Thursday, January 20, 2011

Speaker

Size ลำโพง
=========
- ลำโพง Monitor ฟังระยะใกล้ ใช้ประมาณ 25 W
- ลำโพงฟังในบ้าน ใช้ประมาณ 150 W
- วง Folk Song เล่นใน Coffee Shop เล็กๆ ที่นั่งไม่เกิน 50 ที่ ใช้ประมาณ 25 - 250 W
- วง Folk Song เล่นในห้องประชุมขนาดกลาง หรือใน Club ที่นั่งไม่เกิน 50 - 250 ที่ ใช้ประมาณ 95 - 250 W
- วง Folk Song เล่นในงานกลางแจ้งขนาดเล็ก ระยะห่างจากลำโพงไม่เกิน 15 เมตร ใช้ประมาณ 250 W
- วง Pop หรือ Jazz เล่นในห้องประชุมขนาดกลาง หรือใน Club ที่นั่งไม่เกิน 150 - 250 ที่ ใช้ประมาณ 250 - 750 W
- วง Pop หรือ Jazz เล่นใน Concert Hall ที่นั่งไม่เกิน 2,000 ที่ใช้ประมาณ 400 - 1,200 W
- วง Rock เล่นในห้องประชุมขนาดกลาง หรือใน Club ที่นั่งไม่เกิน 50 - 250 ที่ ใช้ประมาณ 1,500 W
- วง Rock เล่นในงานกลางแจ้งขนาดเล็ก ระยะห่างจากลำโพงไม่เกิน 15 เมตร ใช้ประมาณ 1,000 - 3,000 W
- วง Rock หรือ Heavy เล่นใน Stadium หรือ สนามกีฬาขนาดใหญ่ ระยะห่างจากลำโพงประมาณ 30 - 100 เมตร ใช้ Power ประมาณ 4,000 -

15,000 W ใน Tour Concert ของเมืองนอก อาจใช้ Power ถึง 80,000 - 400,000 W
http://www.musiccyber.com/index.php?topic=53.0

ถ้าเป็น COUNTRY , POP , JAZZ หรือแนวเพลงเบาๆ ให้คูณด้วย 1.6
เช่น 1,000 x 1.6 = 1,600 w.

แต่ถ้าเป็นแนว ROCK หรือ HEAVY จะคูณด้วย 2.5
เช่น 1,000 x 2.5 = 2,500 w.

วัตต์ลำโพง
======
ปกติเราจะใช้ประมาณ 50% บวกลบ 10% ของ Power Amp
เช่น เรามีลำโพงกำลัง 1,000 w. เราจะใช้ Power Amp ได้ตั้งแต่ 1,600 - 2,400 w. โดยประมาณ
ที่ต้องใช้ Power Amp สูงกว่าลำโพงเพราะว่า ถ้าเกิดไปเจอพี่โปกเค้าแหกปากมาแบบไม่ปรึกษาใคร จะทำให้ Power Clip หรือเสียงแตก(หนุ่ม)
ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายที่ลำโพงได้
http://www.musiccyber.com/index.php?topic=309.0


Active Speaker
==============
ก็คือ "ตู้ลำโพง + เครื่องขยายเสียง"

ที่คนนิยมใช้ก็เพราะเนื้อที่ของมันกระทัดรัดกว่า ลดสายที่ต่อพ่วง
การออกแบบ Amp และดอกลำโพงมันถูกจับคู่กันมาดีแล้ว
จึงไม่ต้องตามหา Amp กับ Speaker คู่ที่เหมาะสมกันครับ


Preamp
======
ไม่ได้ใช้ปรับแต่งเสียง วงจรส่วนที่ใช้ปรับแต่งเสียงจริง ๆ คือส่วน EQ หรือ Tone Control
คือ บุคคลิกของ Preamp อาจจะทำให้เสียงกีตาร์เปลี่ยนไปก็จริง (และดูเหมือนว่าคนจะต้องการก็จริง) แต่โดยปรกติแล้วนักออกแบบเขาไม่ได้ต้องการให้มันเสียงมันเปลี่ยนหรอกครับ

หน้าที่ของ Preamp หรือ Pre-Amplifier ก็คือ ขยายก่อน ... (แปลตรงอีกละ) จริง ๆ คือ เป็นการขยายสัญญาณเพื่อเพิ่มความแรงของสัญญาณให้เหมาะสมต่อ
Input ของ Power Amp ครับ (แล้ว Power Amp ก็ไปขับลำโพงอีกที)

PreAmp ที่เรียกๆกันเดี๋ยวนี้ เหมารวมไปกับ Tone Control หรือ EQ เกือบทั้งหมดละครับ

Power Amp
=========
จะขยายสัญญาณโดยที่จะไม่มีการปรับแต่ง หรืออาจมีเล็กน้อย ปุ่ม พรีเซ็ต เพื่อให้ได้กำลัง วัตต์ ที่เราต้องการที่จะออกลำโพงครับ


ส่วนประกอบของลำโพง
===========
ลำโพงที่เราเห็นอยู่ในท้องตลาดนั้น โดยส่วนใหญ่ลำโพงจะอยู่ในรูปของตู้ลำโพงที่อาจจะทำจา กไม้หรือพลาสติกที่มีความทนทาน ซึ่งลำโพงที่ใช้กับคอมพิวเตอร์โดยส่วนใหญ่จะมีตู้ลำโ พงที่ทำขึ้นจาก

พลาสติก โดยภายในจะประกอบด้วย Driver หรือตัวดอกลำโพงซึ่งจะมีขนาดที่แตกต่างกันออกไป และวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ให้กำเนิดเสียง ซึ่งได้แก่ Amplifier และ

Crossover Network ซึ่งอุปกรณ์ภายในเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดขนาดหรือรูปแ บบเสียงของลำโพงที่ออกมา
จำนวนดอกลำโพงที่ใช้ก็จะมีผลต่อความเป็นธรรมชาติของเ สียงที่ออกมา
ถ้ามีดอกลำโพงหลายตัวก็จะทำให้เสียงที่ได้ครอบคลุมย่ านความถี่ของเสียงได้มากกว่า ให้รายละเอียดของทุกชิ้นเครื่องดนตรีได้ดีกว่า
ลำโพงแบบ 2 ทาง จะประกอบด้วยลำโพง ของวูเฟอร์ และทวีตเตอร์
ในย่านความถี่เสียงกลางและเสียงต่ำจะถูกขับออกทางวูเ ฟอร์
ส่วนความถี่เสียงสูงก็จะถูกขับออกทางทวีตเตอร์

สำหรับลำโพงแบบ 3 ทาง ก็จะประกอบด้วย ซับวูเฟอร์, วูเฟอร์ และทวีตเตอร์
เสียงต่ำสุดก็จะถูกขับออกทางซับวูเฟอร์
เสียงกลางจะถูกขับออกทางวูเฟอร์
และเสียงแหลมก็จะถูกขับออกทางทวีตเตอร์

ลำโพงแบบหลายทางจำเป็นจะต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Crossover Network
เป็นตัวแบ่งสัญญาณเสียงในแต่ละย่านออกจากกันและจ่ายไปให้ลำโพงที่ถูกต้อง
ซึ่งอาจจะเป็นสองทางหรือสามทางแล้วแต่ว่าเป็นลำโพงแบบไหน
นอกจากนี้ Crossover Network ยังทำหน้าที่ในการควบคุมความสมดุลของเสียงในแต่ละย่านความถี่
พร้อมทั้งมีระบบการป้องกันการทำงานที่เกินกำลังของลำโพงและการป้องกันระดับความถี่ของเสียงที่สูงเกินกว่า ลำโพงจะรับได้

ลำโพง Tweeter
===========
ทวีตเตอร์เป็นลำโพงที่ใช้สำหรับขับเสียงความถี่สูง โดยทั่วไปจะมีความถี่เกินจาก 1.5 KHz ขึ้นไป

ลำโพง Woofer
=========
ลำโพงวูเฟอร์จะใช้สำหรับขับเสียงความถี่ต่ำ คือในระดับความถี่ไม่เกิน 1.5 KHz
เนื่องจากความถี่ต่ำมีความยาวของคลื่นค่อนข้างมาก ลำโพงวูเฟอร์จึงต้องมีขนาดใหญ่
เพื่อให้สามารถขับอากาศได้เพียงพอสำหรับสร้างเสียงความถี่ต่ำ
ยิ่งวูเฟอร์มีขนาดใหญ่เท่าใด กำลังในการขับและความดังของเสียงเบสก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น
วูเฟอร์จะใช้ในการขับเสียงกลางและเสียงต่ำ

ลำโพง Sub Woofer
==============
ซับวูเฟอร์เป็นลำโพงที่ใช้ขับเสียงความถี่ต่ำที่สุด คือในระดับความถี่ถึง 500 Hz
ยิ่งขนาดของลำโพงซับวูเฟอร์มีขนาดใหญ่มากเท่าใด พลังในการขับก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น
ในระบบลำโพงที่มีซับวูเฟอร์จะให้เสียงในระดับความถี่ ต่ำได้ดีเป็นพิเศษ

ลำโพงแบบต่างๆ
###############


Mono (1 channel )
=================
หลักการของ Mono คือส่งสัญญานเสียงออกมาที่ลำโพงตัวหลัง และตัวเดียว
โดยที่ Mono นี้ไม่มี มโนภาพของเสียง
อีกความหมายหนึ่งคือ เราไม่สามารถบอกได้ว่า เสียงนี้มาจากตำแหน่งไหน และมาจากที่ใด
(วิทยุที่มีลำโพงเดียว หรือ gramophone เช่น วิทยุสมัยก่อน)

Mono นั้นจะไม่เหมือนกับพวก stereo และ multi-speaker อื่นๆ
หากเราเอาลำโพง Mono ไปเล่นกับเครื่องเสียงที่เป็น stereo เสียงที่ออกมาก็ยังเป็น Mono อยู่ดี
แต่เสียงจะออกมาจากลำโพง 2 ลำโพง แต่เสียงที่เราได้รับทั้ง 2 ลำโพงจะเป็นเสียงๆเดียวกัน
เหมือนกันทั้ง 2 ลำโพง เหมือนว่าเสียงนั้นมาจากที่เดียวกัน

Stereo (2 channel )
===================
เสียงแบบ Stereo นี้จะมีความแตกต่างจาก Mono มากพอสมควรทีเดียว
โดยในการจัดวางลำโพงนั้นจะต้องจัดวางลำโพงทั้ง 2 ตัว
โดยที่ตัวหนึ่งอยู่ทางซ้าย และอีกตัวหนึ่งอยู่ทางขวาของผู้ฟัง
โดยเสียงแบบ Stereo นี้เราจะสามารถบอกสถานที่ของตำแหน่งของเสียงได้
ซึ่งต่างจากลำโพงแบบ Mono
เช่น เมื่อเราเปิดเพลง เพลงที่เราได้ยินกันนี้ อาจจะได้ยินเสียงของกลอง อาจจะอยู่ตรงกลาง
เสียงกีต้าร์อยู่ด้านขวาของลำโพง เสียงเปียโนอยู่ทางด้านซ้ายของลำโพง
และเสียงนักร้องจะ อยู่ตรงกลาง ทำให้เสียงที่ได้นั้นมีความไพเราะมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นลำโพงที่ดีกว่าลำโพงแบบแรก

Speaker 2.1 channel
====================
ลำโพงแบบ 2.1 แชนแนลนี้เป็นลำโพงที่ได้มีการพัฒนามาจากลำโพงแบบ 2 แชนแนล
คือจะมีการเพิ่มลำโพงซับวูเฟอร์เข้ามาอีกตัว
ซึ่งสามารถเพิ่มพลังเสียงเบสขึ้นมา ทำให้มีเสียงที่ดียิ่งขึ้น
ซึ่งในปัจจุบันลำโพงแบบนี้เป็นลำโพงที่ได้รับความนิย มสูง
เนื่องจากเป็นลำโพงที่มีราคาไม่แพงมากนัก และสามารถให้เสียงที่ดี สามารถติดตั้งได้ง่าย

4 Point Surround ( 4.1 channel)
===============================
โดยลำโพงแบบนี้จะประกอบไปด้วยลำโพงมากถึง 4 ตัว และ subwoofer อีก 1 ตัว
เรียกอีกอย่างว่าเป็นลำโพงแบบ 4.1
ซึ่งลำโพงแบบนี้ต้องใช้คู่กับซาวนด์การ์ดที่เป็นแบบ 4.1 ด้วย
โดยลำโพง 4 ตัวนี้จะจัดอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกันคือ หน้าซ้าย,หน้าขวา,หลังซ้าย,หลังขวา และ subwoofer
โดยที่ลำโพง Subwoofer นี้จะไม่นับเป็นลำโพงที่ 5 เพราะเป็นลำโพงที่มีความถี่ต่ำ เขาจึงนับแค่ .1
โดย แต่ล่ะ ลำโพงของ 4 Point Surround จะออกเสียงที่แต่ต่างกัน
โดยแต่ล่ะตัวมีหน้าที่แตกต่างกันและมีสัญญาณเป็น ของตัวเอง
ยกเว้น Subwoofer ที่ต้องอาศัยความถี่ของ ลำโพงทั้ง 4 ตัว ในการออกเสียงแทน

Destop Theater 5.1 (6 channel)
===============================
โดยลำโพงแบบ 5.1 นี้จะใหญ่กว่าลำโพงแบบ 4.1 ขึ้นมาอีกหน่อย
ที่แตกต่างก็คือ จะเพื่มช่องสัญญาณ ขึ้นมาอีก 2 Channel ให้กับลำโพงตัวกลางที่เพื่มเข้ามาและ subwoofer
โดยแบบ 5.1 นี้ Subwoofer จะมีช่อง Channel เป็นของตัวเองแล้ว
แต่ก็ยังนับเป็น x.1 อยู่ดีเพราะความถี่ของ Subwoofer นั้นมีความถี่ต่ำเกินกว่าที่จะนับเป็บ 1.0
โดยลำโพงแบบนี้จะ support Dolby Digital และ DTS (Digital Theater Systems) Surround systems
โดยเราจะพบเห็นได้ในโรงหนังทั่วไป
แต่หากระบบนี้มาอยู่ที่จอทีวีบ้านคุณหรือหน้าคอมพิวเตอร์จะเรียกว่า Destop Theater 5.1 นั่นเองครับ

Speaker 6.1 channel
====================
โดยลำโพงแบบ 6.1 นี้ ก็จะมีขนาดที่ใหญ่กว่าลำโพงแบบ 5.1 ที่บอกมาข้างต้น
มีช่องสัญญาณที่เพิ่มเข้ามาอีก
ลำโพงแต่ละตัวจะมีการจัดวางที่แตกต่างกัน แล้วการให้เสียงก็มีความแตกต่างกันด้วย
สามารถให้เสียงที่ไพเราะ มีคุณภาพเสียงที่ดี ทำให้บ้านของท่านกลายเป็นสถานบันเทิงย่อมๆได้เลย

Destop Theater 7.1 (8 channel)
===============================
มีความแตกต่างจาก 5.1 ก็คือ จะเพิ่มลำโพงตรง กลางซ้าย, กลางขวา มาอีก 2 ตัว


การเลือกซื้อลำโพงต้องคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง (How To Buy)
===============================

- ทดสอบลำโพงก่อนการเลือกซื้อ
การเลือกซื้อลำโพงนั้น เครื่องมือในการทดสอบพลังเสียงที่ดีทีสุดคือ หูของเราเอง
อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ในการฟังของแต่ละคนแตกต่างกัน
ถ้าหากใครที่เคยมีลำโพง มีระบบมัลติมีเดียมาบ้างแล้ว อาจจะได้รับประสบการณ์จากการใช้งาน การฟังเสียงลำโพงเดิมมาบ้าง
แต่ถ้าหากไม่มีประสบการณ์มาก่อนเลย ก็อาจจะทำให้การเลือกซื้อนั้นลำบากไปบ้าง
นอกจากนี้สภาพแวดล้อมของการทดสอบฟังเสียงก็ยังแตกต่า งกันออกไป เสียงรอบข้างที่รบกวนมีผลทำให้ผลการทดสอบไม่เด่นชัด
เลือกไม่ถูกว่า ได้ลำโพงที่ถูกใจหรือยัง

แต่สิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่งคือ การตัดสินลำโพงจากรูปทรงภายนอก
เห็นว่ามีรูปทรงสวยขนาดใหญ่ รูปทรงทันสมัย แสดงว่าอาจจะมีเสียงดี
หรือตัดสินจากการทนแรงขับ เป็นวัตต์ของลำโพง เช่น 26 ,96 ,120วัตต์ PMPO /RMS
พวกนั้นเป็นสิ่งที่หลอกลวงผู้ซื้อได้ง่ายที่สุด อย่าหลงประเด็นเป็นอันขาด

ทำนองเดียวกับเครื่องเสียงมินิคอมโปที่ขายกันอยู่ตาม ร้านขายเครื่องเสียงทั่วไป
การทดสอบทำได้โดยการทดสอบด้านที่ต้องการนำเอาไปใช้งาน
ถ้าหากต้องการนำเอาไปฟังเพลงก็ทดสอบว่าเมื่อใช้ฟังเพลง ลำโพงนั้นให้มิติของเสียงครบหรือไม่
เสียงทุ้ม เสียงแหลม ความสมจริงของเสียงดนตรี
ประการนี้หากใครเป็นนักเล่นเครื่องเสียง นักฟังเพลงอยู่แล้วก็คงจะง่ายขึ้น

หรือเมื่อต้องการซื้อลำโพงไปเล่นเกมส์ ก็ควรได้ลำโพงที่มีลักษณะให้เสียงทุ้มได้มาก ให้เสียงได้ดัง มีกำลังวัตต์สูงๆ
เพราะอรรถรสของการเล่นเกมส์นั้น ปฏิเสธกันไม่ได้ว่าเสียงมีส่วนเป็นอย่างมาก
การทดสอบทั่วไปอาจทำโดยการทดสอบเล่นเกมส์ที่มีซาวนด์ เอฟเฟ็คหลากหลาย
เสียงที่ได้ยินช่วงนี้จะเป็นเสียงสังเคราะห์ซึ่งเหนื อจริงเป็นส่วนใหญ่

ทดสอบการเล่นเพลงคาราโอเกะ ซึ่งเสียงจากคาราโอเกะนั้นจะละม้ายคล้ายคลึงกับเสียง ดนตรีที่เล่นกันทั่วไป
เพราะนอกจากการสังเคราะห์ของ Wave Table เสียงควรใส ให้ความกระจ่างในเสียงดนตรี
ทดสอบการฟังเพลงจากแผ่นซีดีเพลง เสียงที่ได้ส่วนนี้อาจจะนำไปเปรียบเทียบกับเสียงที่ไ ด้ยินเมื่อฟังจากเครื่องมินิคอมโปก็ได้
ระหว่างการทดสอบนั้น ควรปรับเสียงดัง-เบา เพื่อทดสอบความแตกต่างด้วย ว่ามีความแตกต่างมากน้อยเพียงใด

- ปุ่มฟังก์ชันของลำโพงที่ใช้ในการปรับเสียงให้ตรงกับความต้องการ
หลังจากพิจารณาแล้ว ลำโพงตัวไหนเป็นเสียงที่ยอมรับได้
ต่อไปคือ ดูว่ามีปุ่มแต่งเสียงอย่างไรบ้าง สำหรับลำโพงแบบมีสองข้าง แบบสเตริโอ
ควรมีปุ่ม BASS สำหรับการปรับเสียงทุ้ม
มีปุ่ม Treble สำหรับการปรับเสียงแหลม
มีปุ่ม Balance สำหรับปรับความสมดุลระหว่างเสียงสองข้าง
ปุ่ม 3 มิติ สำหรับการเล่นระบบ 3 มิติ

จากการตรวจสอบการ์ดเสียงและซอฟต์แวร์ในการใช้งานระบบ มัลติมีเดียที่มีใช้ทั่วไปในคอมพิวเตอร์ พบว่า
ปุ่มฟังก์ชันในการปรับแต่งเสียงเหล่านั้นด้วย ทำให้ไม่สามารถปรับแต่งเสียงในระดับที่พอใจได้
ดังนั้นการเลือกซื้อ ลำโพงที่มีปุ่มปรับเสียงแหลม ทุ้ม ควบคุมระดับความดังของเสียง ควบคุมสมดุลของลำโพงซ้ายขวา จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด

สำหรับลำโพงชุดที่มีซับวูเฟอร์ โดยมากมีเพียงปุ่มปรับระดับความดังของเสียง
โดยมี 2 ตำแหน่ง สำหรับควบคุมลำโพงคู่ ทั้งซ้ายและขวา
1 ตำแหน่ง และสำหรับการควบคุมซับวูเฟอร์อีก 1 ตำแหน่ง
ทั้งนี้ ในการปรับก็ขึ้นอยู่ความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน ว่าต้องการระดับเสียงทุ้มในปริมาณใด
หากน้อยเกินไปก็ไม่ได้ยินเสียงทุ้ม หากมากเกินไปทำให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยเสียงทุ้ม ฟังแล้วไม่เป็นธรรมชาติ

- ราคาของลำโพง
ราคานับว่าเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งในการตัดสินใจเลือกซื ้อลำโพง
ราคาลำโพงสำหรับระบบมัลติมีเดียนั้นมีให้เลือกกันตั้งแต่ราคาร้อยไปจนหลายพันก็มี
สำหรับระบบคอมพิวเตอร์แล้ว ลำโพงนั้นควรมีราคาเท่าไรดี
ถ้าจะให้เหมาะสมควร 1000 ถึง 6000 บาทไม่ควรน้อยหรือมากไปกว่านี้
เพราะเอาตามหลักการซื้อเครื่องเสียง ราคาลำโพงก็ควรจะมีราคาเท่ากับของราคาของซาวน์การ์ด

ดังนั้นในคอมพิวเตอร์ ถ้าการ์ดเสียงราคา 1000 บาท ลำโพงก็ควรราคา 1000 บาท
แต่ถ้าลำโพงราคาแพงกว่านั้นก็แสดงว่าจะได้เสียงที่ดีขึ้น
เดี๋ยวนี้ราคาซาวนด์การ์ดที่มีคุณภาพดีก็มีราคาที่ลดลงมากแล้วจากแต่ก่อน
ลำโพงที่เราซื้อนั้นควรจะมีภาคขยายเสียง (Amplifier) ด้วย

ส่วนขนาดของลำโพงควรพอเหมาะพอดีกับโต๊ะวางคอมพิวเตอร ์ ไม่ใช่ว่าใหญ่เกินไปหรือเล็กเกินไป
ถ้าใหญ่เกินไปก็จะเกะกะวางลำบาก ถ้าเล็กเกินไปเสียงก็ไม่ดีเท่าที่ควร
แต่ก็มีลำโพงที่มีขนาดเล็กแต่เสียงใหญ่เกินตัวก็มี อย่างเช่นลำโพงของ Boston Acoustic
ซึ่งเป็นรุ่นที่ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับระบบคอมพิวเตอร ์ มีขนาดที่ไม่ใหญ่ แต่เสียงใหญ่เกินตัว
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะเลือกซื้อ แนะนำให้ทำการทดสอบก่อน เพื่อดูว่าเสียงแบบไหนที่เหมาะสมกับท่าน
สำหรับชุดลำโพงแบบมีซับวูเฟอร์นั้นราคาจะอยู่ประมาณ 800 จนถึงราคาเกือบหมื่นบาทก็มี
ซึ่งลำโพงแบบมีซับวูเฟอร์นี้มีราคาที่ต่ำลงกว่าแต่ก่อนมาก แต่คุณภาพเสียงก็ตามราคานะครับ.

สรุปส่งท้าย

หลังจากพิจารณาความเหมาะสมในการเลือกลำโพง ได้เรียนรู้ประเภทของลำโพงต่างๆ
ได้รู้ชนิดของลำโพงต่างๆสำหรับการใช้งานจริง ๆ ของคุณแล้ว ต่อไปก็ตัดสินใจด้วยหูของคุณเอง
ก่อนที่จะเลือกซื้อ ให้ลองฟังเสียงลำโพงหลาย ๆ ยี่ห้อที่มีระดับราคาเดียวกัน และเป็นราคาที่ท่านสามารถซื้อได้
ถ้าเจอลำโพงเสียงแบบที่คุณถูกใจ สเปกของลำโพงก็อาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปก็ได้ครับ
เพราะมักมีผู้กล่าวไว้ว่าเรื่องของเสียงไม่มีคำว่าผิดหรือถูก มีแต่ว่าชอบหรือไม่ชอบเท่านั้น จึงเป็นหน้าที่ที่คุณจะต้องตัดสินใจแล้วนะครับ?

http://www.quickpc.co.th/quickdata/guide/spe/spe.htm
ที่มา http://www.lumzingonline.com/webboard/showthread.php?t=190

No comments:

Post a Comment