Wednesday, June 10, 2015

นิทานก่อนนอน: เครียดกับเป้าหมาย และความผิดหวัง

เชื่อมั้ยครับว่า นักฟุตบอล เป็นอาชีพที่ต้องพบกับความผิดหวังบ่อยมาก

ไม่เชื่อลองสังเกตสถิติตอนท้ายเกมสิครับ แล้วคุณจะเห็นว่าในการแข่งขัน 90 นาที แต่ละทีมจะมีความพยายามในการยิงประตูฝ่ายตรงข้ามเฉลี่ยประมาณ 20 – 30 ครั้ง

แต่บ่อยครั้งที่ความพยายามเหล่านั้นประสบผลสำเร็จเพียง 1-2 ประตูเท่านั้น (บางเกมก็ 0 เลย)

หรือพูดง่ายๆว่าที่ยิงไปอีกกว่า 20 ครั้งนั้นมัน “ไม่เข้า”

แล้วคุณเคยลองสังเกตดูมั้ยครับว่า เมื่อยิงประตูไม่เข้า (โดยเฉพาะเวลายิงจุดโทษ) นักฟุตบอลแต่ละคนนั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง

คุณเคยเห็นนักฟุตบอลที่ร้องไห้ฟูมฟาย หรือ เดินไปด่าผู้รักษาประตูฝ่ายตรงข้ามว่า “ยิงตั้งหลายทีแล้ว ปัดออกอยู่ได้ เล่นแบบนี้ไม่เล่นด้วยแล้วโว้ย” แล้วเดินออกจากสนามไปเลยมั้ยครับ

ส่วนมากที่ผมเห็นคือ สีหน้าท่าทางที่แสดงความผิดหวังไม่เกิน 10 วินาที แล้วเขาเหล่านั้นก็รีบวิ่งกลับไปประจำตำแหน่งของตัวเองเพื่อเริ่มต้น “บุก” ใหม่อีกครั้ง

ที่เป็นเช่นนั้นได้ ผมเชื่อว่าเป็นเพราะ

1.นักฟุตบอลแต่ละคนนั้นไม่ได้ “คาดหวัง”ว่าการยิงประตูแต่ละครั้งนั้นมันจะต้อง “สำเร็จ” ไปเสียทุกครั้ง

2.การแข่งขันยังไม่จบ แปลว่ายังมีโอกาส และยังไม่ใช่เวลาที่จะมาคร่ำครวญ

3.การยิงประตูที่ไม่สำเร็จ ไม่ใช่ความผิดของตัวเขาเองคนเดียว แต่อาจเกิดจากเพื่อนร่วมทีม การวางแผนของโค้ช หรือ ความเก่งกาจแบบผิดมนุษย์ของผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม(โดยเฉพาะผู้รักษาประตู)

ซึ่งหากจะนำประเด็นเหล่านี้มาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน คุณก็อาจจะเปรียบการยิงประตูของนักฟุตบอลว่าเหมือนกับการที่คุณมีความตั้งใจที่อยากจะทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จไม่ว่าจะเป็น งานประจำของคุณ หุ้น(หรือหวย)ที่คุณเก็งไว้ หรือแม้กระทั่งการเลี้ยงลูกของคุณ

หากคุณ “คาดหวัง” ว่าสิ่งใดก็ตามที่คุณกำลังทำอยู่นั้นอย่างไรก็ต้อง “สำเร็จ” สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ ยิ่งคุณคาดหวังกับมันมากเท่าไหร่ ความผิดหวังก็จะทำให้คุณเจ็บปวดมากเท่านั้น

ดังนั้นเพื่อให้คุณสามารถที่จะลุกขึ้นมาเล่น “เกมชีวิต” ต่อได้อย่างรวดเร็วทุกคราวที่คุณผิดหวัง ล้มเหลว หรือ พ่ายแพ้ ผมขอแนะนำให้ใช้วิธี “หวังแต่พองาม” ครับ

เช่นหากคุณมีความคิดที่ว่า “ลูกต้องสอบเข้าสาธิต....ให้ได้” เพื่อไม่ให้เป็นการกดดันตัวเองจนเกินไปคุณก็ควรที่จะปรับให้เป็น “ถ้าลูกสอบเข้าสาธิต....ได้ก็ดี แต่ถ้าทำดีที่สุดแล้วยังไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”

เมื่อมาถึงตรงนี้ก็อาจจะมีหลายคนที่สงสัยว่า “ถ้าไม่กดดันตัวเองสักหน่อย แล้วมันจะสำเร็จเหรอ”

ก็ขอบอกเลยครับว่าความสำเร็จในการทำสิ่งใดก็ตามไม่ได้เกิดขึ้นจากความ “คาดหวัง” ที่เรามีต่อเรื่องนั้น
แต่ความสำเร็จมักจะเกิดจากการที่เราได้ “ลงมือทำ” สิ่งนั้นอย่างสุดความสามารถครับ

ถ้าไม่เชื่อผมแนะนำให้คุณลองหาลูกฟุตบอลมาสัก 1 ลูก แล้ว “คาดหวัง” กับมันให้มากๆว่า “เอ็งต้องเข้าประตูนะ ไม่เข้าไม่ได้นะ ยังไงเอ็งก็ต้องเข้าประตู พุ่งไปแรงๆ ไซด์ก้อยนิดๆ แล้วมุดคานเสียบเสาสองไปเลยนะ” โดยไม่ต้องไปเตะมันนะครับ

ลองสังเกตดูนะครับว่าความคาดหวังอันแรงกล้ามหาศาลของคุณนั้นทำให้ลูกบอลขยับได้รึเปล่า

ดังนั้นเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายโดยมีใจที่พร้อมจะรับความผิดหวังผมแนะนำว่าคุณควรที่จะ “หวังแต่พองาม แต่ลงมือทำมันให้เต็มที่”

ซึ่งแน่นอนครับว่าหากคุณลงมือทำอะไรอย่างเต็มที่แล้ว จะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณและอุปสรรคที่คุณเจอครับ (ไม่เกี่ยวเลยว่าคุณจะคาดหวังกับมันมากหรือน้อยแค่ไหน)

และถึงแม้ว่าความล้มเหลวจะทำให้คุณรู้สึกแย่เพียงใด อย่างน้อยคุณก็ยังบอกตัวเองได้ว่า คุณได้พยายามทำมันอย่างดีที่สุดแล้ว และแน่นอนว่าตราบใดที่ยมฑูตยังไม่เป่านกหวีดหมดเวลาของชีวิต คุณก็ยังมีโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ

ที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแง่คิดดีๆที่เกิดขึ้นได้จาก “กีฬา” ดังนั้นหากลูกของคุณกำลังประสบปัญหาชีวิตบางอย่าง การนำนักฟุตบอลหรือนักกีฬาชนิดอื่นๆมาเป็นตัวอย่างก็อาจจะทำให้ลูกเข้าใจและเห็นภาพในสิ่งที่คุณกำลังสอนเขาได้ง่ายขึ้นด้วยครับ

ที่มา :
https://www.facebook.com/Growingupnormal/photos/a.257974647717243.1073741829.257704944410880/293004097547631/?type=1

No comments:

Post a Comment