ่ม เป็นสาว นี่แหละดี
เพราะเมื่อแก่เฒ่าแล้ว จะนั่งก็โอย จะลุกก็โอย
หากจะรอไว้ให้แก่เสียก่อนแล้วจึงค่อยปฏิบัติ
ก็เหมือนคนที่คิดจะหัดว่ายน้ำเอาตอนที่แพใกล้จะแตก
มันจะไม่ทันการณ์
- หลวงปู่ดู่

สิ่งที่ไม่น่ากลัว เห็นว่า น่ากลัว (เช่น ความตาย)
สิ่งที่น่ากลัว กลับเห็นว่า ไม่น่ากลัว (เช่น อวิชชา)
ผู้ที่มีความเห็นผิดอย่างนี้ ย่อมไปสู่ทุคติ
- นิรนาม

Beauty is but skin deep.

Do no wrong is do nothing.

ผิดหนึ่งพึงจดไว้ ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง ภายหน้า
สามผิเร่งคิดตรอง จงหนัก เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า หกซ้ำอภัยไฉน!
ท่านธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ

วันเวลาที่ผ่านไปทุกนาที
กลืนกินชีวิตนี้ไปทุกขณะ
เราทำอะไรเป็นแก่นสารบ้างหละ
หรือแค่เกะกะแก่เจ็บตาย
- ท่านเขมรังสีภิกขุ

สิ่งที่คุณกำลังมี สมควรแล้วกับสิ่งที่คุณเคยทำ
สิ่งที่คุณกำลังทำ สมควรแล้วกับสิ่งที่คุณต้องเผชิญ
- คิดจากความว่าง ๒ (ดังตฤน)

อุปสรรคที่ขัดขวางความก้าวหน้า ความสุข และความสิ้นทุกข์อันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ คือ
การที่เรารู้ว่าอะไรไม่ดีแล้วไม่ละ รู้ว่าอะไรดีแต่ไม่พยายามทำ
(ธรรมรักษา)

อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด อยู่ร่วมมิตรให้ระวังวาจา

ผู้ทำผิดแล้วไม่แก้ไข กำลังทำผิดอีกครั้งหนึ่ง - ขงจื๊อ

กาเลนะ ธัมมัสสวนัง เอตัมมัง คละมุตตะมัง - การฟังธรรมตามกาล เป็นมงคลอันสูงสุด

ขายไข่ปิ้ง ก็สุขได้ถ้าจิตใจดี
ตำแหน่งใหญ่เป็นรัฐมนตรี จะสุขไหมถ้าใจโกง

หวังรวยจากการพนัน เป็นความเพ้อฝัน ของคนสิ้นคิด

คนเราบางครั้งต้องก้าวถอยหลัง เพื่อจะกระโดดให้ได้ไกลยิ่งขึ้น

อดีต ไม่ขยัน
ปัจจุบัน ไม่ขนขวาย
ไม่ต้องทาย อนาคต

คนเรายอมเสียความซื่อสัตย์ ก็เท่ากับสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต

ยิ่งอวดอำนาจ ยิ่งดูต่ำศักดิ์
ยิ่งสุภาพ ยิ่งดูมีบารมี

ผู้มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น

โกหกเพียงครั้ง ถูกสงสัยตลอดกาล

มิตรภาพที่เกิดขึ้นบนเส้นทางธุรกิจ ย่อมดีกว่า ธุรกิจที่เกิดบนเส้นทางมิตรภาพ

กับคนเลวต้องยิ่งกวดขัน กับคนดีสมควรผ่อนปรน

ย่อหย่อนไป คนชั่วได้ใจ
ตึงเกินไป จักเสียคนดี

คิดทุกอย่างที่ทำ แต่ไม่ต้องทำ ทุกอย่างที่คิด

คนพาลก็เหมือนกับถ่านไฟ
ตอนติดไฟ จับไปก็ร้อนมือ
ตอนดับ จับไปก็มือดำ

จะดีจะชั่ว อยู่ที่ตัวทำ
จะสูงจะต่ำ อยู่ที่ทำตัว

เราไม่สามารถปรับทิศทางลมได้
แต่เราสามารถปรับใบเรือได้

ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว
แต่คนคดเคี้ยว ใช้ทำอะไรไม่ได้เลย


ถ้าเราติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อไป..มันก็ผิดหมด


"คนโง่" ชอบ "เงิน" มากกว่า คนดีและความดี - หลวงปู่มั่น


คนจะงาม งามน้ำใจ ใช่ใบหน้า
คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน
คนจะเเก่ เเก่ความรู้ ใช่อยู่นาน
คนจะรวย รวยศีลทาน ใช่บ้านโต

เป็นนักบริหารต้องหมั่นตรวจตราสิ่งที่ทำแล้ว และสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ - พุทธภาษิต

คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า " เจ้ากรรมนายเวร " ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์

จงหมั่นใช้ธรรมะส่องตน ดั่งเช่นใช้กระจกตรวจใบหน้า หยิบสิ่งสกปรกออกจากชีวิต

เมื่อมีความหวัง ย่อมมีแรงต่อสู้

Genius is 10% inspiration and 90% perspiration.


อย่าคิดว่าเราเก่ง คนที่เคยทำได้เหมือนเรา และดีกว่าก็มีมากในโลกนี้ - พระบรมราโชวาท


ถ้ามัวแต่เรียนจากอาจารย์ คงไปไม่ได้เท่าไหร่ ไปไม่ไกลกว่าเพื่อนที่เรียนเท่าใดนัก - บัณฑิต


Albert Einstein นิยามความวิกลจริตไว้ว่า คือ
การทำสิ่งเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา และหวังให้ผลของมันเปลี่ยนไป


"การอ่านทำให้คนเป็นคนโดยสมบูรณ์" Francis Bacon (ฟรานซิส เบคอน) นักปรัชญาชาวอังกฤษ


พรแสวงสำคัญกว่าพรสวรรค์


พรแสวงจะขัดเกลาให้เราทำงานหนัก ตั้งใจและทุ่มเท และเราต้องใช้พรสวรรค์ทำให้มันโดดเด่นขึ้นมา


คนอื่นทำดีกับเราก็สุข เขาทำไม่ดีกับเราก็ทุกข์
เราก็ไม่ต่างจากหุ่นยนต์ ที่ถูกกดปุ่มจากภายนอก
มันเป็นความโง่หรือความฉลาดของเรากันแน่


หยุดพัฒนาตนเอง คือเริ่มต้นถอยหลัง - Wright


งานเป็นเวที ที่จะดึงสิ่งที่ดีที่สุดในตัวเราออกมา - ฐิตินาถ ณ พัทลุง


คนใจร้ายก็มีประโยชน์เท่ากับคนใจดี ให้เราได้สำรวจชีวิตตัวเอง สำรวจภูมิต้านทาน ทั้งจิตใจ การเงิน สังคม - ฐิตินาถ


ทันทีที่คุณลงไปเล่นในเกม คุณก็ลดตัวจากมนุษย์ผู้มีใจสูงไปเป็นหมาสองตัวกัดกัน - ฐิตินาถ


เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เหมือนเวลากำลังแนะนำคนอื่น ให้ทำในสิ่งที่เขาจะภูมิใจในตัวเองภายหลัง - ฐิตินาถ


ศัตรูแค่คนเดียวสามารถทำให้เราโชคร้ายได้มากมาย เพราะศัตรูเขามีเพื่อน


แม่อดเพื่อให้ลูกอิ่มได้ ถึงเวลาเราอดเล่น ขยัน เพื่อให้ท่านอิ่มอกอิ่มใจ


จงให้งานเป็นเวทีสร้างความรู้


Gain more knowledge as you give knowledge !


Do Within When You are Without.


ลมหายใจแห่งสติ เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา



ระมัดระวังแม้รายจ่ายเล็กๆ น้อยๆ รอยรั่วเล็กๆ สามารถจมเรือใหญ่ๆ ได้


จะมีประโยชน์อะไรในการกางร่มขณะฝนตก เมื่อรองเท้าที่ใส่อยู่มันรั่วหรือฉีกขาด



ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา...

จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว

ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร

แค่บินไปให้ถึงฝัน เท่านั้นพอ



ถ้าโกรธกับเพื่อน. . . มองคนไม่มีใครรัก

ถ้าเรียนหนัก ๆ . . . มองคนอดเรียนหนังสือ

ถ้างานลำบาก . . . มองคนอดแสดงฝีมือ

ถ้าเหนื่อยงั้นหรือ . . . มองคนที่ตายหมดลม



ถ้าขี้เกียจนัก . . . มองคนไม่มีโอกาส

ถ้างานผิดพลาด . . . มองคนไม่เคยฝึกฝน

ถ้ากายพิการ . . . มองคนไม่เคยอดทน

ถ้างานรีบรน . . . มองคนไม่มีเวลา



ถ้าตังค์ไม่มี . . . มองคนขอทานข้างถนน

ถ้าหนี้สินล้น . . . มองคนแย่งกินกับหมา

ถ้าข้าวไม่ดี . . . มองคนไม่มีที่นา

ถ้าชีวิตแย่ . . .มองคนที่แย่ยิ่งกว่า



อย่ามองแต่ฟ้า . . .ที่สูงเกินตาประจักษ์

ความสุขข้างล่าง . . . มีได้ไม่ยากเย็นนัก

เมื่อรู้แล้ว . . . จัก . . . ภาคภูมิชีวิตแห่งตน



มีแต่ปลาที่ตายแล้วเท่านั้น ที่จะยอมให้กระแสน้ำพัดพาไปอย่างไร้จุดหมาย


2. อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใด นอกจาก ปัญญา และ ความกล้าหาญ

3. เพื่อนใหม่ คือ ของขวัญที่ให้กับตัวเอง ส่วนเพื่อนเก่า/มิตร คืออัญมณีที่นับวันจะเพิ่มคุณค่า

4. อ่านหนังสือธรรมะปีละเล่ม

5. ปฏิบัติต่อคนอื่น เช่นเดียวกับที่ต้องการให้คนอื่นปฏิบัติต่อเรา

6. พูดคำว่า “ขอบคุณ” ให้มากๆ

7. รักษาความลับให้เป็น

8. ประเมินคุณค่าของการให้อภัยให้สูง

9. ฟังให้มากแล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี

10. ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง หากมีใครตำหนิ และรู้แก่ใจว่าเป็นจริง

11. หากล้มลง จงอย่ากลัวกับการลุกขึ้นใหม่

12. เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนัก ให้คิดเสมอว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว

13. อย่าถกเถียงธุรกิจภายในลิฟต์

14. ใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวก อย่าใช้เพื่อก่อหนี้

15. อย่าหยิ่ง หากจะกล่าวคำว่า “ขอโทษ”

16. อย่าอาย หากจะบอกใครว่า “ไม่รู้”

17. ระยะทางนับพันกิโลเมตร แน่นอนมันไม่ราบรื่นตลอดทาง

18. เมื่อไม่มีใครเกิดมาวิ่งได้ จึงควรทำสิ่งต่างๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป

19. การประหยัด เป็นบ่อเกิดแห่งความร่ำรวย เป็นต้นทางแห่งความไม่ประมาท

20. คนไม่รักดิน คือ คนที่ไม่รักชีวิต ไม่รักอนาคต

21. ยามทะเลาะกัน ผู้ที่เงียบก่อนคือผู้ที่มีการอบรมสั่งสอนที่ดี

22. ชีวิตนี้ฉันยังไม่เคยทำงานเลยซักวัน ทุกวันเป็นวันสนุกหมด

23. จงอย่าใช้จุดแข็ง เอาชนะจุดอ่อน

24. เป็นหน้าที่ของเราที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจ ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่น ที่จะทำความเข้าใจสิ่งที่เราพูด

25. เหรียญเดียวมี 2 หน้า คือ ความสำเร็จ กับ ความล้มเหลว

26. อย่าตามใจตัวเอง เรื่องยุ่งๆ เกิดขึ้นล้วนตามใจตัวเองทั้งสิ้น

27. ฟันร่วงเพราะมันแข็ง ส่วนลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อน

28. อย่าดึงต้นกล้าให้โตเร็วๆ (อย่าใจร้อน)

29. ระลึกถึงความตายวันละ 3 ครั้ง ชีวิตจะมีความสุข มีอภัย มีให้

30. ถ้าติดกระดุมเม็ดแรกผิด กระดุมเม็ดต่อไปก็ผิดหมด

31. ทุกชิ้นงานจะต้องกำหนดวันเวลาแล้วเสร็จ

32. จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอดเวลา

33. ดาวและเดือนที่อยู่สูง อยากได้ต้องปีนบันไดสูง

34. มนุษย์ทุกคนมีชิ้นงานมากมายในชีวิต จงทำชิ้นงานที่สำคัญที่สุดก่อนเสมอ

35. หนังสือเป็นศูนย์รวมปัญญาของโลก จงอ่านหนังสือดีเดือนละเล่ม

36. ระเบียบวินัย คือคุณสมบัติที่สำคัญในการดำเนินชีวิต


ยศและลาภหาบไปไม่ได้แน่
เว้นเสียแต่ต้นทุนบุญกุศล
ต้องทิ้งสมบัติทั้งหลายให้ปวงชน
ร่างของตนเขายังเอาไปเผาไฟ

วันที่เลวร้ายที่สุด คือ วันที่ไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์

ภัยเงียบที่มาจากควันธูป

Thursday, September 2, 2010

I love you

สาวเอย... ยามชายหนุ่มใดมากล่าว "ฉันรักเธอ"
จงสอบถามให้ดีก่อนว่า ที่เขาพูดหมายถึงอะไร

ถ้า "ฉันรักเธอ" หมายถึง "ชายนั้นเมตตาเรา อยากให้เรามีความสุข"

นั่นหมายถึง ...
"ถ้าเรารักชายคนอื่น มีความสุขกับการที่ได้รักชายคนอื่น
เขาต้องยินดีที่เรามีความสุข !!!"

อีกมุมนึง ถ้าเขาพยายามขัดขวาง
พยายามแย่งชิงเรามาเป็นแฟนเขา

คำว่า "ฉันรักเธอ" ของชายคนนี้
น่าจะหมายถึง
"เขาปรารถนาที่จะได้ความสุขเสียเอง
โดยมีเรา เป็นอุปกรณ์ เครื่องช่วยบำบัด กามตัณหา"
(ความปรารถนาที่จะเสพรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่เขาหลงใหลให้ค่า)

ซึ่งน่าจะสรุปได้ว่า
"เขาเมตตาตัวเขาเอง เขาอยากให้ตัวเขาเองมีความสุข" มากกว่า

...หรือยังไง ???

แง่คิดจาก ธรรมเทศนาของพระอาจารย์ภาสกร

Wednesday, September 1, 2010

Types of Teachers

The mediocre teacher tells.
The good teacher explains.
The superior teacher demonstrates.
The great teacher inspires.

ครูทั่วไปบอกกล่าว
ครูชั้นดีอธิบาย
ครูชั้นยอดสอดแทรกตัวอย่าง
ครูผู้ยิ่งใหญ่สร้างแรงบันดาลใจ

ที่มา: ท่าน ว.วชิรเมธี

Tuesday, August 31, 2010

the best methodology

ป้าคนหนึ่ง ถามเด็กหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งว่า
ป้ามีปลาอยู่พวงนึง ทำอย่างไรถึงจะกินได้นาน
บางคนบอกว่าเอาไปย่าง
บางคนบอกว่าต้องหมักเกลือ
บ้างว่า ตากแดด
แต่คุณป้าตอบว่าผิดหมดเลย
คุณป้าเฉลยว่า ต้องเอาไปแจกจ่ายเพื่อนบ้านให้ทั่วถึง

ที่มา คุณนิรมล เมธีสุวกุล
หนังสือ ทำบุญให้ฉลาด

ระฆังกับหมาวัด

ณ วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดชัยภูมิ
เวลาตีระฆังทำวัตรเช้า-เย็น
หมาทุกตัวในวัดจะหอนเป็นจังหวะ ตามจังหวะระฆัง
พอหยุดตี มันก็จะหยุดหอนไปด้วย
แต่ถ้าตีเมื่อไหร่ ก็หอนอีก มันคุมตัวเองไม่ได้

เห็นแล้วก็อดขำและอดสมเพชไม่ได้
ที่มันกลายเป็นทาสของระฆังไป

แต่มานึกดูให้ดี ...
บ่อยครั้งเราก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน
เพียงแต่ว่าเราอาจไม่ได้มีปฏิกิริยากับเสียงระฆัง
แต่มีปฏิกิริยากับเสียงอย่างอื่นแทน

.
.
.

.
.
.
.

พอได้ยินคนต่อว่าเรา
เราก็ตอบโต้ หรือต่อว่ากลับไปทันที
หรือถึงแม้ไม่พูดตอบโต้
แต่ความรู้สึกขุ่นเคืองก็ผุดขึ้นมาทันที

ที่มา: ตื่นรู้ ที่ ภูหลง

Thursday, August 26, 2010

The Kings of Thailand and Buddhism

ตั้งแต่เริ่มศึกษาธรรมะ ผ่านตามาหลายที่หละว่าพระเจ้าอยู่หลายรัชกาล ท่านปฏิบัติธรรม
เมื่อวานอ่าน "สมาธิกรรมฐาน" ของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
เห็นคาถากรวดน้ำ "สัพพปัตติทาน" เป็นพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๔

ส่วนหนึ่งของพระราชปุจฉา ของรัชกาลที่๙ กับหลวงพ่อพุธ
พระราชปุจฉา : พอจิตนิ่ง ลมหายใจจะหายไป และคำภาวนาก็หายไปพร้อมกัน แต่รู้สึกเช่นนี้เพียงเดี๋ยวเดียวก็หายไป ควรจะทำอย่างไรต่อไป

หลวงพ่อพุธ : เมื่อจิตสงบนิ่งลงไปแล้ว จิตจะสงบละเอียดไปถึงจุดที่เรียกว่า “อัปปนาสมาธิ” ลมหายใจก็ทำท่าจะหายขาดไป คำภาวนาก็หายไป พอรู้สึกว่ามีอาการเป็นอย่างนี้เกิดขึ้น ก็เกิดอาการตกใจ แล้วจิตก็ถอนจากสมาธิ เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา ถ้ายังเสียดายความเป็นของจิตในขณะนั้น ให้กำหนดจิตพิจารณาใหม่ จนกว่าจิตจะสงบลงไป จนกว่าลมหายใจจะหายขาดไปคำภาวนาจะหายไป ถ้าตอนนี้เราไม่เกิดเอะใจ หรือเปลี่ยนใจขึ้นมาก่อน จิตจะสงบนิ่งละเอียดลงไปกว่านั้น ในที่สุดจิตก็จะเข้าสู่อัปปนาสมาธิอยู่ในขั้นตัวก็หายไปหมด ยังเหลือแต่จิตรู้สงบสว่างอยู่อย่างเดียว ร่างกายตัวตนไม่ปรากฏ ....(มีต่อ).


ลูกหลานไทยน่าจะเอาอย่างพ่อหลวงกันเยอะๆ

Wednesday, August 18, 2010

เลวกว่า...สัตว์เดรัจฉาน...

แม่วัวยืนบนถนน ขวางรถที่กำลังแล่นเข้ามา
เพื่อปกป้องลูกของมัน
ที่ขายังอ่อน เดินข้ามถนนอย่างช้าๆ

อาจารย์ถามต่อว่า...
เมื่อลูกวัวโตขึ้น..มันจะตอบแทนแม่มันยังไง
พอมันโตขึ้น...มันก็เดินจากไป...ไม่ตอบแทนคุณ...

เราก็สรุปว่า...
ลูกวัว...สู้ลูกคนไม่ได้...ใช่ไหม...?
ใช่...

แต่อาจารย์ว่า...ไม่แน่...


ที่ว่าไม่แน่...เพราะอาจารย์มั่นใจ 100% ว่า...
ลูกวัวตัวนี้เมื่อมันโตขึ้น...ถึงแม้มันไม่ได้แทนคุณแม่...
แต่...มันจะไม่เถึยงแม่...ไม่ตวาดแม่...
ไม่กระเทีอบเท้าใส่แม่...

และที่สำคัญ...
ไอ้สัตว์เดรัจฉานตัวนี้...
มันจะไม่ขยี้หัวใจแม่...
ไม่ทำให้แม่...ต้องน้ำตาไหล...

แต่ลูกคน...ทำได้...

ที่มา: พ.อ.(พิเศษ) ทองคำ ศรีโยธิน

Monday, August 9, 2010

Suffering

หลวงพี่กวงเล่าให้ฟังว่า ท่านผ่านทุกข์เวทนาได้หลังจากนั่งประมาณ 3 ชั่วโมง
พอผ่านได้จะรู้สึกสบาย

ก่อนนั่งยังนึกอยู่เลยว่า ถ้ามันจะเกิดขึ้นกับเราตอนชั่วโมงที่ 5 จะทำไง
แต่ก็ไม่ได้สนใจ เรามีหน้าที่ "เพียรพยายาม" อย่างเดียว
แล้วก็เริ่มนั่ง

เริ่มนั่งตอน บ่ายครึ่ง
นั่งดูลมหายใจเข้าออกไปเรื่อยๆ
ไม่ได้บริกรรมอะไร
วอกแวก คิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ พอนึกขึ้นได้ก็กลับมาดูลมหายใจต่อ

(วันก่อนลองให้แผน ดูเวทนา
ปรากฏว่า ทุกข์เหลือเกิน
หลวงพี่เต่า บอกว่าให้เปลี่ยนแผนการรบ
ให้หนีเข้าสมาธิให้ได้ก่อนทุกขเวทนาเกิด
จะง่ายกว่า เลยเอามาทำตาม)

อาการปวดก็มีบ้าง แต่ไม่ได้ไปสนใจมัน
เอาคำที่หลวงพี่กวงพูดให้ฟังว่า "จิตประภัทรสร" มาใช้
กายมันปวดก็ให้มันปวดไป จิตไม่เห็นต้องทรมานด้วย
(ได้ผลแฮะ)

ช่วงประมาณ บ่าย 3 หลวงตาเดินมาตะโกนชวนไปปฏิบัติด้วยกัน
เราตะโกนบอกว่านั่งอยู่

หลังจากจากนั้นไม่นาน
อาการปวดเริ่มไล่จากบริเวณสะโพกสูงขึ้นมาช่วงบน อย่างรวดเร็ว
ลมหายใจเปลี่ยนจาก หายใจเบาๆ
เป็นหายใจลึก ๆ เร็วๆ เหมือนคนหอบ
(เราก็ดูแต่ลมหายไปเรื่อยๆ
ไม่ได้สนใจอาการปวดมากนัก ดูแบบแว๊บๆ)

เกิดความรู้สึกคล้ายร่างกายจะระเบิด โดยเฉพาะนิ้วโป้ง
รู้สึกเหมือนร่างกายบวมขึ้นๆ แม้กระทั่งปลายลิ้น
เหมือนเซลล์แต่ละเซลล์มันขยายตัวขึ้น
อัดแน่นขึ้นๆ
ลมหายใจก็หอบไปเรื่อยๆ

แต่แล้วในที่สุด ความปวดมันก็ค่อยๆทุเลาจนหายไปอย่างปลิดทิ้ง !!!
ตอนนั้นน่าจะเวลาประมาณ บ่าย3:20
สรุปว่าเพิ่ง 2 ชม. ก็หายปวดแล้ว

นั่งต่อ อีกพักนึง
แต่ก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากตอนเริ่มนั่ง ตรงไหน?
แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลที่พากเพียรปฏิบัติในครั้งนี้ให้แก่โยมคุณแม่
ขอให้โยมคุณแม่ หายจากความเจ็บป่วยทางกาย

ออกจากการนั่ง ตอน 15:30
พอลุกเดิน มีอาการปวดเล็กน้อย
ผิดกับการนั่งทุกๆครั้งที่อย่างน้อยขาต้องรู้สึกชา

ที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นตามในหนังสือ พระกรรมฐานกลางกรุง
ที่เขียนไว้ว่า "พอเป็นสมาธิ เลือดลมในร่างกายจะปรับสภาพ จนไม่มีอาการปวด"

สรุปวันนี้คือ
1ได้พิสูจน์คำกล่าวที่ว่า ความทุกข์ก็มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป
2ยังสมาธิไม่ดีพอ เลยยังไม่เห็นเลขอะไร 555 ไว้พยายามใหม่

ขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน สื่อธรรมะ ทุกเล่ม
ที่เป็นกำลังใจให้ข้าพเจ้าผ่านทุกขเวทนาในครั้งนี้

Sunday, August 8, 2010

Misleading

เห็นสายน้ำไหลไปแล้วใจเศร้า
ชีวิตเราไหลไปถึงไหนหนอ
กิเลสนำหลงทางไปตามคลอง
ชีวิตหมองเพราะหลงผิดติดอบาย

โดย พระคเชนทร์ สุนทโร

Thursday, July 22, 2010

Name

ฉายา สุวีโร
ตั้งโดย พระศรีสุธรรมมุนี (บุญเทียม ญาณินโท) วัดพิชยญาติการาม
แปลว่า ผู้มีความอาจหาญในพระสัทธรรม

พระสัทธรรม หมายถึง ธรรมอันดี, ธรรมที่แท้

I really love this name.

Tuesday, July 13, 2010

Paranormal

หลวงปู่เทสก์ บอกว่า

คนเขมรน่ะเล่นไสยศาสตร์เก่งมาก แต่ทำไมแพ้ฝรั่งเศส
...
คุณไสย ไม่เข้าฝรั่ง
เพราะฝรั่งไม่เชื่อ
...
ถ้าเราไม่เปิดใจรับนะ เข้าไม่ได้หรอก อย่าไปสนใจมัน



ที่มา: หนังสือ "ธรรมเทศนา ๔ วันในสวนสันติธรรม"
ของ หลวงพ่อปราโมทย์

Tuesday, June 1, 2010

Decision Making

หลักการตัดสิน “ความถูกต้อง”


บางสิ่ง “ถูกใจ...แต่อาจไม่ถูกต้อง”
บางสิ่ง “ถูกต้อง...แต่อาจไม่ถูกใจ”

การตัดสินใจจึงขึ้นอยู่กับว่า...
ผู้ตัดสินใจอยู่ในสถานการณ์เช่นไร ??

ถ้าถือเอาความถูกใจตัดสินปัญหา...
บางสิ่งอาจจะไม่ถูกต้อง..ตามหลักเกณฑ์..

ถ้าถือเอาความถูกต้อง...
ตามหลักแห่งความเป็นจริง...
…ก็จะเป็นสิ่งที่จริงแท้...แน่นอน...
…เป็นสัจธรรมที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง...

แต่ถ้าการตัดสินใจ...
โดยยึดหลัก “ความถูกใจของตนเองเป็นสำคัญ”
…บางครั้งอาจจะถูกหรือผิดก็ได้...
…เพราะการตัดสินใจนั้น...
…ขึ้นอยู่กับอารมณ์และความรู้สึกของตนเอง....
…และการคิดการตัดสินใจนั้นก็ปราศจากเหตุผล...

ลองสังเกตดูว่า...
จิตใจและอารมณ์ของผู้ตัดสินใจนั้นเป็นเช่นไร ??
…ถ้ามีอารมณ์โกรธ - เกลียด...
…การตัดสินใจนั้น...ก็อาจผิดพลาดได้ง่าย...

…ถ้ามีจิตใจสงบนิ่ง - เยือกเย็น เป็นธรรม...
…การตัดสินใจนั้น...ก็จะมีเหตุผลมากยิ่งขึ้น...

…บางคนเลือกที่จะกระทำสิ่งที่ไม่ถูกใจ...
…เพราะเห็นว่า...เป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม...

…บางคนเลือกที่จะกระทำสิ่งที่ถูกใจ...
…เพราะเห็นว่า...เป็นสิ่งที่ตรงกับใจของตนเอง...

การเลือกและตัดสินใจ..
กระทำบางสิ่งบางอย่าง..หรือสิ่งใด ๆ ก็ตาม...
สิ่งที่ต้องคำนึงถึง...ก็คือ...
…ความจริงแท้...แน่นอน..
…และความถูกต้อง...ดีงาม...
ที่อยู่บนพื้นฐานจิตใจที่ถูกต้อง...มากกว่า..ความถูกใจ...

ดังนั้น..การกระทำสิ่งใด ๆ ก็ตาม...
…อย่าใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล...
…อย่าใช้ความถูกใจอยู่เหนือความดีงาม..ความถูกต้อง...
…อย่าด่วนตัดสินใจอะไรง่าย ๆ
แต่จงใช้สติปัญญาพิจารณาถึงเหตุผล..
อย่างถ่องแท้และเข้าใจ...

บทความ...โดย...ชายน้อย
ธรรมะไทย

Friday, May 21, 2010

To spend money

มีนกแขกเต้าฝูงหนึ่งประมาณ 500 ตัว อาศัยอยู่ในป่างิ้วบนยอดเขาแห่งหนึ่ง
เมื่อถึงเวลาหากิน ฝูงนกแขกเต้าต่างพากันบินไปกินข้าวสาลีในนาของชาวมคธ
เมื่อกินข้าวสาลี อิ่มแล้ว ต่างก็บินกลับรังด้วยปากเปล่าๆ ทั้งนั้น
ส่วนพญานกแขกเต้าที่เป็นหัวหน้า เมื่อกินอิ่มแล้ว ยังต้องคาบข้าวสาลีอีก 3 รวงกลับไปด้วย
ชาวนาเห็นก็แปลกใจ จึงพยายามดักจับพญานกแขกเต้าให้ได้
วันหนึ่งพญานกถูกจับได้ ชาวนาจึงถามพญานกว่า

"นกเอ๋ย ท้องของท่านคงจะใหญ่กว่าท้องของนกอื่น
เพราะเมื่อท่านกินอิ่มแล้ว ยังต้องคาบรวงข้าว กลับไป อีกวันละ 3 รวง
เป็นเพราะท่านมียุ้งฉาง หรือเป็นเพราะเรามีเวรต่อกันมาก่อน?"

พญานกตอบว่า

"ข้าพเจ้าไม่ได้มียุ้งฉาง และเรา ก็ไม่มีเวรต่อกัน
แต่ที่คาบไป 3 รวงนั้น
รวงหนึ่งเอาไปใช้หนี้เก่า
รวงหนึ่งเอาไปให้เขากู้
และอีกรวงหนึ่งเอาไปฝังไว้"

ชาวนาได้ฟังก็เกิดความสงสัย จึงถามว่า

"ท่านเอารวงข้าวไปใช้หนี้ใคร เอาไปให้ใคร? และเอาไปฝังไว้ที่ไหน?!"


พญานกแขกเต้าจึงตอบว่า

"รวงที่หนึ่งเอาไปใช้หนี้เก่า คือเอาไปเลี้ยงดูพ่อแม่
เพราะท่านแก่แล้ว และเป็นผู้มีพระคุณอย่างมาก ทั้งให้กำเนิดและเลี้ยงดูข้าพเจ้า จนเติบใหญ่
นับว่าข้าพเจ้าเป็นหนี้ท่าน จึงสมควรเอาไปใช้หนี้"


"รวงที่สองเอาไปให้เขา คือ เอาไปให้ลูกน้อยทั้งหลายที่ยังเล็กอยู่ ไม่สามารถหากินเองได้
เมื่อข้าพเจ้าเลี้ยงเขาในตอนนี้ ต่อไปถ้าเขารู้บุญคุณ
เขาก็จะเลี้ยงดูข้าพเจ้าบ้าง ในยามที่แก่ชรา
จัดเป็นการให้เขากู้"


"รวงที่สามเอาไปฝังไว้ คือ
เอาไปทำบุญด้วยการให้ทานกับนกที่แก่ชรา
นกที่พิการหรือเจ็บป่วยไม่สามารถหากินได้ เท่ากับเอาไปฝังไว้
เพราะบัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า
การทำบุญเป็นการฝังขุมทรัพย์ไว้"

ชาวนาฟังแล้วเกิดความเลื่อมใสว่า นกนี้เป็นนกกตัญญต่อพ่อแม่
เป็นนกมีความเมตตาต่อลูกน้อย และเป็นนกใจบุญ มีปัญญา รอบคอบ มองการณ์ไกล

พญานกได้อธิบายต่อไปว่า

"ข้าวสาลีที่ข้าพเจ้ากินเข้าไปนั้น ก็เปรียบเหมือนเอาทิ้งลงไปในเหวที่ไม่รู้จักเต็ม
เพราะข้าพเจ้าต้องมากินทุกวัน วันนี้กินแล้ว พรุ่งนี้ก็ต้องมากินอีก
กินเท่าไหร่ ก็ไม่รู้จักเต็ม
จะไม่กินก็ไม่ได้ เพราะถ้าท้องหิวก็เป็นทุกข์"


ชาวนามีจิตเลื่อมใสในคุณธรรมของพญานกมาก
จึงแก้เครื่องผูกออกจากเท้าพญานก
ปล่อยให้เป็นอิสระ แล้วมอบนาข้าวสาลีให้
พญานกรับนาข้าวสาลีไว้เพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งกะคะเนแล้วว่าเพียงพอแก่บริวาร
จากนั้นจึงให้โอวาท แก่ชาวนาว่า

"ขอให้ท่านเป็นผู้ไม่ประมาท
หมั่นสั่งสมบุญกุศลด้วยการทำทาน
และเลี้ยงดูพ่อแม่ผู้แก่เฒ่าด้วยเถิด"

ชาวนาได้คติจากข้อปฏิบัติของพญานกจึงตั้งใจทำบุญกุศลตั้งแต่นั้นมาจนตลอดชีวิต

เราทุกคนเมื่อรู้จักเก็บ รู้จักหาทรัพย์แล้ว
ก็ควรจะรู้จักหาความสุขจากการใช้ทรัพย์อย่างถูกต้องด้วย
ควรบริหารจัดการทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ทั้งต่อตนเอง ต่อครอบครัว และต่อสังคม
นับเป็นการใช้ทรัพย์อย่างชาญฉลาด
ที่ยิ่งใช้ก็ยิ่งมีความสุขความเจริญ
สุขทั้งกาย สุขทั้งใจ สุขทั้งในปัจจุบัน และอนาคต

Friday, May 7, 2010

The Butterfly and the spider

วันหนึ่งมีผีเสื้อแสนสวยแต่เคราะห์ร้ายบังเอิญบินมาติดกับของเจ้าแมงมุม
ผีเสื้อตัวนั้นกำลังดิ้นอย่างสุดกำลังเท่าที่ปีกบางๆของมันจะทำได้
เพื่อหวังเพียงว่ามันอาจจะโชคดี หลุดออกมาจากพันธนาการของแมงมุมได้
นักบวชรูปหนึ่งผ่านมาและเห็นเหตุการณ์โดยตลอด

(เราคิดว่านักบวช จะทำอย่างไร ...)

ก. เข้าไปช่วยเหลือผีเสื้อเคราะห์ร้ายตัวนั้น
ข.เดินผ่านไปและไม่สนใจ

และ แน่นอนนักบวชผู้มีเมตตาย่อมเลือกคำตอบข้อแรก
เขาเดินเข้าไปช่วยเจ้าผีเสื้อตัวนั้นออกมา

แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักบวช ย่อมต้องมีอะไรพิเศษแตกต่างจากคนทั่วไป
นักบวชผู้นี้สามารถรับรู้ถึงกระแสจิตอ่อนๆของเจ้าแมงมุมที่กำลังส่งมาถึงเขา อย่างตัดพ้อต่อขาน
มันหิวโหยและอดอยากมานานเต็มที
เพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องมันมาหลายวันแล้ว
ผีเสื้อตัวนี้กำลังจะเป็นอาหารของมันในเช้าวันนี้
เหตุใดท่าน ซึ่งเป็นนักบวชจึงต้องยื่นมือเข้ามายุ่งด้วย
มันแค่ต้องการจะกินอาหารของมันเท่านั้น

นักบวชนิ่ง อยู่พักหนึ่งแต่ไม่ทันได้ตอบอะไร
ทันใดนั้นเองนกน้อยตัวหนึ่งก็บินโฉบลงมาจิกกินแมงมุมนั้นเสีย
แต่ก่อนที่แมงมุมจะสิ้นใจ มันถามนักบวชว่า...
แล้ว ณ ตอนนี้มันกำลังจะถูกฆ่ากินเพื่อเป็นอาหารให้กับนกตัวนี้เช่นกัน
แล้วเหตุใดท่านจึงไม่ช่วยเหลือเราบ้าง

เพราะมันไม่สวยเหมือนผีเสื้อใช่มั้ย
โลกช่างไม่ยุติธรรมสำหรับมัน
ทำไมแมงมุมจึงถูกตีตราว่าเป็นสิ่งเลวร้าย
เพียงเพราะว่ามันไม่สวยอย่างนั้นหรอกหรือ
ผิดด้วยหรือที่มันเกิดมาไม่สวยเหมือนกับผีเสื้อ
หรือดูน่ารักเหมือนอย่างเช่นนกตัวนี้...

ที่มา : internet

Curing with Love

ความขัดแย้งในครอบครัว และการเยียวยาด้วยความรัก

อาตมาคิดว่าสถาบันครอบครัวเป็นสถาบันที่อ่อนไหว
พร้อมกันนั้น
ก็เป็นสถาบันที่เป็นจุดตั้งต้นของความดีงามในชีวิตของคนมากกว่าสถาบันอื่นใดทั้งหมดทั้งสิ้น
ที่บอกว่าเป็นสถาบันที่อ่อนไหวก็เพราะว่า
ถ้าคนสองคนซึ่งเป็นผู้ก่อสร้างสถาบันครอบครัวนั้นขาดธรรมะ
ครอบครัวก็จะพังลงมาในพริบตา
และที่บอกว่าเป็นจุดตั้งต้นของความเข้มแข็งก็เพราะว่า
ถ้าผู้ที่สร้างสถาบันครอบครัวขึ้นมาเป็นคนที่มีธรรมะ
ในสถาบันครอบครัวนั้นอาจจะเป็นสถานที่อุบัติของมหาบุรุษก็ได้
นักปราชญ์ ราชบัณฑิตก็ได้ คนของโลก อย่าง อัลเบิร์ด ไอนสไตน์ หรือ มหาตมะ คานธี ก็ได้

แต่ถ้าในสถาบันครอบครัวนั้นมีปัญหา
แน่นอนที่สุด สถาบันครอบครัวจะเป็นที่มาของมหาโจร
ที่เกิดมาเพื่อล้างผลาญมนุษยชาติก็ได้
หรืออาจจะเป็นที่อุบัติของคนที่เกิดมาปล้นชาติปล้นแผ่นดินก็ได้
หรืออาจจะเป็นที่อุบัติของสัตว์นรกในนามของคน ๆ หนึ่งก็ได้
เห็นไหม สถาบันครอบครัวจึงเป็นทั้งจุดที่ละเอียดอ่อนหรืออ่อนไหว
และเป็นทั้งจุดที่เข้มแข็งของมนุษยชาติของเรา

ถ้าหากคนซึ่งอยู่ในสถาบันครอบครัวมีปัญหากัน อาตมาภาพขอแนะนำว่า

๑. ให้ระลึกถึงคุณงามความดีเก่า ๆ ซึ่งกว่าที่เราจะคบกัน กว่าจะแต่งงานกัน
กว่าจะร่วมสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยกันมานั้น เราต่างก็เคยประทับใจในคุณงามความดี
ของกันและกันมาก่อน ทุกครั้งที่เราโกรธเราเกลียดกัน
นึกถึงคุณงามความดีเก่า ๆ ก็จะทำให้จิตใจนั้นอ่อนโยนลง

๒. ให้คำนึงถึงตัวเอง และภรรยาว่าหากเราทำให้เขาทุกข์ เราก็ทุกข์ด้วย
ฉะนั้นเราไม่ควรทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทุกข์ เพราะถ้าเราทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทุกข์
มันก็สะท้อนกลับมาอยู่ดีว่า ตัวเราก็ต้องทุกข์ด้วย ถ้าเราเป็นคนที่มีความสุข
คนที่อยู่ใกล้เขาก็ต้องสุข ใช่ไหมล่ะ
ตรงกันข้าม ถ้าเราเห็นคนที่อยู่ข้างหน้าเราเป็นทุกข์ แสดงว่าเราก็ต้องทุกข์แล้ว
ฉะนั้นควรบอกตัวเองว่า เราควรเป็นหน่วยความสุขเคลื่อนที่
อย่าเป็นหน่วยความทุกข์เคลื่อนที่ในครอบครัวเลย

๓. ให้เรียนรู้ที่จะถอยไปข้างหน้า เวลามีปัญหาให้ "ทิ้งพยศ ลดมานะละทิฐิ"
บอกตัวเองว่าบางครั้ง ก็ต้องถอยหลังคนละก้าว
เหมือนที่พระนางเจ้าวิกตอเรียกับเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดทะเลาะกัน
เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดไปขังตัวเองอยู่ในห้อง
พระนางเจ้าวิกตอเรียตามไปเคาะประตู
เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดก็ถามว่าใครเคาะ
พระนางเจ้าวิกตอเรียก็บอก "ฉันราชินีแห่งเกาะอังกฤษ"
เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดโกรธมากที่ถูกศรีภรรยากดขี่ข่มเหงศักดิ์ศรี
แห่งความเป็นมนุษย์ ด้วยการเอายศศักดิ์อัครฐานมาข่มสามีซึ่งเป็นสามัญชน

สามชั่วโมงต่อมา พระนางเจ้าวิกตอเรียทนเหงาไม่ได้ ไปเคาะประตูใหม่
เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดถามว่าใครเคาะ
พระนางวิกตอเรียบอกว่า "ดิฉันเองที่รัก ภรรยของคุณไงคะ"
พอได้ยินภาษาที่อ่อนหวานและตอบด้วยศักดิ์ที่เสมอกันอย่างนั้น
เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดจึงเปิดประตูมาสวมกอดกัน

นี่คือ "ศิลปะแห่งการถอยไปข้างหน้า"
นั่นคือ พระนางเจ้าวิกตอเรียยอมทิ้งยศศักดิ์อัครฐาน
วางอีโก้ของพระนางลง แล้วมาคุยกับพระสวามีในฐานะคนสามัญ
เรื่องก็จบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้ง

สำหรับคู่สามีภรรยาทั้งหลายที่มีปัญหาครอบครัว
หลังจากทดลองใช้วิธีต่าง ๆ แล้วไม่ได้ผล
ขอแนะนำให้เรียนรู้ที่จะถอยไปข้างหน้าดู
แล้วก็จะเห็นว่า มันคุ้มค่ากับการถอยจริง ๆ

บางทีเวลามีปัญหาในสถาบันครอบครัวแล้วแก้ไม่ตก
จะไปข้างหน้าก็ไม่ได้ จะถอยหลังก็ไม่ได้
ก็เลยมีการโยนชุดความคิดชุดหนึ่งเข้ามากลางวงแล้วบอกว่า
เราคงเกาะกันมาแต่ชาติปางก่อน เป็นผีแห้งกับโลงผุ เป็นคู่เวรคู่กรรม
แท้ที่จริงคู่ไหนก็ตามที่เริ่มสรุปอย่างนี้
สะท้อนแล้วว่า คุณยอมจำนนต่อปัญหา
ปัญหาทั้งปวงมีไว้ให้แก้ไข
แต่คนส่วนใหญ่ชอบแก้เคล็ดและยอมจำนน

ดังนั้นเวลามีปัญหา ให้เราทั้งหลายเปิดใจ เปิดตา เปิดหูให้กว้าง
บอกตัวเองว่า เราต้องเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาให้ดีที่สุด
อย่าเพิ่งลงบทสรุปว่า เธอและฉันเป็นคู่เวรคู่กรรม
เพราะพระพุทธเจ้าตรัสถึงคู่ของชีวิตคู่ไว้ ๗ แบบ
ไม่ได้มีแต่คู่เวรคู่กรรมเท่านั้น
มีทั้งคู่สร้าง-คู่สม คู่ชื่นชม-คู่ระกำ คู่ภรรยาแก้ว-สามีแก้ว
แล้วก็คู่กัลยาณมิตร นี่มันมีตั้งหลายคู่

ทำไมมาสรุปเสียว่า คู่ของคุณนี่เป็นคู่เวรคู่กรรมในเชิงลบ
ทำไมไม่เป็นคู่สร้างคู่สม ทำไมไม่เป็นคู่กัลยาณมิตร
ทำไมไม่เป็นคู่อารยชนที่เกิดมาแต่งงานด้วยกัน
เพื่อเป็นการเรียนรู้บนเส้นทางธรรมด้วยกัน
พัฒนาชีวิตไปให้ดีที่สุด จนกว่าที่สติปัญญามนุษย์จะวิวัฒนาการไปถึง

เปิดตาเปิดใจเรียนรู้ชีวิตคู่หลาย ๆ แบบ
ก่อนจะลงข้อสรุปด้วยการดูถูกตัวเองว่า เราเป็นคู่เวรคู่กรรม
ให้เรียนรู้ชีวิตคู่ในรูปแบบอื่น ในมิติอื่น ๆ ให้ทั่วถึงก่อน
ถ้าเราเรียนรู้ให้ทั่วถึงแล้วจะเห็นว่า
เราไม่จำเป็นต้องยอมรับข้อหา คู่เวรคู่กรรมที่เรามอบให้ตัวเอง
เพราะบางทีทางออกมันมีมากกว่าหนึ่งก็ได้

ที่มา : รักแท้ คือ กรุณา ของ ท่าน ว.วชิระเมธี

Love

ความรักกับความทุกข์
ท่าน ว.วชิรเมธี

เรื่องความรักในทรรศนะของพระพุทธศาสนามองว่าอย่างไร?
ในทรรศนะของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
"ทุกๆ การยึดติดถือมั่น มีค่าเป็นความทุกข์เสมอ"

ทุกๆการครอบครอง มีค่าเท่ากับการขาดอิสรภาพในทรรศนะของมนุษย์
ทุกครั้งที่เราครอบครองสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็มักภูมิใจว่าฉันเป็นเจ้าของแล้ว เช่น
ฉันมีรถเบนซ์ มีบ้าน มีแฟน ก็คิดว่าเป็นเจ้าของรถ เจ้าของบ้าน เจ้าของแฟนสาว
หารู้ไม่ว่าทันทีที่ยอมรับสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นของๆเรา เราก็ตกเป็นทาสสิ่งเหล่านั้นเรียบร้อยแล้ว

เช่น จอดรถเบนซ์ไว้นอกบ้าน พอฝนตกเราก็นอนไม่หลับแล้ว
หรือมีบ้านหลังหนึ่ง พอน้ำประปารั่ว ปลวกขึ้นบ้าน เราก็ใช้ชีวิตไม่มีความสุขแล้ว
หรือมีแฟนสักคนหนึ่ง ส่ง sms ไปแล้วเขาหายไป 3 วัน ชีวิตก็ไม่รื่นรมย์แล้ว
เราครอบครองเขาหรือตกเป็นทาสเขากันแน่

ดังนั้น "ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์" จึงเป็นสัจธรรมสากลถูกต้องที่สุด

มนุษย์โดยมากจึงมักบอกว่าที่ใดมีรักที่นั่นมีสุข
เพราะเขายังไม่ได้เรียนรู้ความรักตั้งแต่ต้นสายถึงปลายทาง
โดยมากมักเริ่มต้นแค่รู้จักความรักช่วงก่อนโปรโมชั่น พูดประโยคอย่างนี้กันทั้งนั้น
พอเริ่มเรียนรู้ที่จะรักไปสักพักหนึ่ง ถ้าสังเกตอย่างละเมียดละไม
ก็จะเห็นว่ามันเริ่มสุขๆ ทุกข์ๆ ปนกันโดยตลอด

หลังจากนั้นเมื่อหลวมตัวแต่งงานไป
วันเวลาส่วนใหญ่เป็นเรื่องของความทุกข์มากกว่าความสุขแล้ว
ฉะนั้นความสุขซึ่งเกิดจากการมีความรักเชิงชู้สาวนั้น แท้ที่จริงก็คือ
ความทุกข์ที่รอเวลาอยู่เท่านั้นเอง

มันคือความสุขที่แท้ที่จริงคือเจ้าความทุกข์ที่รอเวลาแสดงตัว
คนหนุ่มคนสาวจำนวนมากไม่รู้ก็เลยคิดว่าความรักนั้นช่างหอมหวานเหลือเกิน
จริงอยู่ความรักเป็นความหอมหวาน แต่เป็นความหอมหวานของเนื้อทุเรียนซึ่งมีเปลือกที่แสนขรุขระ

อาตมภาพเห็นด้วยกับพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ตรัสว่า
"ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีโศก ที่ใดมีโศก ที่นั่นก็มีภัย ที่ใดไร้รักไร้โศก ที่นั้นก็พ้นโศกพ้นภัย"

ฉะนั้นถ้าคุณรักแล้วอยากจะปฏิเสธทกข์ อย่าทำเลย ไม่มีทาง
ถ้าคุณมีโศก ก็หมายความว่าคุณยึดติด

แล้วจะปฏิเสธความเศร้าที่ตามมา ไม่มีทาง
ใครทุกคนที่เริ่มมีความรัก ขอให้เรียนรู้กติกาของความรักเอาไว้เลยว่า
ความรักมีความทุกข์เป็นของแถม
เหมือนกับเราหยิบเหรียญกษาปณ์ขึ้นมา 1 เหรียญ
ถ้าด้านปรากฎต่อเราคือด้านหัว ด้านตรงข้ามก็คือด้านก้อย เช่นเดียวกัน
เมื่อเรายกหน้ามือขึ้นมาพินิจ หลังมือก็ติดมาพร้อมๆ กันนั่นแหละ
ความรักกับความทุกข์จึงเป็นของคู่กันมาตั้งแต่ต้นจนจบ
แต่การที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นก็เพราะเขายังถูกความรักบังตา

เช่นเดียวกับในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงพระราชนิพนธ์เอาไว้ว่า
"ความรักเหมือนโรคา บันดาลตาให้มืดมน ไม่ยินและไม่ยล อุปสรรคใดใด
ความรักเหมือนโคถึก กำลังคึกผิขังไว้ ก็โลดและแล่นไป บ ยอมอยู่ ณ ที่ขัง
ถึงแม้จะผูกไว้ ก็โลดไปด้วยกำลัง ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง บ หวนคิดถึงเจ็บกาย"
นี้เป็นสัจธรรมที่อยู่ในกวีนิพนธ์

พระพุทธเจ้า ก็ตรัสเอาไว้แบบนี้แหละ คนที่มีความรักนั้นมีกำลังนับร้อยเท่านับพันเท่า
โลดแล่นโจนทะยานออกไป บางครั้งโจนทะยานออกจากอกพ่ออกแม่
เพื่อมาค้นพบภายหลังว่า คนที่รักเราแท้ที่สุดก็คือพ่อคือแม่นั่นเอง

ฉะนั้นทุกครั้งที่เราเริ่มต้นมีความรัก สิ่งหนึ่งซึ่งควรมาคู่กันกับการมีความรักก็คือ
ความเข้าใจในธรรมชาติของความรัก
ถ้าเราไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ หรือรักกันมานานตั้งห้าหกปีแล้วสุดท้ายก็เลิกกัน
หรือแต่งงานมาสิบปีแล้วสุดท้ายก็เลิกกัน
คนที่เจ็บปวดจากความไม่สมหวังในความรักจากการใช้ชีวิตคู่
ควรมองออกไปให้กว้างว่าขาดเขาแล้วเราไม่ตาย เพราะก่อนจะมีเขาเรายังอยู่มาได้

เมื่อย้อนกลับไปไม่มีเขาอีกครั้งหนึ่ง เราก็กลับไปยืนอยู่ ณ จุดเดิม ก็ต้องอยู่ต่อไปให้ได้
แล้วอย่าทำร้ายชีวิต อย่าทำร้ายตัวเอง
แต่ให้มองว่าการที่เราเกิดเป็นคนแล้ว ไม่ได้ทุกอย่างดังใจหวังนั้น
เป็นบทเรียนอีกขึ้นหนึ่งของชีวิต เป็นบันไดขั้นหนึ่งของชีวิตที่ต้องก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ

ในชีวิตของมนุษย์เรามีบทเรียนอยู่สองบทเรียน
หนึ่ง บทเรียนที่ยาก และสอง บทเรียนที่ง่าย
บทเรียนที่ง่ายก็คือทำอะไรก็สมหวังไปเสียทุกอย่าง
แต่พอสมหวังไปเสียทุกอย่าง มนุษย์มักจะหลงตัวเอง
พอหลงตัวเอง นั่นคือ ต้นทางของความผิดพลาด

บทเรียนที่ยากมักจะช่วยขัดเกลาฝึกปรือเราให้เข้มแข็ง
เหมือนคนบางคนที่เกิดมายากจนจึงเรียนรู้ที่จะต่อสู้
และเมื่อพยายามต่อสู้ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จกลายเป็นคนมั่งคั่ง พรั่งพร้อมได้
คนจำนวนมากที่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้แล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของโลกนั้น
เพราะเขาไม่ปฎิเสธบทเรียนที่ยาก
แต่กลับถือว่าเป็นบทเรียนที่เปรียบเสมือนหินลองทอง
หรือเปรียบเสมือนหินลับมีด
หรือบางทีเปรียบเสมือนกระดาษทรายที่ทำหน้าที่ขัดสีฉวีวรรณให้ชีวิตของเรา
ผุดผ่องแวววาวทอประกายเจิดจรัสงดงามยิ่งขึ้น

ฉะนั้น การที่เราล้มเหลวในเรื่องความรัก ในเรื่องชีวิตคู่
ขอให้ถือว่าความล้มเหลวนั่นแหละคือบทเรียนแสนยากที่เป็นบันไดขั้นหนึ่ง
ซึ่งเราต้องก้าวข้ามไป พอเราก้าวข้ามไปได้ ชีวิตของเราก็จะมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ผู้รู้ท่านหนึ่งบอกว่า
"ชีวิตที่ไม่ผ่านการต่อสู้ เป็นชีวิตที่ไม่ควรค่าแก่การยกย่อง"

เรามีหน้าที่สู้ชีวิต มีหน้าที่ก้าวข้ามความยากลำบาก
ไม่ได้มีหน้าที่มาจมปลักอยู่กับความยากลำบากแล้วก็ทำร้ายทำลายตัวเอง
ทุกครั้งที่เจอบทเรียนแสนยาก บอกตัวเองว่าต้องก้าวข้ามมันไป
ไม่ใช่ฝังตัวเองอยู่กับบทเรียนแสนยาก
บทเรียนยากๆ ทั้งหลายนั้น เปรียบเสมือนบันได
ซึ่งเรามีหน้าที่ต้องก้าวผ่านบันไดเหล่านั้นไป
ไม่ใช่ไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ตรงบันไดแล้วบอกว่าพอแล้วสำหรับชีวิตฉัน

ขอบคุณหนังสือ รักแท้คือกรุณา, ว.วชิรเมธี

Sunday, April 25, 2010

Forward Mail about Health

เอามาจากกระทู้แนะนำห้องหว้ากอโดยคุณหมอแมว

ที่มา http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X5931221/X5931221.html
และ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X5940947/X5940947.html

ที่ ผ่านมาได้ FWD Mail แปลกๆ มาเยอะมาก จากสารพัดเพื่อนที่ส่งให้ด้วยความหวังดี แต่ใครจะรู้มั่งว่าที่ส่งๆ มาน่ะมันไม่จริง
ถ้าสงสัยเมลที่ตัวเองเคยส่งว่าเป็นเรื่องจริงรึเปล่า เชิญอ่านเลยค่ะ

**********************************************************************************************

1. แก็งค์ขโมยอวัยวะ
เนื้อหา ของFWD << ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีกระแสข่าวเกิดขึ้นในหลายจังหวัดว่ามีแก็งค์รถตู้ออกตระเวนจับคนไปตัด อวัยวะ ฆ่าทิ้งโดยควักอวัยวะไป หรือลักพาตัวหายไป ... กระแสข่าวนี้ มีทั้งในทีวี วิทยุ โทรทัศน์ และ อินเตอร์เนท วิเคราะห์FWD >> ในเมื่อผมไม่ใช่ตำรวจ ก็คงไม่สามารถบอกได้ว่าจริงๆแล้วมีคนหายหรือตายในช่วงดังกล่าวเท่าไหร่ แต่มีข้อสังเกตบางสิ่งบางอย่างดังนี้
- ลักษณะข่าวหลายข่าว มีตั้งแต่การเจอศพที่ถูกฆ่าแล้วเปิดท้องเอาอวัยวะไป มีเด็กเจอจับแล้วก็มีคนควักลูกตาออกจากนั้นก็โยนเงินมาให้ มีคนโดนฆ่าทั้งครอบครัว ฯลฯ ... หลายข่าว คนที่ส่งต่อหรือเล่าต่อจะเล่าเหมือนกับว่าตนเองเห็นเหตุการณ์หรือได้ฟังจาก ปากผู้เสียหายจริงๆ แต่หากลองถามย้อนสืบค้นกลับไปแล้วจะพบว่าไม่มีรายใดเลยที่ได้รับรู้ข่าวจาก เหตุการณ์จริง
- ไม่มีข่าวใดขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์
- การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ต้องใช้ห้องผ่าตัดและอุปกรณ์ที่ทันสมัย ในเมืองไทยทำได้ไม่กี่ที่ มีคนทำได้จำนวนไม่มาก
- หลังการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ต้องกินยาควบคุมภูมิคุ้มกันไป'ตลอดชีวิต'และต้องตรวจอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งผู้ที่เปลี่ยนอวัยวะในเมืองไทยจะมีอยู่จำนวนนึง ... ถ้ามีคนไทยที่ได้รับการเปลี่ยนอวัยวะอย่างผิดกฎหมาย ก็เป็นไปได้ยากที่จะไม่มีใครรู้ใครเห็น
- ที่สำคัญที่สุด ความสดของอวัยวะ ... เทคนิกที่จะทำให้อวัยวะสดใหม่พอที่จะนำไปปลูกถ่ายให้กับคนป่วยนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ... การฆ่าคนแล้วเอาอวัยวะไปหลังจากคนๆนั้นตายแล้วเป็นสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะอวัยวะนั้นมักจะเสียคุณภาพและมีโอกาสที่จะเสียมาก ... ถ้าจะทำจริงๆน่าจะลักพาตัวไปจะง่ายกว่า
- และจากข้อข้างบน ... การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ต้องทำการจับคู่อวัยวะของทั้งผู้ให้และผู้รับ ... ดังนั้นการจะลักอวัยวะ ต้องทำการตรวจเลือดของผู้ให้และผู้รับและจับคู่กันให้ได้ (ส่วนมากมักเป็นญาติกัน โอกาสจะเจอจากคนที่ไม่ใช่ญาตินั้นน้อย) การที่ไปดักฆ่าใครมั่วๆซั่วๆแล้วตัดอวัยวะไป จึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะมีขบวนการใดงี่เง่าพอที่จะไปทำ(เพราะไม่คุ้มทุน)

ที่มาของFwd : Fwd ลักษณะนี้มีในอเมริกามาตั้งแต่ปี 1998 แล้วครับ

*********************************************************************************************

2. การกินวิตามินC ร่วมกับการกินกุ้งทำให้ตายได้
เนื้อหา ของFWDในไทย << เป็นเรื่องราวที่เกิดในไต้หวันโดยมีกรณีที่พบผู้หญิงตายโดยไม่ทราบสาเหตุและ มีศาสตราจารย์คนนึงไปร่วมชันสูตร และก็บอกว่าผู้หญิงคนนี้ตายจากการที่กินกุ้งพร้อมกับวิตามินซี ซึ่งเข้าไปทำปฏิกริยากับสารหนูชนิดไม่มีพิษ As2O5 กลายเป็น As2O3 หรือสารหนูชนิดที่เป็นพิษทำให้ตายแบบเลือดไหลออกหมดตามทวาร วิเคราะห์FWD >> จับผิดได้หลายจุด
- ข้อแรก ไม่มีรายงานทางการแพทย์ฉบับใดที่รายงานการเกิดพิษจากสารหนูจนถึงตาย จากการกินกุ้งพร้อมกับวิตามินซี ... ถ้ามันเป็นเรื่องที่ง่ายขนาดที่ศาสตราจารย์ทางการแพทย์ไต้หวันรู้ในพริบตา เดียว ก็น่าจะมีตำราหรือรายงานการแพทย์สักฉบับในโลกที่กล่าวถึง
- กุ้งจะไปเอาสารหนูในระดับที่ฆ่าคนได้มาจากไหนโดยกุ้งไม่ตาย ... อย่าลืมว่าสารหนู(As) เป็นธาตุไม่ใช่สารประกอบ ดังนั้นไม่มีทางผสมสารใดๆแล้วบังเอิญกลายมาเป็นสารหนูได้ ถ้าไม่มีสารหนูเป็นตัวตั้งต้น
- As2O5 จะเปลี่ยนเป็น As2O3ได้ ต้องใช้อุณหูมิ 300 องศาเซลเซียส
- As2O3 หรือ อาร์เซนิกไตรออกไซด์ มีพิษก็จริง แต่พิษของมันถ้าเกิดเฉียบพลันจะก่อให้เกิดอาการท้องเสียรุนแรง อาเจียนมาก ... ไม่ใช่เลือดออกทุกทวาร
- As2O5 หรืออาร์เซนิกเพนตาออกไซด์ก็มีพิษ กุ้งที่ไหนจะรับได้

ที่มาของFWD : พบ FWD นี้ในinternet ตั้งแต่ปี 2001 โดยเริ่มแรกจากข้อความสั้นๆและได้โดนพิสูจน์ว่ามั่วไปนานแล้ว
แต่เมื่อเข้ามาในไทยในปี2007ก็ขยายความยาวของเนื้อหาและรายละเอียดหลายส่วน ที่แก้ต่างข้อพิสูจน์เหล่านั้นไป

จริงๆเป็นForward Mail ที่ไม่น่าเชื่อถืออันนึง แต่โชคไม่ดีที่มีสื่อบางแขนงเอาไปเผยแพร่โดยไม่ได้ทำการตรวจสอบให้ดี
(ทั้งที่ยุคนี้การตรวจสอบข่าวสารทำได้ง่ายกว่าแต่ก่อนเยอะ หรือแค่ถามแพทย์ที่ทำงานให้กับองค์กรสื่อแห่งนั้นก็ยังได้)
ซึ่งจากการเผยแพร่ของสื่อนั้น ยิ่งทำให้คนที่ไม่รู้เข้าใจไปว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริง

*********************************************************************************************

3. รู้ไหม ถ้าคุณกำลังจะหัวใจวาย การไอสามารถช่วยคุณได้

เนื้อหา ของFWD << เริ่มด้วยการสมมุติว่ากำลังขับรถกลับบ้านตอนเย็น จากนั้นก็เจ็บหน้าอกเกิดอาการหัวใจล้มเหลว ... ซึ่งรู้ว่าต้องช่วยด้วยการนวดหัวใจ แต่การนวดหัวใจ (CPR cardiopulmonary resuscitation) ต้องทำโดยคนอื่น แล้วถ้าคุณกำลังจะหัวใจหยุดเต้นใครจะช่วยได้ ... ในเนื้อหาอ้างว่าการผายปอดด้วยการไอ หรือนวดหัวใจด้วยการไอ (Cough CPR) เป็นสิ่งที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยสถาบันการแพทย์และถูกบรรจุในหลักสูตร โดยให้ไอไปเรื่อยๆเป็นจังหวะเพื่อกระตุ้นหัวใจให้ทำงาน วิเคราะห์FWD >>
- เมล์ดังกล่าวจะมีการอ้างสถาบันสุขภาพของอเมริกาหลายแห่ง แต่อันที่แพร่หลายในไทยจะอ้าง JOURNAL OF GENERAL HOSPITAL ROCHESTER และ American Heart Association ... ซึ่งสิ่งที่ค้นพบคือทั้งสองแห่งได้มีข้อความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ ชัดเจนว่าไม่เคยมีการแนะนำดังกล่าว
http://www.viahealth.org/body_rochester.cfm?id=329
อันแรกเป็นlinkของโรงพยาบาล Rochester ที่ยืนยันว่าไม่เคยมีการแนะนำดังกล่าวในวารสารของโรงพยาบาล
และ ทาง Amercan heart association หรือสมาคมโรงหัวใจสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ของการแพทย์ด้านหัวใจของโลก
ก็ได้มีความเห็นในwebsite เกี่ยวกับเรื่อง Cough CPRไว้ดังนี้ครับ
http://www.americanheart.org/presenter.jhtml?identifier=4535
ซึ่งสรุปใจความสั้นๆไว้ชัดเจนว่า
- การนวดหัวใจด้วยการไอ มีใช้ก็เฉพาะกรณีที่กำลังทำการสวนหัวใจอยู่แล้วไปสะกิดโดนบางจุดจนเกิดหัวใจ เต้นผิดจังหวะ ซึ่งแพทย์ที่สวนหัวใจจะสั่งให้คนไข้ไอ
- ไม่เคยมีการสอนให้ทำ Cough CPR ในคำแนะนำสากลแก่ประชาชน(หรือบุคลากรทางการแพทย์ทั่วไป)

นอกจากนี้
- อาการเจ็บหน้าอก เป็นอาการของหัวใจขาดเลือด Myocardial Iscemia หรือ Myocardial Infarct การแก้ไขคือ
พยายามให้ผู้ที่มีอาการ อยู่นิ่งๆและหยุดกิจกรรมต่างๆ อมยาใต้ลิ้นเพื่อลดอาการเจ็บปวด และกินยาป้องกันเกร็ดเลือดแข็งตัว จากนั้นก็รีบไปโรงพยาบาล
- การพยายามไอมากๆในคนที่มีอาการเจ็บหน้าอกของโรคหัวใจเป็นการออกแรง ซึ่งน่าจะให้ผลเสีย(ถึงตาย) มากกว่าผลดี
- หัวใจเต้นผิดจังหวะที่ไม่มีสาเหตุแน่ชัดอื่นๆ ไม่ได้รักษาด้วยการไอ
- แรงดันในช่องอกจากการไอ ไม่เพียงพอที่จะนวดหัวใจให้พ่นเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้
- ถ้าหัวใจของใครสักคนหยุดเต้น ความดันเลือดจะตกลงจนสมองหยุดทำงาน ... ซึ่งรวดเร็วเกินกว่าที่สมองจะสั่งการให้ไอได้ทัน

สรุป แล้วดูเหมือนกับว่านอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว หากผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีอาการเจ็บหน้าอกคนไหนเอาไปใช้ ก็อาจจะเกิดอันตรายได้มากกว่าที่จะเป็นประโยชน์

*************************************************************************************************

4. สูบบุหรี่ผิดด้าน ไปจุดเอาก้นกรองจะทำให้เป็นหมัน
เนื้อหาของFWD << บอกว่าในก้นกรองบุหรี่มีสารเคมีที่ทำให้เป็นมะเร็งและทำให้เป็นหมัน วิเคราะห์FWD >> ค่อนข้างพิสูจน์ได้ง่าย
- ก้นกรองบุหรี่ ทำมาจากสารพวกเซลลูโลส พูดง่ายๆว่าทำมาจากเยื่อไม้ ... จากนั้นก็เอามาทาสีข้างนอกเป็นสีน้ำตาล สีขาว ฯลฯ
ดังนั้นสูบก้นกรองเข้าไปก็ไม่ได้มีอันตรายเพิ่มไปกว่าเดิม ที่จริง ก้นกรองเป็นส่วนที่ปลอดภัยที่สุดของบุหรี่ครับ
- ก้นกรองบุหรี่ที่อันตราย คือก้นกรองบุหรี่แบบเก่าๆ ที่ทำมาจากแร่ใยหิน Asbestos

สรุปแล้วมั่วมากครับ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าคนอ่านแล้วจับผิดได้ง่าย เมล์FWDนี้เลยไม่ค่อยแพร่หลายนัก
ที่สำคัญ เจ้าสารที่ทำให้เป็นหมันและมะเร็ง อยู่ในตัวยาสูบ ไม่ใช่ก้นกรอง
ดังนั้นถ้าใครสูบบุหรี่อยู่แล้วสูบผิดด้านก็ไม่ต้องกังวลครับ เพราะด้านที่สูบตามปกติ ก่อมะเร็งได้ง่ายกว่าก้นกรองเป็นพันเท่า

*************************************************************************************************

5. กินฉี่หนูที่เปื้อนกระป๋องน้ำอัดลม ... ตาย!!!
เนื้อหา ของFWDในไทย << เมล์เก่าแก่นี้เริ่มตั้งแต่เตือนว่าการมีคนตายจากการกินน้ำอัดลมโดยไม่ได้ เช็ดที่ปากกระป๋อง จึงกินฉี่หนูที่ติดตรงนั้นเข้าไป หลังจากนั้นก็ป่วยหนักและตาย ... ต่อมาก็เริ่มมีการกล่าวอ้างเพิ่มขึ้น มีทั้งบอกว่าต้องไปรักษาที่รพ. หมอบอกว่าเป็นโรคฉี่หนู ต้องส่งมารักษาที่กทม. เสียเงินเป็นล้าน , มีการกล่าวอ้างว่าฉี่หนูเฉยๆกินเข้าไปก็ตายได้ , หรือแม้แต่ระบุที่ท้ายของ Fwd เป็นเบอร์โทรศัพท์ของกองสาธารณสุข วิเคราะห์FWD >> เรื่องนี้ใครที่ทำงานด้านสาธารณสุข จะรู้ทันทีหลังจากอ่านว่า"มั่ว" , ใครที่บ้านมีหนูจะรู้ว่าเรื่องมันทะ:-)ๆ
- โรคฉี่หนูชนิดรุนแรง จะมีอาการไข้สูงหนาวสั่น ปวดกล้ามเนื้อ ตัวเหลืองตาเหลือง ... ซึ่งอาการในเมล์มักจะเป็นอาการที่ไม่ใช่
- ฉี่หนูปกติ ต่อให้กินเข้าไปก็ไม่ตายครับ ฉี่หนูที่มีเชื้อกินเข้าไปโอกาสติดเชื้ออาจจะมีแต่น้อยมากๆ(ลงกระเพาะก็ตาย ไปเกือบหมด ถ้าจะติดก็คงจากแผลในปาก)
... จนถึงตอนนี้ผมก็ยังค้นหาเอกสารทางการแพทย์ที่บอกว่าฉี่หนูติดได้ง่ายๆจากการ กินไม่พบเลย
- บ้านใครมีหนู คงรู้นะครับว่าฉี่หนูแห้งๆกลิ่นมันขนาดไหน ใครจะกินได้

ที่มาของFWD นี้ มันกระจายในอเมริกามาตั้งแต่ปี 1998 ซึ่งอเมริกามีโรคฉี่หนูไม่มากเท่าเมืองไทย forwardเมล์นี้เลยค่อนข้างอยู่ยงคงกระพัน และถูกส่งไปส่งมาเรื่อยๆครับ

*************************************************************************************************

6. โค้ก เป็นสิ่งอันตรายมาก (ทำให้กระดูกผุ)
ตัวอย่าง FWD http://www.maama.com/reading/view.php?id=001590
เนื้อหา ของFWD << เนื้อหาในนั้นจะกล่าวถึงการคุณสมบัติที่ทำให้โค้กดูเหมือนเป็นน้ำอัดลมที่มี ฤทธิ์กัดกร่อน เป็นกรดที่รุนแรง ... ลำพังตัวฟอร์เวิร์ดนี้จะไม่มีอะไร แต่มันเป็นการไปตอกย้ำความเชื่อที่ว่าการดื่มน้ำอัดลมทำให้กระดูกผุ น้ำอัดลมเป็นสารที่อันตราย ฯลฯ วิเคราะห์FWD >>
- ถ้าตามเข้าไปดูในข้อมูลต่างๆในนั้น จะเห็นว่าเป็นข้อมูลที่ดูแล้วทำให้โค้กเป็นวัสดุกัดกร่อนที่มีฤทธิ์รุนแรง สามารถกัดกร่อนสิ่งต่างๆได้ การใช้งานก็ดูน่ากลัวสำหรับของที่จะเอามากิน
- (ปัจจัยในเวบบอร์ดต่างๆ และความเชื่อสมัยก่อน บอกว่าการดื่มน้ำอัดลมทุกชนิดทำให้กระดูกผุ เพราะกรดในน้ำอัดลมจะไปละลายกระดูก)
- โค้กมีpH ที่ประมาณ2.5 อันนี้ก็จริง ... แต่
- น้ำมะนาวมีpH 2-2.5 ส่วนกรดในกระเพาะอาหาร มีpH 1.5-2 กัดกร่อนยิ่งกว่าโค้กเสียอีก เรื่องคุณสมบัติที่ว่านั้นหากเอาน้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชูไปแทนที่ก็ทำได้ เหมือนกัน (แต่Apple cider vinegarดันบอกว่าดีต่อสุขภาพ ทำไมไม่บอกว่ากัดกระดูกล่ะ)
- ในต่างประเทศของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมีราคาแพง ในขณะที่โค้กมีราคาถูกมากและมีแพร่หลายทุกพื้นที่ ก็ไม่แปลกนักที่ชาวต่างชาติเขาจะใช้โค้กในการทำความสะอาดหรือใช้งานกันแปลกๆ (ก็มันประหยัด)
- เรื่องฤทธิ์กัดกร่อนกระดูกนั้น ที่จริงทางการแพทย์เคยเชื่อกันมานานและแนะนำอย่างนี้กันมานาน แต่ว่าในระยะหลังๆเริ่มมีงานวิจัยออกมาคัดค้าน เพราะว่ามีข้อสังเกตว่า กรดฟอสฟอริกที่เคยเชื่อว่าทำลายกระดูกก็มีในอาหารหลายชนิด แต่ว่าไม่ปรากฎว่าจะทำให้เกิดกระดูกพรุนได้
- งานวิจัยล่าสุดเมื่อปีที่แล้วในชุด The Framingham Osteoporosis Study ระบุถึงความเกี่ยวข้องของน้ำอัดลมต่อมวลกระดูก ก็บอกว่ามีโค้ก (แต่ไม่รวมถึงน้ำอัดลมแบบอื่นๆ)ที่ทำให้เกิดมวลกระดูกลดลง (แถมเกิดเฉพาะในผู้หญิง) http://www.ajcn.org/cgi/content/abstract/84/4/936 ... เลยทำให้ต้องกลับไปดูกันอีกว่า ตกลงแล้วน้ำอัดลมทำให้กระดูกพรุนได้อย่างที่เคยเชื่อจริงหรือ
- ข้อมูลที่บอกว่าดื่มน้ำป้องกันมะเร็งได้ อันนี้ไม่มีหลักฐานการวิจัยที่สนับสนุนชัดเจน

ดังนั้น เมื่อดูจากข้อมูลแล้วถ้าดูเผินๆจะไม่มีอะไร แต่มันสร้างภาพลักษณ์ที่เข้าใจผิดว่าการดื่มน้ำอัดลมก่อให้เกิดการกัดกร่อน ในกระเพาะ(โรคกระเพาะ ?) และก่อโรคกระดูกพรุน ซึ่งจริงๆไม่เกี่ยวข้องกัน ..... และความไม่มีอะไรและการที่ความเชื่อเรื่องน้ำอัดลม"กัดกระดูก"มันเป็นควา เชื่อมานาน พอมีคนออกมาคัดค้านก็อาจจะโดนมองว่าไม่น่าเชื่อถือ
ข้อมูลเพิ่มเติม
- แต่การดื่มน้ำอัดลมกลุ่มที่มีน้ำตาล ก่อให้เกิดโรคอ้วนและเบาหวานชัดเจน
- การดื่มน้ำอัดลมที่ใส่สารทดแทนความหวาน ก็ก่อความเสี่ยงเรื่องโรคอ้วนและเบาหวานได้เช่นกัน

*************************************************************************************************

7. Cravit ยาอันตรายที่ต้องระวัง
ตัวอย่าง FWD http://www.fwdder.com/topic/11326
เนื้อหา ของFWD << เนื้อหากล่าวถึงการที่แพทย์จ่ายยาอย่างไม่จำเป็นเพียงเพื่อหวังยอดขายและ เงินส่วนแบ่ง ในนั้นอ้างว่ายาจะทำให้กล้ามเนื้อถูกทำลาย มีการสร้างความน่าเชื่อถือโดยการอ้างว่ามีเภสัชกรมายืนยันว่าไม่ต้องกินก็ ได้ ... และมีการแสดงตัวอย่างที่บอกว่าการกินยาตัวนี้ทำให้คนดีๆต้องมีอาการหนักขึ้น วิเคราะห์FWD >> เรื่องนี้คนที่สร้างFWDน่าจะเป็นคนไทย ซึ่งขอแยกประเด็นเป็นดังนี้ครับ
- เรื่องการสั่งยาโดยไม่จำเป็น ... การให้ยาCravit โดยไม่จำเป็น ถามว่ามีไหมก็คงจะมี แต่เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังในการวิจารณ์ เนื่องจากผมเองเป็นหมอเอง เอายาที่หมอหรือเภสัชกรจ่ายให้คนไข้มาดู ก็ไม่อาจจะบอกได้ว่ายานั้นเหมาะสมหรือไม่ ดังนั้นเรื่องที่ว่าจำเป็นหรือไม่ต้องไปดูกันเป็นรายๆไป (ดังนั้นประเด็นนี้ไม่วิจารณ์ เพราะถ้าวิจารณ์จะเกิดการโต้เถียง) และเรื่องค่าคอมมิชชั่น อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้
จะ เห็นว่าเรื่องนี้จับเอาคนสองฝ่ายมาชนกันในFWD คือ หมอและเภสัชกร ... ซึ่งถ้าเถียงไปเถียงมา อาจจะเกิดกระทบกระทั่งกันเองได้ (ดังนั้นเรื่องผลประโยชน์ผมว่าคุยกันวันหลังดีกว่านะครับ)
-ในFWDบอกว่า มันเป็นยาแก้ปวดแต่ที่จริง Cravit เป็นตัวยาที่มีชื่อว่า Levofloxacin เป็นยาปฏิชีวนะ ที่มักใช้ในการรักษาโรคในระบบทางเดินหายใจและปัสสาวะ ... ในเมืองไทยการจ่ายยาตัวนี้แบบมีข้อบ่งชี้ ก็คือ การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่คาดว่าเชื้อจะดื้อยา ปอดบวม และ กรวยไตอักเสบ (แต่ปกติไม่ได้ใช้เป็นตัวแรกเพราะมันมีผลข้างเคียง)
- ข้อดีของยาตัวนี้ที่ทำให้นิยมในรพ.เอกชนคือ ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล และ ไม่ต้องฉีดยา
- อาการที่ในFWD กล่าวถึงผู้หญิงฝ่ายMarketing พิสูจน์ไม่ได้ว่าเกิดจากยาหรือเกิดจากโรค เพราะสมมุติว่าคนนั้นเป็นกรวยไตอักเสบ อาการของกรวยไตอักเสบก็สามารถทำให้อาการหนักจนเข้าโรงพยาบาลได้เช่นกัน
- ถ้ายามันมีผลเสียจนมากเกินผลดีจริงๆ ในอเมิรกาคงมีการฟ้องกันวุ่นวายแล้ว
- และถ้ามีผลเสียต่อสุขภาพถึงขนาดเป็นยาอันตรายที่ไม่ควรกิน ประโยชน์มากกว่าโทษ FDA เขาตัดทิ้งครับ ... เผลอๆบริษัทแม่เอาออกจากตลาดเอง เพราะว่าถ้าบริษัทเหล่านั้นโดนฟ้อง เขาถือว่าไม่คุ้มกัน

โดยสรุปแล้ว หากใครได้รับยานี้จากแพทย์ และคุณคิดว่าไม่มีความจำเป็น(แพง)หรือไม่อยากกิน(กลัว) ให้บอกกับแพทย์ตรงนั้นไปเลยครับ เพราะว่าถ้าคุณเกิดจำเป็นต้องกินยานั้นขึ้นมาแล้วคุณไม่กิน อาจจะเกิดอันตรายจากการติดเชื้อได้ ... หรือถ้าหากกินยาแล้วไม่ดีขึ้นแทนที่จะไปโทษว่ายาเป็นสาเหตุน่าจะต้องระวัง เรื่องการติดเชื้อที่รุนแรงเกินกว่ายาจะรับมือไหวดีกว่าครับ

*************************************************************************************************

8. ขวดน้ำ PET ไม่ควรใช้ซ้ำ เพราะว่ามีสารก่อมะเร็ง

เนื้อหา ของFWD << กล่าวอ้างถึงกรณีเด็กที่กินน้ำจากขวดน้ำใช้ซ้ำเป็นเวลาหลายเดือน จนกระทั่งตายลง ... ในเมล์มีข้อมูลว่าในขวดจะมีสาร DEHA ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ในเมล์เวอร์ชั่นหลังๆ จะมีการค้นเอาข้อมูลการก่อมะเร็งของสารดังกล่าวมาโชว์ด้วย วิเคราะห์FWD >> เมล์นี้เป็นเมล์แรกๆที่ผมพยายามค้นหาคำตอบ เพราะปกติจะใช้ขวดน้ำซ้ำๆ
- FDA หรืออย.อเมริกาถือว่าขวดPETปลอดภัยในการใส่อาหาร
- งานวิจัยที่บอกว่าขวดPET มีสาร DEHA คือ http://www.riskworld.com/Abstract/2001/SRAam01/ab01aa189.htm ซึ่งเป็น Thesis ของนักศึกษาปริญญาโทหรือเอกนี่แหละ ... ซึ่งจากข้อมูลหลายที่ระบุว่าเกิดความเข้าใจผิดในชื่อย่อของสาร และการปนเปื้อนสารในการทดลองมากกว่า
- สารDEHAในเมล์ไม่ว่าของไทยหรือฝรั่ง จะลงชื่อว่า diethylhydroxylamine ... แต่ว่าสารที่ใช้ในการทำขวด PET คือDiethylhexyl adipate
- ข้อมูลในIARC http://www.inchem.org/documents/iarc/vol77/77-02.html ของสารDI(2-ETHYLHEXYL) ADIPATE สรุปสั้นๆด้านล่างว่า "not classifiable as to its carcinogenicity to humans "
- การระบุว่าขวดต่างๆให้ใช้ครั้งเดียวทิ้ง... เป็นมาตรการเดียวกันกับที่เขียนไว้ที่หนังสือการ์ตูนว่า "เฉพาะสำหรับอ่าน" (ห้ามเอาไปเช็ดก้น) ผู้ผลิตมุ่งเรื่องป้องกันการนำไปใช้ซ้ำแล้วล้างไม่สะอาดทิ้งไว้จนอาจจะเกิด การสะสมของเชื้อแบคทีเรียได้ครับ

*************************************************************************************************

9. ดื่มน้ำเย็นหลังอาหาร ทำให้เป็นมะเร็ง

ตัวอย่าง FWD http://bbs.srp.ac.th/showthread.php?t=2902
เนื้อหาของFWD << บอกถึงการดื่มน้ำเย็นๆลงไป จากนั้นน้ำเย็นไปทำให้ไขมันจับเป็นก้อนสีขาวๆและไปจับลำไส้กลายเป็นมะเร็ง วิเคราะห์FWD >> เอ่อ......-_-' อ่านดูเหมือนจะดี แต่ไร้สาระครับ
- ต่อให้กินอาหารที่เป็นมันๆลงไปแล้วดื่มน้ำเย็นตามจนเกิดไขมันจับเป็นลิ่มๆใน ท้องจริง แต่ท้องเราอยู่ในลำตัว ดังนั้นสักพักอุณหภูมิจะเปลี่ยนกลับเป็น 37องศาอย่างรวดเร็ว เดี๋ยวมันก็กลายเป็นน้ำมันอยู่ดี
- ในชีวิตจริง เรากินมันหลายชนิดที่เป็นก้อนๆอยู่แล้ว ดังนั้นไขมันบางตัวจะไม่ละลายตั้งแต่ต้น
- กระบวนการย่อยไขมันใช้น้ำย่อย ... เป็นปฏิกริยาทางเคมี ต่อให้มันเป็นก้อนก็ย่อยสลายอยู่ดี
- สมมุติยังกลัวว่ามันจะไปจับลำไส้จริง ลำไส้คนเรามีการผลัดเซลล์เป็นระยะ ดังนั้นมันจับได้จับไป เดี๋ยวก็หลุดออกมาเอง
- ที่สำคัญที่สุด *** การเป็นมะเร็งในลำไส้ไม่ได้เกี่ยวกับน้ำเย็นครับ ... ถ้าจะเกี่ยวก็เกี่ยวกับการกินไขมันเยอะน้ำตาลเยอะกินกากใยน้อย ดังนั้นแก้ปัญหาผิดจุดเอามากๆ ***
จริงๆเป็นหนึ่งในฟอร์เวิร์ดที่ไร้สาระ จนอาจจะไม่มีค่าควรเอามาไว้ แต่มันมีเหตุผลบางอย่างครับที่ทำให้ผมต้องเอามาใส่ไว้ ... ถ้าเจ้าตัวบังเอิญผ่านมาเห็นรบกวนอ่านด้วยแล้วกันครับ

*************************************************************************************************

10 ระวังแมงมุมใต้ห้องน้ำเครื่องบิน / ระวังแมงมุมเทลาโมเนีย

ตัวอย่าง FWD http://www.saranair.com/article.php?sid=9292 ภาษาไทย
http://www.health2know.com/killer-spider-on-the-loose-the-twostriped-telamonia ภาษาอังกฤษ พร้อมรูป
เนื้อหาของFWD << เล่าถึงแมงมุมพิษร้ายแรงบนเครื่องบินที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาก่อเหตุที่มาเลเซีย วิเคราะห์FWD >> เรื่องนี้สืบค้นยากหน่อยนึง เพราะว่าเป็นภาษาไทยหมดโดยถูกแปลมาอีกที แต่เมื่อค้นจากชื่อแมงมุมกลับเป็นภาษาอังกฤษ เรื่องราวก็กระจ่าง
- แมงมุมเทลาโมเนีย เป็นแมงมุมกระโดดครับ (ไอ้ตัวเล็กๆที่โดดไปมาตามพื้นนี่แหละ) กัดคนได้ยังไงยังน่าสงสัยอยู่
- เมล์แบบนี้มีหลายversionมากๆๆๆ เพียงแต่เปลี่ยนชื่อแมงมุม เปลี่ยนสถานที่เกิดเหตุ ... อันแรกๆอยู่ในอเมริกา จากนั้นก็เปลี่ยนที่ไปมาจนกระทั่ง เปลี่ยนที่เป็นเกิดเหตุในกัวลาลัมเปอร์ ก็ได้มีคนแปลเป็นภาษาไทยเนื่องด้วยเห็นว่าอยู่ใกล้เมืองไทย !!!
- พวกนี้มันจะอาศัยในเครื่องบินได้ยังไงครับ (หรือว่าเครื่องบินมีหนอนกะหล่ำให้มันกิน)
สรุปแล้ว ความหวังดีของผู้ที่ได้รับเมล์แล้วแปลออกมา ก็ทำให้เกิดความตื่นกลัวแมงมุมขึ้นมา(อีกครั้ง)

*********************************************************************************************

เพิ่มเติม

- FWD Mail เรื่องในหลวงทรงมีพระเนตรเพียงข้างเดียว เป็นเรื่องจริงนะ

- เรื่องเข็มฉีดยาติดเอดส์ในโรงหนัง

ต้องอ่านนะ..เพราะห่วง
> > >ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งลงบนเบาะตัวหนึ่งในโรงหนังที่มีอะไรบางอย่างแทงขึ้นมาจากเบาะ
> > >เธอลุกขึ้นเพื่อจะมองดูว่าเป็นอะไร
> > >เธอพบว่าเป็นเข็มอันหนึ่งที่มีกระดาษเขียนติดไว้ว่าคุณติดเชื้อเอดส์เข้าแล้ว
> > >รายงานจากศูนย์ควบคุมโรคของเมืองเมลเบอร์นแจ้งว่า
> > >เกิดเหตุการณ์คล้ายกันนี้หลายครั้งในประเทศออสเตรเลีย
> > >เข็มทุกอันพิสูจน์แล้วว่ามีเชื้อเอดส์
> > >นอกจากนี้ยังพบเข็มในช่องจ่ายเงินสดของเครื่องATM
> > >เราจึงได้แต่เตือนให้ผู้ใช้เพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้
> > >ที่นั่งสาธารณะควรตรวจดูให้ดีก่อนที่จะนั่ง ประชาชน 17
> > >คนถูกแทงด้วยเข็มและติดเชื้อเอดส์ทางแถบชานเมืองทิศตะวันตกในเดือนที่ผ่านมา
> > >ตรวจดูเก้าอี้นั่งการตรวจอย่างละเอียดโดยการมองด้วยสายตาก็น่าจะเพียงพอนอก
> > >หนือจากนี้คุณสามารถช่วยส่งข่าวนี้ไปให้สมาชิก,คนในครอบครัวและเพื่อนที่คุณคิดว่า
> > >เขาจะได้รับอันตรายจากการนั่งในที่สาธารณะได้ สำคัญมาก*
> > >แค่คิดว่าจะช่วยชีวิตคนสักคนหนึ่งที่คุณไม่รู้จักหรือสำหรับคนที่คุณรักและห่วงใย
> > >โดยสละเวลาเพียง 2-3วินาทีส่ง Mail นี้ต่อไปยังเพื่อนๆที่คุณรัก

ANS: HIV เป็นไวรัสที่ตายง่ายมากครับ ออกจากร่างกายคนมาโดยไม่มีพวกน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำกาม น้ำมูก
และสารคัดหลั่งอื่น อะไรพวกนี้หล่อเลี้ยงแล้ว ไม่น่าเกิน 10 วินาทีก็ตายแล้วครับ
ผมว่าเชื้ออย่างอื่นที่ติดปลายเข็มน่ากลัวกว่าเช่น บาดทะยัก น่ะ

- ควรกินเนื้อสัตว์เพาะช่วงเช้า? อดมื้อเช้าแล้วเป็นมะเร็ง? ห้ามกินนมตอนเช้า?

ถ้าอยากกินเนื้อสัตว์ ควรกินเวลา 7.00 น - 9.00 น. เนื่องจากกระเพาะเรา
มีสภาพเป็นกรดสูงมากที่สุดดังนั้นมื้อเช้าจะจำเป็นมาก ๆ ถ้าอดมื้อเช้าไปนาน ๆ
ขั้วกระเพาะเราจะเป็นปุ่มปม และนานเข้า ๆ ก็กลายเป็นมะเร็งในกระเพาะ ?

สภาพความเป็นกรดในกะเพาะอาหารสูดสุดตอนไหน ผมไม่ทราบแต่ถ้ามีอาหาร
ตกลงมาในท้อง เดี๋ยวกะเพาะก็หลั่งกรดมาเอง จริงๆแค่คุณนึกว่าหิวๆ อยากหา
อะไรกิน กรดก็หลั่งออกมาแล้ว แต่ปริมาณเยอะน้อยนั้นคงจะแล้วแต่บุคคลมากกว่า

ส่วนที่ว่าอดมื้อเช้าไปนานๆแล้วจะเป็นมะเร็ง ดูเหมือนจะไกลความจริงไปหน่อย
ส่วนใหญ่รายงานของ มะเร็งกะเพาะอาหารมาจากการ ดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ เป็น
หลักครับ ส่วนการอดอาหาร โรคกะเพาะก็คงจะถามหาเสียมากกว่า

ห้าม กินนมตอนเช้า แทนข้าวเช้า เนื่องจาก ตอนเช้ากระเพาะเป็นกรดสูง
มาก นึกสภาพดูหากเราบีบน้ำมะนาวลงในนม จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมี กลาย
เป็นคอลลอยด์ มันไม่ย่อย นะจ๊ะ ถ้าดื่มนมตอนท้องว่างแบบนี้ติดต่อกันเป็น
ประจำแทนข้าวเช้า ระวังมะเร็งในไขกระดูกนะจ๊ะ แต่ถ้าเป็นช่วงหลังอาหาร
เช้า หรือ ตอนบ่ายไปแล้ว หรือตอนเย็นดื่มได้ตามปกติจ้า มื้อเย็นอาจเป็น
มื้อง่าย ๆ อย่างนม กับไข่ก็ไม่ว่ากัน

ต่อให้เป็น คอลลอย์ มันก็เกิดจากโปรตีนในนมเสียสภาพ แต่จากการที่มันเสีย
สภาพนี่แหละครับ ทำให้มันคลายตัวออกแล้วเอนไซม์ในร่างกายเราก็จะย่อยได้
ง่ายขึ้น

อีกอย่าง โปรตีนในนม เป็นโปรตีนที่ร่างกายนำไปใช้ได้เกิน 90% แล้วไม่ว่าเรา
จะแปลรูปมันอย่างไร (เป็นโยเกิร์ต เป็นนมเปรี้ยว เป็นเวย์โปรตีน ชีส) มันก็ยังนำ
ไปใช้ได้เกิน 90% อยู่ดีครับ

ส่วนเกี่ยวกับมะเร็งในไขกระดูกไหม บอกได้เลยว่า ณ เวลานี้ไม่มีหลักฐาน ยืนยัน
ความสัมพันธ์ดังกล่าวครับ

- เรื่องยอดฮิต SLS สารก่อมะเร็งในแชมพู
-------------------------------------------------------------------------------------
เดี๋ยวนี้ สบู่เหลวได้รับความนิยมยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลของความสะดวกสบายเป็นสำคัญ แต่คุณรู้ไหมว่า สบู่เหลวที่เราใช้กันอยู่นั้นไม่ใช่สบู่แต่เป็นสารเคมีล้วนๆ! สบู่เหลวที่ดีจริงๆจะต้องมีส่วนผสมของเนื้อสบู่อย่างน้อย 25 % แล้วที่เหลือเป็นน้ำ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่มีสบู่เหลวแบบนี้วางขายอยู่เลย เพราะผลิตภัณฑ์เกือบทุกชนิดที่วางขายอยู่นั้น เป็นแค่ใช้สารซักฟอกหรือดีเทอเจน ผสมกับสารเคมีสังเคราะห์อื่นๆ แล้วทำให้อยู่ในรูปของเหลว ซึ่งสารซักฟอกหรือดีเทอเจนก็คือสารเคมีหลัก ที่ใช้ในการผลิตแชมพู น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดพื้น หรือแม้แต่น้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำนั่นเอง จะผิดกันก็แต่ว่าความเข้มข้นของสารซักฟอก ที่ใช้ทำสบู่เหลวมีความเจือจางกว่าเท่านั้น ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สบู่เหลว คงไม่เกิดขึ้นในฉับพลันทันที แต่จะสะสมเป็นปัญหาในระยะยาวได้ เพราะสารเคมีเหล่านี้จะแทรกซึมลงไปในผิวหนัง อวัยวะภายใน และกระแสเลือดได้ทุกครั้งที่เราอาบน้ำ SLS หรือ โซเดียมลอริลซัลเฟต เป็นตัวอย่างหนึ่งของสารเคมีหลักที่มักใช้ในสบู่(คุณลองไปพลิกพวกผลิตภัณฑ์ ซักล้างทุกอย่างดู จะเห็นส่วนผสมนี้จริงๆ บางทีใช้ชื่อว่าลอริล) และเป็นสารเคมีอันตราย หลายประเทศในยุโรปและอเมริกามีกฏหมายห้ามใช้แล้ว และบางประเทศก็จำกัดให้มีการใช้น้อยลง แต่ในบ้านเรากลับใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งๆที่ SLS เป็นสารเคมีที่ดูดซึมผ่านผิวหนังได้ง่ายและรวดเร็ว สามารถสะสมอยู่ในดวงตา สมอง หัวใจ ตับ และก่อปัญหาในระยะยาว หากยิ่งมีการใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลอามีน ก็จะกลายเป็นสารก่อมะเร็งในที่สุด เพราะฉะนั้น เราอาจต้องถามตัวเองดูใหม่ ว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องใช้สบู่เหลว (ซึ่งจริงๆแล้วคือสารเคมีล้วนๆ) แต่ถ้ายังคงต้องการที่จะใช้ การใช้สบู่เหลวสำหรับเด็กก็จะดีกว่า (ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย เพียงแต่มีสารเคมีเจือจางกว่าเท่านั้น) แต่ถ้าจะให้ดี การกลับไปใช้สบู่ก้อนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด.

ถ้าท่านเป็นคนที่ ไม่สนใจเรื่องสุขภาพเลยก็คงไม่ต้องอ่านบทความนี้ แต่ถ้าท่านเป็นคนหนึ่งที่ห่วงใยในสุขภาพ ท่านควรได้รับข้อมูลที่ผมจะได้บอกต่อไปนี้

อันตรายจากสารต่อไปนี้

Sodium Lauryl Sulfate(SLS) / Sodium Lauryl Ether Sulfate(SLES) เป็นสารชำระล้างราคาถูก ใช้เพื่อให้เกิดฟอง ซึ่งไม่ได้ใช้ใน แชมพู คอนดิชั่นเนอร์ และผลิตภัณฑ์ที่ให้ฟองในการอาบน้ำเท่านั้น (กรุณาดูฉลากของท่าน ตอนนี้ !) Sodium Lauryl Sulfate ยังใช้ในการล้างพื้นอู่ซ่อมรถยนต์ และทำความสะอาดเครื่องยนต์อีกด้วย สารนี้ใช้สำหรับทดสอบการระคายเคืองของผิว เพราะว่ามันทำลายการป้องกันผิว ตามธรรมชาติให้หมดไป และเป็นสาเหตุของการเกิดผื่น และการติดเชื้อ

ซึ่งมันสามารถสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อ ได้เป็นเวลานานและดูดซึมผ่านผิวหนังได้ง่าย และเข้าสู่สมองและอวัยวะภายใน Sodium Lauryl Sulfate สามารถรวมตัวกับ สารไนเตรต ทำให้เกิดเป็นไนโตรซามีน(nitrosamine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

Aluminum compounds (Aluminum Zirconium Tetrachlorohydrex และAluminum Chlorohydrate)
เป็น สารที่ใช้กันโดยทั่วไปใน ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย เพื่อควบคุมการขับเหงื่อ เมื่อไม่กี้ปีมานี้ ได้มีการคาดการณ์ว่า aluminum เกี่ยวข้องกับ โรค อัลไซเมอร์ เพราะว่าบางส่วนของคนไข้โรคนี้มีระดับ aluminum สูงกว่าปกติ ในสมองและอวัยวะภายใน เชื่อว่า aluminum จะขัดขวางการทำงานของ acetylcholine และคาดว่าในสมองที่มีacetylcholine ต่ำมีผลต่อการเปลี่ยนสภาพจิตใจและรวมถึงความสับสน และปริมาณความเป็นพิษสามารถซึมผ่านผิวหนังได้ นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการพิจารณาการเกี่ยวข้อง ระหว่างผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย และมะเร็งเต้านม โดยเชื่อว่า สารเคมีในผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย(รวมถึง aluminum และ paraben)สามารถเร่งการเจริญของโรคได้

Propylene Glycol (สารป้องกันการแข็งตัวในอุตสารกรรม) เป็นสารที่ทำให้สารรวมตัวกันเป็นเนื้อเดียว และสารกันเสีย ที่ใช้ในครีมทาผิว โลชั่นและ ตัวปรับสภาพผมเกือบทั้งหมด Propylene Glycol เป็นตัวทำละลายชนิดหนึ่ง ซึ่งมันสามารถซึมผ่านผิวหนังและเข้าสู่กระแสเลือดได้ และเป็นสาเหตุที่ทำให้ไตและตับได้รับอันตราย รวมถึงยังส่งเสริมให้ผิวแห้งและมีรอยย่น
ข้อมูลของสาร 3 ตัวนี้ ได้มาจากในอินเตอร์เน็ต ท่านสามารถหาข้อมูลได้เองโดยการ search คำ โดยใช้ website ก็ได้ ในสิ่งที่ผมอยากจะกล่าวก็คือ ท่านเคยได้สังเกตส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ สบู่ ยาสีฟัน แชมพู โลชั่น ที่ท่านอยู่ในปัจจุบันบางหรือไม่? ถ้าไม่เคยท่านก็ยังไม่เป็นผู้บริโภคที่ดี ท่านยังคงให้การโฆษณา เป็นตัวตัดสินใจในการเลือกใช้สินค้า เพียงแต่ท่านเปลี่ยนค่านิยมการใช้สินค้า ท่านก็จะได้คำตอบว่า "นี่หรือคือผลิตภัณฑ์ที่เราควรใช้?"
ผมได้ลองสำรวจส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เหล่านี้พบว่า ในยาสีฟันตามทั่วไปที่ใช้กันอยู่ จะมีการบอกในส่วนประกอบสำคัญ และ สารควบคุมเกือบทุกยี่ห้อ ทำไมผู้ผลิตจึงไม่บอกส่วนประกอบทั้งหมด ผมก็ไม่สามารถบอกได้ แต่ท่านลองคิดดูเองก็แล้วกันว่าเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคหรือเปล่า? แต่ก็ยังดีใจเล็ก ๆ ที่บางยี่ห้อที่ค่อนข้างนิยม และที่เป็นชื่อไทย(ลองสำรวจดูได้) ได้มีการแสดงส่วนประกอบครบ แต่ก็เสียใจว่าทำไม ผู้ผลิตจึงใช้สาร SLS ในข้างต้นมาเป็นส่วนประกอบ
ใน สบู่เหลวยี่ห้อดังหลายยี่ห้อ รวมถึงสบู่เหลวสำหรับเด็ก พบว่า มีส่วนผสมของ SLS อยู่และบางยี่ห้อก็มีส่วนผสมของ Propylene Glycol(กล่าวข้างต้น)


ในโฟมล้างหน้าหลายยี่ห้อที่ดังๆ ก็พบว่าส่วนประกอบของ SLS หรือไม่ก็ Propylene Glycol ในโลชั่นทาผิวก็พบว่ามีส่วนประกอบของ Propylene Glycol เป็นส่วนใหญ่ และในยาสระผมยี่ห้อดังมาก ก็พบว่ามีสาร SLS เป็นส่วนประกอบ ที่ผมตกใจมากที่สุดก็คือ ผลิตภัณฑ์ในการทำความสะอาดอุปกรณ์เด็กอ่อนยี่ห้อดังก็พบว่า มีสาร SLS เป็นส่วนประกอบ "ทำไมผู้ผลิตไม่ได้คิดถึงผลของผู้บริโภคที่ได้รับบ้างหรืออย่างไร"

ท่านอย่าเพิ่งไว้ใจ กับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มีสารที่เป็นอันตรายเหล่านี้ระบุอยู่บนฉลาก นั้นเป็นเพราะว่า ผู้ผลิตระบุเฉพาะสารสำคัญ ที่ใช้ในการโฆษณานั่นเอง เช่น ในยาสระผมยี่ห้อดังที่มีการนำวัตถุตามธรรมชาติมาสกัด ผู้ผลิตก็ระบุแค่เพียง ว่ามีสารที่สกัดจากสิ่งนั้นมาเท่านั้น ไม่ได้ระบุส่วนประกอบทั้งหมด ซึ่งสามารถพบได้ในผลิตภัณฑ์ยี่ห้อต่าง ๆ มากมาย เพราะเขารู้ว่าผู้บริโภคเมืองไทย ไม่ใส่ใจกับส่วนประกอบหรอก แต่สนใจแค่การโฆษณา และมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะแนะนำ ถึงผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ระบุสารที่เป็นอันตราย

ท่านลองมองที่ราคาผลิตภัณฑ์ ที่ปริมาตรเดียวกัน ถ้าสินค้าที่ 1 มีการระบุสารที่เป็นอันตราย และมีราคาสูงกว่าหรือเท่า ๆ กันกับสินค้าที่ 2 ที่ไม่ได้ระบุสารที่เป็นอันตราย ท่านคิดว่าสินค้าที่ 2 จะมีหรือไม่มีสารที่เป็นอันตราย ?
ผมขอฝากไว้ให้ทุกท่านได้ลองพิจารณาถึงการใช้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของท่านด้วย ก็แล้วกัน แล้วอย่าลืมดูส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ ที่ท่านใช้อยู่ในปัจจุบันด้วย เพราะว่าสารเหล่านี้ไม่ได้แสดงผลในวันนี้ หรือพรุ่งนี้แต่มันจะแสดงผลในอนาคตข้างหน้า


สารที่ถูกโจมตีทาง Forward mail นั้นได้แก่

1. SLS (Sodium Lauryl Sulfate)
2. SLES (Sodium Lauryl Ether Sulfate)
3. PG (Propylene Glycol) และ PEG (Polyethylene Glycol)
4. Aluminum compounds (Aluminum Zirconium Tetrachlorohydrex และ Aluminum Chlorohydrate)
5. Triclosan
6. Paraben

สรุป

US FDA ไม่เคยมีมติให้ถอนทะเบียน SLS
ไม่เคยมีงานวิจัยที่ระบุว่ามันก่อมะเร็งมากกว่าสบู่ก้อนอย่างมีนัยสำคัญ
มีรายงานในระดับเคสรีพอร์ต ซึ่งไม่มีการควบคุมตัวแปร แค่ไม่กี่เคส

อธิบายนิด เคสรีพอร์ต คือ บันทึกเหตุการณ์ เช่นในกรณีนี้ คือ คนที่ใช้ SLS เป็นมะเร็งผิวหนัง

แต่ ไม่มีการเทียบว่า คนที่ใช้ SLS มีโอกาสเกิดมะเร็งมากกว่าคนปกติหรือไม่ และมะเร็งนั้นเกิดจากอะไรกันแน่ เพราะ ไปอาบแดดที่โคโคโม แช่คลอโรฟอร์ม ทำงานกับสารเคมีทุกวัน กรรมพันธุ์ หรือคำสาปเผ่าเมายา ก็ไม่รู้

เหมือนมีรายงานว่ารถวอลโว่ชนแมวตาย จะไปสรุปว่ารถวอลโว่เป็นรถกินแมว ผู้รักน้องเหมียวโปรดระวัง ประมาณนั้นแหละครับ

- ห้ามทานยาเม็ดกับน้ำผลไม้หรือนม และน้ำอัดลม

เคย ได้ยินมาว่าห้ามทานยาเม็ดกับน้ำผลไม้หรือนมและน้ำอัดลม อยากทราบว่ามีผลเสียอย่างไรคะ เพราะทุกวันนี้ต้องทานยา+วิตามินปริมาณค่อนข้างมากในแต่ละมื้อ แล้ววิตามิน+ยาบางตัวถึงจะมาในรูปแบบเม็ดก็มีกลิ่นและรสสัมผัสที่ขมมากๆน่ะ ค่ะ เลยกินกับน้ำผลไม้ เพื่อจะได้กินง่ายขึ้นค่ะ แต่อยากทราบว่ามีผลเสียอย่างไรคะ

ตอบ

แล้วแต่ชนิดของยาที่ทานครับ การจะกินยานี่มันซับซ้อนกว่าที่เห็นในหนังเยอะ

เช่น นม มีแคลเซียม ห้ามทานร่วมกับยาที่เกิดตะกอนสารประกอบเชิงซ้อนกับโลหะง่ายๆ เช่น Doxycyclin ที่เอามากินแก้สิวกัน หรือ Norfoxacin ที่แก้ท้องเสียจากแบคที่เรีย

ในทางกลับกัน นมก็มีโปรตีนเยอะ เลยเกิด สารประกอบกับพวกแร่ธาตุโลหะได้ง่าย เช่นเหล็กเม็ดดำๆ ที่ได้มาหลังบริจาคเลือด

แต่แค่กินห่างกันซักสองสามชั่วโมงก็หมดเรื่อง

น้ำ ผลไม้ที่น่าห่วงก็มีน้าเกรปฟรุต (หน้าตาคล้ายๆส้มครับ แต่เนื้อผลจะเป็นสีแดง) ซึ่งมีผลยับยั้งเอนไซม์ในกระบวนการทำลายยา ทำให้ระดับยาในเลือด "บางตัว" สูงขึ้น ในกลุ่มยาที่ทำลายโดยเอนไซม์ P 450 3A4 (ซึ่งก็มีหลายตัวนั่นแหละ)

แต่น้ำมะพร้าว น้าจับเลี้ยงนี่ซดๆ ไปเหอะ

น้ำอัดลม อาจมีผลบ้าง จากการเพิ่มความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้ยาที่ดูดซึมในภาวะกรดได้ดีถูกดูดซึมมากขึ้น (เช่นยาต้านเชื้อรา พวกคีโตฯ) ่ผลไม่ค่อยมีนัยสำคัญในคนปกติ

แต่จะมีผลมากขึ้นในคนที่มีความเป็นกรดในกระเพาะอาหารต่ำ เช่น ผู้ป่วย HIV ซึ่งมีงานวิจัยสนับสนุนอยู่บ้าง

ส่วน ยาที่ไม่ทนกรดมักจะมีการเลี่ยงมากินก่อนอาหาร (เพราะอาหารจะเป็นตัวกระตุ้นการหลั่งกรด แม้แต่โฆษณา MK ก็กระตุ้นได้) เราก็อุตส่าห์เอากรดไปบรรณาการมันอีก (น้ำส้มเป็นกรดกว่าที่คุณคิด) ยาที่เกิดเหตุแบบนี้ได้ก็พวกกลุ่มเพนิซิลลิน(ไม่เกี่ยวกับผม เพราะแพ้เพนฯ ยกกลุ่มมาตั้งแต่เด็กยันโต ตอนนี้ก็ยังแพ้ แต่เจอมันประจำ)

หรือถ้ามันสะดิ้งกรดมากๆ ก็จับทำยาฉีดซะเลย ง่ายดี เช่น แอมพิซิลลิน(ไม่รู้แบบยาเม็ดจะยังหลงอยู่บ้างรึเปล่า)

อีกอย่างก็พวกเคี้ยวยา บอกแล้วว่าอย่าบดอย่าเคี้ยว ไม่ทำตามแล้วไง ถูกหามมาหน้าเขียวมือสั่นพั่บๆ

แต่ไอ้ที่บอกให้เคี้ยว ดันกลืนเข้าไปได้ เม็ดตั้งเบ้อเริ่ม

ที่มา : http://caitsithvamp.multiply.com/journal/item/31

Thursday, April 22, 2010

GT200

เครื่องมือวิเศษ GT 200

เราทุกคนมี 'ระเบิดเวลา' ฝังอยู่ในตัว ระเบิดเวลาเหล่านี้ซ่อนอยู่ในรูปต่างๆ บางคนมีมากกว่าหนึ่งลูก แต่คนส่วนใหญ่มักไม่รู้ว่ามีระเบิดติดตัว

'ระเบิดเวลา' ปรากฏตัวในสามทางคือ กายภาพ ความคิด และจิตใจ

'ระเบิดเวลา' ทางกายภาพ : กินไขมันมากไปคือระเบิดเวลาซึ่งอยู่ในรูปโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง วันดีคืนดีก็ระเบิดออกมา ถ้าไม่ตายก็อาจเป็นอัมพฤกษ์ เดือดร้อนไปทั้งครอบครัว กินหวานมากไปคือระเบิดเวลาที่อยู่ในรูปของโรคเบาหวาน ไม่ออกกำลังกายเลยคือระเบิดเวลาที่ก่อให้เกิดความเสื่อมของสังขาร นอนไม่พอคือระเบิดเวลาที่ทำให้เสียการ เสียงาน เสียอารมณ์ ฯลฯ

'ระเบิดเวลา' ทางความคิด : การใช้ความรู้ในทางทุจริตคือระเบิดเวลาต่อทั้งคนทุจริตและสังคม การไม่ขวนขวายเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การไม่อัพเกรดตัวเอง คือระเบิดเวลาที่วันดีคืนดีก็สำแดงออกในรูปของ การตกงาน นอกจากนี้ยังมีระเบิดแห่งความโง่เขลา ความเชื่อว่าสามารถแก้ปัญหาทางกายด้วยยาวิเศษ ผิวขาวผุดผ่องในสองสามวัน สามารถร่ำรวยชั่วข้ามคืน ไปจนถึงการหลอกตัวเองในรูปต่างๆ

'ระเบิดเวลา' ทางจิตใจและอารมณ์ เช่น การคิดฟุ้งซ่าน ความโกรธง่าย ความโลภ ความอยากได้ไม่สิ้นสุด เหล่านี้คือระเบิดเวลาที่ทำลายคนมามากต่อมากแล้ว



โชคดีที่เราทุกคนมีเครื่องมือพิเศษตัวหนึ่ง GT 200 เป็นโปรแกรมที่ฝังในตัวเรามาตั้งแต่เกิด ใช้ตรวจหาระเบิด ใช้ไม่ยาก ใช้ได้ทุกเมื่อ น่าเสียดายที่ไม่ทุกคนรู้จักใช้มันให้เป็นประโยชน์

GT 200 คือ Gaze & Think 200

Gaze คือการมองอย่างถี่ถ้วน ดูว่าเรายืนอยู่ตรงไหนบนเส้นกราฟชีวิต กำลังทำอะไรอยู่ ความก้าวหน้าเป็นอย่างไร เดินไปถึงความฝันที่ปรารถนาแล้วหรือไม่

Think คือการคิดวิเคราะห์ มองปัญหาด้วยการขยายมุมมองและภาพกว้าง 200% วิเคราะห์เจาะลึกสถานการณ์ สภาพการณ์ของตนทุกทิศทุกทาง อะไรคือปัญหาเทียม อะไรคือปัญหาจริง ถ้าไปไม่ถึงฝั่งฝัน เป็นเพราะเหตุผลใด

ทั้ง G และ T ต้องไปคู่กัน รู้จักมองแต่ไม่คิดหรือคิดไม่เป็น ก็ไร้ประโยชน์ รู้จักคิดแต่ไม่มองสำรวจตัวเองเลย ก็ป่วยการ

เมื่อรวมการมองและคิดวิเคราะห์เข้าด้วยกัน ก็จะเห็นภาพชีวิตของตนเองชัดเจนประหนึ่งใช้แว่นขยาย 200% เมื่อมองออกว่าตนเองกำลังทำอะไร ขาดเหลืออะไร ก็แก้ไขไปตามที่เป็นจริง ยกตัวอย่างเช่น รู้ว่ากำลังอยากได้สิ่งที่ไม่จำเป็น ก็ลดละเลิกเสีย วิเคราะห์ออกว่าหากยังกินอาหารขยะไปเรื่อยๆ วันหนึ่งก็ต้องเป็นโรคร้าย ครอบครัวก็เดือดร้อนโดยไม่จำเป็น ก็เลิกเสีย รู้ว่าโกรธง่ายแล้วเสียเพื่อนเสียคนรัก ก็หาทางควบคุมมัน มองเห็นว่าชีวิตกำลังเดินลงที่ต่ำเพราะติดพนัน ก็ยุติเสีย อ่านออกว่าหากไม่ปรับปรุงตัวเอง อีกไม่กี่ปีก็จะได้รับข้อเสนอให้ปลดประจำการ ก็อัพเกรดตัวเอง เสริมความรู้ให้ฉลาดขึ้น

เหล่านี้คือคุณค่าของเครื่อง GT 200 แห่งชีวิต มันตรวจพบ 'ระเบิดเวลา' ทุกรูปทุกแบบ ไม่ว่าซ่อนอยู่ในมุมไหน ที่สำคัญคือฟรี ไม่ต้องเสียเงินซื้อ เพียงแต่รู้จักมอง คิด และลงมือทำ เท่านั้นชีวิตก็รุ่ง และ อ้อ! รับประกันคุณภาพตลอดชีวิต!


วินทร์ เลียววาริณ
6 กุมภาพันธ์ 2553



คมคำคนคม

Some people are afraid of what they might find if they try to analyze themselves too much, but you have to crawl into your wounds to discover where your fears are. Once the bleeding starts, the cleansing can begin.

บางคนกลัวสิ่งที่พวกเขาอาจเจอหากพยายามวิเคราะห์ตนเองมากเกินไป แต่คุณต้องคลานเข้าไปในบาดแผลของคุณเพื่อที่จะค้นหาว่า ความกลัวของคุณอยู่ตรงไหน เมื่อเลือดเริ่มไหล การชำระแผลก็สามารถเริ่มต้นได้

Tori Amos


คัดลอกจาก http://www.winbookclub.com/basket_detail.php?id=307

Monday, April 12, 2010

Belongings

ยศและลาภ หาบไป ไม่ได้แน่
เว้นเสียแต่ ต้นทุน บุญกุศล
ทรัพย์สมบัติ ทิ้งไว้ ให้ปวงชน
ร่างของตน เขายังเอา ไปเผาไฟ

คัดลอกจาก เรื่อง พระในบ้าน
พ.อ.(พิเศษ) ทองคำ ศรีโยธิน

Sunday, April 11, 2010

The Human Values

ค่าของคนไม่ได้อยู่ที่รายได้ การศึกษา
หรือฐานะทางสังคมสักเท่าไหร่

ค่าของคนที่แท้จริงอยู่ที่ "คุณธรรม"
หากวันนี้ ตัดเรื่องรายได้
การศึกษา หรือสถานะทางสังคมออกไป
จนเหลือแค่ ตัวตนจริงๆ
ไม่มีเปลือก ไม่มีหัวโขน ที่คนอื่นยกย่อง

เราจะเหลืออะไรให้เชิดหน้าชูตาบ้าง !!!
ซึ่งหากไม่มีคุณธรรม ก็จะไม่เหลืออะไรเลย

Saturday, April 10, 2010

to spend money

ผู้กินอยู่เกินพอดี
จงเตรียมตัวไว้ให้เต็มที่
เพื่อพบกับความไม่มีอะไรจะกิน

ผู้กินอยู่แต่พอดี
มีโอกาสที่ จะเกิดความอารี
แก่ผู้ที่ไม่มีอะไรจะกิน

ที่มา ท่านพุทธทาสภิกขุ

Monday, March 29, 2010

the most attractive accessory in the world

ในโลกนี้ ไม่มีเครื่องประดับอันใดที่จะงดงามไปกว่า ความประพฤติอันบริสุทธิ์หมดจด

ที่มา หนังสือการอบรมศีลเจริญภาวนาเบื้องต้นและวิปัสสนาณาน
พระกัมมัฏฐานาจริยะ อู บัณฑิตาภิวังสะ

Thursday, March 25, 2010

Chang Meng

เนื้อมังกรตอนเชงเม้ง
ไม่เท่าให้ข้าวสุกอุ่นหนึ่งถ้วย ขณะพ่อแม่มีลมหายใจ

Thursday, March 11, 2010

1000

ธนบัตร 1000 บาท


อาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเริ่มการสนทนาในห้องเรียนด้วยการควักธนบัตรใบละ 1000 บาทออกมาให้นักศึกษาดู
แล้วถามว่ามีใครอยากได้บ้าง

นักศึกษาทุกคนยกมือขึ้น

อาจารย์ขยำธนบัตรใบนั้นจนยับยู่ยี่ แล้วถามอีกครั้งว่ามีใครยังอยากได้ธนบัตรใบนี้อีกหรือไม่

ทุกคนยังยกมือเหมือนเดิม

อาจารย์ถามต่ออีกว่า ถ้าธนบัตรใบนี้ถูกทิ้งที่พื้น แล้วมีคนเหยียบย่ำจนสกปรก ยังมีใครอยากได้อีกหรือไม่

นักศึกษาทุกคนตอบว่ายังอยากได้... อาจารย์จึงกล่าวสรุปว่า

"นั่นคือสิ่งมีค่าที่พวกเธอได้เรียนรู้ในวันนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรกับธนบัตรใบนี้ มันก็ยังมีราคา 1000 บาทเท่าเดิม

ชีวิต คนเราก็เช่นกัน บางครั้งเราอาจจะถูกทอดทิ้ง
ถูกใครต่อใครซ้ำเติม เหยียบย่ำ ถูกขยำขยี้
เพราะความผิดพลาดในการก้าวเดินของชีวิต จนทำให้รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เธอก็ยังมีคุณค่าของความเป็นคน ไม่ว่าเธอจะสะอาดเอี่ยม
หรือยังยู่ยี่เปรอะเปื้อนด้วยโคลนตม เธอก็ยังเป็นคนเดิมที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง

............................. โดยเฉพาะ... สำหรับคนที่รักเธอ

TV

คำตอบที่ ฉันได้จากคุณหมออีก 3 แห่ง คือ
ลูกชายฉันเป็นแค่เด็กพูดช้า หรืออาจเป็น ออทิสติกเทียม
ที่เกิดจากการเลี้ยงดูที่ผิดของตัวฉัน ***
เพราะฉันเริ่มให้ลูกดูทีวีตั้งแต่อายุประมาณ 8 เดือน
วันละประมาณ 2-3 ชั่วโมง

เนื่องจากฉันเห็นลูกยิ้มและหัวเราะ ดูเขามีความสุข เมื่ออยู่กับทีวี
ไม่ทันได้คิดว่าความเข้าใจผิดของฉันมันจะส่งผลกระทบอะไร
มารู้ภายหลังว่าเป็นความคิดที่ผิดอย่างมาก !!!

คุณหมอแนะนำว่า ยังไม่ควรให้เด็กเล็กดูทีวี
เพราะทีวี คือการสื่อสารทางเดียว (one way communication)
เด็กที่ดูทีวีมากๆ จะทำให้เขามีพัฒนาการด้านภาษาช้า
และการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นไม่ดีนัก

เนื่องจากเด็กไม่ต้องตอบโต้กับใคร
ทีวีมีแต่ภาพและเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ทำให้เด็กขาดพัฒนาการ

รวมถึงการที่ฉันให้ลูกเล่นของเล่นพร้อมกันหลายๆ ชิ้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
เพราะจะทำให้เด็กสับสน
วิธีที่ถูกคือ ควรให้ลูกเล่นของเล่นทีละอย่าง ซึ่งจะทำให้เด็กมีสมาธิเพิ่มขึ้น



บทเรียนราคา แพงนี้ ฉันอยากให้คุณพ่อ คุณแม่ ที่เคยมีพฤติกรรมคล้ายๆ กับที่ฉันเคยทำ
หรือใครที่กำลังจะให้ทีวีเป็นเพื่อนคู่กายลูก
อย่าเลยนะคะ
เพราะมันอาจทำให้เด็กปกติคนนึง
เกิดความผิดปกติด้านใดด้านหนึ่งได้
ซึ่งคุณพ่อ คุณแม่ คนที่รักเขามากที่สุด
จะกลายเป็นผู้ที่หยิบยื่นความผิดปกตินี้ให้กับลูกของคุณเอง


ที่มา: บทเรียนราคาแพง... ลูกเป็นออทิสติกเพราะ ”ทีวี”
http://www.momypedia.com/knowledge/toddlers/detail.aspx?no=24785


แม้แต่รายการเด็กประเภทเบบี้จีเนียส ยังควรเป็นเริ่มกับเด็กที่มาอายุตั้งแต่ 2 ขวบขึ้นไป

......

นอกจากทีวีจะไปสร้างความผิดเพี้ยนให้กับวงจรสมอง
เนื้อหาของรายการยังมีส่วนที่กระตุ้น และหล่อหลอมพฤติกรรมที่ผิดเพี้ยนให้กับเด็ก !!


การเรียนรู้ของคนที่ถูกกำหนดขึ้นที่สมองและมีวงจรต่างๆ ร่วม

การที่วงจรต่างๆ ที่อยู่ในสมองสามารถควบคุมทักษะบางอย่างได้โดยอัตโนมัติ
เนื่องจากได้มีการเรียนรู้และบันทึกไว้แล้ว
(อาทิเช่น คนสามารถเดินได้พร้อมๆ กับการคุยโทรศัพท์
หรือยังสามารถขับรถได้แม้จะไม่ทำมาเป็นปี)

ตรงกันข้ามกับ “การมีสมาธิ”
ซึ่งเด็กต้องพัฒนาขึ้นมาเองอย่างต่อเนื่อง ***
เช่น ระหว่างการอ่านหนังสือ
หรือทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างจดจ่อและเข้าใจ
ซึ่งเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นจะขาดสมาธิที่สร้างขึ้นเองจากภายใน ***


ที่มา: ทีวี.. เพชฌฆาตสมองเด็ก
http://clickkids.multiply.com/journal/item/82

Monday, March 8, 2010

remove

"ก๊อกๆๆๆๆ"

เสียงเคาะประตูที่ดังผ่านแผ่นไม้มา พร้อมๆ กับเสียงที่ดูเหมือนกับเป็นคำสั่งว่า

"ตื่นนอนได้แล้วจะได้ช่วยกันทำงาน"

เด็กน้อยคนหนึ่งตื่นขึ้นมา ท่าทางงัวเงียสลึมสลือ มือจับผ้าห่มที่อยู่ปลายเตียงมาพับและตอบรับเสียงปลุกนั้น

"อืม.....ตื่นแล้ว ได้ยินแล้ว" "นี่วันหยุดนะเนี่ย" เด็กน้อยบ่นกับตัวเอง

"เดี๋ยวกินข้าวเสร็จ ไปถอนหญ้าที่ไร่นะ" พ่อสั่งขณะที่ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาให้ลูกชาย

เด็กน้อยพยักหน้าตอบ และลงมือทานอาหารมื้อแรกของวัน


หลังจากทานอาหารเสร็จ เด็กน้อยเดินไปหยิบหมวกและเสื้อแขนยาวมาสวมเพื่อกันแดด แล้ววิ่งออกไปหน้าบ้าน
กระโดดขึ้นซ้อนท้ายจักรยานโบราณสภาพเก่าโทรม บ่งบอกถึงอายุการใช้งานซึ่งมีพ่อเป็นผู้ขี่

ในระหว่างทาง เด็กน้อยคุยกับพ่อตลอด เขาป้อนคำถามที่อยากรู้

ซึ่งบางครั้งดูเหมือนกับว่าผู้เป็นพ่อจะพยายามสอดแทรกให้แง่คิดตลอด

โดยที่เด็กน้อยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่นานนักก็ถึงไร่ที่เขามีภารกิจที่จะต้องทำ

"ถอนหญ้า" ภาระกิจที่ได้รับมอบหมาย ..หญ้าเปรียบเสมือน "ศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่"

"เดี๋ยวเจ้าถอนแปลงนี้นะ" พ่อสั่งพร้อมกับชี้นิ้วไปที่แปลงผัก

เด็กน้อยรับคำและลงมือถอนหญ้าออกจากแปลงผัก ทีละต้น ทีละต้น จนกระทั่งศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่หายไปจากแปลงผักจนหมดสิ้น

"ไปพักกินน้ำที่ใต้ต้นมะม่วงก่อน....ไป" เด็กน้อยรับคำพ่อแล้วเดินไปพัก

"กลับมาเร็วๆ นะ ยังมีอีกแปลงหนึ่ง" เสียงพ่อสั่งตามหลังเด็กน้อย


หลังจากได้พักกินน้ำ พ่อได้ส่งจอบให้เด็กน้อย พร้อมกับพูดว่า "เอ้า...เอาไปถากหญ้า"

เด็กน้อยรับจอบและตรงไปยังแปลงผักเพื่อทำภารกิจต่อ

ดูเหมือนว่าเด็กน้อยจะพึงพอใจกับการใช้จอบถากหญ้ามากกว่าการใช้มือถอน

เหตุผลก็คือ มันทำให้เขาสามารถทำงานได้รวดเร็ว ซึ่งไม่นานนักเขาก็จัดการกับศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่อย่างราบคาบ


หลังจากที่ภารกิจเสร็จสิ้นลง พ่อลูกก็พากันกลับบ้าน

ระหว่างทางเด็กน้อยถาม "ทำไมไม่ให้ผมใช้จอบตั้งแต่แรกล่ะ ทั้งๆ ที่ทำงานได้เร็วกว่า"

พ่อไม่ตอบ ได้แต่อมยิ้ม เก็บซ่อนคำตอบไว้เพียงผู้เดียว


ผ่านไป 1 สัปดาห์

พ่อได้พาเด็กน้อยกลับไปที่ไร่อีก สิ่งที่เด็กน้อยเห็นก็คือ

แปลงที่ใช้มือถอน บัดนี้ไม่มีหญ้าให้เขาถอนเลย แม้แต่ต้นเดียว

แต่... แปลงที่ใช้จอบถาก กลับมีต้นหญ้าปกคลุมเหมือนเดิม


"ทำไมมันเป็นอย่างนั้นล่ะ" เด็กน้อยถามด้วยความสงสัย ทั้งๆ ที่เขาได้จัดการมันหมดไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

พ่อตอบ "แปลงที่เจ้าใช้มือถอนน่ะ เจ้าได้ถอนมันถึงรากถึงโคน ส่วนแปลงที่เจ้าใช้จอบถากน่ะ
เจ้าเพียงแต่ตัดเอาส่วนปลายของมันออกเท่านั้น มันยังคงมีส่วนที่ฝังลึกอยู่ในดินอีก”

“มัน ก็เหมือนกับปัญหาต่างๆ ที่เราพบเจอนั่นแหละ ถ้าเราแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยปล่อยสาเหตุของปัญหาไว้ ไม่นานนักปัญหานั้นก็จะกลับมาสร้างความเดือดร้อนให้เจ้าอีก แต่ถ้าเราแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แม้มันจะยากสักนิด แต่มันก็ทำให้ปัญหานั้นหมดไปได้"

เด็กน้อยยิ้มรับด้วยความเข้าใจ

ที่มา: Internet

Sunday, March 7, 2010

You have two choices

เจอร์รี่ เป็นผู้จัดการร้านอาหารผู้มีอารมณ์เบิกบานเสมอ
และเป็น ผู้สร้างขวัญและกำลังใจที่เป็นธรรมชาติมาก

ชายคนหนึ่งถามเขา "ผมไม่เข้าใจเลย ไม่มีใครที่มองทุกสื่อเป็นบวก
มองโลกด้านดีตลอดเวลาเช่นคุณ คุณทำได้อย่างไร"

เจอร์รี่ตอบ
"ทุกเช้าที่ตื่นนอน ผมจะพูดกับตัวเองว่า เรามี 2 ทางเลือก
คือ เลือกมีอารมณ์ดี หรือไม่ดี ผมเลือกมีอารมณ์ดีเสมอ

แต่ละครั้งที่มีเรื่องเลวร้าย เราเลือกได้ว่า จะตกเป็นเหยื่อ หรือเรียนรู้จากมัน
ผมเลือกเรียนรู้เสมอ

ทุกครั้งที่มีใครมาต่อว่า เราสามารถเลือกรับ หรือชี้นำสู่ด้านบวกมาใช้
ผมจะเลือกด้านบวกของมันเสมอ"

"แต่มันไม่ง่ายเสมอไป" ชายคนนั้นแย้ง

"ถูกต้อง" เจอร์รี่ตอบ

ชีวิตเต็มไปด้วยทางเลือก ยามที่ตัดส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องออก
ก็จะมองเห็นทางเลือกนั้นได้
เราจะเลือกวิธีปฎิบัติกับเรื่องนั้น
เราจะเลือกวิธีที่ผู้คนจะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเรา
เราเลือกที่จะมีอารมณ์ดี หรือไม่ดี
เราจะเลือกวิธีใช้ชีวิตของเราเอง

หลายปีต่อมา
ได้รับข่าวมาว่า เจอร์รี่ได้ทำสิ่งผิดพลาดที่ไม่นึกฝันขึ้น
เขาลืม และเปิดประตูหลังร้านทิ้งไว้
จากนั้นตอนเช้า มีโจรพกอาวุธ 3 คนเข้าร้านมาปล้น
ขณะที่เจอร์รี่พกลังพยายามไขตู้เซฟอยู่
มือที่สั่นเทาด้วยความกลัว จนกุญแจหมุนรหัสลื่นหลุดไป
โจรเองก็ตกใจ จึงลั่นกระสุนใส่เจอร์รี่
โชคยังดีที่เขาถูกนำส่งโรงพยาบาลทันเวลา
หลังจาก พักฟื้นใน ICU หลายสัปดาห์ เจอร์รี่ก็ออกจากโรงพยาบาล

มีคนถามเจอร์รี่ถึงสิ่งที่เขาคิดตอนโจรเข้าร้าน
เขาตอบว่า
"สิ่งแรกที่คิดคือ ผมน่าจะปิดประตูหลังร้าน
จากนั้น พอถูกยิงและล้มลง ผมคิดได้ว่า ผมมี 2 ทางเลือก
คือ จะอยู่ หรือจะตาย และผมเลือกที่จะอยู่"

"แล้วไม่กลัวเลยหรือ"

เจอร์รี่กล่าวต่อว่า "เวรเปลเยี่ยมมาก เขาให้กำลังใจผมตลอดทางเลยว่า
ไม่เป็นไร แต่เมื่อไปถึงห้องฉุกเฉิน และได้เห็นสีหน้าหมอและพยาบาล
ผมรู้สึกกลัวมากจริงๆ ภายในตาของพวกเขา ผมอ่านได้ว่า
เขาต้องไม่รอดแน่ ผมรู้ว่าผมต้องทำบางอย่าง"

"แล้วคุณทำอย่างไร"

เจอร์รี่บอก "มีพยาบาลคนหนึ่งตะโกนถามผมว่า ผมแพ้ยาอะไรบ้างหรือเปล่า"
ผมตอบชัดว่า "มี"

เหล่าหมอและพยาบาลหยุดทำงานเพื่อรอคำตอบจากผม
ผมสูดหายใจลึก และร้องลั่นว่า
"ผมแพ้กระสุน"

ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ผมบอกว่า ผมเลือกจะมีชีวิตอยู่
ช่วยผ่าตัดผมที เพราะผมยังอยากมีชีวิต ผมยังไม่อยากตาย

ทุกๆ วัน เรามีทางเลือกที่จะสนุกสนานหรือชิงชังกับชีวิต
แต่จะมีสิ่งหนึ่งที่เป็นของเราเสมอ
ไม่มีใครควบคุมหรือเอาของเราไปได้ นั่นก็คือ ทัศนคติของเรา
ถ้าเราควบคุมมันได้ สิ่งอื่นที่เหลือก็ไม่มีอะไรยากอีก

Friday, February 12, 2010

integrity

ถึงสูงศักดิ์ อัครฐาน สักปานใด
ถึงวิไล เลิศฟ้า สง่าศรี
ถึงฉลาด กาจกล้า ปัญญาดี
ถ้าไม่มี คุณธรรม ก็ต่ำคน

ที่มา: fwd mail

Wednesday, January 6, 2010

a frog

ครั้งหนึ่ง มีกลุ่มของลูกกบตัวเล็กๆกลุ่มหนึ่ง
ได้มาจัดการแข่งขัน เพื่อจะปีนขึ้นไปยอดเสาไฟฟ้าแรงสูง
มีกลุ่มชนชาวกบมากมาย มารอชม และเชียร์การแข่งขันครั้งนี้ …….

การแข่งขันเริ่มขึ้น
พูดอย่างตรงไปตรงมา
ไม่มีชนชาวกบตัวใด จะเชื่อว่ากบตัวเล็กๆ เหล่านี้
จะปีนขึ้นไปจนถึงยอดได้
มีเสียงพูดลอยมาให้ได้ยินเป็นต้นว่า
"เขาไม่มีทางจะขึ้นไปถึงยอดหรอก มันยากลำบากขนาดนั้น"
หรือ "เขาไม่มีโอกาสจะประสบความสำเร็จหรอก เสามันสูงขนาดนั้น" ……

เจ้ากบตัวน้อยๆ เริ่มที่จะร่วงหล่นลงไป ทีละตัวๆ

ฝูงกบก็เริ่มส่งเสียงร้องตะโกน
"มันยากเกินไป ไม่มีใครทำได้หรอก" ……

กบส่วนใหญ่เริ่มเหนื่อย และยอมแพ้
ที่จะปีนสู่ยอดเสาจนหมดสิ้น

ยกเว้นกบตัวเล็กๆตัวหนึ่ง
ด้วยความพยายามสุดกำลัง
มันก็สามารถปีนขึ้นสู่ยอดเสาได้ ……

กบทุกๆตัวอยากรู้ว่า เจ้ากบตัวเล็ก ๆ ตัวนี้ทำได้อย่างไร

เรื่องกลับกลายเป็นว่า... กบผู้ชนะตัวนั้น หูหนวก!!!!


เรื่องนี้บอกให้รู้ว่า อย่าฟังคำพูดในด้านลบ
หรือการมองในแง่ลบจากคนอื่น
เพราะเขาเหล่านั้นจะดึงความฝัน ความปรารถนาในหัวใจคุณออกไป
ให้ระวังในพลังของคำพูดเสมอ
เพราะทุกสิ่งที่คุณได้ยิน และได้อ่านมัน
จะส่งผลต่อการกระทำของคุณ

เพราะฉะนั้น ตลอดเวลาขอให้เป็นคนคิดบวก

คุณ !! สามารถทำความฝันของคุณ ให้เป็นจริงได้