ปี พ.ศ. ๒๔๙๓ เดือนเมษายน เป็นช่วงที่ท่านพักอยู่ที่ วัดป่าสุทธาวาส จังหวัด สกลนคร
ที่นั่นท่านได้พบกับ คุณหมอเจริญ วัฒนสุชาติ
วันหนึ่ง มีหญิงสาวผู้หนึ่งเข้ามาสนทนากับคุณหมอเจริญ
หลังจากพูดคุยกันอยู่ครู่ใหญ่ เรื่องราวที่สนทนากัน
ทำให้หญิงสาวผู้นั้นถึงกับยอมเปิดเผยความในใจว่าแกเป็น ปอบ
ในตอนนั้นท่าน(หลวงตามหาบัว)ก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย ท่านเล่าไว้ดังนี้
“..อย่างเขาว่า เป็นปอบเป็นผีก็เหมือนกัน
คนนั้นเป็นปอบ คนนี้เป็นปอบ
มันมีผีมาสิงอยู่ในคน...เขาเรียกปอบ
หมอเจริญน่ะเป็นนักเรียนแพทย์ปัจจุบัน อยากรู้ชัดๆ เป็นยังไงแน่
แกก็เล่าให้ฟังจริงๆ
ถ้าวันไหนมันหิวมันดิ้นอยู่ในนี่
เจ้าของจะรู้สึกรำคาญ ว่างั้น
ปอบส่วนมากมันจะออกทางตา
แพล็บๆทางตา...แล้วก็ไปแล้ว
เจ้าของนี้ก็คอยร้อนใจละซิ กลัวมันจะไปกินใครเข้า
ถูกหมอเก่งเขาไล่ติดตามผีมา ก็มาหาเราได้
พอมันกินอิ่มแล้ว ก็กลับมาหาเจ้าของนั่นแหละ
เข้าทางหูบ้าง เข้าทางตาบ้าง แว๊บเดียว
ทีนี้ก็จะรู้สึกง่วงนอนทั้งวัน
ถ้ามันได้ไปกินอิ่มๆมาแล้ว จะง่วงนอนทั้งวันเลย
แต่ถ้ามันหิวแล้ว เจ้าของก็จะรู้สึกกระวนกระวาย
คือมันกวนอยู่ภายใน
เหตุทีจะเป็นปอบก็เพราะแกไปสักว่าน
เขาเรียกว่านกระจาย สักอยู่บนหัวนี่
ให้เขาสักว่านให้ที่กระหม่อม แล้วอยู่ยงคงกระพันด้วยนะ
เมื่อสักว่านแล้ว แทงก็ไม่เข้า ฟันไม่เข้า ปืนยิงไม่ออก..
แกว่ามีวิชาที่ขัดกันกับสิ่งนี้ เช่น กินของดิบ หรืออย่างลาบเลือด
หรือเครือกล้วย ก็ห้ามไม่ให้ไปลอด
ถ้ากินเนื้อดิบปลาดิบเข้าไป มันจะขัดกับวิชานี้
ถ้าขัดแล้วก็ทำให้เป็นปอบได้
ถ้าไม่ขัดแล้วก็ไม่เป็นอะไร
…
วิชามันแปลกนะ เอาไปคิดแหละ..
พวกหมอแผนปัจจุบันนี่นะ สิ่งเหล่านี้เขาไม่เชื่อว่ามี
ทีนี้หมอเจริญนี่แหละเชื่อ
ไปเห็นแล้วไม่เชื่อได้ยังไง
เพราะเขาพูดเป็นตุเป็นตะ พูดเป็นหลักความจริง
หลักฐานพยานก็สักอยู่บนกระหม่อมเขา
มีหลักฐานพยานอยู่ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วจะไม่เชื่อได้ยังไง
มันกินคน เขาก็บอกว่ามันไปกินคน....”
ที่มา ประวัติพระธรรมวิสุทธิมงคล
หลวงตามหาบัว
ในพระวินัยกล่าวไว้ท่อนหนึ่งว่า
“ทรงอนุญาตเนื้อสัตว์ดิบ โลหิตดิบ ในเมื่ออาพาธเนื่องด้วยอมนุษย์สิง”
ที่มา อริยวินัย หน้า ๒๔๖
ประสพการณ์, เรื่องราวทั่วไป, แง่คิด, มุมมอง ที่น่าสนใจ - สิริพงษ์ พงศ์ภิญโญภาพ
Thursday, January 20, 2011
to ride a tiger
วิชาขี่เสือ
วิชาขี่เสือนี้เป็นไสยศาสตร์อันหนี่ง
เขาร่ายมนต์เรียกเสือมา เสือก็มาจริงๆ
…
ที่บ้านหนองแวงนี่ก็มีคนหนึ่ง เราเกิดไม่ทัน ผู้เฒ่าตายเสียก่อน
เขาเรียก พรานป้อ
คนเตี้ยๆ ขี่เสือมาเรื่อยๆ
ไปในป่า พอไปเหนื่อยๆ แล้วขี่เสือออกมา
อีกคนหนึ่งอยู่ทางบ้านมาย อำเภอบ้านมาย หรืออำเภอบ้านม่วง
ไปเรียนวิชามาจากฝั่งลาว ไปเรียนกับพวกโซ่พวกข่าเขา
…
คนบ้านมายนี่เขาเห็นกันหมดทั้งบ้าน ปฏิเสธได้ยังไง
ที่มา ประวัติพระธรรมวิสุทธิมงคล
หลวงตามหาบัว
วิชาขี่เสือนี้เป็นไสยศาสตร์อันหนี่ง
เขาร่ายมนต์เรียกเสือมา เสือก็มาจริงๆ
…
ที่บ้านหนองแวงนี่ก็มีคนหนึ่ง เราเกิดไม่ทัน ผู้เฒ่าตายเสียก่อน
เขาเรียก พรานป้อ
คนเตี้ยๆ ขี่เสือมาเรื่อยๆ
ไปในป่า พอไปเหนื่อยๆ แล้วขี่เสือออกมา
อีกคนหนึ่งอยู่ทางบ้านมาย อำเภอบ้านมาย หรืออำเภอบ้านม่วง
ไปเรียนวิชามาจากฝั่งลาว ไปเรียนกับพวกโซ่พวกข่าเขา
…
คนบ้านมายนี่เขาเห็นกันหมดทั้งบ้าน ปฏิเสธได้ยังไง
ที่มา ประวัติพระธรรมวิสุทธิมงคล
หลวงตามหาบัว
sorrow
ธรรมโอสถ
อันหนทาง ชีวิต คิดดูเถิด
เมื่อเราเกิด แล้วต้องแก่ แน่ใช่ไหม
หนีไม่พ้น เจ็บไข้ กายและใจ
จะแก้ไข อย่างไร ให้ทุกข์คลาย
เป็นโรคกาย หมอยา รักษาโรค
ถูกโฉลก ถูกเหตุผล ดลโรคหาย
เป็นโรคใจ ภัยรุมเร้า เศร้าปางตาย
ทุกข์มลาย เมื่อรู้ใช้ "โอสถธรรม"
ที่มา ธรรมะกับการปฏิบัติธรรม
ร้านเบสท์ ๒๑-๒๒ ถ.สิบสามห้าง บางลำภู (ข้างธ.ออมสิน)
๐๒-๒๘๑-๐๙๒๙, ๐๒-๒๘๒-๓๓๖๕
อันหนทาง ชีวิต คิดดูเถิด
เมื่อเราเกิด แล้วต้องแก่ แน่ใช่ไหม
หนีไม่พ้น เจ็บไข้ กายและใจ
จะแก้ไข อย่างไร ให้ทุกข์คลาย
เป็นโรคกาย หมอยา รักษาโรค
ถูกโฉลก ถูกเหตุผล ดลโรคหาย
เป็นโรคใจ ภัยรุมเร้า เศร้าปางตาย
ทุกข์มลาย เมื่อรู้ใช้ "โอสถธรรม"
ที่มา ธรรมะกับการปฏิบัติธรรม
ร้านเบสท์ ๒๑-๒๒ ถ.สิบสามห้าง บางลำภู (ข้างธ.ออมสิน)
๐๒-๒๘๑-๐๙๒๙, ๐๒-๒๘๒-๓๓๖๕
saving time with a car
เคยมีผู้คำนวณเวลาทั้งหมดที่ใช้ไปกับรถยนต์
เริ่มตั้งแต่เวลาที่ใช้ในการหาเงินมาซื้อรถ,
ซื้อน้ำมัน, จ่ายค่าอะไหล่, ค่าซ่อมรถ, ค่าประกัน, ค่าภาษี
รวมทั้งเวลาที่ใช้ไปกับการดูแลรักษารถ
เช่น ล้างรถ, นำรถไปตรวจสภาพ, นำรถไปซ่อม
ตลอดจนเวลาที่ใช้ในการขับรถและหาที่จอดรถ
เมื่อเวลาทั้งหมดไปหารกับระยะที่เดินทางด้วยรถยนต์
คำตอบที่ได้ (ความเร็วสุทธิ) คือ ๘ กิโลเมตรต่อชั่วโมง
(ไม่ได้ต่างจากจักรยานสักเท่าไหร่)
คัดลอกมาจากหนังสือ
ความสุขที่ปลายจมูก โดย พระไพศาล วิสาโล
น่าจะคำนวนโดยที่ไม่มีผู้โดยสาร
ถ้าเป็นรถครอบครัว มีผู้โดยสารมากกว่า 1
ตัวเลขน่าจะดีขึ้น
เริ่มตั้งแต่เวลาที่ใช้ในการหาเงินมาซื้อรถ,
ซื้อน้ำมัน, จ่ายค่าอะไหล่, ค่าซ่อมรถ, ค่าประกัน, ค่าภาษี
รวมทั้งเวลาที่ใช้ไปกับการดูแลรักษารถ
เช่น ล้างรถ, นำรถไปตรวจสภาพ, นำรถไปซ่อม
ตลอดจนเวลาที่ใช้ในการขับรถและหาที่จอดรถ
เมื่อเวลาทั้งหมดไปหารกับระยะที่เดินทางด้วยรถยนต์
คำตอบที่ได้ (ความเร็วสุทธิ) คือ ๘ กิโลเมตรต่อชั่วโมง
(ไม่ได้ต่างจากจักรยานสักเท่าไหร่)
คัดลอกมาจากหนังสือ
ความสุขที่ปลายจมูก โดย พระไพศาล วิสาโล
น่าจะคำนวนโดยที่ไม่มีผู้โดยสาร
ถ้าเป็นรถครอบครัว มีผู้โดยสารมากกว่า 1
ตัวเลขน่าจะดีขึ้น
Failure
ความล้มเหลวมีข้อดี เพราะมันทำให้เรารู้ว่า
เรามีข้อบกพร่องตรงไหน ควรแก้ไขอะไรบ้าง
นักวิทยาศาสตร์คนนึงกล่าวไว้ว่า
เวลาคุณล้ม ก่อนจะลุกขึ้น ต้องหยิบอะไรติดไม้ติดมือขึ้นมาบ้าง
แง่คิดจาก สุขแท้ด้วยปัญญา (พระไพศาล วิสาโล)
เรามีข้อบกพร่องตรงไหน ควรแก้ไขอะไรบ้าง
นักวิทยาศาสตร์คนนึงกล่าวไว้ว่า
เวลาคุณล้ม ก่อนจะลุกขึ้น ต้องหยิบอะไรติดไม้ติดมือขึ้นมาบ้าง
แง่คิดจาก สุขแท้ด้วยปัญญา (พระไพศาล วิสาโล)
Labels:
Failure,
food for thought
criticize
คหบดีคนหนึ่ง เป็นคนใผ่รู้ และมีปัญญา พูดประโยคนึงว่า
"วันไหนที่ไม่ถูกตำหนิ วันนั้นเป็นอัปมงคล"
คำตำหนิมีข้อดีตรงที่ทำให้เรารู้ว่า
เรามีข้อผิดพลาดอย่างไร
ดีตรงที่ทำให้เราได้รู้อุปนิสัย คนที่วิพากย์วิจารณ์เรา
เวลาที่คนใดคนหนึ่งตำหนิใครสักคน
เขากำลังบ่งบอกความเป็นตัวเขา ว่าเป็นคนอย่างไร
เช่น เป็นคนหูเบา เชื่อคนง่าย หรือว่าใจคอหนักแน่น
เป็นคนหุนหันพลันแล่น หรือใจเย็น
เป็นคนเจ้าอารมณ์ หรือมีเหตุผล
เมื่อรู้แล้วว่าเขาเป็นคนอย่างไร
เราก็จะได้รู้ว่าจะไปเกี่ยวข้องกับเขาอย่างไร
ที่มา สุขแท้ด้วยปัญญา (พระไพศาล วิสาโล)
"วันไหนที่ไม่ถูกตำหนิ วันนั้นเป็นอัปมงคล"
คำตำหนิมีข้อดีตรงที่ทำให้เรารู้ว่า
เรามีข้อผิดพลาดอย่างไร
ดีตรงที่ทำให้เราได้รู้อุปนิสัย คนที่วิพากย์วิจารณ์เรา
เวลาที่คนใดคนหนึ่งตำหนิใครสักคน
เขากำลังบ่งบอกความเป็นตัวเขา ว่าเป็นคนอย่างไร
เช่น เป็นคนหูเบา เชื่อคนง่าย หรือว่าใจคอหนักแน่น
เป็นคนหุนหันพลันแล่น หรือใจเย็น
เป็นคนเจ้าอารมณ์ หรือมีเหตุผล
เมื่อรู้แล้วว่าเขาเป็นคนอย่างไร
เราก็จะได้รู้ว่าจะไปเกี่ยวข้องกับเขาอย่างไร
ที่มา สุขแท้ด้วยปัญญา (พระไพศาล วิสาโล)
competitor
ซามีร์ เป็นตัวเต็งอันดับหนึ่ง
ส่วน ราชีฟ เป็นตัวเต็งอันดับสอง
ในการแข่งขันสะกดคำประจำปี
ซึ่งจะเอาคำยากๆ มาให้เด็กสะกด
ใครที่สะกดถูกต้องก็จะเป็นผู้ชนะ
ปรากฏว่ามีคำหนึ่ง ซามีร์สะกดผิด เลยตกรอบไป
ราชีพจึงกลายเป็นตัวเต็งอันดับหนึ่ง
มีนักข่าวไปถามราชีฟว่า "ดีใจไหมที่ซามีร์ตกรอบไป"
ราชีฟซึ่งเป็นเด็กอายุ ๑๒ ตอบว่า
"ไม่ครับ นี่เป็นการแข่งขันกับคำ ไม่ใช่แข่งขันกับคนครับ"
ที่มา สุขแท้ด้วยปัญญา (พระไพศาล วิสาโล)
ส่วน ราชีฟ เป็นตัวเต็งอันดับสอง
ในการแข่งขันสะกดคำประจำปี
ซึ่งจะเอาคำยากๆ มาให้เด็กสะกด
ใครที่สะกดถูกต้องก็จะเป็นผู้ชนะ
ปรากฏว่ามีคำหนึ่ง ซามีร์สะกดผิด เลยตกรอบไป
ราชีพจึงกลายเป็นตัวเต็งอันดับหนึ่ง
มีนักข่าวไปถามราชีฟว่า "ดีใจไหมที่ซามีร์ตกรอบไป"
ราชีฟซึ่งเป็นเด็กอายุ ๑๒ ตอบว่า
"ไม่ครับ นี่เป็นการแข่งขันกับคำ ไม่ใช่แข่งขันกับคนครับ"
ที่มา สุขแท้ด้วยปัญญา (พระไพศาล วิสาโล)
Breathing
อัดลม (packing) ให้ลมเข้าปอดมากที่สุด
โดยที่สลับกันระหว่าง
Upper chest breathing,
Abdominal breathing,
และ Costal breathing
Upper chest breathing
สูดลมเข้าปอดตอนบน
ธรรมดาที่ไม่ได้สูดหายใจลืก เนื้อปอดส่วนบนจะแฟบ
เมื่อสูดลมเข้าปอดเต็มที่แล้ว เนื้อปอดจะโป่งรับออกซิเจนได้มาก
คนที่เป็นวัณโรคปอด ส่วนมากมักจะเป็นที่ส่วนนี้
Abdominal breathing
อัดลมดันให้ท้องโป่ง
(หายใจไปยังชายเนื้อปอดส่วนล่าง)
เมื่อทำเป็นประจำตั้งแต่อายุน้อยๆ จะป้องกันโรคเยื่อหุ้มปอด
ถุงลมเล็กๆของปอดจะได้รับลมทั่วกัน
กระบังลม และอวัยวะในช่องท้องที่ใกล้เคียงกับปอด
จะมีการเคลื่อนไหวทำหน้าที่ได้มากขึ้น
Costal breathing
สูดลมให้ซี่โครงกาง
ที่มา โอวาทธรรม ท่านธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ
(พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต)
โดยที่สลับกันระหว่าง
Upper chest breathing,
Abdominal breathing,
และ Costal breathing
Upper chest breathing
สูดลมเข้าปอดตอนบน
ธรรมดาที่ไม่ได้สูดหายใจลืก เนื้อปอดส่วนบนจะแฟบ
เมื่อสูดลมเข้าปอดเต็มที่แล้ว เนื้อปอดจะโป่งรับออกซิเจนได้มาก
คนที่เป็นวัณโรคปอด ส่วนมากมักจะเป็นที่ส่วนนี้
Abdominal breathing
อัดลมดันให้ท้องโป่ง
(หายใจไปยังชายเนื้อปอดส่วนล่าง)
เมื่อทำเป็นประจำตั้งแต่อายุน้อยๆ จะป้องกันโรคเยื่อหุ้มปอด
ถุงลมเล็กๆของปอดจะได้รับลมทั่วกัน
กระบังลม และอวัยวะในช่องท้องที่ใกล้เคียงกับปอด
จะมีการเคลื่อนไหวทำหน้าที่ได้มากขึ้น
Costal breathing
สูดลมให้ซี่โครงกาง
ที่มา โอวาทธรรม ท่านธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ
(พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต)
Teach...er
อาจารย์ มาจากคำว่า อาจาระ
อาจาระ
แปลว่า ความประพฤติ, มารยาท, การปฏิบัติตัว
หมายถึง ความประพฤติที่ดีงาม น่าชม นำมาซึ่งความศรัทธาเลื่อมใสแก่ผู้พบเห็น
ได้แก่ มารยาททางกาย (เช่น การยืน เดิน นั่ง นอน การนุ่งห่มแต่งกาย ในการทาน ในการเข้าสังคม)
และ มารยาททางวาจา
ที่มา คำวัด
อาจาระ
แปลว่า ความประพฤติ, มารยาท, การปฏิบัติตัว
หมายถึง ความประพฤติที่ดีงาม น่าชม นำมาซึ่งความศรัทธาเลื่อมใสแก่ผู้พบเห็น
ได้แก่ มารยาททางกาย (เช่น การยืน เดิน นั่ง นอน การนุ่งห่มแต่งกาย ในการทาน ในการเข้าสังคม)
และ มารยาททางวาจา
ที่มา คำวัด
ท้องผูก
แนวทางแก้ไข
===========
ดื่มน้ำในระหว่างรับประทานอาหารเพิ่มขึ้น
ปรับสมดุลของอาหารและน้ำให้เหมาะสม
ถ้าปริมาณน้ำในอาหารน้อยเกินไป
จะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารทำงานได้ไม่ดี
อาหารถูกย่อยได้ไม่ดี
การเลื่อนตัวไปตามลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ได้ไม่ดี
นอกจากนั้น ลำไส้ใหญ่ก็จะดูดน้ำจากกากอาหารเก่ามาให้แก่ร่างกาย
กากอาหารที่เริ่มแข็ง ก็จะเคลื่อนที่ในลำไส้ได้ไม่ดี
เป็นสาเหตุให้ท้องผูกได้
ดื่มน้ำระหว่างวันเพิ่มขึ้น
ถ้าดื่มน้ำไม่พอ ลำไส้ใหญ่ก็จะดูดน้ำจากกากอาหารมาให้แก่ร่างกาย
ซึ่งเป็นสาเหตุให้ท้องผูกได้
เพิ่มอาหารที่มีกากใย (ผัก)
เคี้ยวอาหารให้ละเอียด
เดินเยอะๆ
การเคลื่อนไหวร่างกายบริเวณหน้าท้องเพิ่มขึ้น
ร่างกายก็จะขับเคลื่อนกากอาหารได้ดีขึ้น
===========
ดื่มน้ำในระหว่างรับประทานอาหารเพิ่มขึ้น
ปรับสมดุลของอาหารและน้ำให้เหมาะสม
ถ้าปริมาณน้ำในอาหารน้อยเกินไป
จะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารทำงานได้ไม่ดี
อาหารถูกย่อยได้ไม่ดี
การเลื่อนตัวไปตามลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ได้ไม่ดี
นอกจากนั้น ลำไส้ใหญ่ก็จะดูดน้ำจากกากอาหารเก่ามาให้แก่ร่างกาย
กากอาหารที่เริ่มแข็ง ก็จะเคลื่อนที่ในลำไส้ได้ไม่ดี
เป็นสาเหตุให้ท้องผูกได้
ดื่มน้ำระหว่างวันเพิ่มขึ้น
ถ้าดื่มน้ำไม่พอ ลำไส้ใหญ่ก็จะดูดน้ำจากกากอาหารมาให้แก่ร่างกาย
ซึ่งเป็นสาเหตุให้ท้องผูกได้
เพิ่มอาหารที่มีกากใย (ผัก)
เคี้ยวอาหารให้ละเอียด
เดินเยอะๆ
การเคลื่อนไหวร่างกายบริเวณหน้าท้องเพิ่มขึ้น
ร่างกายก็จะขับเคลื่อนกากอาหารได้ดีขึ้น
ติดดี
ถ้าเป็นคนดีแล้ว รำคาญคนที่ไม่ดี
(เช่น คนที่เลิกสูบบุหรี่ แล้วไปเทศน์ให้คนอื่นเลิกสูบ)
อย่างนี้เรียกว่า "ติดดี"
"ความติด" เป็นทุกข์ สร้างความทุกข์แก่ใจ
ที่มา ชาวพุทธ หรือ ชาวพูด
รวมคติธรรม ของ ท่านพระอาจารย์ชยสาโร
ความพินาศอย่างหนึ่งของโลกมาจากการติดดี
คิดว่าฉันดี อย่างน้อยก็หวังดีล่ะ
แต่ลืมทำดีระหว่างกัน จึงไม่เคารพกันและกัน
แต่ยึดเฉพาะความดีของตน วิธีของฉันน่ะถูก ฉันเป็นคนดี
เธอจะต้องเข้าใจฉันนะ เธอจะต้องมองฉันในแง่ดีนะ
ฉันทำดีแล้วทำไมเธอไม่เข้าใจ ทำไมไม่เชื่อฟัง
เหล่านี้คืออาการของการติดดี เป็น side effect ของความดี
ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/12818.html
(เช่น คนที่เลิกสูบบุหรี่ แล้วไปเทศน์ให้คนอื่นเลิกสูบ)
อย่างนี้เรียกว่า "ติดดี"
"ความติด" เป็นทุกข์ สร้างความทุกข์แก่ใจ
ที่มา ชาวพุทธ หรือ ชาวพูด
รวมคติธรรม ของ ท่านพระอาจารย์ชยสาโร
ความพินาศอย่างหนึ่งของโลกมาจากการติดดี
คิดว่าฉันดี อย่างน้อยก็หวังดีล่ะ
แต่ลืมทำดีระหว่างกัน จึงไม่เคารพกันและกัน
แต่ยึดเฉพาะความดีของตน วิธีของฉันน่ะถูก ฉันเป็นคนดี
เธอจะต้องเข้าใจฉันนะ เธอจะต้องมองฉันในแง่ดีนะ
ฉันทำดีแล้วทำไมเธอไม่เข้าใจ ทำไมไม่เชื่อฟัง
เหล่านี้คืออาการของการติดดี เป็น side effect ของความดี
ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/12818.html
Speaker
Size ลำโพง
=========
- ลำโพง Monitor ฟังระยะใกล้ ใช้ประมาณ 25 W
- ลำโพงฟังในบ้าน ใช้ประมาณ 150 W
- วง Folk Song เล่นใน Coffee Shop เล็กๆ ที่นั่งไม่เกิน 50 ที่ ใช้ประมาณ 25 - 250 W
- วง Folk Song เล่นในห้องประชุมขนาดกลาง หรือใน Club ที่นั่งไม่เกิน 50 - 250 ที่ ใช้ประมาณ 95 - 250 W
- วง Folk Song เล่นในงานกลางแจ้งขนาดเล็ก ระยะห่างจากลำโพงไม่เกิน 15 เมตร ใช้ประมาณ 250 W
- วง Pop หรือ Jazz เล่นในห้องประชุมขนาดกลาง หรือใน Club ที่นั่งไม่เกิน 150 - 250 ที่ ใช้ประมาณ 250 - 750 W
- วง Pop หรือ Jazz เล่นใน Concert Hall ที่นั่งไม่เกิน 2,000 ที่ใช้ประมาณ 400 - 1,200 W
- วง Rock เล่นในห้องประชุมขนาดกลาง หรือใน Club ที่นั่งไม่เกิน 50 - 250 ที่ ใช้ประมาณ 1,500 W
- วง Rock เล่นในงานกลางแจ้งขนาดเล็ก ระยะห่างจากลำโพงไม่เกิน 15 เมตร ใช้ประมาณ 1,000 - 3,000 W
- วง Rock หรือ Heavy เล่นใน Stadium หรือ สนามกีฬาขนาดใหญ่ ระยะห่างจากลำโพงประมาณ 30 - 100 เมตร ใช้ Power ประมาณ 4,000 -
15,000 W ใน Tour Concert ของเมืองนอก อาจใช้ Power ถึง 80,000 - 400,000 W
http://www.musiccyber.com/index.php?topic=53.0
ถ้าเป็น COUNTRY , POP , JAZZ หรือแนวเพลงเบาๆ ให้คูณด้วย 1.6
เช่น 1,000 x 1.6 = 1,600 w.
แต่ถ้าเป็นแนว ROCK หรือ HEAVY จะคูณด้วย 2.5
เช่น 1,000 x 2.5 = 2,500 w.
วัตต์ลำโพง
======
ปกติเราจะใช้ประมาณ 50% บวกลบ 10% ของ Power Amp
เช่น เรามีลำโพงกำลัง 1,000 w. เราจะใช้ Power Amp ได้ตั้งแต่ 1,600 - 2,400 w. โดยประมาณ
ที่ต้องใช้ Power Amp สูงกว่าลำโพงเพราะว่า ถ้าเกิดไปเจอพี่โปกเค้าแหกปากมาแบบไม่ปรึกษาใคร จะทำให้ Power Clip หรือเสียงแตก(หนุ่ม)
ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายที่ลำโพงได้
http://www.musiccyber.com/index.php?topic=309.0
Active Speaker
==============
ก็คือ "ตู้ลำโพง + เครื่องขยายเสียง"
ที่คนนิยมใช้ก็เพราะเนื้อที่ของมันกระทัดรัดกว่า ลดสายที่ต่อพ่วง
การออกแบบ Amp และดอกลำโพงมันถูกจับคู่กันมาดีแล้ว
จึงไม่ต้องตามหา Amp กับ Speaker คู่ที่เหมาะสมกันครับ
Preamp
======
ไม่ได้ใช้ปรับแต่งเสียง วงจรส่วนที่ใช้ปรับแต่งเสียงจริง ๆ คือส่วน EQ หรือ Tone Control
คือ บุคคลิกของ Preamp อาจจะทำให้เสียงกีตาร์เปลี่ยนไปก็จริง (และดูเหมือนว่าคนจะต้องการก็จริง) แต่โดยปรกติแล้วนักออกแบบเขาไม่ได้ต้องการให้มันเสียงมันเปลี่ยนหรอกครับ
หน้าที่ของ Preamp หรือ Pre-Amplifier ก็คือ ขยายก่อน ... (แปลตรงอีกละ) จริง ๆ คือ เป็นการขยายสัญญาณเพื่อเพิ่มความแรงของสัญญาณให้เหมาะสมต่อ
Input ของ Power Amp ครับ (แล้ว Power Amp ก็ไปขับลำโพงอีกที)
PreAmp ที่เรียกๆกันเดี๋ยวนี้ เหมารวมไปกับ Tone Control หรือ EQ เกือบทั้งหมดละครับ
Power Amp
=========
จะขยายสัญญาณโดยที่จะไม่มีการปรับแต่ง หรืออาจมีเล็กน้อย ปุ่ม พรีเซ็ต เพื่อให้ได้กำลัง วัตต์ ที่เราต้องการที่จะออกลำโพงครับ
ส่วนประกอบของลำโพง
===========
ลำโพงที่เราเห็นอยู่ในท้องตลาดนั้น โดยส่วนใหญ่ลำโพงจะอยู่ในรูปของตู้ลำโพงที่อาจจะทำจา กไม้หรือพลาสติกที่มีความทนทาน ซึ่งลำโพงที่ใช้กับคอมพิวเตอร์โดยส่วนใหญ่จะมีตู้ลำโ พงที่ทำขึ้นจาก
พลาสติก โดยภายในจะประกอบด้วย Driver หรือตัวดอกลำโพงซึ่งจะมีขนาดที่แตกต่างกันออกไป และวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ให้กำเนิดเสียง ซึ่งได้แก่ Amplifier และ
Crossover Network ซึ่งอุปกรณ์ภายในเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดขนาดหรือรูปแ บบเสียงของลำโพงที่ออกมา
จำนวนดอกลำโพงที่ใช้ก็จะมีผลต่อความเป็นธรรมชาติของเ สียงที่ออกมา
ถ้ามีดอกลำโพงหลายตัวก็จะทำให้เสียงที่ได้ครอบคลุมย่ านความถี่ของเสียงได้มากกว่า ให้รายละเอียดของทุกชิ้นเครื่องดนตรีได้ดีกว่า
ลำโพงแบบ 2 ทาง จะประกอบด้วยลำโพง ของวูเฟอร์ และทวีตเตอร์
ในย่านความถี่เสียงกลางและเสียงต่ำจะถูกขับออกทางวูเ ฟอร์
ส่วนความถี่เสียงสูงก็จะถูกขับออกทางทวีตเตอร์
สำหรับลำโพงแบบ 3 ทาง ก็จะประกอบด้วย ซับวูเฟอร์, วูเฟอร์ และทวีตเตอร์
เสียงต่ำสุดก็จะถูกขับออกทางซับวูเฟอร์
เสียงกลางจะถูกขับออกทางวูเฟอร์
และเสียงแหลมก็จะถูกขับออกทางทวีตเตอร์
ลำโพงแบบหลายทางจำเป็นจะต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Crossover Network
เป็นตัวแบ่งสัญญาณเสียงในแต่ละย่านออกจากกันและจ่ายไปให้ลำโพงที่ถูกต้อง
ซึ่งอาจจะเป็นสองทางหรือสามทางแล้วแต่ว่าเป็นลำโพงแบบไหน
นอกจากนี้ Crossover Network ยังทำหน้าที่ในการควบคุมความสมดุลของเสียงในแต่ละย่านความถี่
พร้อมทั้งมีระบบการป้องกันการทำงานที่เกินกำลังของลำโพงและการป้องกันระดับความถี่ของเสียงที่สูงเกินกว่า ลำโพงจะรับได้
ลำโพง Tweeter
===========
ทวีตเตอร์เป็นลำโพงที่ใช้สำหรับขับเสียงความถี่สูง โดยทั่วไปจะมีความถี่เกินจาก 1.5 KHz ขึ้นไป
ลำโพง Woofer
=========
ลำโพงวูเฟอร์จะใช้สำหรับขับเสียงความถี่ต่ำ คือในระดับความถี่ไม่เกิน 1.5 KHz
เนื่องจากความถี่ต่ำมีความยาวของคลื่นค่อนข้างมาก ลำโพงวูเฟอร์จึงต้องมีขนาดใหญ่
เพื่อให้สามารถขับอากาศได้เพียงพอสำหรับสร้างเสียงความถี่ต่ำ
ยิ่งวูเฟอร์มีขนาดใหญ่เท่าใด กำลังในการขับและความดังของเสียงเบสก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น
วูเฟอร์จะใช้ในการขับเสียงกลางและเสียงต่ำ
ลำโพง Sub Woofer
==============
ซับวูเฟอร์เป็นลำโพงที่ใช้ขับเสียงความถี่ต่ำที่สุด คือในระดับความถี่ถึง 500 Hz
ยิ่งขนาดของลำโพงซับวูเฟอร์มีขนาดใหญ่มากเท่าใด พลังในการขับก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น
ในระบบลำโพงที่มีซับวูเฟอร์จะให้เสียงในระดับความถี่ ต่ำได้ดีเป็นพิเศษ
ลำโพงแบบต่างๆ
###############
Mono (1 channel )
=================
หลักการของ Mono คือส่งสัญญานเสียงออกมาที่ลำโพงตัวหลัง และตัวเดียว
โดยที่ Mono นี้ไม่มี มโนภาพของเสียง
อีกความหมายหนึ่งคือ เราไม่สามารถบอกได้ว่า เสียงนี้มาจากตำแหน่งไหน และมาจากที่ใด
(วิทยุที่มีลำโพงเดียว หรือ gramophone เช่น วิทยุสมัยก่อน)
Mono นั้นจะไม่เหมือนกับพวก stereo และ multi-speaker อื่นๆ
หากเราเอาลำโพง Mono ไปเล่นกับเครื่องเสียงที่เป็น stereo เสียงที่ออกมาก็ยังเป็น Mono อยู่ดี
แต่เสียงจะออกมาจากลำโพง 2 ลำโพง แต่เสียงที่เราได้รับทั้ง 2 ลำโพงจะเป็นเสียงๆเดียวกัน
เหมือนกันทั้ง 2 ลำโพง เหมือนว่าเสียงนั้นมาจากที่เดียวกัน
Stereo (2 channel )
===================
เสียงแบบ Stereo นี้จะมีความแตกต่างจาก Mono มากพอสมควรทีเดียว
โดยในการจัดวางลำโพงนั้นจะต้องจัดวางลำโพงทั้ง 2 ตัว
โดยที่ตัวหนึ่งอยู่ทางซ้าย และอีกตัวหนึ่งอยู่ทางขวาของผู้ฟัง
โดยเสียงแบบ Stereo นี้เราจะสามารถบอกสถานที่ของตำแหน่งของเสียงได้
ซึ่งต่างจากลำโพงแบบ Mono
เช่น เมื่อเราเปิดเพลง เพลงที่เราได้ยินกันนี้ อาจจะได้ยินเสียงของกลอง อาจจะอยู่ตรงกลาง
เสียงกีต้าร์อยู่ด้านขวาของลำโพง เสียงเปียโนอยู่ทางด้านซ้ายของลำโพง
และเสียงนักร้องจะ อยู่ตรงกลาง ทำให้เสียงที่ได้นั้นมีความไพเราะมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นลำโพงที่ดีกว่าลำโพงแบบแรก
Speaker 2.1 channel
====================
ลำโพงแบบ 2.1 แชนแนลนี้เป็นลำโพงที่ได้มีการพัฒนามาจากลำโพงแบบ 2 แชนแนล
คือจะมีการเพิ่มลำโพงซับวูเฟอร์เข้ามาอีกตัว
ซึ่งสามารถเพิ่มพลังเสียงเบสขึ้นมา ทำให้มีเสียงที่ดียิ่งขึ้น
ซึ่งในปัจจุบันลำโพงแบบนี้เป็นลำโพงที่ได้รับความนิย มสูง
เนื่องจากเป็นลำโพงที่มีราคาไม่แพงมากนัก และสามารถให้เสียงที่ดี สามารถติดตั้งได้ง่าย
4 Point Surround ( 4.1 channel)
===============================
โดยลำโพงแบบนี้จะประกอบไปด้วยลำโพงมากถึง 4 ตัว และ subwoofer อีก 1 ตัว
เรียกอีกอย่างว่าเป็นลำโพงแบบ 4.1
ซึ่งลำโพงแบบนี้ต้องใช้คู่กับซาวนด์การ์ดที่เป็นแบบ 4.1 ด้วย
โดยลำโพง 4 ตัวนี้จะจัดอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกันคือ หน้าซ้าย,หน้าขวา,หลังซ้าย,หลังขวา และ subwoofer
โดยที่ลำโพง Subwoofer นี้จะไม่นับเป็นลำโพงที่ 5 เพราะเป็นลำโพงที่มีความถี่ต่ำ เขาจึงนับแค่ .1
โดย แต่ล่ะ ลำโพงของ 4 Point Surround จะออกเสียงที่แต่ต่างกัน
โดยแต่ล่ะตัวมีหน้าที่แตกต่างกันและมีสัญญาณเป็น ของตัวเอง
ยกเว้น Subwoofer ที่ต้องอาศัยความถี่ของ ลำโพงทั้ง 4 ตัว ในการออกเสียงแทน
Destop Theater 5.1 (6 channel)
===============================
โดยลำโพงแบบ 5.1 นี้จะใหญ่กว่าลำโพงแบบ 4.1 ขึ้นมาอีกหน่อย
ที่แตกต่างก็คือ จะเพื่มช่องสัญญาณ ขึ้นมาอีก 2 Channel ให้กับลำโพงตัวกลางที่เพื่มเข้ามาและ subwoofer
โดยแบบ 5.1 นี้ Subwoofer จะมีช่อง Channel เป็นของตัวเองแล้ว
แต่ก็ยังนับเป็น x.1 อยู่ดีเพราะความถี่ของ Subwoofer นั้นมีความถี่ต่ำเกินกว่าที่จะนับเป็บ 1.0
โดยลำโพงแบบนี้จะ support Dolby Digital และ DTS (Digital Theater Systems) Surround systems
โดยเราจะพบเห็นได้ในโรงหนังทั่วไป
แต่หากระบบนี้มาอยู่ที่จอทีวีบ้านคุณหรือหน้าคอมพิวเตอร์จะเรียกว่า Destop Theater 5.1 นั่นเองครับ
Speaker 6.1 channel
====================
โดยลำโพงแบบ 6.1 นี้ ก็จะมีขนาดที่ใหญ่กว่าลำโพงแบบ 5.1 ที่บอกมาข้างต้น
มีช่องสัญญาณที่เพิ่มเข้ามาอีก
ลำโพงแต่ละตัวจะมีการจัดวางที่แตกต่างกัน แล้วการให้เสียงก็มีความแตกต่างกันด้วย
สามารถให้เสียงที่ไพเราะ มีคุณภาพเสียงที่ดี ทำให้บ้านของท่านกลายเป็นสถานบันเทิงย่อมๆได้เลย
Destop Theater 7.1 (8 channel)
===============================
มีความแตกต่างจาก 5.1 ก็คือ จะเพิ่มลำโพงตรง กลางซ้าย, กลางขวา มาอีก 2 ตัว
การเลือกซื้อลำโพงต้องคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง (How To Buy)
===============================
- ทดสอบลำโพงก่อนการเลือกซื้อ
การเลือกซื้อลำโพงนั้น เครื่องมือในการทดสอบพลังเสียงที่ดีทีสุดคือ หูของเราเอง
อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ในการฟังของแต่ละคนแตกต่างกัน
ถ้าหากใครที่เคยมีลำโพง มีระบบมัลติมีเดียมาบ้างแล้ว อาจจะได้รับประสบการณ์จากการใช้งาน การฟังเสียงลำโพงเดิมมาบ้าง
แต่ถ้าหากไม่มีประสบการณ์มาก่อนเลย ก็อาจจะทำให้การเลือกซื้อนั้นลำบากไปบ้าง
นอกจากนี้สภาพแวดล้อมของการทดสอบฟังเสียงก็ยังแตกต่า งกันออกไป เสียงรอบข้างที่รบกวนมีผลทำให้ผลการทดสอบไม่เด่นชัด
เลือกไม่ถูกว่า ได้ลำโพงที่ถูกใจหรือยัง
แต่สิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่งคือ การตัดสินลำโพงจากรูปทรงภายนอก
เห็นว่ามีรูปทรงสวยขนาดใหญ่ รูปทรงทันสมัย แสดงว่าอาจจะมีเสียงดี
หรือตัดสินจากการทนแรงขับ เป็นวัตต์ของลำโพง เช่น 26 ,96 ,120วัตต์ PMPO /RMS
พวกนั้นเป็นสิ่งที่หลอกลวงผู้ซื้อได้ง่ายที่สุด อย่าหลงประเด็นเป็นอันขาด
ทำนองเดียวกับเครื่องเสียงมินิคอมโปที่ขายกันอยู่ตาม ร้านขายเครื่องเสียงทั่วไป
การทดสอบทำได้โดยการทดสอบด้านที่ต้องการนำเอาไปใช้งาน
ถ้าหากต้องการนำเอาไปฟังเพลงก็ทดสอบว่าเมื่อใช้ฟังเพลง ลำโพงนั้นให้มิติของเสียงครบหรือไม่
เสียงทุ้ม เสียงแหลม ความสมจริงของเสียงดนตรี
ประการนี้หากใครเป็นนักเล่นเครื่องเสียง นักฟังเพลงอยู่แล้วก็คงจะง่ายขึ้น
หรือเมื่อต้องการซื้อลำโพงไปเล่นเกมส์ ก็ควรได้ลำโพงที่มีลักษณะให้เสียงทุ้มได้มาก ให้เสียงได้ดัง มีกำลังวัตต์สูงๆ
เพราะอรรถรสของการเล่นเกมส์นั้น ปฏิเสธกันไม่ได้ว่าเสียงมีส่วนเป็นอย่างมาก
การทดสอบทั่วไปอาจทำโดยการทดสอบเล่นเกมส์ที่มีซาวนด์ เอฟเฟ็คหลากหลาย
เสียงที่ได้ยินช่วงนี้จะเป็นเสียงสังเคราะห์ซึ่งเหนื อจริงเป็นส่วนใหญ่
ทดสอบการเล่นเพลงคาราโอเกะ ซึ่งเสียงจากคาราโอเกะนั้นจะละม้ายคล้ายคลึงกับเสียง ดนตรีที่เล่นกันทั่วไป
เพราะนอกจากการสังเคราะห์ของ Wave Table เสียงควรใส ให้ความกระจ่างในเสียงดนตรี
ทดสอบการฟังเพลงจากแผ่นซีดีเพลง เสียงที่ได้ส่วนนี้อาจจะนำไปเปรียบเทียบกับเสียงที่ไ ด้ยินเมื่อฟังจากเครื่องมินิคอมโปก็ได้
ระหว่างการทดสอบนั้น ควรปรับเสียงดัง-เบา เพื่อทดสอบความแตกต่างด้วย ว่ามีความแตกต่างมากน้อยเพียงใด
- ปุ่มฟังก์ชันของลำโพงที่ใช้ในการปรับเสียงให้ตรงกับความต้องการ
หลังจากพิจารณาแล้ว ลำโพงตัวไหนเป็นเสียงที่ยอมรับได้
ต่อไปคือ ดูว่ามีปุ่มแต่งเสียงอย่างไรบ้าง สำหรับลำโพงแบบมีสองข้าง แบบสเตริโอ
ควรมีปุ่ม BASS สำหรับการปรับเสียงทุ้ม
มีปุ่ม Treble สำหรับการปรับเสียงแหลม
มีปุ่ม Balance สำหรับปรับความสมดุลระหว่างเสียงสองข้าง
ปุ่ม 3 มิติ สำหรับการเล่นระบบ 3 มิติ
จากการตรวจสอบการ์ดเสียงและซอฟต์แวร์ในการใช้งานระบบ มัลติมีเดียที่มีใช้ทั่วไปในคอมพิวเตอร์ พบว่า
ปุ่มฟังก์ชันในการปรับแต่งเสียงเหล่านั้นด้วย ทำให้ไม่สามารถปรับแต่งเสียงในระดับที่พอใจได้
ดังนั้นการเลือกซื้อ ลำโพงที่มีปุ่มปรับเสียงแหลม ทุ้ม ควบคุมระดับความดังของเสียง ควบคุมสมดุลของลำโพงซ้ายขวา จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด
สำหรับลำโพงชุดที่มีซับวูเฟอร์ โดยมากมีเพียงปุ่มปรับระดับความดังของเสียง
โดยมี 2 ตำแหน่ง สำหรับควบคุมลำโพงคู่ ทั้งซ้ายและขวา
1 ตำแหน่ง และสำหรับการควบคุมซับวูเฟอร์อีก 1 ตำแหน่ง
ทั้งนี้ ในการปรับก็ขึ้นอยู่ความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน ว่าต้องการระดับเสียงทุ้มในปริมาณใด
หากน้อยเกินไปก็ไม่ได้ยินเสียงทุ้ม หากมากเกินไปทำให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยเสียงทุ้ม ฟังแล้วไม่เป็นธรรมชาติ
- ราคาของลำโพง
ราคานับว่าเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งในการตัดสินใจเลือกซื ้อลำโพง
ราคาลำโพงสำหรับระบบมัลติมีเดียนั้นมีให้เลือกกันตั้งแต่ราคาร้อยไปจนหลายพันก็มี
สำหรับระบบคอมพิวเตอร์แล้ว ลำโพงนั้นควรมีราคาเท่าไรดี
ถ้าจะให้เหมาะสมควร 1000 ถึง 6000 บาทไม่ควรน้อยหรือมากไปกว่านี้
เพราะเอาตามหลักการซื้อเครื่องเสียง ราคาลำโพงก็ควรจะมีราคาเท่ากับของราคาของซาวน์การ์ด
ดังนั้นในคอมพิวเตอร์ ถ้าการ์ดเสียงราคา 1000 บาท ลำโพงก็ควรราคา 1000 บาท
แต่ถ้าลำโพงราคาแพงกว่านั้นก็แสดงว่าจะได้เสียงที่ดีขึ้น
เดี๋ยวนี้ราคาซาวนด์การ์ดที่มีคุณภาพดีก็มีราคาที่ลดลงมากแล้วจากแต่ก่อน
ลำโพงที่เราซื้อนั้นควรจะมีภาคขยายเสียง (Amplifier) ด้วย
ส่วนขนาดของลำโพงควรพอเหมาะพอดีกับโต๊ะวางคอมพิวเตอร ์ ไม่ใช่ว่าใหญ่เกินไปหรือเล็กเกินไป
ถ้าใหญ่เกินไปก็จะเกะกะวางลำบาก ถ้าเล็กเกินไปเสียงก็ไม่ดีเท่าที่ควร
แต่ก็มีลำโพงที่มีขนาดเล็กแต่เสียงใหญ่เกินตัวก็มี อย่างเช่นลำโพงของ Boston Acoustic
ซึ่งเป็นรุ่นที่ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับระบบคอมพิวเตอร ์ มีขนาดที่ไม่ใหญ่ แต่เสียงใหญ่เกินตัว
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะเลือกซื้อ แนะนำให้ทำการทดสอบก่อน เพื่อดูว่าเสียงแบบไหนที่เหมาะสมกับท่าน
สำหรับชุดลำโพงแบบมีซับวูเฟอร์นั้นราคาจะอยู่ประมาณ 800 จนถึงราคาเกือบหมื่นบาทก็มี
ซึ่งลำโพงแบบมีซับวูเฟอร์นี้มีราคาที่ต่ำลงกว่าแต่ก่อนมาก แต่คุณภาพเสียงก็ตามราคานะครับ.
สรุปส่งท้าย
หลังจากพิจารณาความเหมาะสมในการเลือกลำโพง ได้เรียนรู้ประเภทของลำโพงต่างๆ
ได้รู้ชนิดของลำโพงต่างๆสำหรับการใช้งานจริง ๆ ของคุณแล้ว ต่อไปก็ตัดสินใจด้วยหูของคุณเอง
ก่อนที่จะเลือกซื้อ ให้ลองฟังเสียงลำโพงหลาย ๆ ยี่ห้อที่มีระดับราคาเดียวกัน และเป็นราคาที่ท่านสามารถซื้อได้
ถ้าเจอลำโพงเสียงแบบที่คุณถูกใจ สเปกของลำโพงก็อาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปก็ได้ครับ
เพราะมักมีผู้กล่าวไว้ว่าเรื่องของเสียงไม่มีคำว่าผิดหรือถูก มีแต่ว่าชอบหรือไม่ชอบเท่านั้น จึงเป็นหน้าที่ที่คุณจะต้องตัดสินใจแล้วนะครับ?
http://www.quickpc.co.th/quickdata/guide/spe/spe.htm
ที่มา http://www.lumzingonline.com/webboard/showthread.php?t=190
=========
- ลำโพง Monitor ฟังระยะใกล้ ใช้ประมาณ 25 W
- ลำโพงฟังในบ้าน ใช้ประมาณ 150 W
- วง Folk Song เล่นใน Coffee Shop เล็กๆ ที่นั่งไม่เกิน 50 ที่ ใช้ประมาณ 25 - 250 W
- วง Folk Song เล่นในห้องประชุมขนาดกลาง หรือใน Club ที่นั่งไม่เกิน 50 - 250 ที่ ใช้ประมาณ 95 - 250 W
- วง Folk Song เล่นในงานกลางแจ้งขนาดเล็ก ระยะห่างจากลำโพงไม่เกิน 15 เมตร ใช้ประมาณ 250 W
- วง Pop หรือ Jazz เล่นในห้องประชุมขนาดกลาง หรือใน Club ที่นั่งไม่เกิน 150 - 250 ที่ ใช้ประมาณ 250 - 750 W
- วง Pop หรือ Jazz เล่นใน Concert Hall ที่นั่งไม่เกิน 2,000 ที่ใช้ประมาณ 400 - 1,200 W
- วง Rock เล่นในห้องประชุมขนาดกลาง หรือใน Club ที่นั่งไม่เกิน 50 - 250 ที่ ใช้ประมาณ 1,500 W
- วง Rock เล่นในงานกลางแจ้งขนาดเล็ก ระยะห่างจากลำโพงไม่เกิน 15 เมตร ใช้ประมาณ 1,000 - 3,000 W
- วง Rock หรือ Heavy เล่นใน Stadium หรือ สนามกีฬาขนาดใหญ่ ระยะห่างจากลำโพงประมาณ 30 - 100 เมตร ใช้ Power ประมาณ 4,000 -
15,000 W ใน Tour Concert ของเมืองนอก อาจใช้ Power ถึง 80,000 - 400,000 W
http://www.musiccyber.com/index.php?topic=53.0
ถ้าเป็น COUNTRY , POP , JAZZ หรือแนวเพลงเบาๆ ให้คูณด้วย 1.6
เช่น 1,000 x 1.6 = 1,600 w.
แต่ถ้าเป็นแนว ROCK หรือ HEAVY จะคูณด้วย 2.5
เช่น 1,000 x 2.5 = 2,500 w.
วัตต์ลำโพง
======
ปกติเราจะใช้ประมาณ 50% บวกลบ 10% ของ Power Amp
เช่น เรามีลำโพงกำลัง 1,000 w. เราจะใช้ Power Amp ได้ตั้งแต่ 1,600 - 2,400 w. โดยประมาณ
ที่ต้องใช้ Power Amp สูงกว่าลำโพงเพราะว่า ถ้าเกิดไปเจอพี่โปกเค้าแหกปากมาแบบไม่ปรึกษาใคร จะทำให้ Power Clip หรือเสียงแตก(หนุ่ม)
ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายที่ลำโพงได้
http://www.musiccyber.com/index.php?topic=309.0
Active Speaker
==============
ก็คือ "ตู้ลำโพง + เครื่องขยายเสียง"
ที่คนนิยมใช้ก็เพราะเนื้อที่ของมันกระทัดรัดกว่า ลดสายที่ต่อพ่วง
การออกแบบ Amp และดอกลำโพงมันถูกจับคู่กันมาดีแล้ว
จึงไม่ต้องตามหา Amp กับ Speaker คู่ที่เหมาะสมกันครับ
Preamp
======
ไม่ได้ใช้ปรับแต่งเสียง วงจรส่วนที่ใช้ปรับแต่งเสียงจริง ๆ คือส่วน EQ หรือ Tone Control
คือ บุคคลิกของ Preamp อาจจะทำให้เสียงกีตาร์เปลี่ยนไปก็จริง (และดูเหมือนว่าคนจะต้องการก็จริง) แต่โดยปรกติแล้วนักออกแบบเขาไม่ได้ต้องการให้มันเสียงมันเปลี่ยนหรอกครับ
หน้าที่ของ Preamp หรือ Pre-Amplifier ก็คือ ขยายก่อน ... (แปลตรงอีกละ) จริง ๆ คือ เป็นการขยายสัญญาณเพื่อเพิ่มความแรงของสัญญาณให้เหมาะสมต่อ
Input ของ Power Amp ครับ (แล้ว Power Amp ก็ไปขับลำโพงอีกที)
PreAmp ที่เรียกๆกันเดี๋ยวนี้ เหมารวมไปกับ Tone Control หรือ EQ เกือบทั้งหมดละครับ
Power Amp
=========
จะขยายสัญญาณโดยที่จะไม่มีการปรับแต่ง หรืออาจมีเล็กน้อย ปุ่ม พรีเซ็ต เพื่อให้ได้กำลัง วัตต์ ที่เราต้องการที่จะออกลำโพงครับ
ส่วนประกอบของลำโพง
===========
ลำโพงที่เราเห็นอยู่ในท้องตลาดนั้น โดยส่วนใหญ่ลำโพงจะอยู่ในรูปของตู้ลำโพงที่อาจจะทำจา กไม้หรือพลาสติกที่มีความทนทาน ซึ่งลำโพงที่ใช้กับคอมพิวเตอร์โดยส่วนใหญ่จะมีตู้ลำโ พงที่ทำขึ้นจาก
พลาสติก โดยภายในจะประกอบด้วย Driver หรือตัวดอกลำโพงซึ่งจะมีขนาดที่แตกต่างกันออกไป และวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ให้กำเนิดเสียง ซึ่งได้แก่ Amplifier และ
Crossover Network ซึ่งอุปกรณ์ภายในเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดขนาดหรือรูปแ บบเสียงของลำโพงที่ออกมา
จำนวนดอกลำโพงที่ใช้ก็จะมีผลต่อความเป็นธรรมชาติของเ สียงที่ออกมา
ถ้ามีดอกลำโพงหลายตัวก็จะทำให้เสียงที่ได้ครอบคลุมย่ านความถี่ของเสียงได้มากกว่า ให้รายละเอียดของทุกชิ้นเครื่องดนตรีได้ดีกว่า
ลำโพงแบบ 2 ทาง จะประกอบด้วยลำโพง ของวูเฟอร์ และทวีตเตอร์
ในย่านความถี่เสียงกลางและเสียงต่ำจะถูกขับออกทางวูเ ฟอร์
ส่วนความถี่เสียงสูงก็จะถูกขับออกทางทวีตเตอร์
สำหรับลำโพงแบบ 3 ทาง ก็จะประกอบด้วย ซับวูเฟอร์, วูเฟอร์ และทวีตเตอร์
เสียงต่ำสุดก็จะถูกขับออกทางซับวูเฟอร์
เสียงกลางจะถูกขับออกทางวูเฟอร์
และเสียงแหลมก็จะถูกขับออกทางทวีตเตอร์
ลำโพงแบบหลายทางจำเป็นจะต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Crossover Network
เป็นตัวแบ่งสัญญาณเสียงในแต่ละย่านออกจากกันและจ่ายไปให้ลำโพงที่ถูกต้อง
ซึ่งอาจจะเป็นสองทางหรือสามทางแล้วแต่ว่าเป็นลำโพงแบบไหน
นอกจากนี้ Crossover Network ยังทำหน้าที่ในการควบคุมความสมดุลของเสียงในแต่ละย่านความถี่
พร้อมทั้งมีระบบการป้องกันการทำงานที่เกินกำลังของลำโพงและการป้องกันระดับความถี่ของเสียงที่สูงเกินกว่า ลำโพงจะรับได้
ลำโพง Tweeter
===========
ทวีตเตอร์เป็นลำโพงที่ใช้สำหรับขับเสียงความถี่สูง โดยทั่วไปจะมีความถี่เกินจาก 1.5 KHz ขึ้นไป
ลำโพง Woofer
=========
ลำโพงวูเฟอร์จะใช้สำหรับขับเสียงความถี่ต่ำ คือในระดับความถี่ไม่เกิน 1.5 KHz
เนื่องจากความถี่ต่ำมีความยาวของคลื่นค่อนข้างมาก ลำโพงวูเฟอร์จึงต้องมีขนาดใหญ่
เพื่อให้สามารถขับอากาศได้เพียงพอสำหรับสร้างเสียงความถี่ต่ำ
ยิ่งวูเฟอร์มีขนาดใหญ่เท่าใด กำลังในการขับและความดังของเสียงเบสก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น
วูเฟอร์จะใช้ในการขับเสียงกลางและเสียงต่ำ
ลำโพง Sub Woofer
==============
ซับวูเฟอร์เป็นลำโพงที่ใช้ขับเสียงความถี่ต่ำที่สุด คือในระดับความถี่ถึง 500 Hz
ยิ่งขนาดของลำโพงซับวูเฟอร์มีขนาดใหญ่มากเท่าใด พลังในการขับก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น
ในระบบลำโพงที่มีซับวูเฟอร์จะให้เสียงในระดับความถี่ ต่ำได้ดีเป็นพิเศษ
ลำโพงแบบต่างๆ
###############
Mono (1 channel )
=================
หลักการของ Mono คือส่งสัญญานเสียงออกมาที่ลำโพงตัวหลัง และตัวเดียว
โดยที่ Mono นี้ไม่มี มโนภาพของเสียง
อีกความหมายหนึ่งคือ เราไม่สามารถบอกได้ว่า เสียงนี้มาจากตำแหน่งไหน และมาจากที่ใด
(วิทยุที่มีลำโพงเดียว หรือ gramophone เช่น วิทยุสมัยก่อน)
Mono นั้นจะไม่เหมือนกับพวก stereo และ multi-speaker อื่นๆ
หากเราเอาลำโพง Mono ไปเล่นกับเครื่องเสียงที่เป็น stereo เสียงที่ออกมาก็ยังเป็น Mono อยู่ดี
แต่เสียงจะออกมาจากลำโพง 2 ลำโพง แต่เสียงที่เราได้รับทั้ง 2 ลำโพงจะเป็นเสียงๆเดียวกัน
เหมือนกันทั้ง 2 ลำโพง เหมือนว่าเสียงนั้นมาจากที่เดียวกัน
Stereo (2 channel )
===================
เสียงแบบ Stereo นี้จะมีความแตกต่างจาก Mono มากพอสมควรทีเดียว
โดยในการจัดวางลำโพงนั้นจะต้องจัดวางลำโพงทั้ง 2 ตัว
โดยที่ตัวหนึ่งอยู่ทางซ้าย และอีกตัวหนึ่งอยู่ทางขวาของผู้ฟัง
โดยเสียงแบบ Stereo นี้เราจะสามารถบอกสถานที่ของตำแหน่งของเสียงได้
ซึ่งต่างจากลำโพงแบบ Mono
เช่น เมื่อเราเปิดเพลง เพลงที่เราได้ยินกันนี้ อาจจะได้ยินเสียงของกลอง อาจจะอยู่ตรงกลาง
เสียงกีต้าร์อยู่ด้านขวาของลำโพง เสียงเปียโนอยู่ทางด้านซ้ายของลำโพง
และเสียงนักร้องจะ อยู่ตรงกลาง ทำให้เสียงที่ได้นั้นมีความไพเราะมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นลำโพงที่ดีกว่าลำโพงแบบแรก
Speaker 2.1 channel
====================
ลำโพงแบบ 2.1 แชนแนลนี้เป็นลำโพงที่ได้มีการพัฒนามาจากลำโพงแบบ 2 แชนแนล
คือจะมีการเพิ่มลำโพงซับวูเฟอร์เข้ามาอีกตัว
ซึ่งสามารถเพิ่มพลังเสียงเบสขึ้นมา ทำให้มีเสียงที่ดียิ่งขึ้น
ซึ่งในปัจจุบันลำโพงแบบนี้เป็นลำโพงที่ได้รับความนิย มสูง
เนื่องจากเป็นลำโพงที่มีราคาไม่แพงมากนัก และสามารถให้เสียงที่ดี สามารถติดตั้งได้ง่าย
4 Point Surround ( 4.1 channel)
===============================
โดยลำโพงแบบนี้จะประกอบไปด้วยลำโพงมากถึง 4 ตัว และ subwoofer อีก 1 ตัว
เรียกอีกอย่างว่าเป็นลำโพงแบบ 4.1
ซึ่งลำโพงแบบนี้ต้องใช้คู่กับซาวนด์การ์ดที่เป็นแบบ 4.1 ด้วย
โดยลำโพง 4 ตัวนี้จะจัดอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกันคือ หน้าซ้าย,หน้าขวา,หลังซ้าย,หลังขวา และ subwoofer
โดยที่ลำโพง Subwoofer นี้จะไม่นับเป็นลำโพงที่ 5 เพราะเป็นลำโพงที่มีความถี่ต่ำ เขาจึงนับแค่ .1
โดย แต่ล่ะ ลำโพงของ 4 Point Surround จะออกเสียงที่แต่ต่างกัน
โดยแต่ล่ะตัวมีหน้าที่แตกต่างกันและมีสัญญาณเป็น ของตัวเอง
ยกเว้น Subwoofer ที่ต้องอาศัยความถี่ของ ลำโพงทั้ง 4 ตัว ในการออกเสียงแทน
Destop Theater 5.1 (6 channel)
===============================
โดยลำโพงแบบ 5.1 นี้จะใหญ่กว่าลำโพงแบบ 4.1 ขึ้นมาอีกหน่อย
ที่แตกต่างก็คือ จะเพื่มช่องสัญญาณ ขึ้นมาอีก 2 Channel ให้กับลำโพงตัวกลางที่เพื่มเข้ามาและ subwoofer
โดยแบบ 5.1 นี้ Subwoofer จะมีช่อง Channel เป็นของตัวเองแล้ว
แต่ก็ยังนับเป็น x.1 อยู่ดีเพราะความถี่ของ Subwoofer นั้นมีความถี่ต่ำเกินกว่าที่จะนับเป็บ 1.0
โดยลำโพงแบบนี้จะ support Dolby Digital และ DTS (Digital Theater Systems) Surround systems
โดยเราจะพบเห็นได้ในโรงหนังทั่วไป
แต่หากระบบนี้มาอยู่ที่จอทีวีบ้านคุณหรือหน้าคอมพิวเตอร์จะเรียกว่า Destop Theater 5.1 นั่นเองครับ
Speaker 6.1 channel
====================
โดยลำโพงแบบ 6.1 นี้ ก็จะมีขนาดที่ใหญ่กว่าลำโพงแบบ 5.1 ที่บอกมาข้างต้น
มีช่องสัญญาณที่เพิ่มเข้ามาอีก
ลำโพงแต่ละตัวจะมีการจัดวางที่แตกต่างกัน แล้วการให้เสียงก็มีความแตกต่างกันด้วย
สามารถให้เสียงที่ไพเราะ มีคุณภาพเสียงที่ดี ทำให้บ้านของท่านกลายเป็นสถานบันเทิงย่อมๆได้เลย
Destop Theater 7.1 (8 channel)
===============================
มีความแตกต่างจาก 5.1 ก็คือ จะเพิ่มลำโพงตรง กลางซ้าย, กลางขวา มาอีก 2 ตัว
การเลือกซื้อลำโพงต้องคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง (How To Buy)
===============================
- ทดสอบลำโพงก่อนการเลือกซื้อ
การเลือกซื้อลำโพงนั้น เครื่องมือในการทดสอบพลังเสียงที่ดีทีสุดคือ หูของเราเอง
อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ในการฟังของแต่ละคนแตกต่างกัน
ถ้าหากใครที่เคยมีลำโพง มีระบบมัลติมีเดียมาบ้างแล้ว อาจจะได้รับประสบการณ์จากการใช้งาน การฟังเสียงลำโพงเดิมมาบ้าง
แต่ถ้าหากไม่มีประสบการณ์มาก่อนเลย ก็อาจจะทำให้การเลือกซื้อนั้นลำบากไปบ้าง
นอกจากนี้สภาพแวดล้อมของการทดสอบฟังเสียงก็ยังแตกต่า งกันออกไป เสียงรอบข้างที่รบกวนมีผลทำให้ผลการทดสอบไม่เด่นชัด
เลือกไม่ถูกว่า ได้ลำโพงที่ถูกใจหรือยัง
แต่สิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่งคือ การตัดสินลำโพงจากรูปทรงภายนอก
เห็นว่ามีรูปทรงสวยขนาดใหญ่ รูปทรงทันสมัย แสดงว่าอาจจะมีเสียงดี
หรือตัดสินจากการทนแรงขับ เป็นวัตต์ของลำโพง เช่น 26 ,96 ,120วัตต์ PMPO /RMS
พวกนั้นเป็นสิ่งที่หลอกลวงผู้ซื้อได้ง่ายที่สุด อย่าหลงประเด็นเป็นอันขาด
ทำนองเดียวกับเครื่องเสียงมินิคอมโปที่ขายกันอยู่ตาม ร้านขายเครื่องเสียงทั่วไป
การทดสอบทำได้โดยการทดสอบด้านที่ต้องการนำเอาไปใช้งาน
ถ้าหากต้องการนำเอาไปฟังเพลงก็ทดสอบว่าเมื่อใช้ฟังเพลง ลำโพงนั้นให้มิติของเสียงครบหรือไม่
เสียงทุ้ม เสียงแหลม ความสมจริงของเสียงดนตรี
ประการนี้หากใครเป็นนักเล่นเครื่องเสียง นักฟังเพลงอยู่แล้วก็คงจะง่ายขึ้น
หรือเมื่อต้องการซื้อลำโพงไปเล่นเกมส์ ก็ควรได้ลำโพงที่มีลักษณะให้เสียงทุ้มได้มาก ให้เสียงได้ดัง มีกำลังวัตต์สูงๆ
เพราะอรรถรสของการเล่นเกมส์นั้น ปฏิเสธกันไม่ได้ว่าเสียงมีส่วนเป็นอย่างมาก
การทดสอบทั่วไปอาจทำโดยการทดสอบเล่นเกมส์ที่มีซาวนด์ เอฟเฟ็คหลากหลาย
เสียงที่ได้ยินช่วงนี้จะเป็นเสียงสังเคราะห์ซึ่งเหนื อจริงเป็นส่วนใหญ่
ทดสอบการเล่นเพลงคาราโอเกะ ซึ่งเสียงจากคาราโอเกะนั้นจะละม้ายคล้ายคลึงกับเสียง ดนตรีที่เล่นกันทั่วไป
เพราะนอกจากการสังเคราะห์ของ Wave Table เสียงควรใส ให้ความกระจ่างในเสียงดนตรี
ทดสอบการฟังเพลงจากแผ่นซีดีเพลง เสียงที่ได้ส่วนนี้อาจจะนำไปเปรียบเทียบกับเสียงที่ไ ด้ยินเมื่อฟังจากเครื่องมินิคอมโปก็ได้
ระหว่างการทดสอบนั้น ควรปรับเสียงดัง-เบา เพื่อทดสอบความแตกต่างด้วย ว่ามีความแตกต่างมากน้อยเพียงใด
- ปุ่มฟังก์ชันของลำโพงที่ใช้ในการปรับเสียงให้ตรงกับความต้องการ
หลังจากพิจารณาแล้ว ลำโพงตัวไหนเป็นเสียงที่ยอมรับได้
ต่อไปคือ ดูว่ามีปุ่มแต่งเสียงอย่างไรบ้าง สำหรับลำโพงแบบมีสองข้าง แบบสเตริโอ
ควรมีปุ่ม BASS สำหรับการปรับเสียงทุ้ม
มีปุ่ม Treble สำหรับการปรับเสียงแหลม
มีปุ่ม Balance สำหรับปรับความสมดุลระหว่างเสียงสองข้าง
ปุ่ม 3 มิติ สำหรับการเล่นระบบ 3 มิติ
จากการตรวจสอบการ์ดเสียงและซอฟต์แวร์ในการใช้งานระบบ มัลติมีเดียที่มีใช้ทั่วไปในคอมพิวเตอร์ พบว่า
ปุ่มฟังก์ชันในการปรับแต่งเสียงเหล่านั้นด้วย ทำให้ไม่สามารถปรับแต่งเสียงในระดับที่พอใจได้
ดังนั้นการเลือกซื้อ ลำโพงที่มีปุ่มปรับเสียงแหลม ทุ้ม ควบคุมระดับความดังของเสียง ควบคุมสมดุลของลำโพงซ้ายขวา จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด
สำหรับลำโพงชุดที่มีซับวูเฟอร์ โดยมากมีเพียงปุ่มปรับระดับความดังของเสียง
โดยมี 2 ตำแหน่ง สำหรับควบคุมลำโพงคู่ ทั้งซ้ายและขวา
1 ตำแหน่ง และสำหรับการควบคุมซับวูเฟอร์อีก 1 ตำแหน่ง
ทั้งนี้ ในการปรับก็ขึ้นอยู่ความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน ว่าต้องการระดับเสียงทุ้มในปริมาณใด
หากน้อยเกินไปก็ไม่ได้ยินเสียงทุ้ม หากมากเกินไปทำให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยเสียงทุ้ม ฟังแล้วไม่เป็นธรรมชาติ
- ราคาของลำโพง
ราคานับว่าเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งในการตัดสินใจเลือกซื ้อลำโพง
ราคาลำโพงสำหรับระบบมัลติมีเดียนั้นมีให้เลือกกันตั้งแต่ราคาร้อยไปจนหลายพันก็มี
สำหรับระบบคอมพิวเตอร์แล้ว ลำโพงนั้นควรมีราคาเท่าไรดี
ถ้าจะให้เหมาะสมควร 1000 ถึง 6000 บาทไม่ควรน้อยหรือมากไปกว่านี้
เพราะเอาตามหลักการซื้อเครื่องเสียง ราคาลำโพงก็ควรจะมีราคาเท่ากับของราคาของซาวน์การ์ด
ดังนั้นในคอมพิวเตอร์ ถ้าการ์ดเสียงราคา 1000 บาท ลำโพงก็ควรราคา 1000 บาท
แต่ถ้าลำโพงราคาแพงกว่านั้นก็แสดงว่าจะได้เสียงที่ดีขึ้น
เดี๋ยวนี้ราคาซาวนด์การ์ดที่มีคุณภาพดีก็มีราคาที่ลดลงมากแล้วจากแต่ก่อน
ลำโพงที่เราซื้อนั้นควรจะมีภาคขยายเสียง (Amplifier) ด้วย
ส่วนขนาดของลำโพงควรพอเหมาะพอดีกับโต๊ะวางคอมพิวเตอร ์ ไม่ใช่ว่าใหญ่เกินไปหรือเล็กเกินไป
ถ้าใหญ่เกินไปก็จะเกะกะวางลำบาก ถ้าเล็กเกินไปเสียงก็ไม่ดีเท่าที่ควร
แต่ก็มีลำโพงที่มีขนาดเล็กแต่เสียงใหญ่เกินตัวก็มี อย่างเช่นลำโพงของ Boston Acoustic
ซึ่งเป็นรุ่นที่ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับระบบคอมพิวเตอร ์ มีขนาดที่ไม่ใหญ่ แต่เสียงใหญ่เกินตัว
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะเลือกซื้อ แนะนำให้ทำการทดสอบก่อน เพื่อดูว่าเสียงแบบไหนที่เหมาะสมกับท่าน
สำหรับชุดลำโพงแบบมีซับวูเฟอร์นั้นราคาจะอยู่ประมาณ 800 จนถึงราคาเกือบหมื่นบาทก็มี
ซึ่งลำโพงแบบมีซับวูเฟอร์นี้มีราคาที่ต่ำลงกว่าแต่ก่อนมาก แต่คุณภาพเสียงก็ตามราคานะครับ.
สรุปส่งท้าย
หลังจากพิจารณาความเหมาะสมในการเลือกลำโพง ได้เรียนรู้ประเภทของลำโพงต่างๆ
ได้รู้ชนิดของลำโพงต่างๆสำหรับการใช้งานจริง ๆ ของคุณแล้ว ต่อไปก็ตัดสินใจด้วยหูของคุณเอง
ก่อนที่จะเลือกซื้อ ให้ลองฟังเสียงลำโพงหลาย ๆ ยี่ห้อที่มีระดับราคาเดียวกัน และเป็นราคาที่ท่านสามารถซื้อได้
ถ้าเจอลำโพงเสียงแบบที่คุณถูกใจ สเปกของลำโพงก็อาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปก็ได้ครับ
เพราะมักมีผู้กล่าวไว้ว่าเรื่องของเสียงไม่มีคำว่าผิดหรือถูก มีแต่ว่าชอบหรือไม่ชอบเท่านั้น จึงเป็นหน้าที่ที่คุณจะต้องตัดสินใจแล้วนะครับ?
http://www.quickpc.co.th/quickdata/guide/spe/spe.htm
ที่มา http://www.lumzingonline.com/webboard/showthread.php?t=190
เสียเปรียบ
เสียเปรียบตามโลกสมมุตินิยม กิเลสนิยมต่างหาก
แต่ธรรมท่านไม่ได้นิยม
ยอมเสียเปรียบ
ด้วยทางใจของเรา มีความเมตตา ให้อภัย
นี่เป็นของมีคุณค่ามาก
แล้วเราก็ “ได้เปรียบ” ในตัวของเรา
ชนะตัวเรา ชนะความโกรธ
ชนะความที่จะเอาเปรียบ ตอบรับเขาไปได้
ที่มา ให้พากันจำ หลวงตามหาบัว
ถ้ายังคิดว่า
เราจะเอาชนะคนอื่น ด้วยการเอารัดเอาเปรียบเขา ก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้แพ้ตนเองตลอดไป
ที่มา บันทึกธรรม จากหลวงปู่
พระราชญาณวิสุทธิโสภณ
(หลวงปู่ท่อน ญาณธโร)
แต่ธรรมท่านไม่ได้นิยม
ยอมเสียเปรียบ
ด้วยทางใจของเรา มีความเมตตา ให้อภัย
นี่เป็นของมีคุณค่ามาก
แล้วเราก็ “ได้เปรียบ” ในตัวของเรา
ชนะตัวเรา ชนะความโกรธ
ชนะความที่จะเอาเปรียบ ตอบรับเขาไปได้
ที่มา ให้พากันจำ หลวงตามหาบัว
ถ้ายังคิดว่า
เราจะเอาชนะคนอื่น ด้วยการเอารัดเอาเปรียบเขา ก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้แพ้ตนเองตลอดไป
ที่มา บันทึกธรรม จากหลวงปู่
พระราชญาณวิสุทธิโสภณ
(หลวงปู่ท่อน ญาณธโร)
Labels:
detailed consideration
Wednesday, January 19, 2011
to be happy
สุขจากการได้
===========
น่องไก่สองชิ้นที่มีขนาดเท่ากัน
ถ้าโยนชิ้นแรกให้หมา มันจะวิ่งไปคาบ
และถ้าโยนอีกชิ้นที่เหลืออยู่ไปให้
มันจะรีบคายของเก่าและวิ่งไปคาบชิ้นใหม่แทน
หลายคนมีเสื้อผ้าจำนวนมาก
บางตัวซื้อมา ยังไม่เคยหยิบเอามาใส่ แม้แต่ครั้งเดียว
แต่ก็ยังดีใจกับการได้เสื้อผ้าใหม่ๆ
สุขจากการมี
==========
พอใจในสิ่งที่ตนมี
ไม่ต้องเปรียบเทียบความหล่อหรือสวยของแฟนกับใคร แค่คุณสมบัติดีเพียงพอ ก็มีความสุข
มีเงินเยอะแล้ว เพียงพอเหมาะสม ก็รู้จักพอ ก็มีความสุข
(แทนอีกรูปแบบที่คนจำนวนมากคิดกัน คือ ไม่เคยพอ
ทั้งๆที่มีเงินมากขึ้นทุกปี แต่ถามทีไรก็บอกว่า อยากมีเงินมากกว่าที่มีอยู่)
(สุขจากการมี ไม่ได้หมายความว่าให้งอมืองอเท้า
แต่ให้ขยันหมั่นเพียร และสันโดษ -พอใจกับสิ่งที่มี สิ่งที่เป็น- )
สุขจากการไม่มี
============
มีทรัพย์สินเงินทอง ก็ทุกข์เพราะทรัพย์สินเงินทอง
ต้องเก็บรักษา กลัวโดนขโมย กลัวมันหาย
มีบ้าน ก็กลัวไฟไหม้ กลัวมันถูกงัด
มีรถ ก็กลัวถูกขโมย
มีแฟน มีลูก ก็ทุกข์เพราะแฟน ทุกข์เพราะลูก
(เช่น แฟนกลับบ้านผิดเวลา หรือลูกป่วยไข้ไม่สบาย)
....ไม่มีซะ ก็ไม่ทุกข์
Phoenix จะเลือกเป็นคนแบบไหน?
^______^
ทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใครๆนิยมใช้กัน คือ
การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
เช่น แฟนเราหล่อไม่เท่าคนนู้น
เอาใจไม่เก่งเท่าคนนี้
ลูกคนนู้นเก่งกว่าลูกของเรา
คนอื่นซื้อของได้ในราคาที่ถูกกว่าเรา
คนอื่นได้รับแจกสิ่งของที่ดีกว่าของเรา ฯลฯ
การมองแบบนี้ "ขาดทุนสองต่อ"
๑ ไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่
๒ ทุกข์เพราะไม่มีสิ่งที่อยาก
แง่คิด และข้อความหลายส่วนคัดลอกมาจากหนังสือ
ความสุขที่ปลายจมูก โดย พระไพศาล วิสาโล
แต่ถ้าทุกข์ไปแล้วทำไงดี
==============
หลายครั้งเราเผลอ เอาความสุข ความทุกข์ ไปผูกติดกับสถานการณ์ภายนอก
ซึ่งแท้ที่จริง มันแยกกันได้
เศรษฐกิจไม่ดี ค้าขายไม่ดี ก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
เราควรแก้ไขสถานการณ์ ไม่ใช่ทุกข์
(บางคนคิดอย่างนี้)
ตังคำพูดที่ว่า "อ่านตัวเองให้ออก บอกเตือนตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น"
เมื่อเรารู้จักตัวเอง ตัวเองกำลังเป็นทุกข์ ก็มีสติ
รู้เข้าใจว่า
ใดๆ (ความทุกข์ ความสุข) มีเกิดขึ้น มีตั้งอยู่ เดี๋ยวก็ดับไป
ถ้าทุกข์แล้ว มีประโยชน์ก็ จมอยู่กับความทุกข์ไปเรื่อยๆ
แต่ถ้าไม่มีประโยชน์ ก็ต้องเลิกเติมเชื้อ ให้กับความทุกข์นั้น
คือ ไม่หลงคิดปรุงแต่งต่างๆนาๆ หลอกตัวเองไปเรื่อยๆ
มีสติอยู่กับปัจจุบัน
ที่มา คำสอนในพระพุทธศาสนา
===========
น่องไก่สองชิ้นที่มีขนาดเท่ากัน
ถ้าโยนชิ้นแรกให้หมา มันจะวิ่งไปคาบ
และถ้าโยนอีกชิ้นที่เหลืออยู่ไปให้
มันจะรีบคายของเก่าและวิ่งไปคาบชิ้นใหม่แทน
หลายคนมีเสื้อผ้าจำนวนมาก
บางตัวซื้อมา ยังไม่เคยหยิบเอามาใส่ แม้แต่ครั้งเดียว
แต่ก็ยังดีใจกับการได้เสื้อผ้าใหม่ๆ
สุขจากการมี
==========
พอใจในสิ่งที่ตนมี
ไม่ต้องเปรียบเทียบความหล่อหรือสวยของแฟนกับใคร แค่คุณสมบัติดีเพียงพอ ก็มีความสุข
มีเงินเยอะแล้ว เพียงพอเหมาะสม ก็รู้จักพอ ก็มีความสุข
(แทนอีกรูปแบบที่คนจำนวนมากคิดกัน คือ ไม่เคยพอ
ทั้งๆที่มีเงินมากขึ้นทุกปี แต่ถามทีไรก็บอกว่า อยากมีเงินมากกว่าที่มีอยู่)
(สุขจากการมี ไม่ได้หมายความว่าให้งอมืองอเท้า
แต่ให้ขยันหมั่นเพียร และสันโดษ -พอใจกับสิ่งที่มี สิ่งที่เป็น- )
สุขจากการไม่มี
============
มีทรัพย์สินเงินทอง ก็ทุกข์เพราะทรัพย์สินเงินทอง
ต้องเก็บรักษา กลัวโดนขโมย กลัวมันหาย
มีบ้าน ก็กลัวไฟไหม้ กลัวมันถูกงัด
มีรถ ก็กลัวถูกขโมย
มีแฟน มีลูก ก็ทุกข์เพราะแฟน ทุกข์เพราะลูก
(เช่น แฟนกลับบ้านผิดเวลา หรือลูกป่วยไข้ไม่สบาย)
....ไม่มีซะ ก็ไม่ทุกข์
Phoenix จะเลือกเป็นคนแบบไหน?
^______^
ทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใครๆนิยมใช้กัน คือ
การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
เช่น แฟนเราหล่อไม่เท่าคนนู้น
เอาใจไม่เก่งเท่าคนนี้
ลูกคนนู้นเก่งกว่าลูกของเรา
คนอื่นซื้อของได้ในราคาที่ถูกกว่าเรา
คนอื่นได้รับแจกสิ่งของที่ดีกว่าของเรา ฯลฯ
การมองแบบนี้ "ขาดทุนสองต่อ"
๑ ไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่
๒ ทุกข์เพราะไม่มีสิ่งที่อยาก
แง่คิด และข้อความหลายส่วนคัดลอกมาจากหนังสือ
ความสุขที่ปลายจมูก โดย พระไพศาล วิสาโล
แต่ถ้าทุกข์ไปแล้วทำไงดี
==============
หลายครั้งเราเผลอ เอาความสุข ความทุกข์ ไปผูกติดกับสถานการณ์ภายนอก
ซึ่งแท้ที่จริง มันแยกกันได้
เศรษฐกิจไม่ดี ค้าขายไม่ดี ก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
เราควรแก้ไขสถานการณ์ ไม่ใช่ทุกข์
(บางคนคิดอย่างนี้)
ตังคำพูดที่ว่า "อ่านตัวเองให้ออก บอกเตือนตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น"
เมื่อเรารู้จักตัวเอง ตัวเองกำลังเป็นทุกข์ ก็มีสติ
รู้เข้าใจว่า
ใดๆ (ความทุกข์ ความสุข) มีเกิดขึ้น มีตั้งอยู่ เดี๋ยวก็ดับไป
ถ้าทุกข์แล้ว มีประโยชน์ก็ จมอยู่กับความทุกข์ไปเรื่อยๆ
แต่ถ้าไม่มีประโยชน์ ก็ต้องเลิกเติมเชื้อ ให้กับความทุกข์นั้น
คือ ไม่หลงคิดปรุงแต่งต่างๆนาๆ หลอกตัวเองไปเรื่อยๆ
มีสติอยู่กับปัจจุบัน
ที่มา คำสอนในพระพุทธศาสนา
Angel
ท่าน(หลวงปู่มั่น)พูดถึงเทวบุตรเทวดา อินทร์พรหม ที่มาเยี่ยมท่าน
ท่านบอกว่า ท่านมาอยู่ที่สกลนครนี้ พวกเทวดามาเกี่ยวข้องน้อยมาก
จะมาเป็นเวลา คือมาในวันเข้าพรรษา วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันออกพรรษา
นอกนั้นเทวดาไม่ค่อยมากัน
ส่วนไปอยู่ที่เชียงใหม่ โห ต้อนรับแทบทุกวัน ไม่มีเวลาว่างเลย ท่านว่ายังงั้น
….
นั่นละ เห็นไหม ญาณหยั่งทราบ พวกตาดีท่านอย่างนั้น
พวกตาบอดปฏิเสธวันยันค่ำ ไม่มี....
โห เวลานี้กำลังเริ่มลบล้างพวกเทวบุตร เทวดา ว่าไม่มีแล้วนะ
ก็ชาวพุทธเราเองนี่แหละ มันเป็นข้าศึกต่อพระพุทธเจ้าเสียเอง
…
ท่าน(หลวงปู่มั่น)กล่าวถึงการบำเพ็ญสมณธรรมของท่านอาจารย์หล้าไว้ว่า
“..ท่านอาจารย์หล้ามีนิสัยเด็ดเดี่ยวอาจหาญ ชอบอยู่และไปคนเดียว
ท่านมีนิสัยชอบรู้สิ่งแปลกๆได้ดี คือ พวกกายทิพย์ มีเทวดา เป็นต้น
พวกนี้เคารพรักท่านมาก ท่านว่าท่านพักอยู่ที่ไหน มักมีพวกนี้ไปอารักขาอยู่เสมอ”
ที่มา ประวัติพระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว)
เทวดาคุ้มครอง
============
"...เรื่องเทวบุตรเทวดา เลยพูดให้ฟังพระผู้ท่านเชี่ยวชาญ ท่านชำนิชำนาญในสมัยปัจจุบันนี้เองยังมีอยู่ แต่เหมือนท่านไม่รู้ พระท่านรู้เหมือนไม่รู้ ไม่เหมือนฆราวาส ไม่เหมือนคนทั้งหลาย พระท่านรู้ก็เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น ธรรมด๊าธรรมดา อันใดจะเป็นประโยชน์แก่ใครก็หยิบออกมาพูดๆ เมื่อวานนี้พูดเกี่ยวกับเรื่องเทวดาว่า
พระท่านอดข้าวภาวนา อดไปหลายวัน เทวดากลัวท่านหิน กลัวท่านตาย เทวดาองค์นั้นเคยเป็นแม่ของพระองค์นั้น นั่นท่านรู้ขนาดนั้นนะ มาขออุปถัมภ์อุปัฏฐาก มองเห็นกันเดินไปเดินมา เห็นอยู่ อากัปกิริยา แสดงอะไรเห็นอยู่เหมือนคน เห็นอยู่ชัดๆ ในเวลาเงียบๆ นั้น
ทางพระก็ตกใจซี ตาลืมอยู่ก็เห็นอยู่ หลับตาก็เห็นลืมตาก็เห็น เห็นอยู่อย่างนั้นชัดๆ เหมือนคนธรรมดา จึงพูดไปว่า
"โอ๊ย อย่างนี้ไม่ได้นะ เดี๋ยวเขาโจมตีพระแหลกนะ" เทวดาว่า
"โจมตียังไง"
"ก็มองเห็นกันอยู่นี้ ผู้หญิงกับพระอยู่ด้วยกันได้ยังไง เทวดาก็เป็นผู้หญิง หลักธรรมหลักวินัยมีอยู่มิใช่เหรอ"
"โอ๊ย ก็ทำให้เห็นแต่ท่านเท่านั้นแหละ คนอื่นมีกี่หมื่นกี่แสนคนก็ไม่เห็น ให้เห็นเฉพาะท่านเท่านั้น นอกนั้นไม่ให้เห็น"
เอาอาหารทิพย์มาให้กิน พูดกันด้วยภาษาใจ ไม่ได้พูดกันอย่างภาษาเรานะ เอาอาหารทิพย์มาให้กิน พระท่านบอกว่า
"กินไม่ได้ เวลานี้ไม่กินข้าว อดอาหารภาวนา"
บางทีก็นำอาหารทิพย์มาหากลางคืน นี่เวลานี้กลางคืนไม่กินก็อ้างไปเสีย แล้วเวลากลางวันก็ว่าเวลานี้อดอาหารก็พลิกไปเสีย เทวดากลัวทุกข์ยากลำบากกลัวเป็นกลัวตาย
"ถ้าอย่างนั้นแม่จะเอาข้าวมา เอาข้าวทิพย์แหละมาทามาถูตามร่างกายให้ซึมเข้าไป ให้ข้าวซึมเข้าไป"
"ไม่เอา ถ้ากลัวตายไม่ต้องอด" พระท่านก็แก้ของท่านไปอย่างนั้น
กลางวี่กลางวันก็มารออยู่ที่สูงๆ บนถ้ำ รักษาความปลอดภัยให้ลูก ลูกอยู่คนเดียว มารักษาความปลอดภัยให้ ไม่ให้อะไรมาที่นี่ ถ้ำเทวดาว่าไม่ให้มา สัตว์เสือช้างก็มาไม่ได้ ไม่ว่าช้างว่าเสือว่าอะไรเทวดาไม่ให้เข้ามาในบริเวณนี้ พวกสัตว์ พวกเปรต พวกผีอะไรไม่ให้เข้ามา เทวดารักษาอยู่ นี่อย่างนี้ก็มีฟังเอา แต่พวกเทวดานี้ร่างกายเหมือนสำลีนะ...เบา เบาเหมือนสำลี ลงมาเหมือนสำลีปลิวลงมา ขึ้นก็เหมือนสำลี เดินแบบธรรมดา เรานี้ก็ได้ทุกแบบ แบบสำลีมาก็มี แล้วแต่อาการแบบไหนที่ควรจะใช้ยังไงๆ อิริยาบถใด ควรจะใช้ยังไงใช้ได้ทั้งนั้น
ที่แปลกประหลาดมากก็เวลาคนตาย พระไปอยู่ในถ้ำไกลๆ จากบ้าน บ้านในป่าในเขาไม่ค่อยมีพระละซิ ในป่าในเขาไม่ค่อยมีพระ ครั้นเวลาคนตายก็มานิมนต์พระท่านไปกุสลาให้ ใครตายก็ตามในหมู่บ้าน เขาต้องมานิมนต์ท่านไป กุสลา ธัมมา ทีนี้พอคนตาย ทางพระนี้รู้แล้วนี่
"โห แล้วกัน พรุ่งนี้ต้องไปอีกแล้ว"
ตอนนั้นท่านไม่ได้ฉันข้าวนะ เป็นช่วงเวลาที่พระท่านอดอาหารภาวนาอยู่ ก็เลยต้องเดินทางไปกุสลาให้เขาในหมู่บ้านนู่น
"เอาอีกแล้วคนตายแล้ว" ตายในบ้านโน้น ท่านรู้แล้วทางนี้
"คนตายในบ้านอีกแล้ว" บางทีก็รู้ขึ้นภายในตัวเอง บางทีเทวดามาบอกว่า
"คนตายแล้วนะ" อย่างนั้นก็มี มีได้หลายทาง มาจากเทวดาก็มี ออกจากความรู้เจ้าของก็มี บอกอะไรก็จริงทั้งนั้น พอประมาณสัก 10 โมงเช้า เขาขึ้นภูเขา
"มาแล้ว"
"มาอะไรล่ะ ?" คอยฟังคำตอบ
"มานิมนต์ไปโปรดสัตว์"
แน่ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีผิดไม่มีเคลื่อนเลย พอตื่นนอนขึ้นมา เอาแล้ววันนี้ เตรียมกุสลาแล้ววันนี้ พอ 9 โมงเช้าหรือ 10 โมงเช้า คนโผล่ขึ้นไปแล้ว
"อะไรล่ะโยม ?"
"โอ๊ย นิมนต์ไปโปรดสัตว์"
พวกเรามันพวกตาบอดไม่เห็น ท่านผู้ตาดีท่านเห็นธรรมดาเหมือนเราตาดีเห็นอะไรนี่ ท่านผู้ตาดีภายใน นี่ละสิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ทั้งหมดผิดที่ตรงไหน นี่ละเครือของศาสนา กิ่งก้านของศาสนา มีอยู่หมดเลย ตั้งแต่อริยสัจเป็นต้นเป็นแกนขยายกิ่งก้านสาขาออกไปหาพวกเปรต พวกนรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน พวกเปรต พวกผีพวกอะไรๆ นี้เป็นกิ่งก้านของอริยสัจในวงศาสนา...
ที่มา จากหนังสือประวัติหลวงตามหาบัว
พระอาจารย์มั่นท่านเล่าเรื่องไปถึงมูเซอ มีเทวดามาฟังเทศน์เยอะ
มาเป็นพันๆ หมื่นๆ พวกเทวดาเยอรมันก็มาฟัง
ทีนี้พวกมูเซอมันเห็นแสงสว่างบนภูเขาทั้งลูก อยู่ดีๆสว่างเข้ามาเรื่อย
แสงสว่างเต็มไปหมด จ้าหมดบนภูเขา
พอตอนเช้าท่านไปบิณฑบาต พวกมูเซอมันก็ถาม
“ตุ๊เจ้า..จุดตะเกียงเจ้าพายุรึ เมื่อคืนนี้สว่างหมดทั้งเขา
ตุ๊เจ้า ใช้ตะเกียงเจ้าพายุรุ่นไหน สว่างคักแท้"
ที่มา ประวัติพระครูสุทธิธรรมรังษี หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง
ท่านบอกว่า ท่านมาอยู่ที่สกลนครนี้ พวกเทวดามาเกี่ยวข้องน้อยมาก
จะมาเป็นเวลา คือมาในวันเข้าพรรษา วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันออกพรรษา
นอกนั้นเทวดาไม่ค่อยมากัน
ส่วนไปอยู่ที่เชียงใหม่ โห ต้อนรับแทบทุกวัน ไม่มีเวลาว่างเลย ท่านว่ายังงั้น
….
นั่นละ เห็นไหม ญาณหยั่งทราบ พวกตาดีท่านอย่างนั้น
พวกตาบอดปฏิเสธวันยันค่ำ ไม่มี....
โห เวลานี้กำลังเริ่มลบล้างพวกเทวบุตร เทวดา ว่าไม่มีแล้วนะ
ก็ชาวพุทธเราเองนี่แหละ มันเป็นข้าศึกต่อพระพุทธเจ้าเสียเอง
…
ท่าน(หลวงปู่มั่น)กล่าวถึงการบำเพ็ญสมณธรรมของท่านอาจารย์หล้าไว้ว่า
“..ท่านอาจารย์หล้ามีนิสัยเด็ดเดี่ยวอาจหาญ ชอบอยู่และไปคนเดียว
ท่านมีนิสัยชอบรู้สิ่งแปลกๆได้ดี คือ พวกกายทิพย์ มีเทวดา เป็นต้น
พวกนี้เคารพรักท่านมาก ท่านว่าท่านพักอยู่ที่ไหน มักมีพวกนี้ไปอารักขาอยู่เสมอ”
ที่มา ประวัติพระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว)
เทวดาคุ้มครอง
============
"...เรื่องเทวบุตรเทวดา เลยพูดให้ฟังพระผู้ท่านเชี่ยวชาญ ท่านชำนิชำนาญในสมัยปัจจุบันนี้เองยังมีอยู่ แต่เหมือนท่านไม่รู้ พระท่านรู้เหมือนไม่รู้ ไม่เหมือนฆราวาส ไม่เหมือนคนทั้งหลาย พระท่านรู้ก็เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น ธรรมด๊าธรรมดา อันใดจะเป็นประโยชน์แก่ใครก็หยิบออกมาพูดๆ เมื่อวานนี้พูดเกี่ยวกับเรื่องเทวดาว่า
พระท่านอดข้าวภาวนา อดไปหลายวัน เทวดากลัวท่านหิน กลัวท่านตาย เทวดาองค์นั้นเคยเป็นแม่ของพระองค์นั้น นั่นท่านรู้ขนาดนั้นนะ มาขออุปถัมภ์อุปัฏฐาก มองเห็นกันเดินไปเดินมา เห็นอยู่ อากัปกิริยา แสดงอะไรเห็นอยู่เหมือนคน เห็นอยู่ชัดๆ ในเวลาเงียบๆ นั้น
ทางพระก็ตกใจซี ตาลืมอยู่ก็เห็นอยู่ หลับตาก็เห็นลืมตาก็เห็น เห็นอยู่อย่างนั้นชัดๆ เหมือนคนธรรมดา จึงพูดไปว่า
"โอ๊ย อย่างนี้ไม่ได้นะ เดี๋ยวเขาโจมตีพระแหลกนะ" เทวดาว่า
"โจมตียังไง"
"ก็มองเห็นกันอยู่นี้ ผู้หญิงกับพระอยู่ด้วยกันได้ยังไง เทวดาก็เป็นผู้หญิง หลักธรรมหลักวินัยมีอยู่มิใช่เหรอ"
"โอ๊ย ก็ทำให้เห็นแต่ท่านเท่านั้นแหละ คนอื่นมีกี่หมื่นกี่แสนคนก็ไม่เห็น ให้เห็นเฉพาะท่านเท่านั้น นอกนั้นไม่ให้เห็น"
เอาอาหารทิพย์มาให้กิน พูดกันด้วยภาษาใจ ไม่ได้พูดกันอย่างภาษาเรานะ เอาอาหารทิพย์มาให้กิน พระท่านบอกว่า
"กินไม่ได้ เวลานี้ไม่กินข้าว อดอาหารภาวนา"
บางทีก็นำอาหารทิพย์มาหากลางคืน นี่เวลานี้กลางคืนไม่กินก็อ้างไปเสีย แล้วเวลากลางวันก็ว่าเวลานี้อดอาหารก็พลิกไปเสีย เทวดากลัวทุกข์ยากลำบากกลัวเป็นกลัวตาย
"ถ้าอย่างนั้นแม่จะเอาข้าวมา เอาข้าวทิพย์แหละมาทามาถูตามร่างกายให้ซึมเข้าไป ให้ข้าวซึมเข้าไป"
"ไม่เอา ถ้ากลัวตายไม่ต้องอด" พระท่านก็แก้ของท่านไปอย่างนั้น
กลางวี่กลางวันก็มารออยู่ที่สูงๆ บนถ้ำ รักษาความปลอดภัยให้ลูก ลูกอยู่คนเดียว มารักษาความปลอดภัยให้ ไม่ให้อะไรมาที่นี่ ถ้ำเทวดาว่าไม่ให้มา สัตว์เสือช้างก็มาไม่ได้ ไม่ว่าช้างว่าเสือว่าอะไรเทวดาไม่ให้เข้ามาในบริเวณนี้ พวกสัตว์ พวกเปรต พวกผีอะไรไม่ให้เข้ามา เทวดารักษาอยู่ นี่อย่างนี้ก็มีฟังเอา แต่พวกเทวดานี้ร่างกายเหมือนสำลีนะ...เบา เบาเหมือนสำลี ลงมาเหมือนสำลีปลิวลงมา ขึ้นก็เหมือนสำลี เดินแบบธรรมดา เรานี้ก็ได้ทุกแบบ แบบสำลีมาก็มี แล้วแต่อาการแบบไหนที่ควรจะใช้ยังไงๆ อิริยาบถใด ควรจะใช้ยังไงใช้ได้ทั้งนั้น
ที่แปลกประหลาดมากก็เวลาคนตาย พระไปอยู่ในถ้ำไกลๆ จากบ้าน บ้านในป่าในเขาไม่ค่อยมีพระละซิ ในป่าในเขาไม่ค่อยมีพระ ครั้นเวลาคนตายก็มานิมนต์พระท่านไปกุสลาให้ ใครตายก็ตามในหมู่บ้าน เขาต้องมานิมนต์ท่านไป กุสลา ธัมมา ทีนี้พอคนตาย ทางพระนี้รู้แล้วนี่
"โห แล้วกัน พรุ่งนี้ต้องไปอีกแล้ว"
ตอนนั้นท่านไม่ได้ฉันข้าวนะ เป็นช่วงเวลาที่พระท่านอดอาหารภาวนาอยู่ ก็เลยต้องเดินทางไปกุสลาให้เขาในหมู่บ้านนู่น
"เอาอีกแล้วคนตายแล้ว" ตายในบ้านโน้น ท่านรู้แล้วทางนี้
"คนตายในบ้านอีกแล้ว" บางทีก็รู้ขึ้นภายในตัวเอง บางทีเทวดามาบอกว่า
"คนตายแล้วนะ" อย่างนั้นก็มี มีได้หลายทาง มาจากเทวดาก็มี ออกจากความรู้เจ้าของก็มี บอกอะไรก็จริงทั้งนั้น พอประมาณสัก 10 โมงเช้า เขาขึ้นภูเขา
"มาแล้ว"
"มาอะไรล่ะ ?" คอยฟังคำตอบ
"มานิมนต์ไปโปรดสัตว์"
แน่ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีผิดไม่มีเคลื่อนเลย พอตื่นนอนขึ้นมา เอาแล้ววันนี้ เตรียมกุสลาแล้ววันนี้ พอ 9 โมงเช้าหรือ 10 โมงเช้า คนโผล่ขึ้นไปแล้ว
"อะไรล่ะโยม ?"
"โอ๊ย นิมนต์ไปโปรดสัตว์"
พวกเรามันพวกตาบอดไม่เห็น ท่านผู้ตาดีท่านเห็นธรรมดาเหมือนเราตาดีเห็นอะไรนี่ ท่านผู้ตาดีภายใน นี่ละสิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ทั้งหมดผิดที่ตรงไหน นี่ละเครือของศาสนา กิ่งก้านของศาสนา มีอยู่หมดเลย ตั้งแต่อริยสัจเป็นต้นเป็นแกนขยายกิ่งก้านสาขาออกไปหาพวกเปรต พวกนรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน พวกเปรต พวกผีพวกอะไรๆ นี้เป็นกิ่งก้านของอริยสัจในวงศาสนา...
ที่มา จากหนังสือประวัติหลวงตามหาบัว
พระอาจารย์มั่นท่านเล่าเรื่องไปถึงมูเซอ มีเทวดามาฟังเทศน์เยอะ
มาเป็นพันๆ หมื่นๆ พวกเทวดาเยอรมันก็มาฟัง
ทีนี้พวกมูเซอมันเห็นแสงสว่างบนภูเขาทั้งลูก อยู่ดีๆสว่างเข้ามาเรื่อย
แสงสว่างเต็มไปหมด จ้าหมดบนภูเขา
พอตอนเช้าท่านไปบิณฑบาต พวกมูเซอมันก็ถาม
“ตุ๊เจ้า..จุดตะเกียงเจ้าพายุรึ เมื่อคืนนี้สว่างหมดทั้งเขา
ตุ๊เจ้า ใช้ตะเกียงเจ้าพายุรุ่นไหน สว่างคักแท้"
ที่มา ประวัติพระครูสุทธิธรรมรังษี หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง
after death experience
เณรระลึกชาติ
"...ท่านกล่าวไว้ในมหาวิบาก นรกมีถึง ๒๕ ขุม ตั้งแต่ใหญ่ๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ นี่นรกเมืองผีมีถึง ๒๕ หลุม แล้วจากนั้นก็มาปลีกย่อย ถ้าไปลงนรกอเวจีแล้วกี่กัปกี่กัลป์ก็ไม่ได้พ้นแหละ จมอยู่นั้น ถึงจะเป็นกฎอนิจจังก็กี่ปีกี่กัลป์ถึงจะเปลี่ยนมา
กรรมของสัตว์ประเภทนี้ พวกฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำลายพระพุทธเจ้า ยุยงให้สงฆ์แตกจากกัน ๕ ประการ ท่านเรียกอนันตริยกรรม แปลว่ากรรมนี้หนักมาก แล้วพวกนี้แหละพวกลงไปนั่น นี่มีนิทานสดๆ ร้อนๆ อันหนึ่งที่จะนำมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เราเป็นคนซักด้วยปากของเราเองอันนี้ คือเอากันต่อหน้าเลย ซักเลย
มีเณรองค์หนึ่ง อยู่บ้านน้ำก่ำ อำเภอพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม เณรนี้ระลึกชาติได้ ระลึกชาติถอยหลังได้ ชาติเจ้าของนั่นเอง แต่ก่อนเขาชื่อว่าบัวเหมือนกับชื่อหลวงตาบัวนี่แหละ เขาอยู่บ้านโคกเลาะ ชื่อเขาพูดถูกหมดนะ เหตุที่จะมีการยืนยันรับรองกันคืออาจารย์ของเขาเอง เราพบกับเณรนี้แล้วก็ไปพบกับอาจารย์ ชื่ออาจารย์ทอง อาจารย์ของพระบัวนี่
พระบัวนี่เป็นหนุ่มแล้วไปฟังเทศน์แล้วเกิดความเลื่อมใส ท่านอาจารย์ทองท่านไปทางเมืองอุบล ไปโน้น แนะนำสั่งสอนประชาชนเขาเกิดความเคารพเลื่อมใส นายบัวนี่ก็มาขอบวชกับท่าน บวชแล้วก็ติดสอยห้อยตามท่านมา มาอยู่บ้านสามผง พอดีมาเป็นไข้ป่าที่สามผงตาย ปีนั้นพระตาย ๓ องค์ นี่ท่านอาจารย์ทองท่านเล่าเอง ปีที่ตาย ๓ องค์นี่นะ แต่พระบัวนั้นบอกแต่ว่ามาตายที่บ้านสามผงเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าตายเท่านั้นองค์เท่านี้องค์
พอตายแล้ว นี่เราสรุปเอาเลย แบกกลดสะพายบาตรดูเขาเผาศพเรา คนทั้งหลายเต็มอยู่มาเผาศพ ก็ยืนดูศพอยู่ สะพายบาตรแบกกลดอยู่ดูเขาเผาศพ เขาไม่สนใจกับเราเลย คนเป็นร้อยๆ เต็มอยู่นั่น เขาไม่สนใจกับเราสักคนเดียวเลย เราก็ไปยืนดูศพของเรา
พอเสร็จแล้วก็ออกไปทางด้านตะวันออก ศพเรานี่ก็ถูกเผาเป็นเถ้าเป็นถ่าน ขนาดนี้แล้วจะหวังเอาอะไรอีก เราไปแล้วไม่ห่วงใยแล้ว แล้วก็ไป พอไปก็ไปถึงศาลาใหญ่หลังหนึ่ง ศาลานั้นใหญ่มากทีเดียว นี่เป็นเณรนี้เล่าให้ฟังนะ
เหตุที่จะได้ซักถามเณรนี้เพราะมีพระมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องเณรนี้ระลึก ชาติได้ แล้วพอดีมางานศพหลวงปู่มั่นเรานี่ เณรนี้ก็จะมา เราก็นัดกับพระไว้ว่าถ้าเณรนั้นมาให้มาหาเรา พอดีเณรนั้นมาก็ให้มาหาจริงๆ แต่ส่วนมากแกไม่อยากเล่าเรื่องระลึกชาติได้
'เล่าทีไรเป็นไข้ทุกที' ว่าอย่างนั้น 'เข็ดพอเล่าเรื่องชาติหลังย้อนหลังแล้วไข้ทุกทีไม่เคยพลาด'
'เอ้า คราวนี้ไม่ให้ไข้' เราก็ว่าอย่างนั้นแหละ 'เอ้า เล่ามาให้หมดนะคราวนี้ไม่ให้ไข้ มาเล่ากับเรานี่ไม่ให้ไข้' ก็ไม่ไข้จริงๆนะ แปลกอยู่นะ มีหนเดียวรายเดียวนี่ไม่ไข้ พอมาก็ซักถามกันถึงเรื่องตายแล้วไปที่ว่านี่ไปศาลาใหญ่หลังหนึ่ง
ศาลาหลังนั้นเจ้าหน้าที่พวกยมบาลอะไรเหล่านี้เต็มอยู่นั่น สมุดบัญชีมีเป็นสองกอง กองใหญ่เบ้อเร่อเทียว กองหนึ่งเล็ก แล้วกองใหญ่นั้นสำหรับบัญชีคนทำชั่ว กองเล็กนี้สำหรับบัญชีคนทำดี พระองค์นั้นก็สะพายบาตรแล้วไปยืน แล้วพวกนักโทษพูดง่ายๆ นักโทษทำกรรมหนักทำกรรมเบา กรรมอะไรก็ตามเขาแยกไว้เป็นประเภทๆ เต็มศาลา
ทีนี้เขาเรียกชื่อ พอเรียกชื่อนายนั้นๆ พอเรียกชื่อปั๊บต้องมาถึงปุ๊บเลย อำนาจแห่งกรรมมันบีบบังคับขนาดนั้น จะอืดอาดไม่ได้ พอเรียกชื่อปั๊บจะมาปุ๊บๆ เลย มีกี่คนโทษประเภทนี้ มีหัวหน้า ๒ คนเท่านั้นแหละ หัวหน้าน่ากลัวมาก คนหนึ่งนำหน้าคนหนึ่งตามหลัง พอเรียกชื่อเสร็จแล้วไล่ลง พวกนี้ไปแล้วเรียกพวกนั้นมากอีกเป็นคณะๆ จนกระทั่งหมด นี่พูดสรุปเอาให้พอดีกับเวลา
พอหมดแล้วก็ยังเหลือแต่ยายคนหนึ่งนั่งอยู่นั่น ยายคนนั้นเป็นคนเหมือนคนวัดเรานี่แหละ เหมือนคนแต่งตัวไปวัดเรานี่ ไปถือศีลถือธรรม มีผ้าเฉวียงบ่านุ่งผ้าซิ่นเราธรรมดาไปวัดนี่ แกนั่งอยู่ทางโน่น เขาเรียกคุณแม่นะ สำหรับยายคนนี้เขาเรียกคุณแม่ นอกนั้นเขาเรียกนายนั้นนายนี้ๆ ลงเลยๆ นี่เขาเรียกคุณแม่
พอพวกสัตว์นรกไปหมดแล้วเขาเรียกเชิญคุณแม่มาที่นี่ ถ้าคุณแม่อยากไปสวรรค์ให้ลงที่นี่เลย คุณแม่จะไปสวรรค์ชั้นไหนก็ไปได้ให้ลงไปนี้ แล้วรถเขาจะมา รถทิพย์จะมา ลงไปสระน้ำนี้แล้วก็ไปเปลื้องผ้านี้ออก ลงจากสระนี้แล้วก็เดินบุกน้ำไป
รถจะมาทางฟากสระทางนั้นแล้วก็ขึ้นรถ ประดับตกแต่งใหม่หมด เครื่องประดับประดาตบแต่งเขาจัดเอามาพร้อมรถเลย พอไปแล้วลงน้ำนี่ปั๊บก็ขึ้น เขาก็เชิญเลยจูงขึ้นแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็เหาะบึ่งขึ้นเหมือนสำลี...รถ ทิพย์ รถทิพย์พูดอะไรพูดไม่ได้แต่มันประจักษ์กับตาอยู่ว่างั้น
เป็นสีงามอร่ามตาอะไรนี้เราพูดไม่ถูก...รถทิพย์ แต่ก็ไม่ได้ถามว่ารถทิพย์นี้มาจากชั้นไหนจะไปชั้นไหน เป็นแต่เพียงว่าผู้หญิงคนนี้จะไปสวรรค์ พอเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ยังเหลือแต่พระองค์เดียวยืนอยู่นั่น คือพระบัวที่ตายไปนั่นแล
เจ้าหน้าที่เหล่านั้นเขาก็ไม่ได้มาสนใจกับเราแหละ พอเขาส่งยายคนนั้นเสร็จแล้วเขาก็ทำงานของเขาอยู่บนโต๊ะ
'แล้วอาตมาเล่าจะให้ไปไหน? ไม่เห็นเรียกอาตมา'
'โห ท่านน่ะถ้าตั้งใจจะไปเกิดเมืองมนุษย์ก็ให้กลับหลัง ย้อนหลังนี้ไป ถ้าจะไปสวรรค์ก็ให้ลงไปนี้ ท่านไปได้ทั้งไปสวรรค์ ทั้งไปเมืองมนุษย์ ถ้าท่านจะไปสวรรค์ก็ให้ลงนี้ เหมือนกับยายคนนั้นลงแล้วรถทิพย์จะมาเอง'
'อาตมาไม่ไปแหละอาตมาหิวน้ำ จะไปหาฉันน้ำก่อน'
ลงจากนั้นก็ลงไปๆ จนถึงบ้านน้ำก่ำนี่แหละ บ้านเขาก็อยู่ริมทุ่งนา เขามาตักน้ำก็ไปขอบิณฑบาตฉันน้ำกับเขา เขาบอกว่าให้ไปบ้านหลังนี้นะ เขาจะตักน้ำแล้วให้ไปที่นั่น ไปรออยู่บ้านหลังนั้น เขาชี้บอกเห็นบ้านชัดๆ อยู่บ้านหลังนั้น บ้านหลังจะเกิดเข้าใจหรือเปล่า พอไปที่นั่นรู้สึกเคลิ้มๆ จะหลับ เหนื่อยเพลียมาก เคลิ้มๆ แล้วหลับไปเลย เลยยังไม่ทันได้ฉันน้ำ
พอตื่นขึ้นมาที่ไหนได้เกิดแล้ว นั่นละที่นี่แกระลึกชาติของแกได้ตลอดนะ ระลึกชาติย้อนหลังๆ ได้ตลอดเลย นี่เวลาเราซักถาม ทีนี้พอดีอาจารย์ทองของเธอมา เราก็กราบเรียนถามเล่าเรื่องนี้ให้ฟังแล้ว โห ท่านตกตะลึงนะ ท่านตกใจ
'ใช่แล้วนี่พระบัว'
ท่านก็อธิบายให้ฟังตลอดหมดเลย ไปสามผงไปตายด้วยกัน ๓ องค์อะไรๆ พระองค์นี้ชื่อบัว ไล่ผีเก่งนะพระองค์นี้แต่ไม่เห็นไล่ผีเจ้าของได้ ท่านพูดเราก็ยังไม่ลืม นี่พูดถึงเรื่องระลึกชาติได้
คำว่าระลึกชาติได้นี้กับพระพุทธเจ้าระลึกชาติได้มันต่างกันนะ พวกนี้สลบไสล พวกนี้ตาย การระลึกนั้นระลึกนี้รู้นั้นรู้นี้มันอาจเคลื่อนคลาดเพราะคนกระเสือก กระสนกระวนกระวาย ไม่ได้เหมือนพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าที่ระลึกชาติย้อนหลังเช่น ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้
เฉพาะชาติของพระองค์นี้มีกี่ภพกี่ชาติทรงทราบได้ตลอดทั่วถึง ตลอดถึงภพชาติของสัตว์ทั้งหลายรู้ได้หมดด้วยพระญาณหยั่งทราบ ไม่ได้ด้วยการสลบไสลเหมือนอย่างโลกทั้งหลายเขาเป็นกัน คนนั้นตายฟื้นกลับคืนมาแล้วระลึกชาติได้อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วมาฮือกันเป็นบ้าไป
พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระญาณหยั่งทราบ ประกาศธรรมสอนโลกมานี้กี่ปีแล้วไม่เห็นตื่อนกันบ้าง มันเป็นบ้าหรือยังไงมนุษย์เรานี่มัอยากว่าอย่างงั้นนะ เราไปตื่นกับเรื่องแบบบ้าอย่างงั้น พวกคนสลบไสลตายฟื้นกลับคืนมาแบ้วมาระลึกชาติได้ แล้วตื่อกันฮือฮาๆ
พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นคนสลบไสล ตรัสรู้ขึ้นมาเป็นอรรถเป็นศาสดาเอกของโลก รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งหลาย ประกาศธรรมสอนไว้ทำไมถึงไม่ตื่นกันบ้าง ให้ตื่นนะ ไม่ตื่นไม่ได้นะ จมจริงๆ นะ ฟังซิว่านรกเดือดพล่านๆ ไม่มีวันมีคืนมีปีมีเดือนมีอย่างนั้นตลอดเวลา พวกสัตว์นรกนี้ก็แน่นอัด ๆ เพราะสัตว์ทั้งหลายทำแต่กรรมชั่วนั่นซิ ทางสวรรค์นี้เบาบาง ทางนรกนี้แน่นหนามั่นคงมากทีเดียวตั้งแต่เรื่องกรรมของสัตว์ๆ นี่ละให้จำให้ดีให้สดๆ ร้อนๆ..."
ที่มา หนังสือประวัติหลวงตามหาบัว
"...ท่านกล่าวไว้ในมหาวิบาก นรกมีถึง ๒๕ ขุม ตั้งแต่ใหญ่ๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ นี่นรกเมืองผีมีถึง ๒๕ หลุม แล้วจากนั้นก็มาปลีกย่อย ถ้าไปลงนรกอเวจีแล้วกี่กัปกี่กัลป์ก็ไม่ได้พ้นแหละ จมอยู่นั้น ถึงจะเป็นกฎอนิจจังก็กี่ปีกี่กัลป์ถึงจะเปลี่ยนมา
กรรมของสัตว์ประเภทนี้ พวกฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำลายพระพุทธเจ้า ยุยงให้สงฆ์แตกจากกัน ๕ ประการ ท่านเรียกอนันตริยกรรม แปลว่ากรรมนี้หนักมาก แล้วพวกนี้แหละพวกลงไปนั่น นี่มีนิทานสดๆ ร้อนๆ อันหนึ่งที่จะนำมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เราเป็นคนซักด้วยปากของเราเองอันนี้ คือเอากันต่อหน้าเลย ซักเลย
มีเณรองค์หนึ่ง อยู่บ้านน้ำก่ำ อำเภอพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม เณรนี้ระลึกชาติได้ ระลึกชาติถอยหลังได้ ชาติเจ้าของนั่นเอง แต่ก่อนเขาชื่อว่าบัวเหมือนกับชื่อหลวงตาบัวนี่แหละ เขาอยู่บ้านโคกเลาะ ชื่อเขาพูดถูกหมดนะ เหตุที่จะมีการยืนยันรับรองกันคืออาจารย์ของเขาเอง เราพบกับเณรนี้แล้วก็ไปพบกับอาจารย์ ชื่ออาจารย์ทอง อาจารย์ของพระบัวนี่
พระบัวนี่เป็นหนุ่มแล้วไปฟังเทศน์แล้วเกิดความเลื่อมใส ท่านอาจารย์ทองท่านไปทางเมืองอุบล ไปโน้น แนะนำสั่งสอนประชาชนเขาเกิดความเคารพเลื่อมใส นายบัวนี่ก็มาขอบวชกับท่าน บวชแล้วก็ติดสอยห้อยตามท่านมา มาอยู่บ้านสามผง พอดีมาเป็นไข้ป่าที่สามผงตาย ปีนั้นพระตาย ๓ องค์ นี่ท่านอาจารย์ทองท่านเล่าเอง ปีที่ตาย ๓ องค์นี่นะ แต่พระบัวนั้นบอกแต่ว่ามาตายที่บ้านสามผงเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าตายเท่านั้นองค์เท่านี้องค์
พอตายแล้ว นี่เราสรุปเอาเลย แบกกลดสะพายบาตรดูเขาเผาศพเรา คนทั้งหลายเต็มอยู่มาเผาศพ ก็ยืนดูศพอยู่ สะพายบาตรแบกกลดอยู่ดูเขาเผาศพ เขาไม่สนใจกับเราเลย คนเป็นร้อยๆ เต็มอยู่นั่น เขาไม่สนใจกับเราสักคนเดียวเลย เราก็ไปยืนดูศพของเรา
พอเสร็จแล้วก็ออกไปทางด้านตะวันออก ศพเรานี่ก็ถูกเผาเป็นเถ้าเป็นถ่าน ขนาดนี้แล้วจะหวังเอาอะไรอีก เราไปแล้วไม่ห่วงใยแล้ว แล้วก็ไป พอไปก็ไปถึงศาลาใหญ่หลังหนึ่ง ศาลานั้นใหญ่มากทีเดียว นี่เป็นเณรนี้เล่าให้ฟังนะ
เหตุที่จะได้ซักถามเณรนี้เพราะมีพระมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องเณรนี้ระลึก ชาติได้ แล้วพอดีมางานศพหลวงปู่มั่นเรานี่ เณรนี้ก็จะมา เราก็นัดกับพระไว้ว่าถ้าเณรนั้นมาให้มาหาเรา พอดีเณรนั้นมาก็ให้มาหาจริงๆ แต่ส่วนมากแกไม่อยากเล่าเรื่องระลึกชาติได้
'เล่าทีไรเป็นไข้ทุกที' ว่าอย่างนั้น 'เข็ดพอเล่าเรื่องชาติหลังย้อนหลังแล้วไข้ทุกทีไม่เคยพลาด'
'เอ้า คราวนี้ไม่ให้ไข้' เราก็ว่าอย่างนั้นแหละ 'เอ้า เล่ามาให้หมดนะคราวนี้ไม่ให้ไข้ มาเล่ากับเรานี่ไม่ให้ไข้' ก็ไม่ไข้จริงๆนะ แปลกอยู่นะ มีหนเดียวรายเดียวนี่ไม่ไข้ พอมาก็ซักถามกันถึงเรื่องตายแล้วไปที่ว่านี่ไปศาลาใหญ่หลังหนึ่ง
ศาลาหลังนั้นเจ้าหน้าที่พวกยมบาลอะไรเหล่านี้เต็มอยู่นั่น สมุดบัญชีมีเป็นสองกอง กองใหญ่เบ้อเร่อเทียว กองหนึ่งเล็ก แล้วกองใหญ่นั้นสำหรับบัญชีคนทำชั่ว กองเล็กนี้สำหรับบัญชีคนทำดี พระองค์นั้นก็สะพายบาตรแล้วไปยืน แล้วพวกนักโทษพูดง่ายๆ นักโทษทำกรรมหนักทำกรรมเบา กรรมอะไรก็ตามเขาแยกไว้เป็นประเภทๆ เต็มศาลา
ทีนี้เขาเรียกชื่อ พอเรียกชื่อนายนั้นๆ พอเรียกชื่อปั๊บต้องมาถึงปุ๊บเลย อำนาจแห่งกรรมมันบีบบังคับขนาดนั้น จะอืดอาดไม่ได้ พอเรียกชื่อปั๊บจะมาปุ๊บๆ เลย มีกี่คนโทษประเภทนี้ มีหัวหน้า ๒ คนเท่านั้นแหละ หัวหน้าน่ากลัวมาก คนหนึ่งนำหน้าคนหนึ่งตามหลัง พอเรียกชื่อเสร็จแล้วไล่ลง พวกนี้ไปแล้วเรียกพวกนั้นมากอีกเป็นคณะๆ จนกระทั่งหมด นี่พูดสรุปเอาให้พอดีกับเวลา
พอหมดแล้วก็ยังเหลือแต่ยายคนหนึ่งนั่งอยู่นั่น ยายคนนั้นเป็นคนเหมือนคนวัดเรานี่แหละ เหมือนคนแต่งตัวไปวัดเรานี่ ไปถือศีลถือธรรม มีผ้าเฉวียงบ่านุ่งผ้าซิ่นเราธรรมดาไปวัดนี่ แกนั่งอยู่ทางโน่น เขาเรียกคุณแม่นะ สำหรับยายคนนี้เขาเรียกคุณแม่ นอกนั้นเขาเรียกนายนั้นนายนี้ๆ ลงเลยๆ นี่เขาเรียกคุณแม่
พอพวกสัตว์นรกไปหมดแล้วเขาเรียกเชิญคุณแม่มาที่นี่ ถ้าคุณแม่อยากไปสวรรค์ให้ลงที่นี่เลย คุณแม่จะไปสวรรค์ชั้นไหนก็ไปได้ให้ลงไปนี้ แล้วรถเขาจะมา รถทิพย์จะมา ลงไปสระน้ำนี้แล้วก็ไปเปลื้องผ้านี้ออก ลงจากสระนี้แล้วก็เดินบุกน้ำไป
รถจะมาทางฟากสระทางนั้นแล้วก็ขึ้นรถ ประดับตกแต่งใหม่หมด เครื่องประดับประดาตบแต่งเขาจัดเอามาพร้อมรถเลย พอไปแล้วลงน้ำนี่ปั๊บก็ขึ้น เขาก็เชิญเลยจูงขึ้นแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็เหาะบึ่งขึ้นเหมือนสำลี...รถ ทิพย์ รถทิพย์พูดอะไรพูดไม่ได้แต่มันประจักษ์กับตาอยู่ว่างั้น
เป็นสีงามอร่ามตาอะไรนี้เราพูดไม่ถูก...รถทิพย์ แต่ก็ไม่ได้ถามว่ารถทิพย์นี้มาจากชั้นไหนจะไปชั้นไหน เป็นแต่เพียงว่าผู้หญิงคนนี้จะไปสวรรค์ พอเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ยังเหลือแต่พระองค์เดียวยืนอยู่นั่น คือพระบัวที่ตายไปนั่นแล
เจ้าหน้าที่เหล่านั้นเขาก็ไม่ได้มาสนใจกับเราแหละ พอเขาส่งยายคนนั้นเสร็จแล้วเขาก็ทำงานของเขาอยู่บนโต๊ะ
'แล้วอาตมาเล่าจะให้ไปไหน? ไม่เห็นเรียกอาตมา'
'โห ท่านน่ะถ้าตั้งใจจะไปเกิดเมืองมนุษย์ก็ให้กลับหลัง ย้อนหลังนี้ไป ถ้าจะไปสวรรค์ก็ให้ลงไปนี้ ท่านไปได้ทั้งไปสวรรค์ ทั้งไปเมืองมนุษย์ ถ้าท่านจะไปสวรรค์ก็ให้ลงนี้ เหมือนกับยายคนนั้นลงแล้วรถทิพย์จะมาเอง'
'อาตมาไม่ไปแหละอาตมาหิวน้ำ จะไปหาฉันน้ำก่อน'
ลงจากนั้นก็ลงไปๆ จนถึงบ้านน้ำก่ำนี่แหละ บ้านเขาก็อยู่ริมทุ่งนา เขามาตักน้ำก็ไปขอบิณฑบาตฉันน้ำกับเขา เขาบอกว่าให้ไปบ้านหลังนี้นะ เขาจะตักน้ำแล้วให้ไปที่นั่น ไปรออยู่บ้านหลังนั้น เขาชี้บอกเห็นบ้านชัดๆ อยู่บ้านหลังนั้น บ้านหลังจะเกิดเข้าใจหรือเปล่า พอไปที่นั่นรู้สึกเคลิ้มๆ จะหลับ เหนื่อยเพลียมาก เคลิ้มๆ แล้วหลับไปเลย เลยยังไม่ทันได้ฉันน้ำ
พอตื่นขึ้นมาที่ไหนได้เกิดแล้ว นั่นละที่นี่แกระลึกชาติของแกได้ตลอดนะ ระลึกชาติย้อนหลังๆ ได้ตลอดเลย นี่เวลาเราซักถาม ทีนี้พอดีอาจารย์ทองของเธอมา เราก็กราบเรียนถามเล่าเรื่องนี้ให้ฟังแล้ว โห ท่านตกตะลึงนะ ท่านตกใจ
'ใช่แล้วนี่พระบัว'
ท่านก็อธิบายให้ฟังตลอดหมดเลย ไปสามผงไปตายด้วยกัน ๓ องค์อะไรๆ พระองค์นี้ชื่อบัว ไล่ผีเก่งนะพระองค์นี้แต่ไม่เห็นไล่ผีเจ้าของได้ ท่านพูดเราก็ยังไม่ลืม นี่พูดถึงเรื่องระลึกชาติได้
คำว่าระลึกชาติได้นี้กับพระพุทธเจ้าระลึกชาติได้มันต่างกันนะ พวกนี้สลบไสล พวกนี้ตาย การระลึกนั้นระลึกนี้รู้นั้นรู้นี้มันอาจเคลื่อนคลาดเพราะคนกระเสือก กระสนกระวนกระวาย ไม่ได้เหมือนพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าที่ระลึกชาติย้อนหลังเช่น ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้
เฉพาะชาติของพระองค์นี้มีกี่ภพกี่ชาติทรงทราบได้ตลอดทั่วถึง ตลอดถึงภพชาติของสัตว์ทั้งหลายรู้ได้หมดด้วยพระญาณหยั่งทราบ ไม่ได้ด้วยการสลบไสลเหมือนอย่างโลกทั้งหลายเขาเป็นกัน คนนั้นตายฟื้นกลับคืนมาแล้วระลึกชาติได้อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วมาฮือกันเป็นบ้าไป
พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระญาณหยั่งทราบ ประกาศธรรมสอนโลกมานี้กี่ปีแล้วไม่เห็นตื่อนกันบ้าง มันเป็นบ้าหรือยังไงมนุษย์เรานี่มัอยากว่าอย่างงั้นนะ เราไปตื่นกับเรื่องแบบบ้าอย่างงั้น พวกคนสลบไสลตายฟื้นกลับคืนมาแบ้วมาระลึกชาติได้ แล้วตื่อกันฮือฮาๆ
พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นคนสลบไสล ตรัสรู้ขึ้นมาเป็นอรรถเป็นศาสดาเอกของโลก รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งหลาย ประกาศธรรมสอนไว้ทำไมถึงไม่ตื่นกันบ้าง ให้ตื่นนะ ไม่ตื่นไม่ได้นะ จมจริงๆ นะ ฟังซิว่านรกเดือดพล่านๆ ไม่มีวันมีคืนมีปีมีเดือนมีอย่างนั้นตลอดเวลา พวกสัตว์นรกนี้ก็แน่นอัด ๆ เพราะสัตว์ทั้งหลายทำแต่กรรมชั่วนั่นซิ ทางสวรรค์นี้เบาบาง ทางนรกนี้แน่นหนามั่นคงมากทีเดียวตั้งแต่เรื่องกรรมของสัตว์ๆ นี่ละให้จำให้ดีให้สดๆ ร้อนๆ..."
ที่มา หนังสือประวัติหลวงตามหาบัว
Tuesday, January 18, 2011
Positive Thinking
การมองโลกในแง่ดีนั้นม ีหลายแบบ แต่แบบที่ผมกำลังจะพูดถึงนั ้นคือ การมองหาสิ่งดีๆที่มีอยู่จร ิง จากเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นใ นชีวิต เพื่อให้เรามีกำลังใจในการแ ก้ปัญหา และ เพื่อให้ชีวิตสามารถเดินหน้ าต่อไปได้ครับ
ที่ต้องเน้นว่าเป็นสิ่งดีๆท ี่มีอยู่จริงก็เพราะว่า การที่เราพยายามคิดอะไรดีๆข ึ้นมาโดยที่ไม่มีมูลความจริ ง
เช่น หากคุณบอกลูกว่า "ที่เพื่อนชอบมาตบหัวหนูทุก วัน เขาอาจจะแค่อยากเล่นกับหนูก ็ได้นะลูก" หรือ
หากคุณบอกกับเพื่อนของคุณว่ า "ที่แฟนเธอแอบไปมีกิ๊กอยู่บ ่อยๆ นั่นเขาอาจจะแค่เผลอไปโดยไม ่ได้ตั้งใจก็ได้นะ"
สำหรับผมแบบนี้ไม่ได้เรียกว ่า "มองโลกในแง่ดี" แต่เรียกว่า "หลอกตัวเอง" ซึ่งการคิดแบบนี้มักจะไม่ช่ วยให้อะไรดีขึ้นสักเท่าไหร่ ครับ
โดยตัวอย่างของการมองมุมบวก แบบไม่หลอกตัวเอง ได้แก่
1.เรายังเหลืออะไรอยู่บ้าง
หรือที่เราเรียกว่าเทคนิค “น้ำครึ่งแก้ว” นั่นคือ การมองว่าเรื่องร้ายๆที่เกิ ดขึ้นกับเรานั้นจริงๆแล้วมั นไม่ได้พรากทุกอย่างไปจากเร า
เช่น หากคลื่นสึนามิพัดบ้านเราหา ยไป เราก็ยังมีอวัยวะเหลืออยู่ค รบ 32
หรือหากขาขวาของเราขาดไปด้ว ย เราก็ยังเหลือขาซ้าย
หากขาซ้ายก็ขาดไปอีก เราก็ยังเหลือแขน 2 ข้าง
และถ้าแขนทั้ง 2 ข้างก็ขาด เราก็ยังเหลือหัวอยู่ครับ
หรือถ้าหัวของเราก็ขาดไปด้ว ย ก็แปลว่าเราคงไม่ต้องคิดอะไ รมากแล้วครับ
2.โชคดีที่เรื่องที่แย่กว่า นี้ไม่เกิดขึ้น
การคิดแบบนี้จะคล้ายกับข้อแ รก แต่จะเป็นการมองว่า โชคดีแค่ไหนแล้วที่เรื่องที ่เกิดขึ้นไม่ได้เลวร้ายไปกว ่านี้ เช่น
หากคุณจับได้ว่าแฟนนั้นแอบไ ปมีกิ๊ก ก่อนที่คุณจะแต่งงานกับเขา คุณก็สามารถบอกตัวเองได้เลย ครับว่า
“โชคดี ที่รู้ก่อนแต่ง”
หรือ ถ้าหากคุณเพิ่งแต่งงานกับเข าได้ไม่ถึง 1 เดือน แล้วเขามีกิ๊ก คุณก็สามารถบอกตัวเองได้อีก ครับว่า
“โชคดี ที่รู้ก่อนที่จะมีลูก”
หรือ ถ้าคุณมีลูกกับเขาไปแล้ว 1 คน แล้วเขามีกิ๊ก คุณก็ยังสามารถบอกตัวเองได้ ครับว่า
“โชคดี ที่รู้ตอนมีลูกแค่คนเดียว” (ถ้าเลิกกันก็ยังพอที่จะเลี ้ยงเองได้)
และแน่นอนครับว่า หากคุณจับได้ว่าเขามีกิ๊ก ตอนคุณมีลูกกับเขาไปแล้ว 3,152 คน ก็ย่อมดีกว่าที่คุณจะไปจับไ ด้ตอนที่คุณมีลูกกับเขา 3,153 คนครับ
3.เรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นนี ้ “สอน” อะไรเราบ้าง
เชื่อมั้ยครับว่าทุกครั้งที ่เรา
ต้อง “สูญเสีย” อะไรบางอย่างไป ไม่ว่าจะเป็น ทรัพย์สิน โอกาสในชีวิต หรือ
ความสัมพันธ์กับผู้อื่น เราก็มักจะได้ ความรู้ หรือ
ประสบการณ์ชีวิตเพิ่มขึ้นมา ด้วยเสมอ
เช่น การเผลอเปิดเตาแก๊สทิ้งไว้ จนไฟไหม้บ้านนั้นจะทำให้เรา รู้ว่า “เราควรปิดวาว์ลแก๊สทุกครั้ งหลังจากใช้เสร็จ”
การให้เพื่อนสนิทยืมเงิน แล้วเพื่อนไม่คืน จนเลิกคบกัน สอนให้เรารู้ว่า “เรื่องเงินไม่เข้าใครออกใค ร”
การกินเหล้าจนเมาแอ๋แล้วไปข ับรถ จนรถชนพังยับไปทั้งคันนั้น ก็สอนให้เรารู้อีกว่า “เมาไม่ขับ”
โดยสิ่งที่คุณต้องเสียไปนั้ น จริงๆแล้วมันคือ “ค่าเล่าเรียน” ที่คุณจะต้องจ่ายเพื่อให้ได ้ความรู้ หรือ ประสบการณ์ชีวิตอันล้ำค่านั ้นมาครับ
และแน่นอนครับว่าค่าเล่าเรี ยนที่คุณต้องจ่ายนั้นมักจะม ีราคาแพง นั่นเป็นเพราะว่าคุณได้เข้า เรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่ อเสียงที่สุดในโลก นั่นคือ “มหาลัยชีวิต” นั่นเองครับ
ดังนั้นเมื่อเสียค่าเล่าเรี ยนไปแล้ว ก็อย่าลืมนำความรู้ที่ได้ไป ใช้ในการพัฒนาตนเองเพื่อป้อ งกันไม่ให้เกิดเรื่องร้ายๆซ ้ำรอยเดิมอีกนะครับ
เพราะหากคุณยังคงคิดแบบเดิม ๆ ใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ก็มีความเสี่ยงสูงมากที่ชีว ิตคุณจะกลับมาเจอปัญหาแบบเด ิมๆ และเมื่อนั้นคุณอาจจะต้องจ่ าย “ค่าเล่าเรียน” ซ่อมเสริมอีกรอบนึง
ที่มา หมอตั้ม : https://www.facebook.com/Growingupnormal/photos/a.257974647717243.1073741829.257704944410880/306113039570070/?type=1
มองโลกในแง่ดี
===========
๑. อะไรที่เกิดขึ้นล้วนดีทั้งนั้น อย่างน้อยก็ยังดีที่ไม่แย่ไปกว่านั้น
ตัวอย่างคนที่คิดแบบนี้คือ พระปุณณะ
ครั้งที่ขออนุญาตพระพุทธเจ้า ไปเมืองสุนาปรันตะ
ซึ่งพระปุณณะตอบพระพุทธเจ้าว่า
ถ้าเขาด่า ก็ยังดีกว่าเขาทุบตี
ถ้าเขาทุบตี ก็ยังดีกว่าเขาเอาก้อนหินมาขว้าง
ถ้าเขาเอาก้อนหินมาขว้าง ก็ยังดีกว่าเขาเอาไม้มาฟาด
เป็นต้น
๒. นอกเหนือจากสิ่งแย่ๆ ก็ยังมีสิ่งดีอีกมากเคียงคู่กัน
เช่น แม้รายได้จะลด แต่ยังมีสุขภาพที่ดี ครอบครัวที่อบอุ่น เป็นต้น
เรามัวแต่ไปจดจ่อกับสิ่งที่ไม่ดี เลยรู้สึกแย่
วันหนึ่งครูชูกระดาษแผ่นหนึ่งให้นักเรียนดู
แล้วถามนักเรียนว่าเห็นอะไรบ้าง
นักเรียนทั้งชั้นบอกว่า เห็นกากบาทสีดำอยู่มุมซ้ายของกระดาษ
ครูจึงถามว่า แล้วนักเรียนไม่เห็นสีขาวของกระดาษบ้างเลยหรือ
ที่มา สุขแท้ด้วยปัญญา (พระไพศาล วิสาโล)
การรับมือกับปัญหาด้วย OPTIM
- Others หาแหล่งสนับสนุนอื่นๆ หรือเรียนรู้จากผู้อื่น ด้วยคำถามว่า "คนอื่นเขาทำกันอย่างไร"
- Positive views มองหาด้านบวก "เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เราเรียนรู้อะไร ฝึกฝนในเรื่องอะไร หากเราผ่านเรื่องนี้ไปได้ เราจะเป็นอย่างไร" ท้อเป็นถ่าน ผ่านเป็นเพชร
- Time frame มองหาเวลาสิ้นสุด หรือมองย้อนเวลา "ปัญหาเริ่มเมื่อใด คิดว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด"
- Impact มองไปที่ผลกระทบ "ถ้าหนักกว่านี้ จะเป็นอย่างไร" (ยังดีนะที่ไม่ถึงขนาดนั้น)
- Manage มองถึงการจัดการเรื่องนี้ด้วยด้วยตนเอง "มีอะไรบ้างที่เราพอจะทำได้บ้าง ในตอนนี้ แม้จะไม่มากก็ตาม เพื่อคลี่คลายปัญหาและลดผลกระทบ"
ที่มา สอนให้ลูกคิดบวก
ที่ต้องเน้นว่าเป็นสิ่งดีๆท
เช่น หากคุณบอกลูกว่า "ที่เพื่อนชอบมาตบหัวหนูทุก
หากคุณบอกกับเพื่อนของคุณว่
สำหรับผมแบบนี้ไม่ได้เรียกว
โดยตัวอย่างของการมองมุมบวก
1.เรายังเหลืออะไรอยู่บ้าง
หรือที่เราเรียกว่าเทคนิค “น้ำครึ่งแก้ว” นั่นคือ การมองว่าเรื่องร้ายๆที่เกิ
เช่น หากคลื่นสึนามิพัดบ้านเราหา
หรือหากขาขวาของเราขาดไปด้ว
หากขาซ้ายก็ขาดไปอีก เราก็ยังเหลือแขน 2 ข้าง
และถ้าแขนทั้ง 2 ข้างก็ขาด เราก็ยังเหลือหัวอยู่ครับ
หรือถ้าหัวของเราก็ขาดไปด้ว
2.โชคดีที่เรื่องที่แย่กว่า
การคิดแบบนี้จะคล้ายกับข้อแ
หากคุณจับได้ว่าแฟนนั้นแอบไ
“โชคดี ที่รู้ก่อนแต่ง”
หรือ ถ้าหากคุณเพิ่งแต่งงานกับเข
“โชคดี ที่รู้ก่อนที่จะมีลูก”
หรือ ถ้าคุณมีลูกกับเขาไปแล้ว 1 คน แล้วเขามีกิ๊ก คุณก็ยังสามารถบอกตัวเองได้
“โชคดี ที่รู้ตอนมีลูกแค่คนเดียว” (ถ้าเลิกกันก็ยังพอที่จะเลี
และแน่นอนครับว่า หากคุณจับได้ว่าเขามีกิ๊ก ตอนคุณมีลูกกับเขาไปแล้ว 3,152 คน ก็ย่อมดีกว่าที่คุณจะไปจับไ
3.เรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นนี
เชื่อมั้ยครับว่าทุกครั้งที
เช่น การเผลอเปิดเตาแก๊สทิ้งไว้ จนไฟไหม้บ้านนั้นจะทำให้เรา
การให้เพื่อนสนิทยืมเงิน แล้วเพื่อนไม่คืน จนเลิกคบกัน สอนให้เรารู้ว่า “เรื่องเงินไม่เข้าใครออกใค
การกินเหล้าจนเมาแอ๋แล้วไปข
โดยสิ่งที่คุณต้องเสียไปนั้
และแน่นอนครับว่าค่าเล่าเรี
ดังนั้นเมื่อเสียค่าเล่าเรี
เพราะหากคุณยังคงคิดแบบเดิม
ที่มา หมอตั้ม : https://www.facebook.com/Growingupnormal/photos/a.257974647717243.1073741829.257704944410880/306113039570070/?type=1
มองโลกในแง่ดี
===========
๑. อะไรที่เกิดขึ้นล้วนดีทั้งนั้น อย่างน้อยก็ยังดีที่ไม่แย่ไปกว่านั้น
ตัวอย่างคนที่คิดแบบนี้คือ พระปุณณะ
ครั้งที่ขออนุญาตพระพุทธเจ้า ไปเมืองสุนาปรันตะ
ซึ่งพระปุณณะตอบพระพุทธเจ้าว่า
ถ้าเขาด่า ก็ยังดีกว่าเขาทุบตี
ถ้าเขาทุบตี ก็ยังดีกว่าเขาเอาก้อนหินมาขว้าง
ถ้าเขาเอาก้อนหินมาขว้าง ก็ยังดีกว่าเขาเอาไม้มาฟาด
เป็นต้น
๒. นอกเหนือจากสิ่งแย่ๆ ก็ยังมีสิ่งดีอีกมากเคียงคู่กัน
เช่น แม้รายได้จะลด แต่ยังมีสุขภาพที่ดี ครอบครัวที่อบอุ่น เป็นต้น
เรามัวแต่ไปจดจ่อกับสิ่งที่ไม่ดี เลยรู้สึกแย่
วันหนึ่งครูชูกระดาษแผ่นหนึ่งให้นักเรียนดู
แล้วถามนักเรียนว่าเห็นอะไรบ้าง
นักเรียนทั้งชั้นบอกว่า เห็นกากบาทสีดำอยู่มุมซ้ายของกระดาษ
ครูจึงถามว่า แล้วนักเรียนไม่เห็นสีขาวของกระดาษบ้างเลยหรือ
ที่มา สุขแท้ด้วยปัญญา (พระไพศาล วิสาโล)
การรับมือกับปัญหาด้วย OPTIM
- Others หาแหล่งสนับสนุนอื่นๆ หรือเรียนรู้จากผู้อื่น ด้วยคำถามว่า "คนอื่นเขาทำกันอย่างไร"
- Positive views มองหาด้านบวก "เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เราเรียนรู้อะไร ฝึกฝนในเรื่องอะไร หากเราผ่านเรื่องนี้ไปได้ เราจะเป็นอย่างไร" ท้อเป็นถ่าน ผ่านเป็นเพชร
- Time frame มองหาเวลาสิ้นสุด หรือมองย้อนเวลา "ปัญหาเริ่มเมื่อใด คิดว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด"
- Impact มองไปที่ผลกระทบ "ถ้าหนักกว่านี้ จะเป็นอย่างไร" (ยังดีนะที่ไม่ถึงขนาดนั้น)
- Manage มองถึงการจัดการเรื่องนี้ด้วยด้วยตนเอง "มีอะไรบ้างที่เราพอจะทำได้บ้าง ในตอนนี้ แม้จะไม่มากก็ตาม เพื่อคลี่คลายปัญหาและลดผลกระทบ"
ที่มา สอนให้ลูกคิดบวก
Labels:
Positive Thinking,
The way of living
Saturday, January 15, 2011
to raise a child (draft)
รากเหง้าของปัญหาพฤติกรรมไม่เหมาะสม
==============================
มักเกิดจาก
๑ การคิดถึงแต่ตนเองเป็นสำคัญ
ไม่สนใจว่าการกระทำของตน จะก่อผลกระทบต่อผู้อื่นหรือส่วนรวมอย่างไร
รวมถึง ถือว่า "ความถูกใจ" สำคัญกว่า "ความถูกต้อง"
จึงนำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่เพียงก่อปัญหาให้แก่ผู้อื่นเท่านั้น
แต่ยังเป็นโทษต่อตัวเองด้วย
๒ ยึดติดกับความสุขทางวัตถุ
ไม่สนในที่จะแสวงหาความสุขสงบในจิตใจ
หมกมุ่นอยู่กับการแสวงหา ครอบครอง และเสพวัตถุ
แม้ได้เท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ เพราะคิดว่า
ยิ่งมีมาก ยิ่งเสพมาก ยิ่งมีความสุข
นำไปสู่
เงินเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต
แย่งชิง เอาเปรียบ
ความร้าวฉานในครอบครัว
๓ การคิดอย่างไม่ถูกวิธี
คือ การไม่สามารถคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล
หรือวิเคราะห์วิจัยเพื่อเข้าใจความจริงทุกแง่มุม
แต่มองแบบเหมารวม ตีขลุม ลัดขั้นตอน
หรือตัดสินไปตามความชอบความชัง
จึงตกอยู่ภายใต้อำนาจของอารมณ์และอคติ
ทำให้มองความเป็นจริงอย่างคลาดเลื่อนแล้ว
มักทำให้ปัญหาลุกลามขยายตัว
เพราะคิดแต่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ให้ผ่านพ้นไปเป็นคราวๆเท่านั้น
แนวทางป้องกันแก้ไข
===============
๑ ปลูกฝังจิตอาสา
ส่งเสริมให้เขาทำความดี หรือบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์
จะช่วยเสริมสร้างพลังให้แก่คุณธรรมภายใน จนเอาชนะความเห็นแก่ตัวได้
ได้รับความสุข ความภูมิใจที่ได้ทำความดี
ได้รับความสุข จากการได้เห็นผู้ที่ทุกข์ยากกลับมามีความสุข
เสริมสร้างความรู้สึกว่าชีวิตตนนั้นมีคุณค่า
เปิดมุมมองที่หลากหลายใหม่ๆให้ชีวิต
เช่น เห็นว่ายังมีผู้อื่นที่ทุกข์ยากลำบากกว่าตนมาก
ความทุกข์ของเรากลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไป
ฝึกให้เป็นคนมีความสุข โดยไม่ต้องพึ่งวัตถุสิ่งเสพ
ฝึกการทำงานเป็นกลุ่ม รวมถึงรับฟังความคิดของผู้อื่น
ที่มา สุขแท้ด้วยปัญญา (พระไพศาล วิสาโล)
ว่าแต่วันก่อนเพิ่งเจอ คนที่มีจิตสาธารณะ
ใจกว้าง ช่วยเหลือเรื่องของคนอื่นไปทั่ว
แต่งานในบ้านไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือเท่าไหร่ 555
==============================
มักเกิดจาก
๑ การคิดถึงแต่ตนเองเป็นสำคัญ
ไม่สนใจว่าการกระทำของตน จะก่อผลกระทบต่อผู้อื่นหรือส่วนรวมอย่างไร
รวมถึง ถือว่า "ความถูกใจ" สำคัญกว่า "ความถูกต้อง"
จึงนำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่เพียงก่อปัญหาให้แก่ผู้อื่นเท่านั้น
แต่ยังเป็นโทษต่อตัวเองด้วย
๒ ยึดติดกับความสุขทางวัตถุ
ไม่สนในที่จะแสวงหาความสุขสงบในจิตใจ
หมกมุ่นอยู่กับการแสวงหา ครอบครอง และเสพวัตถุ
แม้ได้เท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ เพราะคิดว่า
ยิ่งมีมาก ยิ่งเสพมาก ยิ่งมีความสุข
นำไปสู่
เงินเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต
แย่งชิง เอาเปรียบ
ความร้าวฉานในครอบครัว
๓ การคิดอย่างไม่ถูกวิธี
คือ การไม่สามารถคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล
หรือวิเคราะห์วิจัยเพื่อเข้าใจความจริงทุกแง่มุม
แต่มองแบบเหมารวม ตีขลุม ลัดขั้นตอน
หรือตัดสินไปตามความชอบความชัง
จึงตกอยู่ภายใต้อำนาจของอารมณ์และอคติ
ทำให้มองความเป็นจริงอย่างคลาดเลื่อนแล้ว
มักทำให้ปัญหาลุกลามขยายตัว
เพราะคิดแต่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ให้ผ่านพ้นไปเป็นคราวๆเท่านั้น
แนวทางป้องกันแก้ไข
===============
๑ ปลูกฝังจิตอาสา
ส่งเสริมให้เขาทำความดี หรือบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์
จะช่วยเสริมสร้างพลังให้แก่คุณธรรมภายใน จนเอาชนะความเห็นแก่ตัวได้
ได้รับความสุข ความภูมิใจที่ได้ทำความดี
ได้รับความสุข จากการได้เห็นผู้ที่ทุกข์ยากกลับมามีความสุข
เสริมสร้างความรู้สึกว่าชีวิตตนนั้นมีคุณค่า
เปิดมุมมองที่หลากหลายใหม่ๆให้ชีวิต
เช่น เห็นว่ายังมีผู้อื่นที่ทุกข์ยากลำบากกว่าตนมาก
ความทุกข์ของเรากลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไป
ฝึกให้เป็นคนมีความสุข โดยไม่ต้องพึ่งวัตถุสิ่งเสพ
ฝึกการทำงานเป็นกลุ่ม รวมถึงรับฟังความคิดของผู้อื่น
ที่มา สุขแท้ด้วยปัญญา (พระไพศาล วิสาโล)
ว่าแต่วันก่อนเพิ่งเจอ คนที่มีจิตสาธารณะ
ใจกว้าง ช่วยเหลือเรื่องของคนอื่นไปทั่ว
แต่งานในบ้านไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือเท่าไหร่ 555
Labels:
raising children
Subscribe to:
Posts (Atom)