ชมเด็กว่า "ขยัน" ดีกว่าชมว่า "ฉลาด"
เด็กที่เป็นหัวกะทิ จะกลัวความล้มเหลว จนปฏิเสธการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ตัวเองรู้สึกว่าจะทำได้ไม่เท่ามาตรฐานของตัวเอง
อีกทั้งมีแนวโน้มจะดูถูกการลงแรงอีกด้วย
ในอีกทางหนึ่ง เด็กที่ได้รับคำชมว่าขยัน มานะพยายาม
กลับมีความพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่กว่ามาก
และพร้อมจะทำโจทย์ที่ท้าทายโดยไม่กลัวความล้มเหลว
ดูผลวิจัยได้จากที่มา http://www.blognone.com/news/5443/ชมเด็กว่าขยันดีกว่าชมว่าฉลาด
ประสพการณ์, เรื่องราวทั่วไป, แง่คิด, มุมมอง ที่น่าสนใจ - สิริพงษ์ พงศ์ภิญโญภาพ
Thursday, November 10, 2011
80 reasons why not an attractive man
80 เหตุผลที่ผู้ชายดูไม่ดี
01. งี่เง่า
02. โครตเจ้าชู้
03. เอาแต่ใจตัวเอง
04. บ่นอยู่ได้ทั้งวัน
05. ไม่มีเหตุผล
06. หึงไม่เข้าท่า
07. ไม่มีความรับผิดชอบ
08. โวยวายไปหมดทุกเรื่อง
09. ผิดสัญญาเสมอ
10. สกปรก
11. เล็บดำปี๋
12. ใส่กางเกงยีนส์ตัวเดียว ทั้งเดือน
13. เก็กอยู่ได้ตลอดเวลา
14. ขี้อิจฉา
15. โกหกเก่ง
16. กินอาหารมูมมาม
17. แล้งน้ำใจ
18. ไม่เป็นสุภาพบุรุษ
19. ขึ้เกียจ
20. เฉื่อยชา
21. ดีแต่พูด
22. ชอบหาเรื่องคนอื่นไปทั่ว
23. ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
24. เมามันได้ทุกวัน
25. คิดว่าตัวเองถูกเสมอ
26. ชอบใช้กำลังตัดสินปัญหา
27. ไม่มี ความคิดเป็นของตัวเอง
28. ชอบชี้นิ้วสั่งอย่างเดียว
29. ตอแหล
30. ขาก…ถุย!
31. ไม่อาบน้ำเป็นอาทิตย์
32. พูดจาหบายคาย
33. ผมเผ้ากระเชอะกระเชิง
34. อารมณ์เสียง่าย
35. เหยีบเท้าเรา แล้วทำหน้าตาเฉย
36. แย่งขึ้นรถเมล์
37. กลัวแมว
38. ไม่เป็นผู้นำ
39. ชอบแต๊ะอั๋งผู้หญิง
40. ชอบแซว
41. เข้าห้องน้ำแล้ว ไม่ล้างมือ
42. ชอบวิจารณ์รูปร่างผู้หญิง
43. ตัวเหม็น
44. ตีนเหม็น
45. หนีทหาร
46. ติดยา
47. ติดการพนัน
48. ซื้อของไม่เป็น
49. พูดแต่เรื่องของตัวเอง
50. เสียงดัง
51. หนวดไม่โกน
52. นอนกรนเสียงดัง
53. ไม่เคยออกกำลังกายเลย
54. ชอบจ้องหน้าอกผู้หญิง
55. ไร้ซึ่งความหล่อ
56. ชอบเดินแคะขี้มูก
57. มีขี้ไคลทีหลังหู
58. หัวเราะไม่มีเหตุผล
59. ดูถูกผู้หญิง
60. เดินสะบัดคอ
61. ชอบเกาโน้นเกานี่ตลอดเวลา
62. สูบบุหรี่ในที่สาธารณะ
63. โง่
64. ชงกาแฟไม่เป็น
65. เล่นแต่เกมส์ทั้งวัน
66. ตะคอกผู้หญิง
67. ติดหมอน
68. ปากหวานจนเลี่ยน
69. เจียวไข่ไม่เป็น
70. ห้องนอนรก
71. หลบสายตาเวลาพูดกับเรา
72. ทำตัวโสด (ทั้งที่ไม่โสด)
73. ขี้งก
74. ไม่รู้จักโต
75. จุ้นจ้านเรื่องของคนอื่น
76. หูเบา เชื่อคนง่าย
77. คอยแต่จะจับผิด
78. แพ้ไม่เป็น
79. ไม่ใส่ กกน.
80. ชอบสังสรรค์เฮฮาทุกวัน
01. งี่เง่า
02. โครตเจ้าชู้
03. เอาแต่ใจตัวเอง
04. บ่นอยู่ได้ทั้งวัน
05. ไม่มีเหตุผล
06. หึงไม่เข้าท่า
07. ไม่มีความรับผิดชอบ
08. โวยวายไปหมดทุกเรื่อง
09. ผิดสัญญาเสมอ
10. สกปรก
11. เล็บดำปี๋
12. ใส่กางเกงยีนส์ตัวเดียว ทั้งเดือน
13. เก็กอยู่ได้ตลอดเวลา
14. ขี้อิจฉา
15. โกหกเก่ง
16. กินอาหารมูมมาม
17. แล้งน้ำใจ
18. ไม่เป็นสุภาพบุรุษ
19. ขึ้เกียจ
20. เฉื่อยชา
21. ดีแต่พูด
22. ชอบหาเรื่องคนอื่นไปทั่ว
23. ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
24. เมามันได้ทุกวัน
25. คิดว่าตัวเองถูกเสมอ
26. ชอบใช้กำลังตัดสินปัญหา
27. ไม่มี ความคิดเป็นของตัวเอง
28. ชอบชี้นิ้วสั่งอย่างเดียว
29. ตอแหล
30. ขาก…ถุย!
31. ไม่อาบน้ำเป็นอาทิตย์
32. พูดจาหบายคาย
33. ผมเผ้ากระเชอะกระเชิง
34. อารมณ์เสียง่าย
35. เหยีบเท้าเรา แล้วทำหน้าตาเฉย
36. แย่งขึ้นรถเมล์
37. กลัวแมว
38. ไม่เป็นผู้นำ
39. ชอบแต๊ะอั๋งผู้หญิง
40. ชอบแซว
41. เข้าห้องน้ำแล้ว ไม่ล้างมือ
42. ชอบวิจารณ์รูปร่างผู้หญิง
43. ตัวเหม็น
44. ตีนเหม็น
45. หนีทหาร
46. ติดยา
47. ติดการพนัน
48. ซื้อของไม่เป็น
49. พูดแต่เรื่องของตัวเอง
50. เสียงดัง
51. หนวดไม่โกน
52. นอนกรนเสียงดัง
53. ไม่เคยออกกำลังกายเลย
54. ชอบจ้องหน้าอกผู้หญิง
55. ไร้ซึ่งความหล่อ
56. ชอบเดินแคะขี้มูก
57. มีขี้ไคลทีหลังหู
58. หัวเราะไม่มีเหตุผล
59. ดูถูกผู้หญิง
60. เดินสะบัดคอ
61. ชอบเกาโน้นเกานี่ตลอดเวลา
62. สูบบุหรี่ในที่สาธารณะ
63. โง่
64. ชงกาแฟไม่เป็น
65. เล่นแต่เกมส์ทั้งวัน
66. ตะคอกผู้หญิง
67. ติดหมอน
68. ปากหวานจนเลี่ยน
69. เจียวไข่ไม่เป็น
70. ห้องนอนรก
71. หลบสายตาเวลาพูดกับเรา
72. ทำตัวโสด (ทั้งที่ไม่โสด)
73. ขี้งก
74. ไม่รู้จักโต
75. จุ้นจ้านเรื่องของคนอื่น
76. หูเบา เชื่อคนง่าย
77. คอยแต่จะจับผิด
78. แพ้ไม่เป็น
79. ไม่ใส่ กกน.
80. ชอบสังสรรค์เฮฮาทุกวัน
attitude
๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน? ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ
๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี?
(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงครามระหว่างคนไทยด้วยกันเอง
๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข
๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน
๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง
๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
(๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ
ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา
๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้
๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี?
(๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ
๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา
๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี?
(๑) หางานใหม่
(๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่
๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง (should be ยับยั้งชั่งใจ)
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย
๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ
คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า
๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน
๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน
ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ
๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
(๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(๒) ได้ถามตัวเอ??ว่า เราเกิดมาจากใคร
(๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง
๑๖. สวดมนต์บทไหนดี?
(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า
จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้
คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง
๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี?
(๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส
เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด
๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก?
(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน
๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน
๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน
มองอย่างพินิจจะพบว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ
๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี?
(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงครามระหว่างคนไทยด้วยกันเอง
๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข
๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน
๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง
๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
(๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ
ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา
๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้
๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี?
(๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ
๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา
๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี?
(๑) หางานใหม่
(๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่
๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง (should be ยับยั้งชั่งใจ)
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย
๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ
คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า
๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน
๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน
ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ
๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
(๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(๒) ได้ถามตัวเอ??ว่า เราเกิดมาจากใคร
(๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง
๑๖. สวดมนต์บทไหนดี?
(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า
จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้
คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง
๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี?
(๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส
เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด
๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก?
(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน
๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน
๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน
มองอย่างพินิจจะพบว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี
Sunday, August 28, 2011
Love mum poem
ฉันรักแม่ เพราะรู้แน่ แม่รักฉัน
ทุกทุกวัน แม่เลี้ยงเรา เฝ้าถนอม
ใครมาทำ ร้ายเรา แม่ไม่ยอม
เฝ้าถนอม อบรมเรา เป็นคนดี
ทุกทุกวัน แม่เลี้ยงเรา เฝ้าถนอม
ใครมาทำ ร้ายเรา แม่ไม่ยอม
เฝ้าถนอม อบรมเรา เป็นคนดี
Saturday, August 6, 2011
mutual funds
จากบริเวณมุมขวาบน ของทั้ง 3 รูป
บ่งบอกว่า ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2554 เหมือนกัน
ให้สังเกตุ ว่า
ทุกกองทุนใช้คำว่า "เกณฑ์มาตราฐาน" เหมือนกัน
แต่ 1 ปีย้อนหลังกลับได้ตัวเลขที่ ไม่เท่ากัน
ที่มา
http://www.tmbam.com/v2/download/mutualFundFS31_2_Factsheet%20-%20TB7_th.pdf
http://www.kasikornasset.com/TH/FundDocuments/Fund%20Fact%20Sheet/K-GOLD.pdf
http://www.krungsriasset.com/TH/pdf/FFS_KF-GOLD_Jun11.pdf
แต่สำหรับตัวผมเอง ที่ต้องการผลตอบแทนการลงทุนที่สูง คงเลือก K-GOLD
เพราะ หักค่าบริหารเงินกองทุน ประมาณ 1% พอๆกัน
แต่ "เกณฑ์มาตราฐาน" หรือเป้าหมายของ ผลตอบแทน ที่กองทุนใช้ (ในขณะที่มียอดปันผลด้วย)
สูงกว่า "เกณฑ์มาตราฐาน" ของสถาบันอื่น
(ตอนมันลง มันจะลงมากสุดด้วยหรือเปล่าหนอ)
นึกถึงศัพท์คำนึงขึ้นมา
fiddle : to change the details or figures of sth in order to try to get money dishonestly, or gain an advantage - Oxford
ex: to fiddle the accounts
ปล. ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ผู้ใดเสื่อมเสีย หรือสนับสนุนใคร
มีเจตนาเพียง ให้เรารู้จักไตร่ตรอง ( สิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ) ก่อนจะปักใจเชื่อ
(เช่นเดียวกับ blog อื่นๆก่อนหน้านี้)
ว่าแต่กรมคุ้มครองผู้บริโภค ช่วย "คุ้มครอง" ผู้บริโภค ซะหน่อยจะดีมั้ยอ๊าบบบ
บ่งบอกว่า ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2554 เหมือนกัน
ให้สังเกตุ ว่า
ทุกกองทุนใช้คำว่า "เกณฑ์มาตราฐาน" เหมือนกัน
แต่ 1 ปีย้อนหลังกลับได้ตัวเลขที่ ไม่เท่ากัน
ที่มา
http://www.tmbam.com/v2/download/mutualFundFS31_2_Factsheet%20-%20TB7_th.pdf
http://www.kasikornasset.com/TH/FundDocuments/Fund%20Fact%20Sheet/K-GOLD.pdf
http://www.krungsriasset.com/TH/pdf/FFS_KF-GOLD_Jun11.pdf
แต่สำหรับตัวผมเอง ที่ต้องการผลตอบแทนการลงทุนที่สูง คงเลือก K-GOLD
เพราะ หักค่าบริหารเงินกองทุน ประมาณ 1% พอๆกัน
แต่ "เกณฑ์มาตราฐาน" หรือเป้าหมายของ ผลตอบแทน ที่กองทุนใช้ (ในขณะที่มียอดปันผลด้วย)
สูงกว่า "เกณฑ์มาตราฐาน" ของสถาบันอื่น
(ตอนมันลง มันจะลงมากสุดด้วยหรือเปล่าหนอ)
นึกถึงศัพท์คำนึงขึ้นมา
fiddle : to change the details or figures of sth in order to try to get money dishonestly, or gain an advantage - Oxford
ex: to fiddle the accounts
ปล. ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ผู้ใดเสื่อมเสีย หรือสนับสนุนใคร
มีเจตนาเพียง ให้เรารู้จักไตร่ตรอง ( สิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ) ก่อนจะปักใจเชื่อ
(เช่นเดียวกับ blog อื่นๆก่อนหน้านี้)
ว่าแต่กรมคุ้มครองผู้บริโภค ช่วย "คุ้มครอง" ผู้บริโภค ซะหน่อยจะดีมั้ยอ๊าบบบ
Labels:
detailed consideration
Tuesday, July 19, 2011
Monitor Realtime Remote Traffic in BKK
- http://traffic.longdo.com/
- ถ.กรุงธนบุรี
ระหว่าง ถ.รัชดาภิเษก - ถ.ตากสิน
(หน้าอู่รถเมล์สาย108) - ถ.กรุงธนบุรี
จากก่อนขึ้นสะพานสาทร - ถ.นราธิวาส มุ่งหน้า ถ.สาทร
- ขึ้นสะพานแขวนไปฝั่งธน
- ทางด่วนพระราม 2
เลยด่านเก็บเงินมุ่งหน้า สะพานแขวน - ทางด่วนพระราม 2
เลยด่านเก็บเงินไป 2 กม. มุ่งหน้า สะพานแขวน - all camera http://www.traffic.thai.net/camera/
Tuesday, July 5, 2011
Pasteurization Sterilization and UHT
การทำความรู้จักกับนมพร้อมดื่มให้มากขึ้น
ย่อมทำให้เลือกบริโภคนมพร้อมดื่มได้อย่างคุ้มค่าและสมประโยชน์ที่สุด
ผลิตภัณฑ์จากนมวัวปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ Whole milk และ นมดัดแปลง (modified cow’s milk)
1.นมครบส่วน(Whole milk) หมายถึง นมวัว ที่มิได้ดัดแปลงปริมาณโปรตีน, คาร์โบไฮเดรตและไขมัน
เมื่อนำมาผ่านกรรมวิธีทำให้แห้งจะได้ Whole milk ชนิดผง เรียกว่า นมผงชนิดธรรมดา
น้ำนมที่ผ่านกรรมวิธีและจำหน่ายในรูปของเหลวแบ่งออกเป็น 4 ประเภทได้แก่
นมพาสเจอร์ไรซ์(pasturized), นมยูเอชที(UHT), นมสเตอลิไรซ์(sterirized) และนมข้นไม่หวาน(evaporated milk)
Whole milk ที่ไม่ผ่านการดัดแปลงทั้งในรูปผงแห้งและของเหลวสามารถนำมาใช้เลี้ยงทารกและเด็กอายุ 9-12 เดือนขึ้นไป
2.นมดัดแปลง (modified cow’s milk) หมายถึงนมวัวที่ที่มีการปรับแต่งหรือดัดแปลงส่วนประกอบของนมวัว
ในเด็กทารกช่วง 6 เดือนแรกนมผงส่วนใหญ่ทำมาจากนมวัว
ทารกไม่สามารถย่อยและดูดซึมนมวัวได้ดี
การให้นมที่ไม่มีการดัดแปลงจึงอาจทำให้เกิดอันตรายต่อเด็กได้
จึงมีการดัดแปลงส่วนประกอบต่างๆในนมวัวให้ใกล้เคียงนมแม่มากที่สุด
ระบบพาสเจอร์ไรส์ (Pasteurization)
================================
มีรสและคุณสมบัติเหมือนน้ำนมสดตามธรรมชาติมากที่สุด
แต่ต้องแช่เย็นตลอดเวลาที่อุณหภูมิตู้เย็น (2-8 องศาเซลเซียส)
ระบบยู.เอช.ที. (Ultra Hight Temperature)
=======================================
ทำให้คุณค่าทางอาหารของน้ำนมสูญเสียไปไม่มากนัก
หากจะซื้อนมยูเอชที ก็ควรอ่านฉลากก่อนให้ดีว่าเป็นนมสด มิใช่นมคืนรูป
ระบบสเตอริไรส์ (Sterilization)
=============================
มีผลเสียทำให้คุณค่าอาหารลดลง
นมคืนรูป (Recombined Milk)
=========================
คือ นมพร้อมดื่มที่ไม่ได้ทำจากน้ำนมโดยตรง
แต่ได้จากการนำนมผงธรรมดามาละลายน้ำ
กระบวนการผลิตนมสดเป็นนมผง ต้องใช้ความร้อนสูงมาก
ทำให้สารอาหารและวิตามินบางชนิดถูกทำลายไป
สรุป
====
นมสดควรเป็นนมชนิดแรกที่ท่านนึกถึง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนมพาสเจอร์ไรซ์ ควรเป็นอันดับแรกที่จะเลือก
นมเปรี้ยว กับ นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม
========================
มีการเรียกชื่อที่สับสน
ผู้บริโภคจึงควรดูที่ส่วนผสม
ก็เลือกซื้อได้อย่างถูกต้องมากกว่า
"นมเปรี้ยว" หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยนำ "นมสด"
มาทำให้มีรสเปรี้ยว
ด้วยการใส่เชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายลงไป
ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เชื้อจุลินทรีย์เชื้อแลคโตบาซิลัสและสเตรปโตคอคคัส
"นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม" ผลิตมาจาก "นมขาดมันเนย"
ซึ่งอาจจะทำมาจาก "นมสด หรือ นมผง"
แล้วเติมน้ำตาลลงไป
# "โยเกิร์ต" คือ "นมเปรี้ยว"ชนิดข้น
# คุณค่าทางอาหารของนมเปรี้ยวพร้อมดื่ม จะน้อยกว่าโยเกิร์ต
อื่นๆ
======
นมสด (Fresh Milk) คือ นมสดธรรมดาที่บรรจุในกระป๋อง
ซึ่งฉลากระบุว่าเป็นนมโค 100 %
นมข้น (Condensed Milk) มี 2 ชนิด คือ
นมข้นจืด และ นมข้นหวาน
นมข้นจืด (evaporated milk) คือ นมผงขาดมันเนย
ละลายน้ำในอัตราส่วนที่น้อยกว่าปริมาณน้ำที่มีในนมสดธรรมดาครึ่งหนึ่ง
ถ้าเติมไขมันเนยลงไปเรียกว่า นมข้นคืนรูปไม่หวาน
ถ้าเติมน้ำมันปาล์มลงไปเรียกว่า นมข้นแปลงไขมันชนิดไม่หวาน
มีคุณค่าในแง่โปรตีนและพลังงานใกล้เคียงน้ำนมสดธรรมดา
แต่ชนิดที่ใช้น้ำมันปาล์มมีปริมาณกรดไขมันจำเป็นและวิตามินบางชนิดต่ำกว่า
จึงไม่สมควรใช้เลี้ยงทารก หรือเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
นมข้นหวาน คือ ผลิตภัณฑ์นมที่ระเหยเอาน้ำบางส่วน
หรือละลายนมผงขาดมันเนย ผสมกับไขมันเนยหรือไขมันปาล์ม
แล้วจึงเติมน้ำตาลลงไปประมาณ 45 %
จะเห็นว่านมข้นหวานมีน้ำตาลในปริมาณสูง
ทำให้คุณค่าทางโภชนาการโดยเฉพาะโปรตีนจากนมจะต่ำกว่าน้ำนมสดมาก
นมข้นหวานจึงไม่เหมาะสำหรับเลี้ยงทารก
หรือใช้เพื่อประโยชน์ในการเสริมคุณค่าอาหารเช่นเดียวกับน้ำนมสดธรรมดา
เพิ่มเติม http://www.childrenhospital.go.th/main/ph/PEOPLE/MILK/MAIN.HTM
ที่มา
- http://natres.psu.ac.th/Natawee/dairy_tips.htm
- http://www.nongpho.com/leanning.htm
- http://www.doctor.or.th/node/6574
- http://gms.oae.go.th/Z_Show.asp?ArticleID=490
ย่อมทำให้เลือกบริโภคนมพร้อมดื่มได้อย่างคุ้มค่าและสมประโยชน์ที่สุด
ผลิตภัณฑ์จากนมวัวปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ Whole milk และ นมดัดแปลง (modified cow’s milk)
1.นมครบส่วน(Whole milk) หมายถึง นมวัว ที่มิได้ดัดแปลงปริมาณโปรตีน, คาร์โบไฮเดรตและไขมัน
เมื่อนำมาผ่านกรรมวิธีทำให้แห้งจะได้ Whole milk ชนิดผง เรียกว่า นมผงชนิดธรรมดา
น้ำนมที่ผ่านกรรมวิธีและจำหน่ายในรูปของเหลวแบ่งออกเป็น 4 ประเภทได้แก่
นมพาสเจอร์ไรซ์(pasturized), นมยูเอชที(UHT), นมสเตอลิไรซ์(sterirized) และนมข้นไม่หวาน(evaporated milk)
Whole milk ที่ไม่ผ่านการดัดแปลงทั้งในรูปผงแห้งและของเหลวสามารถนำมาใช้เลี้ยงทารกและเด็กอายุ 9-12 เดือนขึ้นไป
2.นมดัดแปลง (modified cow’s milk) หมายถึงนมวัวที่ที่มีการปรับแต่งหรือดัดแปลงส่วนประกอบของนมวัว
ในเด็กทารกช่วง 6 เดือนแรกนมผงส่วนใหญ่ทำมาจากนมวัว
ทารกไม่สามารถย่อยและดูดซึมนมวัวได้ดี
การให้นมที่ไม่มีการดัดแปลงจึงอาจทำให้เกิดอันตรายต่อเด็กได้
จึงมีการดัดแปลงส่วนประกอบต่างๆในนมวัวให้ใกล้เคียงนมแม่มากที่สุด
ระบบพาสเจอร์ไรส์ (Pasteurization)
================================
มีรสและคุณสมบัติเหมือนน้ำนมสดตามธรรมชาติมากที่สุด
แต่ต้องแช่เย็นตลอดเวลาที่อุณหภูมิตู้เย็น (2-8 องศาเซลเซียส)
ระบบยู.เอช.ที. (Ultra Hight Temperature)
=======================================
ทำให้คุณค่าทางอาหารของน้ำนมสูญเสียไปไม่มากนัก
หากจะซื้อนมยูเอชที ก็ควรอ่านฉลากก่อนให้ดีว่าเป็นนมสด มิใช่นมคืนรูป
ระบบสเตอริไรส์ (Sterilization)
=============================
มีผลเสียทำให้คุณค่าอาหารลดลง
นมคืนรูป (Recombined Milk)
=========================
คือ นมพร้อมดื่มที่ไม่ได้ทำจากน้ำนมโดยตรง
แต่ได้จากการนำนมผงธรรมดามาละลายน้ำ
กระบวนการผลิตนมสดเป็นนมผง ต้องใช้ความร้อนสูงมาก
ทำให้สารอาหารและวิตามินบางชนิดถูกทำลายไป
สรุป
====
นมสดควรเป็นนมชนิดแรกที่ท่านนึกถึง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนมพาสเจอร์ไรซ์ ควรเป็นอันดับแรกที่จะเลือก
นมเปรี้ยว กับ นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม
========================
มีการเรียกชื่อที่สับสน
ผู้บริโภคจึงควรดูที่ส่วนผสม
ก็เลือกซื้อได้อย่างถูกต้องมากกว่า
"นมเปรี้ยว" หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยนำ "นมสด"
มาทำให้มีรสเปรี้ยว
ด้วยการใส่เชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายลงไป
ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เชื้อจุลินทรีย์เชื้อแลคโตบาซิลัสและสเตรปโตคอคคัส
"นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม" ผลิตมาจาก "นมขาดมันเนย"
ซึ่งอาจจะทำมาจาก "นมสด หรือ นมผง"
แล้วเติมน้ำตาลลงไป
# "โยเกิร์ต" คือ "นมเปรี้ยว"ชนิดข้น
# คุณค่าทางอาหารของนมเปรี้ยวพร้อมดื่ม จะน้อยกว่าโยเกิร์ต
อื่นๆ
======
นมสด (Fresh Milk) คือ นมสดธรรมดาที่บรรจุในกระป๋อง
ซึ่งฉลากระบุว่าเป็นนมโค 100 %
นมข้น (Condensed Milk) มี 2 ชนิด คือ
นมข้นจืด และ นมข้นหวาน
นมข้นจืด (evaporated milk) คือ นมผงขาดมันเนย
ละลายน้ำในอัตราส่วนที่น้อยกว่าปริมาณน้ำที่มีในนมสดธรรมดาครึ่งหนึ่ง
ถ้าเติมไขมันเนยลงไปเรียกว่า นมข้นคืนรูปไม่หวาน
ถ้าเติมน้ำมันปาล์มลงไปเรียกว่า นมข้นแปลงไขมันชนิดไม่หวาน
มีคุณค่าในแง่โปรตีนและพลังงานใกล้เคียงน้ำนมสดธรรมดา
แต่ชนิดที่ใช้น้ำมันปาล์มมีปริมาณกรดไขมันจำเป็นและวิตามินบางชนิดต่ำกว่า
จึงไม่สมควรใช้เลี้ยงทารก หรือเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
นมข้นหวาน คือ ผลิตภัณฑ์นมที่ระเหยเอาน้ำบางส่วน
หรือละลายนมผงขาดมันเนย ผสมกับไขมันเนยหรือไขมันปาล์ม
แล้วจึงเติมน้ำตาลลงไปประมาณ 45 %
จะเห็นว่านมข้นหวานมีน้ำตาลในปริมาณสูง
ทำให้คุณค่าทางโภชนาการโดยเฉพาะโปรตีนจากนมจะต่ำกว่าน้ำนมสดมาก
นมข้นหวานจึงไม่เหมาะสำหรับเลี้ยงทารก
หรือใช้เพื่อประโยชน์ในการเสริมคุณค่าอาหารเช่นเดียวกับน้ำนมสดธรรมดา
เพิ่มเติม http://www.childrenhospital.go.th/main/ph/PEOPLE/MILK/MAIN.HTM
ที่มา
- http://natres.psu.ac.th/Natawee/dairy_tips.htm
- http://www.nongpho.com/leanning.htm
- http://www.doctor.or.th/node/6574
- http://gms.oae.go.th/Z_Show.asp?ArticleID=490
Labels:
raising children
Monday, July 4, 2011
have a temperature
ไข้ต่ำ
=====
เนื่องจากโรคบางโรคถ้าผู้ปกครองให้ยาลดไข้พร่ำเพรื่อเกินไป
อาจทำให้การวินิจฉัยและการติดตามโรคทำได้ยากขึ้น โดยเฉพาะโรคไข้เลือดออกเป็นต้น
บางครั้งถ้าไข้ต่ำๆ ลูกไม่งอแง (อาการติดเชื้อไม่รุนแรง)
ก็อาจไม่จำเป็นต้องใช้ยาก็ได้ การปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม ก็เพียงพอแล้ว
โดย...
- การเช็ดตัว (ซึ่งควรใช้น้ำประปา หรือน้ำพออุ่นเช็ดตัวลูกโดยมีทิศทางการเช็ดจากส่วนต่างๆ ของร่างกายมุ่งสู่หัวใจ)
- ให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างพอเพียง เพื่อให้มีเหงื่อและปัสสาวะที่เพียงพอจะได้ระบายไข้ได้
โดยให้ลูกดื่มน้ำมาก ๆ (ไม่ใช่มากเกินไป)
- ให้ลูกกินอาหารอ่อนๆ ครั้งละน้อยๆ
อย่าลืมว่าการได้รับสารอาหารจะช่วยทำให้ผลการรักษาดีขึ้น
- ทำให้เสมหะหรือน้ำมูกไม่คั่งค้าง ไม่อุดกั้นทางเดินหายใจ
โดยการดื่มน้ำมากๆ
- การทำกายภาพบำบัดทรวงอก (หรือเคาะปอด) เพื่อช่วยระบายเสมหะ
- ถ้าลูกไม่มีไข้ ก็ควรสวมเสื้อผ้าหนาๆ เพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น
ถ้าเสมหะยังเหนียวและขับออกลำบาก อาจจะให้ยาละลายเสมหะ
และอาจให้สูดดมละอองไอน้ำ จะช่วยให้อาการดีขึ้นได้
- การไม่อยู่ในห้องที่ร้อนเกินไปหรือเย็นเกินไป
- พยายามป้องกันลูกจากควันบุหรี่หรือมลพิษในอากาศ
เพราะจะเกิดการระคายเคืองของทางเดินหายใจ และต่อมขับมูกจะทำงานมากกว่าปกติ
การดูแล และสังเกตุเมื่อลูกมีไข้ต่ำ
==========================
อาการที่บ่งชี้ว่าเกิดการติดเชื้อไวรัส ได้แก่
การมีไข้ต่ำๆ มีน้ำมูกใส
เด็กเล็กจะมีจมูกตันจนหายใจลำบาก มีเสียงครืดคราดเวลาหายใจ
อาจมีอาเจียนหรืออุจจาระร่วงร่วมด้วย ตาแดง ไอเสียงแหบ มีผื่นคันตามตัว
อาจเจ็บคอ แต่ไม่ถึงกับกลืนแล้วเจ็บ
กลุ่มนี้คุณพ่อคุณแม่รักษาตามอาการไปก่อนได้ครับ
สำหรับเชื้อไวรัสให้รักษาแบบประคับประคองตามอาการ โดยระวังภาวะแทรกซ้อน
เช่น
- ถ้าไอ ก็อาจให้ยาละลายเสมหะ
- ถ้ามีไข้ ก็ให้ยาลดไข้
- ถ้ามีน้ำมูก อาจต้องให้ยาลดน้ำมูก
ถ้าติดเชื้อไวรัสไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ !!!
(ขณะที่แบคทีเรียต้องให้ยาปฏิชีวนะไปฆ่าเชื้อโรค)
มีไข้สูง
=====
ถ้าผู้ใหญ่เป็นไข้ นอนให้เหงื่อออกซักคืนนึงก็หาย
แต่สำหรับเด็ก ถ้าใช้สูตรเดียวกัน เด็กอาจจะได้ไปเกิดใหม่ !!!
การใช้ยาลดไข้จะมีความสำคัญมากใน 24 ชม.แรก หลังมีไข้สูง
เนื่องจากลูกอาจชักเพราะไข้สูงได้ !!!
ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรเฝ้าระวัง ควบคุมอาการไข้และใช้ยาลดไข้อย่างเคร่งครัดใน 24 ชั่วโมง
และถ้า 2-3 วันแล้วไข้ยังไม่ลด ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคให้ถูกต้อง
ยิ่งถ้าลูกไม่มีอาการไอ และไม่มีน้ำมูก 2-3 วัน ยิ่งควรรีบไปพบแพทย์เลย ***
ยาลดไข้
=======
ยากลุ่มนี้มีตัวยาหลัก ๆ อยู่ 3 ตัวด้วยกันได้แก่
พาราเซตามอล (Paracatamol) แอสไพริน (Aspirin) และไอบูโปรเฟน(Ibuprofen)
ยาแต่ละตัวมีคุณสมบัติดังนี้: พาราเซตามอล แอสไพริน ไอบูโปรเฟน
ประสิทธิภาพการลดไข้: โดยรวมแล้วไม่แตกต่าง แต่เด็กแต่ละคนให้ผลไม่เท่ากันได้
เริ่มออกฤทธิ์ลดไข้: 30 นาที-1ชม. 30นาที-1ชม. 3นาที-1ชม.
ระดับยาสูงสุดในร่างกาย: ประมาณ 2 ชม. ประมาณ 2 ชม. ประมาณ 2 ชม.
ออกฤทธิ์อยู่นาน: 4-6ชม. 4-6ชม. 6ชม.
..
ผลข้างเคียง (ขึ้นอยู่กับปริมาณที่กิน)
ป่วน ระคายกระเพาะ กระเพาะได้ เลือดออกในกระเพาะ
ใช้ติดต่อกันอาจมีผลต่อตับไต หรือ ผื่นตามตัวได้
= ต้องดื่มน้ำตามมากๆ
ข้อห้ามใช้ โรคกระเพาะ โรคเลือด โรคกระเพาะ เป็นต้น (ศึกษาเพิ่มเติม)
การดูแล และสังเกตุเมื่อลูกมีไข้สูง
==========================
ถ้ามีอาการบ่งชี้ว่าเป็นแบคทีเรีย ก็ให้ไปพบแพทย์ได้
ได้แก่ อาการเจ็บคอกลืนลำบาก ทอนซิลแดง
โดยเฉพาะมีจุดเลือดออกที่ทอนซิล ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต น้ำมูกเหลืองเขียวจัดเป็นยอง
แต่ถ้ามีหลักฐานว่าเป็นไวรัส ได้แก่ น้ำมูกใส จามบ่อย ตาแดง ไอเสียงแหบ มีผื่นตามตัว
แบบนี้รักษาตามอาการไปก่อนได้ครับ
หมอไม่อยากให้ผู้ปกครองซื้อยาปฏิชีวนะทานเอง เนื่องจากยาปฏิชีวนะมีหลายชนิดมาก
การใช้ที่บ่อยเกินไปจะทำให้ดื้อยาได้ ต่อไปจะหายามารักษายากขึ้น
แต่ก็ต้องระวังว่า ถ้าเป็นแบคทีเรียแล้วใช้ยาปฏิชีวนะช้าเกินไป โรคอาจลุกลามและรักษายากขึ้น !!!
คุณพ่อคุณแม่ห้ามใช้ยาปฏิชีวนะทุกครั้งที่ลูกเป็นไข้ไม่สบายนะครับ !!!!
ควรใช้ให้ถูกเวลาจะมีประโยชน์มาก สำหรับปริมาณและระยะเวลาการใช้
แพทย์จะเป็นคนกำหนดตามแต่วินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไร และเชื้อน่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรียตัวใด กลุ่มใด
การวัดผล
หมอ: อาการมีไข้สูง เป็นตัวบ่งชี้ว่า ยังมีการติดเชื้ออยู่ (เหมือนเสมหะสีเขียว)
(หมอ: บางครั้งสาเหตุของการมีไข้ เกิดขึ้นจากหูอักเสบ)
ถ้ากินยาฆ่าเชื้อต่อเนื่องระยะเวลาหนึ่ง แล้วไข้ยังขึ้นๆลงๆ แปลว่า ยาไม่ได้ผลแล้ว
-----------------------------------------
แก้ไม่ตรงจุด กินยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ ส่งผลเสียทั้งตัวเองและโดยรวม
ยาแก้อักเสบ, ยาปฏิชีวนะ, หรือยาต้านจุลชีพ (Antibiotics) เช่น Amoxicillin
เป็นยาที่ใช้รักษาอาการติดเชื้อจากแบคทีเรีย
(หมอแมว: มีส่วนน้อย ที่ใช้ในการรักษาเชื้อไวรัสหรือเชื้อรา)
หมอแมว : การดื้อยาของเชื้อโรค
สามารถเกิดได้ทุกครั้งที่เชื้อโรค(ที่หลงเหลือ หลบซ่อน อยู่ในตัวเรา)ได้เห็นยา ...
หมอแมว : หนทางเดียวที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการดื้อยาได้ ก็คือ
การใช้ยาปฏิชีวนะให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
หมอ:เชื้อโรคเปลี่ยนสายพันธุ์ไปเรื่อยๆ ที่เคยกิน Amoxicillin หาย เดี๋ยวนี้ก็เริ่มดื้อยา
หมอแมว :เชื้อโรคเมืองไทยเริ่มดื้อยามากขึ้นทีละน้อย
-----------------------------------------
ไม่จำเป็นต้องยาแพง
หมอแมว: ยาราคาแพงบางตัว ถูกสร้างขึ้นมาโดยมีความสามารถฆ่าเชื้อไม่กี่ชนิด
และบ่อยครั้ง ที่ยาราคาแพงบางตัว ไม่สามารถนำมาใช้รักษาโรคง่ายๆได้
ยกตัวอย่างเช่น โรคติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ ใช้ยา Norfloxacin เม็ดละบาท สามวันหาย
แต่ไปใช้ยา Clindamycin ราคาแพงกว่ากันหลายสิบเท่า กลับไม่หาย
-----------------------------------------
ถามว่า: Amoxicillin สำหรับผู้ใหญ่ กินต่อเนื่องหลายๆแผงได้มั๊ย
หมอ: เป็นยาที่มีผลข้างเคียงน้อย
-----------------------------------------
ส่งท้ายจากใจหมอ
==============
คุณพ่อคุณแม่สามารถให้ยาลูกและดูอาการลูกไปก่อนได้ถ้า...
1. ลูกมีอาการไอ หรือมีน้ำมูกด้วย
2. ลูกดูไม่ค่อยอ่อนเพลียมาก ไข้ไม่สูงมาก ไม่หอบ ไม่เหนื่อย
3. อาการบ่งชี้ว่าน่าจะเป็นไวรัส
4. ลูกไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง เช่น เคยชักเพราะไข้สูง
มีโรคประจำตัวรุนแรง เช่น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
ลูกอายุน้อยกว่า 6 เดือน ดูอาการและรักษาตามอาการไปก่อน 2-3 วัน ไม่เป็นปัญหาครับ
แต่ถ้าเลยจากนี้หรือดูแล้วลูกแย่ลง ก็ควรรีบไปพบคุณหมอให้วินิจฉัยและวางแผนการรักษาดีกว่า
และอย่าลืมว่าเวลาไปพบคุณหมอก็ต้องขอความรู้คุณหมอด้วยนะครับ ไม่ใช่ไปรับยาอย่างเดียว ***
"ยาบรรเทาอาการต่างๆ เช่น ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ และยาลดไข้
สามารถหยุดยาได้ทันทีเมื่ออาการดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องรับประทานอย่างต่อเนื่อง"
ที่มา
- http://www.momypedia.com/boxTh/knowledge/printpage.aspx?no=477&p=1
พ่อคับ แม่ขา...ยานะไม่ใช่ขนม!
โดย: น.พ.สมบัติ เทพรักษ์ (นิตยสารรักลูก)
- http://www.kapookya.com/article_detail.php?id=23
- หมอแมว http://webboard.mthai.com/7/2006-10-25/277002.html
=====
เนื่องจากโรคบางโรคถ้าผู้ปกครองให้ยาลดไข้พร่ำเพรื่อเกินไป
อาจทำให้การวินิจฉัยและการติดตามโรคทำได้ยากขึ้น โดยเฉพาะโรคไข้เลือดออกเป็นต้น
บางครั้งถ้าไข้ต่ำๆ ลูกไม่งอแง (อาการติดเชื้อไม่รุนแรง)
ก็อาจไม่จำเป็นต้องใช้ยาก็ได้ การปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม ก็เพียงพอแล้ว
โดย...
- การเช็ดตัว (ซึ่งควรใช้น้ำประปา หรือน้ำพออุ่นเช็ดตัวลูกโดยมีทิศทางการเช็ดจากส่วนต่างๆ ของร่างกายมุ่งสู่หัวใจ)
- ให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างพอเพียง เพื่อให้มีเหงื่อและปัสสาวะที่เพียงพอจะได้ระบายไข้ได้
โดยให้ลูกดื่มน้ำมาก ๆ (ไม่ใช่มากเกินไป)
- ให้ลูกกินอาหารอ่อนๆ ครั้งละน้อยๆ
อย่าลืมว่าการได้รับสารอาหารจะช่วยทำให้ผลการรักษาดีขึ้น
- ทำให้เสมหะหรือน้ำมูกไม่คั่งค้าง ไม่อุดกั้นทางเดินหายใจ
โดยการดื่มน้ำมากๆ
- การทำกายภาพบำบัดทรวงอก (หรือเคาะปอด) เพื่อช่วยระบายเสมหะ
- ถ้าลูกไม่มีไข้ ก็ควรสวมเสื้อผ้าหนาๆ เพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น
ถ้าเสมหะยังเหนียวและขับออกลำบาก อาจจะให้ยาละลายเสมหะ
และอาจให้สูดดมละอองไอน้ำ จะช่วยให้อาการดีขึ้นได้
- การไม่อยู่ในห้องที่ร้อนเกินไปหรือเย็นเกินไป
- พยายามป้องกันลูกจากควันบุหรี่หรือมลพิษในอากาศ
เพราะจะเกิดการระคายเคืองของทางเดินหายใจ และต่อมขับมูกจะทำงานมากกว่าปกติ
การดูแล และสังเกตุเมื่อลูกมีไข้ต่ำ
==========================
อาการที่บ่งชี้ว่าเกิดการติดเชื้อไวรัส ได้แก่
การมีไข้ต่ำๆ มีน้ำมูกใส
เด็กเล็กจะมีจมูกตันจนหายใจลำบาก มีเสียงครืดคราดเวลาหายใจ
อาจมีอาเจียนหรืออุจจาระร่วงร่วมด้วย ตาแดง ไอเสียงแหบ มีผื่นคันตามตัว
อาจเจ็บคอ แต่ไม่ถึงกับกลืนแล้วเจ็บ
กลุ่มนี้คุณพ่อคุณแม่รักษาตามอาการไปก่อนได้ครับ
สำหรับเชื้อไวรัสให้รักษาแบบประคับประคองตามอาการ โดยระวังภาวะแทรกซ้อน
เช่น
- ถ้าไอ ก็อาจให้ยาละลายเสมหะ
- ถ้ามีไข้ ก็ให้ยาลดไข้
- ถ้ามีน้ำมูก อาจต้องให้ยาลดน้ำมูก
ถ้าติดเชื้อไวรัสไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ !!!
(ขณะที่แบคทีเรียต้องให้ยาปฏิชีวนะไปฆ่าเชื้อโรค)
มีไข้สูง
=====
ถ้าผู้ใหญ่เป็นไข้ นอนให้เหงื่อออกซักคืนนึงก็หาย
แต่สำหรับเด็ก ถ้าใช้สูตรเดียวกัน เด็กอาจจะได้ไปเกิดใหม่ !!!
การใช้ยาลดไข้จะมีความสำคัญมากใน 24 ชม.แรก หลังมีไข้สูง
เนื่องจากลูกอาจชักเพราะไข้สูงได้ !!!
ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรเฝ้าระวัง ควบคุมอาการไข้และใช้ยาลดไข้อย่างเคร่งครัดใน 24 ชั่วโมง
และถ้า 2-3 วันแล้วไข้ยังไม่ลด ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคให้ถูกต้อง
ยิ่งถ้าลูกไม่มีอาการไอ และไม่มีน้ำมูก 2-3 วัน ยิ่งควรรีบไปพบแพทย์เลย ***
ยาลดไข้
=======
ยากลุ่มนี้มีตัวยาหลัก ๆ อยู่ 3 ตัวด้วยกันได้แก่
พาราเซตามอล (Paracatamol) แอสไพริน (Aspirin) และไอบูโปรเฟน(Ibuprofen)
ยาแต่ละตัวมีคุณสมบัติดังนี้: พาราเซตามอล แอสไพริน ไอบูโปรเฟน
ประสิทธิภาพการลดไข้: โดยรวมแล้วไม่แตกต่าง แต่เด็กแต่ละคนให้ผลไม่เท่ากันได้
เริ่มออกฤทธิ์ลดไข้: 30 นาที-1ชม. 30นาที-1ชม. 3นาที-1ชม.
ระดับยาสูงสุดในร่างกาย: ประมาณ 2 ชม. ประมาณ 2 ชม. ประมาณ 2 ชม.
ออกฤทธิ์อยู่นาน: 4-6ชม. 4-6ชม. 6ชม.
..
ผลข้างเคียง (ขึ้นอยู่กับปริมาณที่กิน)
ป่วน ระคายกระเพาะ กระเพาะได้ เลือดออกในกระเพาะ
ใช้ติดต่อกันอาจมีผลต่อตับไต หรือ ผื่นตามตัวได้
= ต้องดื่มน้ำตามมากๆ
ข้อห้ามใช้ โรคกระเพาะ โรคเลือด โรคกระเพาะ เป็นต้น (ศึกษาเพิ่มเติม)
การดูแล และสังเกตุเมื่อลูกมีไข้สูง
==========================
ถ้ามีอาการบ่งชี้ว่าเป็นแบคทีเรีย ก็ให้ไปพบแพทย์ได้
ได้แก่ อาการเจ็บคอกลืนลำบาก ทอนซิลแดง
โดยเฉพาะมีจุดเลือดออกที่ทอนซิล ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต น้ำมูกเหลืองเขียวจัดเป็นยอง
แต่ถ้ามีหลักฐานว่าเป็นไวรัส ได้แก่ น้ำมูกใส จามบ่อย ตาแดง ไอเสียงแหบ มีผื่นตามตัว
แบบนี้รักษาตามอาการไปก่อนได้ครับ
หมอไม่อยากให้ผู้ปกครองซื้อยาปฏิชีวนะทานเอง เนื่องจากยาปฏิชีวนะมีหลายชนิดมาก
การใช้ที่บ่อยเกินไปจะทำให้ดื้อยาได้ ต่อไปจะหายามารักษายากขึ้น
แต่ก็ต้องระวังว่า ถ้าเป็นแบคทีเรียแล้วใช้ยาปฏิชีวนะช้าเกินไป โรคอาจลุกลามและรักษายากขึ้น !!!
คุณพ่อคุณแม่ห้ามใช้ยาปฏิชีวนะทุกครั้งที่ลูกเป็นไข้ไม่สบายนะครับ !!!!
ควรใช้ให้ถูกเวลาจะมีประโยชน์มาก สำหรับปริมาณและระยะเวลาการใช้
แพทย์จะเป็นคนกำหนดตามแต่วินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไร และเชื้อน่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรียตัวใด กลุ่มใด
การวัดผล
หมอ: อาการมีไข้สูง เป็นตัวบ่งชี้ว่า ยังมีการติดเชื้ออยู่ (เหมือนเสมหะสีเขียว)
(หมอ: บางครั้งสาเหตุของการมีไข้ เกิดขึ้นจากหูอักเสบ)
ถ้ากินยาฆ่าเชื้อต่อเนื่องระยะเวลาหนึ่ง แล้วไข้ยังขึ้นๆลงๆ แปลว่า ยาไม่ได้ผลแล้ว
-----------------------------------------
แก้ไม่ตรงจุด กินยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ ส่งผลเสียทั้งตัวเองและโดยรวม
ยาแก้อักเสบ, ยาปฏิชีวนะ, หรือยาต้านจุลชีพ (Antibiotics) เช่น Amoxicillin
เป็นยาที่ใช้รักษาอาการติดเชื้อจากแบคทีเรีย
(หมอแมว: มีส่วนน้อย ที่ใช้ในการรักษาเชื้อไวรัสหรือเชื้อรา)
หมอแมว : การดื้อยาของเชื้อโรค
สามารถเกิดได้ทุกครั้งที่เชื้อโรค(ที่หลงเหลือ หลบซ่อน อยู่ในตัวเรา)ได้เห็นยา ...
หมอแมว : หนทางเดียวที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการดื้อยาได้ ก็คือ
การใช้ยาปฏิชีวนะให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
หมอ:เชื้อโรคเปลี่ยนสายพันธุ์ไปเรื่อยๆ ที่เคยกิน Amoxicillin หาย เดี๋ยวนี้ก็เริ่มดื้อยา
หมอแมว :เชื้อโรคเมืองไทยเริ่มดื้อยามากขึ้นทีละน้อย
-----------------------------------------
ไม่จำเป็นต้องยาแพง
หมอแมว: ยาราคาแพงบางตัว ถูกสร้างขึ้นมาโดยมีความสามารถฆ่าเชื้อไม่กี่ชนิด
และบ่อยครั้ง ที่ยาราคาแพงบางตัว ไม่สามารถนำมาใช้รักษาโรคง่ายๆได้
ยกตัวอย่างเช่น โรคติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ ใช้ยา Norfloxacin เม็ดละบาท สามวันหาย
แต่ไปใช้ยา Clindamycin ราคาแพงกว่ากันหลายสิบเท่า กลับไม่หาย
-----------------------------------------
ถามว่า: Amoxicillin สำหรับผู้ใหญ่ กินต่อเนื่องหลายๆแผงได้มั๊ย
หมอ: เป็นยาที่มีผลข้างเคียงน้อย
-----------------------------------------
ส่งท้ายจากใจหมอ
==============
คุณพ่อคุณแม่สามารถให้ยาลูกและดูอาการลูกไปก่อนได้ถ้า...
1. ลูกมีอาการไอ หรือมีน้ำมูกด้วย
2. ลูกดูไม่ค่อยอ่อนเพลียมาก ไข้ไม่สูงมาก ไม่หอบ ไม่เหนื่อย
3. อาการบ่งชี้ว่าน่าจะเป็นไวรัส
4. ลูกไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง เช่น เคยชักเพราะไข้สูง
มีโรคประจำตัวรุนแรง เช่น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
ลูกอายุน้อยกว่า 6 เดือน ดูอาการและรักษาตามอาการไปก่อน 2-3 วัน ไม่เป็นปัญหาครับ
แต่ถ้าเลยจากนี้หรือดูแล้วลูกแย่ลง ก็ควรรีบไปพบคุณหมอให้วินิจฉัยและวางแผนการรักษาดีกว่า
และอย่าลืมว่าเวลาไปพบคุณหมอก็ต้องขอความรู้คุณหมอด้วยนะครับ ไม่ใช่ไปรับยาอย่างเดียว ***
"ยาบรรเทาอาการต่างๆ เช่น ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ และยาลดไข้
สามารถหยุดยาได้ทันทีเมื่ออาการดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องรับประทานอย่างต่อเนื่อง"
ที่มา
- http://www.momypedia.com/boxTh/knowledge/printpage.aspx?no=477&p=1
พ่อคับ แม่ขา...ยานะไม่ใช่ขนม!
โดย: น.พ.สมบัติ เทพรักษ์ (นิตยสารรักลูก)
- http://www.kapookya.com/article_detail.php?id=23
- หมอแมว http://webboard.mthai.com/7/2006-10-25/277002.html
Labels:
raising children
Have a cough
ยาแก้ไอ ละลายเสมหะ ขับเสมหะ
============================
หมออยากจะเรียนให้คุณพ่อคุณแม่ทราบว่า
การไอส่วนใหญ่ที่พบในเด็กเป็นลักษณะไอแบบมีเสมหะ
ดังนั้นยาแก้ไอหรือยาระงับไอจึงไม่ควรใช้ !!!
เนื่องจากทำให้เกิดการคั่งค้างของเสมหะ
บางรายอาจพบอาการคลื่นไส้ ท้องผูก ปากแห้ง มึนงง ง่วงซึม อาจเกิดการเสพย์ติดยาได้
จึงควรใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้น
ยากลุ่มนี้ได้แก่ Codeine, Dextrome thorphan
ส่วนยาละลายเสมหะ ขับเสมหะนั้น จุดประสงค์หลักเพื่อทำให้เสมหะไม่เหนียว
จึงทำให้การไอมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ร่างกายสามารถขับเสมหะออกผ่านทางการไอได้
ซึ่งลูกๆ อาจจะไอมากขึ้นในช่วงแรกหลังทานยา แต่เป็นการไอที่ลูก ๆ สบายลำคอ
และเมื่อเสมหะหมด อาการไอจะค่อย ๆ ทุเลาลงเอง...
และเช่นเคยครับ ถ้าลูกดื่มน้ำได้มากพอ ไอไม่รุนแรง การใช้ยากลุ่มนี้ก็ไม่จำเป็น
ยกเว้นไว้ว่าเสมหะยังเหนียวและไอขับออกลำบาก แบบนั้นก็ยังคงต้องใช้ยาต่อไป
ยาขับเสมหะมีหลายชนิด
- บางชนิดออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางหรือประสาทส่วนปลาย
- บางชนิดออกฤทธิ์กระตุ้นเซลล์เฉพาะที่ (เยื่อบุทางเดินหายใจหรือกระเพาะ)
ทำให้มีการขับสารน้ำในทางเดินหายใจมากขึ้น ช่วยให้เสมหะใสขึ้นและถูกขับออกหรือกลืนลงกระเพาะได้ง่าย
จึงเท่ากับลดการไอไปในตัว
ยาเหล่านี้ ได้แก่ Glyceryl guaiacolatecamphor,Sodium,Ammonium carbonate,
เกลือ Iodide-Bromide Chloride เช่น Potassium iodide
ผลทางยาเหล่านี้ไม่สามารถกล่าวได้แน่นอน เพราะการศึกษาเปรียบเทียบทำได้ยาก
แต่โดยรวม ๆ แล้วไม่ค่อยแตกต่างกันนัก
ยาละลายเสมหะนั้น มีรายงานการใช้ยาที่ได้ผลในการลดความเหนียวหนืดของเสมหะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ในแบบสูดดมฝอยละอองยา
เมื่อเสมหะไม่เหนียวการขับเสมหะจึงง่าย และทำให้การไอมีประสิทธิภาพด้วย
ยากลุ่มนี้ได้แก่ AmmonCarb, Bromhexine Hee, acetylcysteine
ควรใส่ใจ
========
อย่าลืมนะครับว่า การที่ลูกๆ ขาดน้ำจะทำให้เสมหะเหนียวมากขึ้น และยังทำให้ไอมากขึ้นด้วย
ฉะนั้นน้ำจึงเป็นสิ่งที่จะช่วยละลายและขับเสมหะได้เป็นอย่างดี
"ยาบรรเทาอาการต่างๆ เช่น ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ และยาลดไข้
สามารถหยุดยาได้ทันทีเมื่ออาการดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องรับประทานอย่างต่อเนื่อง"
ยาขยายหลอดลม
=============
ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์กระตุ้นที่หลอดลมทำให้หลอดลมขยายตัว
แต่ก็มีฤทธิ์กระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วแรงมากด้วย !!!
บางครั้งลูกใจสั่น หงุดหงิดมือสั่น นอนไม่หลับ กระวนกระวาย
ถ้าเป็นแบบนี้หยุดยาเสียครับ อาการก็จะค่อยๆ หายๆ ไป
ยากลุ่มนี้มีทั้งรูปแบบเม็ด น้ำเชื่อม และสูดดมก็มี
ได้แก่ Salbutamol, Terbutaline, Fenateral
มีที่ใช้เมื่อมีหลอดลมเกร็งเช่น กรณีหืดหอบ หรือเพื่อช่วยเสริมให้มีการขับเสมหะได้ดีขึ้น
กรณีไอมาก ๆ หลังจากการดื่มน้ำเพียงพอแล้ว
ทำกายภาพบำบัดทรวงอก เสมหะก็ยังเหนียวอยู่ ยังไอมากอยู่บ่อยครั้ง
จึงใช้ยาขยายหลอดลมร่วมด้วย ทั้งแบบรับประทานและแบบพ่นสูดดมก็ได้
ลูกที่เป็นหอบหืด คุณพ่อคุณแม่ต้องศึกษาการใช้ยานี้ให้ดีนะครับ
เพราะต้องใช้โดยเคร่งครัด แต่ก็อีกนั่นแหละครับ
ถ้าเสมหะยังเหนียวอยู่ ถึงเราใช้ยาขยายหลอดลมก็อาจ ช่วยไม่มากนัก
ดังนั้นการดื่มน้ำมากๆ ตั้งแต่เริ่มป่วยก็สำคัญยิ่ง !!!
เพราะเมื่อมีอาการมากขึ้นแล้ว ลูกจะไม่สามารถดื่มน้ำมากๆ ได้
ที่มา พ่อคับ แม่ขา...ยานะไม่ใช่ขนม!
โดย: น.พ.สมบัติ เทพรักษ์
นิตยสารรักลูก
http://www.momypedia.com/boxTh/knowledge/printpage.aspx?no=477&p=1
ควรอ่าน เพิ่มเติม
ความเว่อร์ของคุณแม่บางท่านจะทำให้ทุกอย่างหนักหนามากขึ้น
จากที่น้อยจะเป็นมาก, จากที่มากจะมากที่สุด
สุดท้ายชีวิตดำเนินไปด้วยเข็มฉีดยาขยายหลอดลม
บางบ้านต้องหอบลูกไปห้องฉุกเฉินพ่นยาขยายหลอดลมทุกค่ำคืนในฤดูหนาว
http://community.momypedia.com/community/blog/my_blog_detail.aspx?bgrid=54664&blgid=14500
โดย น.พ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
============================
หมออยากจะเรียนให้คุณพ่อคุณแม่ทราบว่า
การไอส่วนใหญ่ที่พบในเด็กเป็นลักษณะไอแบบมีเสมหะ
ดังนั้นยาแก้ไอหรือยาระงับไอจึงไม่ควรใช้ !!!
เนื่องจากทำให้เกิดการคั่งค้างของเสมหะ
บางรายอาจพบอาการคลื่นไส้ ท้องผูก ปากแห้ง มึนงง ง่วงซึม อาจเกิดการเสพย์ติดยาได้
จึงควรใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้น
ยากลุ่มนี้ได้แก่ Codeine, Dextrome thorphan
ส่วนยาละลายเสมหะ ขับเสมหะนั้น จุดประสงค์หลักเพื่อทำให้เสมหะไม่เหนียว
จึงทำให้การไอมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ร่างกายสามารถขับเสมหะออกผ่านทางการไอได้
ซึ่งลูกๆ อาจจะไอมากขึ้นในช่วงแรกหลังทานยา แต่เป็นการไอที่ลูก ๆ สบายลำคอ
และเมื่อเสมหะหมด อาการไอจะค่อย ๆ ทุเลาลงเอง...
และเช่นเคยครับ ถ้าลูกดื่มน้ำได้มากพอ ไอไม่รุนแรง การใช้ยากลุ่มนี้ก็ไม่จำเป็น
ยกเว้นไว้ว่าเสมหะยังเหนียวและไอขับออกลำบาก แบบนั้นก็ยังคงต้องใช้ยาต่อไป
ยาขับเสมหะมีหลายชนิด
- บางชนิดออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางหรือประสาทส่วนปลาย
- บางชนิดออกฤทธิ์กระตุ้นเซลล์เฉพาะที่ (เยื่อบุทางเดินหายใจหรือกระเพาะ)
ทำให้มีการขับสารน้ำในทางเดินหายใจมากขึ้น ช่วยให้เสมหะใสขึ้นและถูกขับออกหรือกลืนลงกระเพาะได้ง่าย
จึงเท่ากับลดการไอไปในตัว
ยาเหล่านี้ ได้แก่ Glyceryl guaiacolatecamphor,Sodium,Ammonium carbonate,
เกลือ Iodide-Bromide Chloride เช่น Potassium iodide
ผลทางยาเหล่านี้ไม่สามารถกล่าวได้แน่นอน เพราะการศึกษาเปรียบเทียบทำได้ยาก
แต่โดยรวม ๆ แล้วไม่ค่อยแตกต่างกันนัก
ยาละลายเสมหะนั้น มีรายงานการใช้ยาที่ได้ผลในการลดความเหนียวหนืดของเสมหะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ในแบบสูดดมฝอยละอองยา
เมื่อเสมหะไม่เหนียวการขับเสมหะจึงง่าย และทำให้การไอมีประสิทธิภาพด้วย
ยากลุ่มนี้ได้แก่ AmmonCarb, Bromhexine Hee, acetylcysteine
ควรใส่ใจ
========
อย่าลืมนะครับว่า การที่ลูกๆ ขาดน้ำจะทำให้เสมหะเหนียวมากขึ้น และยังทำให้ไอมากขึ้นด้วย
ฉะนั้นน้ำจึงเป็นสิ่งที่จะช่วยละลายและขับเสมหะได้เป็นอย่างดี
"ยาบรรเทาอาการต่างๆ เช่น ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ และยาลดไข้
สามารถหยุดยาได้ทันทีเมื่ออาการดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องรับประทานอย่างต่อเนื่อง"
ยาขยายหลอดลม
=============
ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์กระตุ้นที่หลอดลมทำให้หลอดลมขยายตัว
แต่ก็มีฤทธิ์กระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วแรงมากด้วย !!!
บางครั้งลูกใจสั่น หงุดหงิดมือสั่น นอนไม่หลับ กระวนกระวาย
ถ้าเป็นแบบนี้หยุดยาเสียครับ อาการก็จะค่อยๆ หายๆ ไป
ยากลุ่มนี้มีทั้งรูปแบบเม็ด น้ำเชื่อม และสูดดมก็มี
ได้แก่ Salbutamol, Terbutaline, Fenateral
มีที่ใช้เมื่อมีหลอดลมเกร็งเช่น กรณีหืดหอบ หรือเพื่อช่วยเสริมให้มีการขับเสมหะได้ดีขึ้น
กรณีไอมาก ๆ หลังจากการดื่มน้ำเพียงพอแล้ว
ทำกายภาพบำบัดทรวงอก เสมหะก็ยังเหนียวอยู่ ยังไอมากอยู่บ่อยครั้ง
จึงใช้ยาขยายหลอดลมร่วมด้วย ทั้งแบบรับประทานและแบบพ่นสูดดมก็ได้
ลูกที่เป็นหอบหืด คุณพ่อคุณแม่ต้องศึกษาการใช้ยานี้ให้ดีนะครับ
เพราะต้องใช้โดยเคร่งครัด แต่ก็อีกนั่นแหละครับ
ถ้าเสมหะยังเหนียวอยู่ ถึงเราใช้ยาขยายหลอดลมก็อาจ ช่วยไม่มากนัก
ดังนั้นการดื่มน้ำมากๆ ตั้งแต่เริ่มป่วยก็สำคัญยิ่ง !!!
เพราะเมื่อมีอาการมากขึ้นแล้ว ลูกจะไม่สามารถดื่มน้ำมากๆ ได้
ที่มา พ่อคับ แม่ขา...ยานะไม่ใช่ขนม!
โดย: น.พ.สมบัติ เทพรักษ์
นิตยสารรักลูก
http://www.momypedia.com/boxTh/knowledge/printpage.aspx?no=477&p=1
ควรอ่าน เพิ่มเติม
ความเว่อร์ของคุณแม่บางท่านจะทำให้ทุกอย่างหนักหนามากขึ้น
จากที่น้อยจะเป็นมาก, จากที่มากจะมากที่สุด
สุดท้ายชีวิตดำเนินไปด้วยเข็มฉีดยาขยายหลอดลม
บางบ้านต้องหอบลูกไปห้องฉุกเฉินพ่นยาขยายหลอดลมทุกค่ำคืนในฤดูหนาว
http://community.momypedia.com/community/blog/my_blog_detail.aspx?bgrid=54664&blgid=14500
โดย น.พ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
Labels:
raising children
Have a cold
การให้ยาลดน้ำมูก หมออยากเรียนว่า ควรพิจารณาก่อนว่าจำเป็นแค่ไหน
เราจะใช้เมื่อลูกมีอาการจนสร้างความรำคาญ นอนหายใจไม่สะดวก หลับๆ ตื่นๆ
เด็กเล็กดูดนมไม่ได้ งอแงมากเท่านั้น !!!
ยาลดน้ำมูก
=========
ยาลดน้ำมูกเป็นยาที่ใช้ไม่มากนักในเด็ก และต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง !!!
เนื่องจากผลข้างเคียงของยานี้
ยากลุ่มนี้มี 3 จำพวกส่วนใหญ่ คุณแม่มักรู้จัก
จำพวกที่ 1 ได้แก่ chlorpheniramine, Brompheniran, Diphenleyaramine, Tripeoldine
ออกฤทธิ์สั้นประมาณ 6-8 ชม. ผลข้างเคียงส่วนใหญ่เป็นปากคอแห้ง จมูกแห้ง (โดยเฉพาะลูกดื่มน้ำน้อย) และมีอาการง่วงซึม
จำพวกที่ 2 ได้แก่ Loratidine, Fexofenadine, Terfenadine, Astemizole ออกฤทธิ์ 12-24 ชม.
(Laratidine ยังนิยมใช้เป็นยารักษาโรคแพ้อากาศด้วย)
จำพวกที่ 3 ได้แก่ Cetirizine ออกฤทธิ์ 24 ชม.
บางชนิดใช้ยาหยอดจมูกเพื่อลดอาการคัดจมูก ได้แก่ Ephedrine, pseudorphedreue
แต่ห้ามใช้ติดต่อกันเกิน 3 วัน
ยาลดอาการคัดจมูกบางครั้งทำเป็นรูปรับประทานได้แก่ pseudoephear
ยาลดน้ำมูกนี้ห้ามใช้กับลูกที่เป็นหอบหืด !!!
เนื่องจากเสมหะลูกจะเหนียว จึงทำให้ลูกหอบได้
นอกจากนี้ยาลดน้ำมูกไม่ควรอย่างยิ่งที่จะใช้ร่วมกับยาที่ทำให้ง่วง ได้แก่ ยาแก้อาเจียน ยากันชัก
และที่สำคัญในทารกและเด็กเล็กต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง
เพราะการได้รับยาลดน้ำมูกที่กินเกินขนาดจะกดการหายใจและอาจชักได้ !!!
ใช้แล้วเสมหะจะเหนียวจึงต้องดื่มน้ำมากๆ ด้วย ***
ส่วนยาที่ออกฤทธิ์ลดการคัดจมูกเป็นหลัก เด็กบางคนอาจมีอาการใจสั่นและหัวใจเต้นเร็วได้
ดังนั้นจึงไม่ควรใช้พร้อมกับยาขยายหลอดลม ***
เมื่ออาการคัดจมูกดีขึ้น น้ำมูกลดลง หลับได้ไม่งอแง ก็ควรหยุดยาไปได้เลยครับ ***
ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ
================
การขับน้ำมูกทิ้งมีวิธีทำอื่นๆ อีกได้แก่
การใช้น้ำเกลือ หรือน้ำอุ่น หยอดจมูกให้น้ำมูกนุ่มขึ้น
จะได้เช็ดออกหรือดูดออกได้ง่าย
ถ้าลูกโตแล้วบางครั้งการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือก็เป็นการช่วยที่ดีมาก ***
เอาสลิ้งดูดน้ำเกลือแล้วจ่อพ่นเข้ารูจมูก แล้วให้ลูกก้มหน้าลงแล้วสั่งขี้มูก
ทำข้างละ2ครั้ง เช้า+ก่อนนอน
สังเกตุดูสาเหตุด้วย
===============
เมื่อเด็กเจอสารที่กระตุ้นอาการแพ้ ก็จะทำให้จมูกหลั่งเมือกออกมา
เนื่องจากระคายเคือง เมือกนี้ ไหลลงคอกลายเป็นเสมหะ
และจะกักเชื้อโรคไว้ และทำให้ป่วยเป็นหวัดบ่อยได้
การวัดผล
หมอ: บางครั้งอาการน้ำมูกไหล หายไป กลายเป็นเจ็บคอ
หมายถึง เชื้อโรค ได้เข้าไปในร่างกาย ลึกขึ้น
บางครั้งนอกจากอาการเจ็บคอ กลายเป็นเริ่มมีไข้
หมายถึง เชื้อโรค ได้เข้าไปในร่างกาย ลึกขึ้น
ปอดอาจจะเริ่มติดเชื้อ
ที่มา
- http://www.momypedia.com/boxTh/knowledge/printpage.aspx?no=477&p=1
พ่อคับ แม่ขา...ยานะไม่ใช่ขนม!
โดย: น.พ.สมบัติ เทพรักษ์ (นิตยสารรักลูก)
- http://community.momypedia.com/webboard_topic.aspx?tid=19377
น้ำมูกเขียว
============
การมีน้ํามูกหรือเสมหะข้นและเป็นสีเหลืองหรือเขียวเพียงประการเดียว ไม่ได้แปลว่า
เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือมีอาการแย่ลง
- โรคหวัดในระยะใกล้หาย เราจะมีอาการดีขึ้น
ปริมาณน้ํามูกจะลดลง แต่ลักษณะของน้ํามูกจะข้นขึ้น
และอาจเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียวโดยเฉพาะในตอนเช้า
ซึ่งไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
แต่เป็นลักษณะอาการของโรคหวัดตามปกติ จึงไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะ
- คนที่เป็นหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน มักจะไอนานเป็นสัปดาห์ และมีเสมหะ
สีเขียวเหลืองได้ โดยไม่ได้มีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
- การมีน้ํามูกหรือเสมหะสีเขียวเหลือง ไม่ได้แปลว่าต้องกินยาปฏิชีวนะทุกครั้งไป
ที่มา http://newsser.fda.moph.go.th/rumthai/userfiledownload/asu136dl.pdf
เราจะใช้เมื่อลูกมีอาการจนสร้างความรำคาญ นอนหายใจไม่สะดวก หลับๆ ตื่นๆ
เด็กเล็กดูดนมไม่ได้ งอแงมากเท่านั้น !!!
ยาลดน้ำมูก
=========
ยาลดน้ำมูกเป็นยาที่ใช้ไม่มากนักในเด็ก และต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง !!!
เนื่องจากผลข้างเคียงของยานี้
ยากลุ่มนี้มี 3 จำพวกส่วนใหญ่ คุณแม่มักรู้จัก
จำพวกที่ 1 ได้แก่ chlorpheniramine, Brompheniran, Diphenleyaramine, Tripeoldine
ออกฤทธิ์สั้นประมาณ 6-8 ชม. ผลข้างเคียงส่วนใหญ่เป็นปากคอแห้ง จมูกแห้ง (โดยเฉพาะลูกดื่มน้ำน้อย) และมีอาการง่วงซึม
จำพวกที่ 2 ได้แก่ Loratidine, Fexofenadine, Terfenadine, Astemizole ออกฤทธิ์ 12-24 ชม.
(Laratidine ยังนิยมใช้เป็นยารักษาโรคแพ้อากาศด้วย)
จำพวกที่ 3 ได้แก่ Cetirizine ออกฤทธิ์ 24 ชม.
บางชนิดใช้ยาหยอดจมูกเพื่อลดอาการคัดจมูก ได้แก่ Ephedrine, pseudorphedreue
แต่ห้ามใช้ติดต่อกันเกิน 3 วัน
ยาลดอาการคัดจมูกบางครั้งทำเป็นรูปรับประทานได้แก่ pseudoephear
ยาลดน้ำมูกนี้ห้ามใช้กับลูกที่เป็นหอบหืด !!!
เนื่องจากเสมหะลูกจะเหนียว จึงทำให้ลูกหอบได้
นอกจากนี้ยาลดน้ำมูกไม่ควรอย่างยิ่งที่จะใช้ร่วมกับยาที่ทำให้ง่วง ได้แก่ ยาแก้อาเจียน ยากันชัก
และที่สำคัญในทารกและเด็กเล็กต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง
เพราะการได้รับยาลดน้ำมูกที่กินเกินขนาดจะกดการหายใจและอาจชักได้ !!!
ใช้แล้วเสมหะจะเหนียวจึงต้องดื่มน้ำมากๆ ด้วย ***
ส่วนยาที่ออกฤทธิ์ลดการคัดจมูกเป็นหลัก เด็กบางคนอาจมีอาการใจสั่นและหัวใจเต้นเร็วได้
ดังนั้นจึงไม่ควรใช้พร้อมกับยาขยายหลอดลม ***
เมื่ออาการคัดจมูกดีขึ้น น้ำมูกลดลง หลับได้ไม่งอแง ก็ควรหยุดยาไปได้เลยครับ ***
ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ
================
การขับน้ำมูกทิ้งมีวิธีทำอื่นๆ อีกได้แก่
การใช้น้ำเกลือ หรือน้ำอุ่น หยอดจมูกให้น้ำมูกนุ่มขึ้น
จะได้เช็ดออกหรือดูดออกได้ง่าย
ถ้าลูกโตแล้วบางครั้งการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือก็เป็นการช่วยที่ดีมาก ***
เอาสลิ้งดูดน้ำเกลือแล้วจ่อพ่นเข้ารูจมูก แล้วให้ลูกก้มหน้าลงแล้วสั่งขี้มูก
ทำข้างละ2ครั้ง เช้า+ก่อนนอน
สังเกตุดูสาเหตุด้วย
===============
เมื่อเด็กเจอสารที่กระตุ้นอาการแพ้ ก็จะทำให้จมูกหลั่งเมือกออกมา
เนื่องจากระคายเคือง เมือกนี้ ไหลลงคอกลายเป็นเสมหะ
และจะกักเชื้อโรคไว้ และทำให้ป่วยเป็นหวัดบ่อยได้
การวัดผล
หมอ: บางครั้งอาการน้ำมูกไหล หายไป กลายเป็นเจ็บคอ
หมายถึง เชื้อโรค ได้เข้าไปในร่างกาย ลึกขึ้น
บางครั้งนอกจากอาการเจ็บคอ กลายเป็นเริ่มมีไข้
หมายถึง เชื้อโรค ได้เข้าไปในร่างกาย ลึกขึ้น
ปอดอาจจะเริ่มติดเชื้อ
ที่มา
- http://www.momypedia.com/boxTh/knowledge/printpage.aspx?no=477&p=1
พ่อคับ แม่ขา...ยานะไม่ใช่ขนม!
โดย: น.พ.สมบัติ เทพรักษ์ (นิตยสารรักลูก)
- http://community.momypedia.com/webboard_topic.aspx?tid=19377
น้ำมูกเขียว
============
การมีน้ํามูกหรือเสมหะข้นและเป็นสีเหลืองหรือเขียวเพียงประการเดียว ไม่ได้แปลว่า
เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือมีอาการแย่ลง
- โรคหวัดในระยะใกล้หาย เราจะมีอาการดีขึ้น
ปริมาณน้ํามูกจะลดลง แต่ลักษณะของน้ํามูกจะข้นขึ้น
และอาจเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียวโดยเฉพาะในตอนเช้า
ซึ่งไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
แต่เป็นลักษณะอาการของโรคหวัดตามปกติ จึงไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะ
- คนที่เป็นหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน มักจะไอนานเป็นสัปดาห์ และมีเสมหะ
สีเขียวเหลืองได้ โดยไม่ได้มีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
- การมีน้ํามูกหรือเสมหะสีเขียวเหลือง ไม่ได้แปลว่าต้องกินยาปฏิชีวนะทุกครั้งไป
ที่มา http://newsser.fda.moph.go.th/rumthai/userfiledownload/asu136dl.pdf
Labels:
raising children
iodine deficiency
สำคัญแค่ไหน
=============
ช่วงทารกในครรภ์ถึงแรกคิด จะทำให้เกิดการแท้งหรือตายก่อนกำเนิดได้ง่าย
หรือหากไม่ตาย คลอดออกมาทารกก็จะพิการแต่กำเนิด คือ หูหนวก ขาแข็ง กระตุก ตาเหล่ รูปร่างแคระแกร็น
และสติปัญญาเสื่อมจนถึงปัญญาอ่อน หรือที่เรียกว่าเป็นเอ๋อ
ส่วนวัยเด็กถึงวัยรุ่นร่างกายจะเจริญเติบโตช้า สติปัญญาด้อยลงกว่าคนปกติและมีอาการคอพอก
ขณะที่วัยผู้ใหญ่จะมีอาการคอพอก เหนื่อยง่าย ไม่สดชื่น สมรรถนะในการทำงานลดลง ร่างกายและจิตใจเสื่อมถอย
หากเป็นเพศชายจะมีอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
สำหรับผู้หญิงประจำเดือนอาจมาไม่ปกติ
ไม่เกิดกับเราหรอก
==================
การเจาะเลือดวิเคราะห์สุขภาพทารกแรกเกิดทั่วไทยในรอบ 7 ปี...
...
อันดับ 2 กทม. 26.59%
ขาดไอโอดีนสูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน องค์การอนามัยโลกไปเกือบ 9 เท่า
How come?
=========
ใส่เกลือให้เด็กหรือแม่ที่กำลังตั้งท้อง กินแล้ว
แต่เด็กอาจยังขาดไอโอดีนได้ !!!
เพราะ
1)ไอโอดีนที่เสริมลงในเกลือจะคงอยู่สภาพได้แค่ 1 เดือน
กว่าจะถึงมือผู้บริโภค มักจะหมดสรรพคุณไปแล้ว
2)ไอโอดีนจะเสื่อมสลายเมื่อถูกความร้อนในการปรุงอาหาร
แก้ไขยังไง
===========
- การรับสารไอโอดีนในรู ปแบบของยาเม็ดหรื อแคปซูล
จะเหมาะสมกับผูที่ตองการไอโอดีนเกินกว่าปริ มาณปกติ เช่น หญิงตั้งครรภ์ เป็ นต้น
- กินเกลือสด (ไม่ผ่านความร้อน) เช่น จิ้มกินกับผลไม้
- เอาสารละลายไอโอดีนเข้มข้นไปผสมในน้ำ
note
=====
- ถึงแม้ว่าเราจะต้องการไอโอดีนในปริ มาณน้อย แต่จาเป็ นต้องได้รับไอโอดีนเป็ นประจํา
เพราะไอโอดี นไม่สามารถเก็บสะสมในร่ างกายได้นาน จึ งควรได้รับสารไอโอดี นจากการ
รับประทานอาหารในแต่ละวันจากเกลือบริ โภคเสริ มไอโอดีน
- ไอโอดีนเกี่ยวกับสมองได้ยังไง
http://mor-maew.exteen.com/20100828/entry
ที่มา
- ลดโง่กันเถอะ - แม่ทองต่อ พ่อประหยัด (4 กันยายน 53)
- http://www.thairath.co.th/today/view/105646
- http://iodinethailand.fda.moph.go.th/images/file/Question/Q1-42.pdf
- http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=anotherside&month=02-2010&date=22&group=17&gblog=202
=============
ช่วงทารกในครรภ์ถึงแรกคิด จะทำให้เกิดการแท้งหรือตายก่อนกำเนิดได้ง่าย
หรือหากไม่ตาย คลอดออกมาทารกก็จะพิการแต่กำเนิด คือ หูหนวก ขาแข็ง กระตุก ตาเหล่ รูปร่างแคระแกร็น
และสติปัญญาเสื่อมจนถึงปัญญาอ่อน หรือที่เรียกว่าเป็นเอ๋อ
ส่วนวัยเด็กถึงวัยรุ่นร่างกายจะเจริญเติบโตช้า สติปัญญาด้อยลงกว่าคนปกติและมีอาการคอพอก
ขณะที่วัยผู้ใหญ่จะมีอาการคอพอก เหนื่อยง่าย ไม่สดชื่น สมรรถนะในการทำงานลดลง ร่างกายและจิตใจเสื่อมถอย
หากเป็นเพศชายจะมีอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
สำหรับผู้หญิงประจำเดือนอาจมาไม่ปกติ
ไม่เกิดกับเราหรอก
==================
การเจาะเลือดวิเคราะห์สุขภาพทารกแรกเกิดทั่วไทยในรอบ 7 ปี...
...
อันดับ 2 กทม. 26.59%
ขาดไอโอดีนสูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน องค์การอนามัยโลกไปเกือบ 9 เท่า
How come?
=========
ใส่เกลือให้เด็กหรือแม่ที่กำลังตั้งท้อง กินแล้ว
แต่เด็กอาจยังขาดไอโอดีนได้ !!!
เพราะ
1)ไอโอดีนที่เสริมลงในเกลือจะคงอยู่สภาพได้แค่ 1 เดือน
กว่าจะถึงมือผู้บริโภค มักจะหมดสรรพคุณไปแล้ว
2)ไอโอดีนจะเสื่อมสลายเมื่อถูกความร้อนในการปรุงอาหาร
แก้ไขยังไง
===========
- การรับสารไอโอดีนในรู ปแบบของยาเม็ดหรื อแคปซูล
จะเหมาะสมกับผูที่ตองการไอโอดีนเกินกว่าปริ มาณปกติ เช่น หญิงตั้งครรภ์ เป็ นต้น
- กินเกลือสด (ไม่ผ่านความร้อน) เช่น จิ้มกินกับผลไม้
- เอาสารละลายไอโอดีนเข้มข้นไปผสมในน้ำ
note
=====
- ถึงแม้ว่าเราจะต้องการไอโอดีนในปริ มาณน้อย แต่จาเป็ นต้องได้รับไอโอดีนเป็ นประจํา
เพราะไอโอดี นไม่สามารถเก็บสะสมในร่ างกายได้นาน จึ งควรได้รับสารไอโอดี นจากการ
รับประทานอาหารในแต่ละวันจากเกลือบริ โภคเสริ มไอโอดีน
- ไอโอดีนเกี่ยวกับสมองได้ยังไง
http://mor-maew.exteen.com/20100828/entry
ที่มา
- ลดโง่กันเถอะ - แม่ทองต่อ พ่อประหยัด (4 กันยายน 53)
- http://www.thairath.co.th/today/view/105646
- http://iodinethailand.fda.moph.go.th/images/file/Question/Q1-42.pdf
- http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=anotherside&month=02-2010&date=22&group=17&gblog=202
Wednesday, June 22, 2011
ark children for commitment before activities
ตกลงกับเขาก่อนกิจกรรมใดๆ ว่าเรามีกฎเกณฑ์กันอย่างไรบ้าง เช่น
ถ้าออกไปเล่นกับเพื่อนๆนอกบ้าน ลูกจะไม่เกเร ทำให้คนอื่นหกล้ม บาดเจ็บ
ถ้าเกเร ก็เข้าบ้าน ออกไปเล่นนอกบ้านไม่ได้
ถ้าออกไปเที่ยว จะไม่งอแงซื้อของเล่น หรือขนม
ถ้างอแงซื้อของเล่น หรือขนม คราวหลังไม่พามาเที่ยวอีก
ถ้าจะเล่นด้วยกันกับเพื่อน เราจะไม่แย่งของกัน
เราลืมย้ำ บ้างบางครั้ง, เด็กก็ลืมกฎเกณฑ์ ในบางครั้งเหมือนกัน
ดังนั้นไม่อยากให้เด็กทำพฤติกรรมที่เราไม่คาดหวัง
ผู้ใหญ่ต้องไม่ลืมที่จะ ย้ำเตือนเด็กก่อนกิจกรรมทุกครั้ง
ถ้าออกไปเล่นกับเพื่อนๆนอกบ้าน ลูกจะไม่เกเร ทำให้คนอื่นหกล้ม บาดเจ็บ
ถ้าเกเร ก็เข้าบ้าน ออกไปเล่นนอกบ้านไม่ได้
ถ้าออกไปเที่ยว จะไม่งอแงซื้อของเล่น หรือขนม
ถ้างอแงซื้อของเล่น หรือขนม คราวหลังไม่พามาเที่ยวอีก
ถ้าจะเล่นด้วยกันกับเพื่อน เราจะไม่แย่งของกัน
เราลืมย้ำ บ้างบางครั้ง, เด็กก็ลืมกฎเกณฑ์ ในบางครั้งเหมือนกัน
ดังนั้นไม่อยากให้เด็กทำพฤติกรรมที่เราไม่คาดหวัง
ผู้ใหญ่ต้องไม่ลืมที่จะ ย้ำเตือนเด็กก่อนกิจกรรมทุกครั้ง
Labels:
raising children
When He crys
- บอกเขาว่า เราฟังไม่รู้เรื่อง ว่าเขาต้องการอะไร ถ้าเขาร้องไห้ และพูด
- อ่านความต้องการของเด็กให้ออก พูดออกมาว่าลูกต้องการ...ใช่มั้ย
การแสดงออกว่าเราเข้าใจความรู้สึกของเขา มีโอกาส จะให้เขาหยุดงอแงมากขึ้น
*remark ได้ผลดีมาก
(ที่มา วิธีพูดกับลูก Bee media)
ร้องเพราะต้องการสิ่งของ
====================
+ ไม่อยากให้ลูกเป็นเด็กงอแงเมื่อต้องการสิ่งของใดๆ
- บอกเขาว่า ลูกจะไม่ได้สิ่งของนั้น ตราบใดที่ยังร้องไห้งอแงอยู่
ถ้าเขาเงียบ และขอผู้ใหญ่ดีๆ เขามีโอกาสจะได้สิ่งของนั้น
*เมื่อเขาเงียบ และเราให้ของแล้ว เน้นย้ำ + สรุปให้เขาฟังด้วยว่า
"เราฟังไม่รู้เรื่อง ว่าเขาต้องการอะไร ถ้าเขาร้องไห้ และพูด
ลูกจะไม่ได้สิ่งของนั้น ตราบใดที่ยังร้องไห้งอแงอยู่
ถ้าเขาเงียบ และขอผู้ใหญ่ดีๆ ลูกมีโอกาสจะได้สิ่งของนั้นมากกว่า
และเราสามารถตามใจเขาได้เฉพาะบางครั้งเท่านั้น
บางครั้งที่ไม่ได้ ก็ไม่งอแงนะ"
(ภายหลังเมื่อลูกงอแงต้องการสิ่งของอีก ก็ช่วยแกทบทวนความจำ
แกจะรับรู้ และงอแงน้อยลง)
ร้องเพราะไม่ต้องการจะกินข้าว, อาบน้ำ, แปรงฟัน...
=========================================
- บอกทางเลือกแก่เด็ก เช่น
"หนูเลือกได้ 2 อย่างว่า
1) จะร้องไห้ -> โดนลงโทษ -> ค่อยกินข้าว
หรือ 2) กินข้าวเลย -> กินเสร็จแล้วก็ไปเล่น โดยไม่ต้องโดนลงโทษ
เอาแบบไหนดี
กินข้าวเลย แบบไม่ต้องโดนลงโทษ แล้วไปเล่นด้วยกันดีกว่า"
หรือ
"หนูเลือกได้ 2 อย่างว่า
1) ร้องงอแง -> ยุงกัด -> อาบน้ำแป็บเดียวก็เสร็จ
หรือ 2) อาบน้ำแป็บเดียวก็เสร็จ -> อ่านนิทาน,กินขนม,ไปเล่น โดยไม่ต้องโดนยุงกัด
อาบน้ำ แบบไม่ต้องงอแง แล้วไปเล่นดีกว่าเนอะ"
หรือ
"หนูเลือกได้ 2 อย่างว่า
1) ไม่แปรงฟัน -> แมงกินฟันก็มากินฟัน -> ปวดฟันมาก เหมือนในนิทานลูกหมีปวดฟัน
กับ 2) ให้คุณแม่ช่วยแปรงเอาแมงกินฟันออกไป + คุณแม่แปรงเบาๆ และไม่เจ็บ -> แล้วก็ไม่ต้องปวดฟัน
..."
** ระลึกอยู่เสมอว่าเด็ก อาจยังไม่ได้ไตร่ตรองสิ่งที่กำลังทำ
ไม่ได้คิดไกล หรือคิดถึงผลของการกระทำ
- บอกข้อเสียถ้าไม่ทำตามที่บอก เช่น
ฟันจะผุ
- อ่านความต้องการของเด็กให้ออก พูดออกมาว่าลูกต้องการ...ใช่มั้ย
การแสดงออกว่าเราเข้าใจความรู้สึกของเขา มีโอกาส จะให้เขาหยุดงอแงมากขึ้น
*remark ได้ผลดีมาก
(ที่มา วิธีพูดกับลูก Bee media)
ร้องเพราะต้องการสิ่งของ
====================
+ ไม่อยากให้ลูกเป็นเด็กงอแงเมื่อต้องการสิ่งของใดๆ
- บอกเขาว่า ลูกจะไม่ได้สิ่งของนั้น ตราบใดที่ยังร้องไห้งอแงอยู่
ถ้าเขาเงียบ และขอผู้ใหญ่ดีๆ เขามีโอกาสจะได้สิ่งของนั้น
*เมื่อเขาเงียบ และเราให้ของแล้ว เน้นย้ำ + สรุปให้เขาฟังด้วยว่า
"เราฟังไม่รู้เรื่อง ว่าเขาต้องการอะไร ถ้าเขาร้องไห้ และพูด
ลูกจะไม่ได้สิ่งของนั้น ตราบใดที่ยังร้องไห้งอแงอยู่
ถ้าเขาเงียบ และขอผู้ใหญ่ดีๆ ลูกมีโอกาสจะได้สิ่งของนั้นมากกว่า
และเราสามารถตามใจเขาได้เฉพาะบางครั้งเท่านั้น
บางครั้งที่ไม่ได้ ก็ไม่งอแงนะ"
(ภายหลังเมื่อลูกงอแงต้องการสิ่งของอีก ก็ช่วยแกทบทวนความจำ
แกจะรับรู้ และงอแงน้อยลง)
ร้องเพราะไม่ต้องการจะกินข้าว, อาบน้ำ, แปรงฟัน...
=========================================
- บอกทางเลือกแก่เด็ก เช่น
"หนูเลือกได้ 2 อย่างว่า
1) จะร้องไห้ -> โดนลงโทษ -> ค่อยกินข้าว
หรือ 2) กินข้าวเลย -> กินเสร็จแล้วก็ไปเล่น โดยไม่ต้องโดนลงโทษ
เอาแบบไหนดี
กินข้าวเลย แบบไม่ต้องโดนลงโทษ แล้วไปเล่นด้วยกันดีกว่า"
หรือ
"หนูเลือกได้ 2 อย่างว่า
1) ร้องงอแง -> ยุงกัด -> อาบน้ำแป็บเดียวก็เสร็จ
หรือ 2) อาบน้ำแป็บเดียวก็เสร็จ -> อ่านนิทาน,กินขนม,ไปเล่น โดยไม่ต้องโดนยุงกัด
อาบน้ำ แบบไม่ต้องงอแง แล้วไปเล่นดีกว่าเนอะ"
หรือ
"หนูเลือกได้ 2 อย่างว่า
1) ไม่แปรงฟัน -> แมงกินฟันก็มากินฟัน -> ปวดฟันมาก เหมือนในนิทานลูกหมีปวดฟัน
กับ 2) ให้คุณแม่ช่วยแปรงเอาแมงกินฟันออกไป + คุณแม่แปรงเบาๆ และไม่เจ็บ -> แล้วก็ไม่ต้องปวดฟัน
..."
** ระลึกอยู่เสมอว่าเด็ก อาจยังไม่ได้ไตร่ตรองสิ่งที่กำลังทำ
ไม่ได้คิดไกล หรือคิดถึงผลของการกระทำ
- บอกข้อเสียถ้าไม่ทำตามที่บอก เช่น
ฟันจะผุ
Labels:
raising children
Wednesday, June 8, 2011
Ten Wishs
๑. ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนคิดจะได้ดีอะไรอย่างลอยๆ นั่งนอนคอยแต่โชควาสนา
โดยไม่ลงมือทำความดี หรือไม่เพียรพยายาม สร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ตน
ถ้าข้าพเจ้าจะได้ดีอะไรก็ขอให้ได้เพราะทำได้ทำความดีอย่างสมเหตุผลเถิด
๒. ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนลืมตนดูหมิ่นเหยียดหยามใคร ๆ
ซึ่งอาจด้อยกว่าในทางตำแหน่ง ฐานะการเงิน หรือในทางวิชาความรู้
ขอให้ข้าพเจ้ามีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ให้เกียรติแก่เขาตามความเหมาะสมในการติดต่อเกี่ยวข้องกันเถิด
อย่าแสดงอาการข่มขู่เยาะเย้ยใครๆ ด้วยประการใดๆเลย ก็ขอให้มีความอ่อนโยน นุ่มนวล สุภาพเรียบร้อยเถิด
๓. ถ้าใครพลาดพลั้งลงในการครองชีวิตหรือต้องประสบความทุกข์ ความเดือดร้อนเพราะเหตุใดๆก็ตาม
ขออย่าให้ข้าพเจ้าเหยียบย่ำซ้ำเติมคนเหล่านั้น
แต่จงมีความกรุณาหาทางช่วยเขาลุกขึ้น ช่วยผ่อนคลายความทุกข์ร้อนแก่เขาเท่าที่จะสามารถทำได้
๔. ใครก็ตามที่มีความรู้ความสามารถขึ้นมาเท่าเทียมหรือเกือบเท่าเทียมข้าพเจ้าก็ดี
มีความรู้ความสามารถหรือมีผลงานอันปรากฏดีเด่น สูงส่งอย่างน่านิยมยกย่องยิ่งกว่าข้าพเจ้า
ขออย่าให้ข้าพเจ้ารู้สึกริษยาหรือกังวลใจในความเจริญของผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย
ขอให้ข้าพเจ้าพลอยยินดีในความดี ความรู้ความสามารถของบุคคลเหล่านั้นด้วยใจจริง
ช่วยส่งเสริมสนับสนุนและให้กำลังใจแก่คนเหล่านั้น อันเข้าลักษณะการมีมุทิตาจิตในพระพุทธศาสนา
ซึ่งตรงกันข้ามกับความริษยา ขออย่าให้เป็นอย่างบางคน ที่เกรงนักหนาว่าคนอื่นจะดีเท่าเทียมหรือดียิ่งกว่าตน
คอยหาทางพูดจาติเตียน ใส่ไคล้ให้คนทั้งหลายเห็นว่าผู้นั้นยังบกพร่องอย่างนั้นอย่างนี้
ขอให้ข้าพเจ้ามีน้ำใจสะอาด พูดส่งเสริมยกย่องผู้อื่นที่ควรยกย่องเถิด
๕. ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีน้ำใจเข็มแข็งอดทน
อย่าเป็นคนขี้บ่น ในเมื่อมีความยากลำบากอะไรเกิดขึ้น
ขอให้มีกำลังใจต่อสู้กับความยากลำบากนั้นๆ โดยไม่ต้องอ้อนวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วย
ขออย่าเป็นคนอ่อนแอเหลียวหาที่พึ่ง เพราะไม่รู้จักทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนเลย
ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนชอบได้อภิสิทธิ์ คือ สิทธิเหนือคนอื่น
เช่น ไปตรวจที่โรงพยาบาล ก็ขอให้พอใจนั่งคอยตามลำดับ
อย่าวุ่นวายจะเข้าตรวจก่อน ทั้งที่ตนไปถึงทีหลัง
ในการสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกใด ๆ ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดหาวิธีลัดหรือวิธีทุจริตใดๆ
รวมทั้งขออย่าได้วิ่งเต้นเข้าหาคนนั้นคนนี้ เพื่อให้เขาช่วยให้ได้ผลดีกว่าคนอื่น ทั้งๆที่ข้าพเจ้าอาจมีคะแนนสู้คนอื่นไม่ได้เถิด
๖. ข้าพเจ้าทำงานที่ใด ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดเอาเปรียบหรือคิดเอาแต่ได้ในทางส่วนตัว
เช่น เถลไถลไม่ทำงาน รีบเลิกงานก่อนกำหนดเวลา
ขอจงมีความขยันหมั่นเพียร พอใจในการทำงานให้ได้ผลดี ด้วยความตั้งใจและเต็มใจ เพื่อประโยชน์ของตนเอง ฉะนั้นเถิด
อันเนื่องมาแต่ความไม่คิดเอาเปรียบในข้อนี้
ถ้าข้าพเจ้าบังเอิญก้ำเกินข้าวของ ของที่ทำงานไปในทางส่วนตัวได้บ้าง
เช่น กระดาษ ซอง หรือ เครื่องใช้ใด ๆ
ขอให้ข้าพเจ้าระลึกอยู่เสมอว่าเป็นหนี้อยู่
และพยายามใช้หนี้คืนด้วยการซื้อใช้ หรือทำงานให้มากกว่าที่กำหนด
เพื่อเป็นการชดเชยความก้ำเกินนั้น
ข้อนี้รวมทั้ง ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเอาเปรียบชาติบ้านเมือง เช่น ในเรื่องการเสียภาษีอากร
ถ้ารู้ว่ายังเสียน้อยไปกว่าที่ควร หรือตามที่กฎหมายกำหนดไว้
ขอให้ข้าพเจ้ามีความตั้งใจที่จะชดใช้แก่ชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ
เมื่อมีโอกาสตอบแทนเมื่อไร ขอให้รีบตอบแทนโดยทันที
เช่น ในรูปแห่งการบริจาคบำรุงโรงพยาบาล บำรุงการศึกษาหรือบริจาคเพื่อสาธารณะประโยชน์อื่น ๆ
แบบบริจาคให้มากกว่าที่รู้สึกว่ายังเป็นหนี้ชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ
และในข้อนี้ขอให้ข้าพเจ้าปฏิบัติ แม้ต่อเอกชนใด ๆ
ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดเอาเปรียบหรือโกงใครเลยแม้แต่น้อย
แม้แต่จะซื้อของ ถ้าเขาถอนเงินเกินมา ก็ขอให้ข้าพเจ้ายินดีคืนให้เขากลับไปเถิด
อย่ายินดีว่ามีลาภ เพราะเขาทอนเงินเกินมาให้เลย
๗. ขออย่าให้ข้าพเจ้ามักใหญ่ใฝ่สูง อยากมีหน้ามีตา อยากมีอำนาจ อยากเป็นใหญ่เป็นโต
ขอให้ข้าพเจ้าใฝ่สงบ มีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ไม่ต้องเดือดร้อนในเรื่องการแข่งดีกับใครๆ
ทั้งนี้เพราะข้าพเจ้าพอจะเดาได้ว่า
ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความอยากมีหน้ามีตา ความอยากมีอำนาจ และอยากเป็นใหญ่เป็นโตนั้น
มันเผาให้เร่าร้อน ยิ่งต้องแข่งดีกับใครๆ
ด้วยก็ยิ่งทำให้เกิดความคิดริษยา คิดให้ร้ายคู่แข่งขัน
ถ้าอยู่อย่างใฝ่สงบมีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ก็จะเย็นอกเย็นใจ
ไม่ต้องนอนก่ายหน้าผากถอนใจเพราะเกรงคู่แข่งจะชนะ
ไม่ต้องทอดถอนใจเพราะไม่สมหวัง
ขอให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจซาบซึ้งในพระพุทธภาษิตว่า
"ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ละความชนะ/ความแพ้เสียได้ ย่อมอยู่เป็นสุข" ดังนี้เถิด
แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า เมื่อใฝ่สงบแล้ว
ข้าพเจ้าจะต้องอยู่อย่างเกียจคร้านไม่สร้างความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม
ข้าพเจ้าทราบดีว่าพระพุทธศาสนามิได้สอนให้คนเกียจคร้านงอมืองอเท้า
แต่สอนให้มีความบากบั่นก้าวหน้าในทางที่ดีไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม
และความบากบั่นก้าวหน้าดังกล่าวนั้น ไม่จำเป็นต้องผูกพันอยู่กับความทะยานอยาก
หรือความมักใหญ่ใฝ่สูงใด ๆ คงทำงานไปตามหน้าที่ให้ดีที่สุด ผลดีก็จะเกิดตามมาเอง
๘. ขอให้ข้าพเจ้าหมั่นปลูกฝั่งความรู้สึกมีเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่น และมีกรุณาคิดจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
ซึ่งพระพุทธเจ้าแนะนำให้ปูพื้นจิตใจด้วยเมตตากรุณาดังกล่าวนี้อยู่เสมอ
จนกระทั่งไม่รู้สึกว่ามีใครเป็นศัตรู ที่จะต้องคิดกำจัดตัดรอนเข้าให้ถึงความพินาศ
ใครไม่ดี ใครทำชั่วทำผิด
ขอให้เขาคิดได้กลับตัวได้เสียเถิด อย่าทำผิดทำชั่วอีกเลย
ถ้ายังขืนทำต่อไปก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เขาจะต้องรับผลแห่งกรรมชั่วของเขาเอง
เราไม่ต้องคิดแช่งชักให้เขาพินาศ เขาก็จะต้องถึงความพินาศของเขาอยู่แล้ว
จะต้องแช่งให้ใจเราเดือดร้อนทำไม
ขอให้ความเมตตาคิดจะให้เป็นสุข และกรุณาคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์
ซึ่งข้าพเจ้าปลูกฝังขึ้นในจิตใจนั้น จงอย่าเป็นไปในวงแคบและวงจำกัด
ขอจงเป็นไปทั้งในมนุษย์และสัตว์ทุกประเภท
รวมทั้งสัตว์ดิรัจฉานด้วย เพราะไม่ว่ามนุษย์ หรือสัตว์เหล่านั้น
ต่างก็รักสุขเกลียดทุกข์ รู้จักรักตนเอง ปรารถนาดีต่อตนเองด้วยกันทั้งสิ้น
๙. ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเป็นคนโกรธง่าย
ต่างว่าจะโกรธบ้าง ก็ขอให้มีสติรู้ตัวโดยเร็วว่ากำลังโกรธ จะได้สอนใจตนเองให้บรรเทาความโกรธลง
หรือถ้าห้ามใจให้โกรธไม่ได้ ก็ขออย่าให้ถึงกับคิดประทุษร้ายผู้อื่น หรือคิดอยากให้เขาถึงความพินาศ ซึ่งนับเป็นมโนทุจริตเลย
ขอจงสามารถควบคุมจิตใจให้เป็นปรกติได้โดยรวดเร็ว
เมื่อมีความไม่พอใจหรือความโกรธเกิดขึ้นเถิด และเนื่องมาจากความปรารถนาข้อนี้
ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเป็นคนผูกโกรธ ให้รู้จักให้อภัย ทำใจให้ปลอดโปร่งจากการผูกอาฆาตจองเวร
ขอให้มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น โดยรู้จักเปรียบเทียบกับตัวข้าพเจ้าเองว่า
ข้าพเจ้าเองก็อาจทำผิด พูดผิด คิดผิด หรือ อาจล่วงเกินผู้อื่นได้
ทั้งโดยมีเจตนาและไม่เจตนา ก็ข้าพเจ้าเองยังทำผิดได้
เมื่อผู้อื่นทำอะไรผิดพลาดล่วงเกินไปบ้าง ก็จงให้อภัยแก่เขาเสียเถิด
อย่าผูกใจเจ็บหรือเก็บความรู้สึกไม่พอใจนั้นมาขังอยู่ในจิตใจ ให้เป็นพิษเป็นภัยแก่ตัวเองเลย
๑๐. ขอให้ข้าพเจ้ามีความรู้ความเข้าใจ และสอนใจตัวเองได้ เกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธศาสนา ทั้งทางโลกและทางธรรม
กล่าวคือ พระพุทธศาสนาสอนให้รู้จักสร้างความเจริญแก่ตนในทางโลก
และสอนให้ประพฤติปฏิบัติยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ให้มีปัญญาเข้าใจปัญหาแห่งชีวิต
เพื่อจะได้ไม่ติดไม่ยึดถือ มีจิตใจเบาสบายอันเป็นความเจริญในทางธรรม
ซึ่งรวมความแล้วสอนให้เข้ากับโลกได้ดี ไม่เป็นภัยอันตรายแก่ใครๆ
แต่กลับเป็นประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ
แต่ก็ได้สอนไปในทางธรรมให้เข้ากับธรรมได้ดี คือให้รู้จักโลก
รู้เท่าโลก และขัดเกลานิสัยใจคอให้ดีขึ้นกว่าเดิม
เพื่อบรรลุความดับทุกข์ ความพ้นทุกข์
ขอให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจทั้งทางโลกทางธรรม และปฏิบัติตนให้ถูกต้องได้ทั้งสองทาง
รวมทั้งสามารถหาความสงบใจได้เอง
และสามารถแนะนำชักชวนเพื่อนร่วมชาติร่วมโลก ให้ได้ประสบความสุขสงบได้ตามสมควรเถิด
ความปรารถนาหรือคำอธิษฐานรวม ๑๐ ประการของข้าพเจ้านี้ ข้าพเจ้าตั้งไว้เพื่อเป็นแนวทางเตือนใจหรือสั่งสอนตัวเอง เพราะปรากฏว่าตัวข้าพเจ้าเองยังมีข้อบกพร่อง
ซึ่งจะต้องว่ากล่าวตักเตือนคอยตำหนิตัวเองเสมอ ข้าพเจ้าจึงคิดว่าถ้าได้วางแนวสอนตัวเองขึ้นไว้เช่นนี้
เมื่อประพฤติผิดพลาดก็อาจระลึกได้ หรือ มีหลักเตือนตนได้ง่ายกว่าการที่จะนึกว่าข้าพเจ้าดีพร้อมแล้ว หรือเป็นบุคคลที่สมบูรณ์แล้ว
ซึ่งนับเป็นความประมาทหรือลืมตัวอย่างยิ่ง
ที่มา: Fwd mail
ท่องเตือนตนเองไว้นะ Phoenix ลูกรัก
โดยไม่ลงมือทำความดี หรือไม่เพียรพยายาม สร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ตน
ถ้าข้าพเจ้าจะได้ดีอะไรก็ขอให้ได้เพราะทำได้ทำความดีอย่างสมเหตุผลเถิด
๒. ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนลืมตนดูหมิ่นเหยียดหยามใคร ๆ
ซึ่งอาจด้อยกว่าในทางตำแหน่ง ฐานะการเงิน หรือในทางวิชาความรู้
ขอให้ข้าพเจ้ามีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ให้เกียรติแก่เขาตามความเหมาะสมในการติดต่อเกี่ยวข้องกันเถิด
อย่าแสดงอาการข่มขู่เยาะเย้ยใครๆ ด้วยประการใดๆเลย ก็ขอให้มีความอ่อนโยน นุ่มนวล สุภาพเรียบร้อยเถิด
๓. ถ้าใครพลาดพลั้งลงในการครองชีวิตหรือต้องประสบความทุกข์ ความเดือดร้อนเพราะเหตุใดๆก็ตาม
ขออย่าให้ข้าพเจ้าเหยียบย่ำซ้ำเติมคนเหล่านั้น
แต่จงมีความกรุณาหาทางช่วยเขาลุกขึ้น ช่วยผ่อนคลายความทุกข์ร้อนแก่เขาเท่าที่จะสามารถทำได้
๔. ใครก็ตามที่มีความรู้ความสามารถขึ้นมาเท่าเทียมหรือเกือบเท่าเทียมข้าพเจ้าก็ดี
มีความรู้ความสามารถหรือมีผลงานอันปรากฏดีเด่น สูงส่งอย่างน่านิยมยกย่องยิ่งกว่าข้าพเจ้า
ขออย่าให้ข้าพเจ้ารู้สึกริษยาหรือกังวลใจในความเจริญของผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย
ขอให้ข้าพเจ้าพลอยยินดีในความดี ความรู้ความสามารถของบุคคลเหล่านั้นด้วยใจจริง
ช่วยส่งเสริมสนับสนุนและให้กำลังใจแก่คนเหล่านั้น อันเข้าลักษณะการมีมุทิตาจิตในพระพุทธศาสนา
ซึ่งตรงกันข้ามกับความริษยา ขออย่าให้เป็นอย่างบางคน ที่เกรงนักหนาว่าคนอื่นจะดีเท่าเทียมหรือดียิ่งกว่าตน
คอยหาทางพูดจาติเตียน ใส่ไคล้ให้คนทั้งหลายเห็นว่าผู้นั้นยังบกพร่องอย่างนั้นอย่างนี้
ขอให้ข้าพเจ้ามีน้ำใจสะอาด พูดส่งเสริมยกย่องผู้อื่นที่ควรยกย่องเถิด
๕. ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีน้ำใจเข็มแข็งอดทน
อย่าเป็นคนขี้บ่น ในเมื่อมีความยากลำบากอะไรเกิดขึ้น
ขอให้มีกำลังใจต่อสู้กับความยากลำบากนั้นๆ โดยไม่ต้องอ้อนวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วย
ขออย่าเป็นคนอ่อนแอเหลียวหาที่พึ่ง เพราะไม่รู้จักทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนเลย
ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนชอบได้อภิสิทธิ์ คือ สิทธิเหนือคนอื่น
เช่น ไปตรวจที่โรงพยาบาล ก็ขอให้พอใจนั่งคอยตามลำดับ
อย่าวุ่นวายจะเข้าตรวจก่อน ทั้งที่ตนไปถึงทีหลัง
ในการสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกใด ๆ ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดหาวิธีลัดหรือวิธีทุจริตใดๆ
รวมทั้งขออย่าได้วิ่งเต้นเข้าหาคนนั้นคนนี้ เพื่อให้เขาช่วยให้ได้ผลดีกว่าคนอื่น ทั้งๆที่ข้าพเจ้าอาจมีคะแนนสู้คนอื่นไม่ได้เถิด
๖. ข้าพเจ้าทำงานที่ใด ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดเอาเปรียบหรือคิดเอาแต่ได้ในทางส่วนตัว
เช่น เถลไถลไม่ทำงาน รีบเลิกงานก่อนกำหนดเวลา
ขอจงมีความขยันหมั่นเพียร พอใจในการทำงานให้ได้ผลดี ด้วยความตั้งใจและเต็มใจ เพื่อประโยชน์ของตนเอง ฉะนั้นเถิด
อันเนื่องมาแต่ความไม่คิดเอาเปรียบในข้อนี้
ถ้าข้าพเจ้าบังเอิญก้ำเกินข้าวของ ของที่ทำงานไปในทางส่วนตัวได้บ้าง
เช่น กระดาษ ซอง หรือ เครื่องใช้ใด ๆ
ขอให้ข้าพเจ้าระลึกอยู่เสมอว่าเป็นหนี้อยู่
และพยายามใช้หนี้คืนด้วยการซื้อใช้ หรือทำงานให้มากกว่าที่กำหนด
เพื่อเป็นการชดเชยความก้ำเกินนั้น
ข้อนี้รวมทั้ง ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเอาเปรียบชาติบ้านเมือง เช่น ในเรื่องการเสียภาษีอากร
ถ้ารู้ว่ายังเสียน้อยไปกว่าที่ควร หรือตามที่กฎหมายกำหนดไว้
ขอให้ข้าพเจ้ามีความตั้งใจที่จะชดใช้แก่ชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ
เมื่อมีโอกาสตอบแทนเมื่อไร ขอให้รีบตอบแทนโดยทันที
เช่น ในรูปแห่งการบริจาคบำรุงโรงพยาบาล บำรุงการศึกษาหรือบริจาคเพื่อสาธารณะประโยชน์อื่น ๆ
แบบบริจาคให้มากกว่าที่รู้สึกว่ายังเป็นหนี้ชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ
และในข้อนี้ขอให้ข้าพเจ้าปฏิบัติ แม้ต่อเอกชนใด ๆ
ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดเอาเปรียบหรือโกงใครเลยแม้แต่น้อย
แม้แต่จะซื้อของ ถ้าเขาถอนเงินเกินมา ก็ขอให้ข้าพเจ้ายินดีคืนให้เขากลับไปเถิด
อย่ายินดีว่ามีลาภ เพราะเขาทอนเงินเกินมาให้เลย
๗. ขออย่าให้ข้าพเจ้ามักใหญ่ใฝ่สูง อยากมีหน้ามีตา อยากมีอำนาจ อยากเป็นใหญ่เป็นโต
ขอให้ข้าพเจ้าใฝ่สงบ มีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ไม่ต้องเดือดร้อนในเรื่องการแข่งดีกับใครๆ
ทั้งนี้เพราะข้าพเจ้าพอจะเดาได้ว่า
ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความอยากมีหน้ามีตา ความอยากมีอำนาจ และอยากเป็นใหญ่เป็นโตนั้น
มันเผาให้เร่าร้อน ยิ่งต้องแข่งดีกับใครๆ
ด้วยก็ยิ่งทำให้เกิดความคิดริษยา คิดให้ร้ายคู่แข่งขัน
ถ้าอยู่อย่างใฝ่สงบมีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ก็จะเย็นอกเย็นใจ
ไม่ต้องนอนก่ายหน้าผากถอนใจเพราะเกรงคู่แข่งจะชนะ
ไม่ต้องทอดถอนใจเพราะไม่สมหวัง
ขอให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจซาบซึ้งในพระพุทธภาษิตว่า
"ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ละความชนะ/ความแพ้เสียได้ ย่อมอยู่เป็นสุข" ดังนี้เถิด
แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า เมื่อใฝ่สงบแล้ว
ข้าพเจ้าจะต้องอยู่อย่างเกียจคร้านไม่สร้างความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม
ข้าพเจ้าทราบดีว่าพระพุทธศาสนามิได้สอนให้คนเกียจคร้านงอมืองอเท้า
แต่สอนให้มีความบากบั่นก้าวหน้าในทางที่ดีไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม
และความบากบั่นก้าวหน้าดังกล่าวนั้น ไม่จำเป็นต้องผูกพันอยู่กับความทะยานอยาก
หรือความมักใหญ่ใฝ่สูงใด ๆ คงทำงานไปตามหน้าที่ให้ดีที่สุด ผลดีก็จะเกิดตามมาเอง
๘. ขอให้ข้าพเจ้าหมั่นปลูกฝั่งความรู้สึกมีเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่น และมีกรุณาคิดจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
ซึ่งพระพุทธเจ้าแนะนำให้ปูพื้นจิตใจด้วยเมตตากรุณาดังกล่าวนี้อยู่เสมอ
จนกระทั่งไม่รู้สึกว่ามีใครเป็นศัตรู ที่จะต้องคิดกำจัดตัดรอนเข้าให้ถึงความพินาศ
ใครไม่ดี ใครทำชั่วทำผิด
ขอให้เขาคิดได้กลับตัวได้เสียเถิด อย่าทำผิดทำชั่วอีกเลย
ถ้ายังขืนทำต่อไปก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เขาจะต้องรับผลแห่งกรรมชั่วของเขาเอง
เราไม่ต้องคิดแช่งชักให้เขาพินาศ เขาก็จะต้องถึงความพินาศของเขาอยู่แล้ว
จะต้องแช่งให้ใจเราเดือดร้อนทำไม
ขอให้ความเมตตาคิดจะให้เป็นสุข และกรุณาคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์
ซึ่งข้าพเจ้าปลูกฝังขึ้นในจิตใจนั้น จงอย่าเป็นไปในวงแคบและวงจำกัด
ขอจงเป็นไปทั้งในมนุษย์และสัตว์ทุกประเภท
รวมทั้งสัตว์ดิรัจฉานด้วย เพราะไม่ว่ามนุษย์ หรือสัตว์เหล่านั้น
ต่างก็รักสุขเกลียดทุกข์ รู้จักรักตนเอง ปรารถนาดีต่อตนเองด้วยกันทั้งสิ้น
๙. ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเป็นคนโกรธง่าย
ต่างว่าจะโกรธบ้าง ก็ขอให้มีสติรู้ตัวโดยเร็วว่ากำลังโกรธ จะได้สอนใจตนเองให้บรรเทาความโกรธลง
หรือถ้าห้ามใจให้โกรธไม่ได้ ก็ขออย่าให้ถึงกับคิดประทุษร้ายผู้อื่น หรือคิดอยากให้เขาถึงความพินาศ ซึ่งนับเป็นมโนทุจริตเลย
ขอจงสามารถควบคุมจิตใจให้เป็นปรกติได้โดยรวดเร็ว
เมื่อมีความไม่พอใจหรือความโกรธเกิดขึ้นเถิด และเนื่องมาจากความปรารถนาข้อนี้
ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเป็นคนผูกโกรธ ให้รู้จักให้อภัย ทำใจให้ปลอดโปร่งจากการผูกอาฆาตจองเวร
ขอให้มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น โดยรู้จักเปรียบเทียบกับตัวข้าพเจ้าเองว่า
ข้าพเจ้าเองก็อาจทำผิด พูดผิด คิดผิด หรือ อาจล่วงเกินผู้อื่นได้
ทั้งโดยมีเจตนาและไม่เจตนา ก็ข้าพเจ้าเองยังทำผิดได้
เมื่อผู้อื่นทำอะไรผิดพลาดล่วงเกินไปบ้าง ก็จงให้อภัยแก่เขาเสียเถิด
อย่าผูกใจเจ็บหรือเก็บความรู้สึกไม่พอใจนั้นมาขังอยู่ในจิตใจ ให้เป็นพิษเป็นภัยแก่ตัวเองเลย
๑๐. ขอให้ข้าพเจ้ามีความรู้ความเข้าใจ และสอนใจตัวเองได้ เกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธศาสนา ทั้งทางโลกและทางธรรม
กล่าวคือ พระพุทธศาสนาสอนให้รู้จักสร้างความเจริญแก่ตนในทางโลก
และสอนให้ประพฤติปฏิบัติยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ให้มีปัญญาเข้าใจปัญหาแห่งชีวิต
เพื่อจะได้ไม่ติดไม่ยึดถือ มีจิตใจเบาสบายอันเป็นความเจริญในทางธรรม
ซึ่งรวมความแล้วสอนให้เข้ากับโลกได้ดี ไม่เป็นภัยอันตรายแก่ใครๆ
แต่กลับเป็นประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ
แต่ก็ได้สอนไปในทางธรรมให้เข้ากับธรรมได้ดี คือให้รู้จักโลก
รู้เท่าโลก และขัดเกลานิสัยใจคอให้ดีขึ้นกว่าเดิม
เพื่อบรรลุความดับทุกข์ ความพ้นทุกข์
ขอให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจทั้งทางโลกทางธรรม และปฏิบัติตนให้ถูกต้องได้ทั้งสองทาง
รวมทั้งสามารถหาความสงบใจได้เอง
และสามารถแนะนำชักชวนเพื่อนร่วมชาติร่วมโลก ให้ได้ประสบความสุขสงบได้ตามสมควรเถิด
ความปรารถนาหรือคำอธิษฐานรวม ๑๐ ประการของข้าพเจ้านี้ ข้าพเจ้าตั้งไว้เพื่อเป็นแนวทางเตือนใจหรือสั่งสอนตัวเอง เพราะปรากฏว่าตัวข้าพเจ้าเองยังมีข้อบกพร่อง
ซึ่งจะต้องว่ากล่าวตักเตือนคอยตำหนิตัวเองเสมอ ข้าพเจ้าจึงคิดว่าถ้าได้วางแนวสอนตัวเองขึ้นไว้เช่นนี้
เมื่อประพฤติผิดพลาดก็อาจระลึกได้ หรือ มีหลักเตือนตนได้ง่ายกว่าการที่จะนึกว่าข้าพเจ้าดีพร้อมแล้ว หรือเป็นบุคคลที่สมบูรณ์แล้ว
ซึ่งนับเป็นความประมาทหรือลืมตัวอย่างยิ่ง
ที่มา: Fwd mail
ท่องเตือนตนเองไว้นะ Phoenix ลูกรัก
Thursday, June 2, 2011
Aspects of Love
จบแบบเจ็บ ๆ ดีกว่า เจ็บแบบไม่มีวันจบ
ความรักไม่ใช่รางวัลของความดี อย่าคิดว่าหนูทำดีต่อเค้าตลอดแต่ทำไมเค้าไม่รัก
คนบางคนก็เห็นแก่ตัวเกินกว่าจะเห็นแก่เรา
อย่าบ่นให้ใครฟังว่าแฟนไม่เคยทำตัวดีขึ้นเลย เพราะจะโดนย้อนว่า " แล้วจะโง่ทนคบอยู่ทำไม"
อายุที่มากขึ้นอาจทำให้ต้องลดเสปกชายในฝันลง แต่ข้อที่ไม่ควรลดเด็ดขาดคือความดีและความจริงใจ
ที่มา
- http://women.kapook.com/view25319.html
- fwd mail
ความรักไม่ใช่รางวัลของความดี อย่าคิดว่าหนูทำดีต่อเค้าตลอดแต่ทำไมเค้าไม่รัก
คนบางคนก็เห็นแก่ตัวเกินกว่าจะเห็นแก่เรา
อย่าบ่นให้ใครฟังว่าแฟนไม่เคยทำตัวดีขึ้นเลย เพราะจะโดนย้อนว่า " แล้วจะโง่ทนคบอยู่ทำไม"
อายุที่มากขึ้นอาจทำให้ต้องลดเสปกชายในฝันลง แต่ข้อที่ไม่ควรลดเด็ดขาดคือความดีและความจริงใจ
ที่มา
- http://women.kapook.com/view25319.html
- fwd mail
founder of the Samsung Group
ฉันมีน้องชายอยู่คนหนึ่งอายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันเขามีกัน
เมื่อพ่อก็รู้เรื่อง พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่า ในมือพ่อมีไม้ไผ่หนึ่งก้าน
“ใครขโมยเงินไป”
พ่อตวาดฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายของฉันก็เช่นกัน พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
“ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่”
พ่อชูไม้ไผ่ในมือขึ้น ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือพ่อไว้แล้วพูดว่า
“ผมขโมยเองครับ”
ก้านไม้ไผ่กระหน่ำลงบนหลังน้องชายของฉัน พ่อโกรธมากและด่าน้องชายของฉัน
“ของคนในบ้าน แกยังขโมยได้ ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย”
คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ หลังของเขามีแผลเต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดังและนานมาก น้องเอามือเล็กๆของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
“พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะ มันผ่านไปแล้ว”
ยังไงฉันก็อดเกลียดตัวเองไม่ได้ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ หลายปีผ่านไป ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี……
เมื่อตอนน้องชายของฉันใกล้จบม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียนม.ปลายว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยเช่นกัน
คืนนั้นฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า “ลูกเราทั้งคู่เรียนดีมากนะ แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร เราก็ไม่ค่อยมีเงิน”ทันใดนั้นน้องชายของฉันเดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า “ผมไม่ต้องการเรียนต่อ ผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว”พ่อเหวี่ยงมือตบแก้มน้องของฉันฉาดใหญ่ “ทำไมถึงคิดโง่ๆอย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้”คืนนั้นทั้งคืน พ่อเดินไปตามบ้านต่างๆทั่วหมู่บ้าน….เพื่อขอยืมเงิน
วันต่อมาในตอนเช้ามืด น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมกับเสื้อผ้าติดตัวไม่กี่ชิ้น เขาทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉันขณะที่ฉันหลับ
“พี่ครับ การเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่ใช่ง่ายๆนะ…ผมจะไปหางานทำ แล้วส่งเงินมาให้พี่”
ฉันนั่งอยู่บนเตียงอ่านข้อความของน้องชาย ด้วยน้ำตานองหน้า
ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี……
ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน รวมกับเงินที่น้องชายได้รับเป็นค่าจ้างจาการทำงานเป็นกรรมกรที่ไซต์ก่อสร้าง ฉันจึงเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
วันหนึ่งขณะฉันนั่งอาจหนังสือในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันเข้ามาบอกว่า “มีชาวบ้านมาหาเธอ อยู่ข้างนอกแน่ะ” ฉันเดินออกไป เห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ ตัวเปรอะเปื้อนฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้างฉันถามเขาว่า “ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายของพี่ล่ะ” น้องชายของฉันตอบยิ้มๆว่า “ก็ดูผมสิ สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้ เพื่อนๆก็หัวเราะเยาะพี่กันพอดี”ฉันค่อยๆเอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้องชาย พูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ “พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดอย่างไร เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะเป็นอย่างไรก็ตาม”จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า “ผมเห็นสาวๆในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง”ฉันหมดเรี่ยวแรงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามากอดแล้วร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี……
วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มมาบ้านครั้งแรก ฉันสังเกตว่าหน้าต่างบ้านที่เคยแตกไปได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว และบ้านสะอาดขึ้นมาก หลังจากที่แฟนฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า “แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านและซ่อมกระจกเพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ” แม่ยิ้มและพูดว่า “แม่ไม่ได้จ้างหรอก น้องชายลูกต่างหาก วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน ลูกไม่เห็นมือของน้องหรอเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ” ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ ฉันจับมือน้องไว้อย่างเบามือที่สุด “เจ็บมากไหม” ฉันถาม
“ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้าง วันๆมีหินหล่นใส่เท้าเต็มไปหมด แต่มันไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ….”
น้ำตาไหลอาบหน้าฉันอีกครั้ง “
เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ”
ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี……
หลังจากนั้นฉันได้แต่งงาน สามีของฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันรับตำแหน่งผู้จัดการ แต่น้องชายของฉันไม่รับ เขาเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
วันหนึ่งเขาปีนไปซ่อมสายเคเบิ้ลและตกลงมาเพราะโดนไฟดูด ฉันและสามีไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือก ฉันโกรธมากจึงตวาดน้องไปว่า “ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!! จะได้ไม่ต้องทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมไม่ยอมฟังพี่บ้าง”คำตอบจากปากน้อง รวมทั้งสีหน้าเคร่งเครียด ยืนยันความคิดเดิมของเขา “พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งเป็นประธาน ส่วนผมการศึกษาต่ำ ถ้าผมเป็นผู้จัดการคงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด”น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย…ฉันบอกกับน้องว่า “แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่….” “ทำไมต้องพูดเรื่องที่ผ่านมาด้วยล่ะครับ” น้องชายจับมือของฉันไว้ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ29 ปี……
เมื่อน้องชายของฉันอายุ 30 ปี เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานเดียวกัน ในงานแต่งงาน ประธานได้ถามน้องชายของฉันว่า “ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้”น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล “พี่สาวของผมครับ” …และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้“
ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม เราสองคนต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมงเพื่อเดินไปโรงเรียน และเดินกลับบ้าน วันหนึ่งหิมะตกหนัก ผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวของผมจึงให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง และเธอใส่ถุงมือข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล เมื่อถึงบ้าน มือของเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ …นับจากวันนั้น ผมสาบานกับตัวเองว่า ตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีและจะทำดีกับเธอ”เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาของแขกเหรื่อทุกคู่จับจ้องที่ฉัน คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก
“ในโลกใบนี้ คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ”
ป.ล. ปัจจุบันพี่สาวอายุ 86 ปี ดำรงตำแหน่งผู้บริหารบริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท
น้องชายอายุ 83 ปี เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า “ซัมซุง”
ที่มา Fwd mail
ว่าแต่
Lee Byung-chull (February 12, 1910 in Uiryeong, Gyeongsangnam-do, – November 19, 1987 in Seoul) was the founder of the Samsung Group. He was the son of a wealthy landowning family....
http://en.wikipedia.org/wiki/Lee_Byung-chull
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันเขามีกัน
เมื่อพ่อก็รู้เรื่อง พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่า ในมือพ่อมีไม้ไผ่หนึ่งก้าน
“ใครขโมยเงินไป”
พ่อตวาดฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายของฉันก็เช่นกัน พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
“ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่”
พ่อชูไม้ไผ่ในมือขึ้น ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือพ่อไว้แล้วพูดว่า
“ผมขโมยเองครับ”
ก้านไม้ไผ่กระหน่ำลงบนหลังน้องชายของฉัน พ่อโกรธมากและด่าน้องชายของฉัน
“ของคนในบ้าน แกยังขโมยได้ ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย”
คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ หลังของเขามีแผลเต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดังและนานมาก น้องเอามือเล็กๆของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
“พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะ มันผ่านไปแล้ว”
ยังไงฉันก็อดเกลียดตัวเองไม่ได้ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ หลายปีผ่านไป ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี……
เมื่อตอนน้องชายของฉันใกล้จบม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียนม.ปลายว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยเช่นกัน
คืนนั้นฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า “ลูกเราทั้งคู่เรียนดีมากนะ แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร เราก็ไม่ค่อยมีเงิน”ทันใดนั้นน้องชายของฉันเดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า “ผมไม่ต้องการเรียนต่อ ผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว”พ่อเหวี่ยงมือตบแก้มน้องของฉันฉาดใหญ่ “ทำไมถึงคิดโง่ๆอย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้”คืนนั้นทั้งคืน พ่อเดินไปตามบ้านต่างๆทั่วหมู่บ้าน….เพื่อขอยืมเงิน
วันต่อมาในตอนเช้ามืด น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมกับเสื้อผ้าติดตัวไม่กี่ชิ้น เขาทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉันขณะที่ฉันหลับ
“พี่ครับ การเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่ใช่ง่ายๆนะ…ผมจะไปหางานทำ แล้วส่งเงินมาให้พี่”
ฉันนั่งอยู่บนเตียงอ่านข้อความของน้องชาย ด้วยน้ำตานองหน้า
ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี……
ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน รวมกับเงินที่น้องชายได้รับเป็นค่าจ้างจาการทำงานเป็นกรรมกรที่ไซต์ก่อสร้าง ฉันจึงเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
วันหนึ่งขณะฉันนั่งอาจหนังสือในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันเข้ามาบอกว่า “มีชาวบ้านมาหาเธอ อยู่ข้างนอกแน่ะ” ฉันเดินออกไป เห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ ตัวเปรอะเปื้อนฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้างฉันถามเขาว่า “ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายของพี่ล่ะ” น้องชายของฉันตอบยิ้มๆว่า “ก็ดูผมสิ สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้ เพื่อนๆก็หัวเราะเยาะพี่กันพอดี”ฉันค่อยๆเอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้องชาย พูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ “พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดอย่างไร เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะเป็นอย่างไรก็ตาม”จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า “ผมเห็นสาวๆในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง”ฉันหมดเรี่ยวแรงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามากอดแล้วร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี……
วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มมาบ้านครั้งแรก ฉันสังเกตว่าหน้าต่างบ้านที่เคยแตกไปได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว และบ้านสะอาดขึ้นมาก หลังจากที่แฟนฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า “แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านและซ่อมกระจกเพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ” แม่ยิ้มและพูดว่า “แม่ไม่ได้จ้างหรอก น้องชายลูกต่างหาก วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน ลูกไม่เห็นมือของน้องหรอเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ” ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ ฉันจับมือน้องไว้อย่างเบามือที่สุด “เจ็บมากไหม” ฉันถาม
“ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้าง วันๆมีหินหล่นใส่เท้าเต็มไปหมด แต่มันไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ….”
น้ำตาไหลอาบหน้าฉันอีกครั้ง “
เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ”
ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี……
หลังจากนั้นฉันได้แต่งงาน สามีของฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันรับตำแหน่งผู้จัดการ แต่น้องชายของฉันไม่รับ เขาเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
วันหนึ่งเขาปีนไปซ่อมสายเคเบิ้ลและตกลงมาเพราะโดนไฟดูด ฉันและสามีไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือก ฉันโกรธมากจึงตวาดน้องไปว่า “ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!! จะได้ไม่ต้องทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมไม่ยอมฟังพี่บ้าง”คำตอบจากปากน้อง รวมทั้งสีหน้าเคร่งเครียด ยืนยันความคิดเดิมของเขา “พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งเป็นประธาน ส่วนผมการศึกษาต่ำ ถ้าผมเป็นผู้จัดการคงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด”น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย…ฉันบอกกับน้องว่า “แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่….” “ทำไมต้องพูดเรื่องที่ผ่านมาด้วยล่ะครับ” น้องชายจับมือของฉันไว้ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ29 ปี……
เมื่อน้องชายของฉันอายุ 30 ปี เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานเดียวกัน ในงานแต่งงาน ประธานได้ถามน้องชายของฉันว่า “ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้”น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล “พี่สาวของผมครับ” …และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้“
ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม เราสองคนต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมงเพื่อเดินไปโรงเรียน และเดินกลับบ้าน วันหนึ่งหิมะตกหนัก ผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวของผมจึงให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง และเธอใส่ถุงมือข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล เมื่อถึงบ้าน มือของเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ …นับจากวันนั้น ผมสาบานกับตัวเองว่า ตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีและจะทำดีกับเธอ”เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาของแขกเหรื่อทุกคู่จับจ้องที่ฉัน คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก
“ในโลกใบนี้ คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ”
ป.ล. ปัจจุบันพี่สาวอายุ 86 ปี ดำรงตำแหน่งผู้บริหารบริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท
น้องชายอายุ 83 ปี เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า “ซัมซุง”
ที่มา Fwd mail
ว่าแต่
Lee Byung-chull (February 12, 1910 in Uiryeong, Gyeongsangnam-do, – November 19, 1987 in Seoul) was the founder of the Samsung Group. He was the son of a wealthy landowning family....
http://en.wikipedia.org/wiki/Lee_Byung-chull
Labels:
Prove it then believe it
Sunday, May 29, 2011
Public van route at Central Rama II
Central Rama II - บางนา
Central Rama II - ม.รามคำแหง1
Central Rama II - Central ปิ่นเกล้า, สายใต้ใหม่
Central Rama II - Central ลาดพร้าว, หอการค้า, ม.เกษตร
Central Rama II - Central รัตนาธิเบศร์, ม.ธุรกิจบัณฑิต, สะพานพระนั่งเกล้า, แยกแคราย, พันธุ์ทิพย์
Central Rama II - Central พัทยา บางละมุง แหลมฉบัง สวนเสือ
Central Rama II - บางแสน
อนุสาวรีย์ชัย - เคหะธนบุรี (ทางด่วน)
Last update: May 2011
ความคิดเห็นของผู้โดยสารด้านความปลอดภัยในการโดยสารรถตู้ประจำทางสาธารณะ ในเขตกรุงเทพมหานคร
Passengers Opinion toward Safety in Riding a Public Van: Bangkok Metropolitan Area
Ref: http://www.thaithesis.org
Central Rama II - ม.รามคำแหง1
Central Rama II - Central ปิ่นเกล้า, สายใต้ใหม่
Central Rama II - Central ลาดพร้าว, หอการค้า, ม.เกษตร
Central Rama II - Central รัตนาธิเบศร์, ม.ธุรกิจบัณฑิต, สะพานพระนั่งเกล้า, แยกแคราย, พันธุ์ทิพย์
Central Rama II - Central พัทยา บางละมุง แหลมฉบัง สวนเสือ
Central Rama II - บางแสน
อนุสาวรีย์ชัย - เคหะธนบุรี (ทางด่วน)
Last update: May 2011
ความคิดเห็นของผู้โดยสารด้านความปลอดภัยในการโดยสารรถตู้ประจำทางสาธารณะ ในเขตกรุงเทพมหานคร
Passengers Opinion toward Safety in Riding a Public Van: Bangkok Metropolitan Area
Ref: http://www.thaithesis.org
Friday, May 27, 2011
What is 3 times 8?
เอี๋ยนหุยใฝ่ศึกษา มีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขงจื้อ มีอยู่วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า
จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า
ได้ยินลุกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า “3x8 ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย 24 เหรียญล่ะ! ”
เอี๋ยนหุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า “ พี่ชาย 3x8 ได้ 24 จะเป็น 23 ได้ยังไง ? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก ”
คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “ ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน! จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ
ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”
เอี่ยนหุยกล่าวว่า “ ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร ?”
คนซื้อผ้ากล่าวว่า “ หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ ?”
เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “ หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง) ”
ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น
เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “3x8 ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย ”
เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น
ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป
ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป
พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ
ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้
ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว
พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า “ อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า “ ศิษย์จะจำใส่ใจ ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง
เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่
จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า “ อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่
ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด
คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ ?
เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัวมาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา
เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน!
เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง
เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง
พอฟ้าส่าง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก
เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า “ ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้
ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง ?”
ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า “ เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่
จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่
และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย
อาจารย์จึ้งเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน ”
ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “ อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่าอาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน
ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8 ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก
หากอาจารย์บอกว่า 3x8 ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ ? ”
เอี๋ยนหุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า “ ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ
ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด ”
จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกาย
จากตำนานเรื่องเล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเพลงๆหนึ่งของอิวเค่อหลี่หลิน(นักร้องดูโอของไต้หวัน)
ที่ร้องว่า “ หากสูญเสียเธอไป ต่อให้เอาชนะทั้งโลกได้แล้วจะยังไง ? เช่นกัน
บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป ”
เรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็นหนักเบารีบช้า อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะให้ได้ แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต
เรื่องราวมากมายที่ไม่ควรทะเลาะกัน ถอยหนึ่งก้าว ทะเลกว้างฟ้างาม
ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับเถ้าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( วันที่ตรวจผลงานปลายปีมาถึง คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( เธอไม่สนใจคุณ คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)
ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( เคลียร์ไม่ได้ คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)
ใบชา เกิดสีสวยและกลิ่นหอมน่าลิ้มลองได้ ก็เพราะโดนน้ำร้อนลวก
ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า
จึงเหลือไว้ซึ่งเรื่องราวเป็นตำนานให้ได้เล่าขานน่าตามติด
ผู้ที่รู้สำนึกคุณอยู่เสมอ จึงเป็นผู้มีวาสนามากที่สุด
ที่มา Fwd mail
จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า
ได้ยินลุกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า “3x8 ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย 24 เหรียญล่ะ! ”
เอี๋ยนหุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า “ พี่ชาย 3x8 ได้ 24 จะเป็น 23 ได้ยังไง ? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก ”
คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “ ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน! จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ
ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”
เอี่ยนหุยกล่าวว่า “ ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร ?”
คนซื้อผ้ากล่าวว่า “ หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ ?”
เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “ หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง) ”
ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น
เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “3x8 ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย ”
เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น
ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป
ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป
พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ
ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้
ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว
พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า “ อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า “ ศิษย์จะจำใส่ใจ ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง
เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่
จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า “ อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่
ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด
คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ ?
เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัวมาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา
เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน!
เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง
เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง
พอฟ้าส่าง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก
เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า “ ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้
ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง ?”
ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า “ เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่
จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่
และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย
อาจารย์จึ้งเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน ”
ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “ อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่าอาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน
ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8 ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก
หากอาจารย์บอกว่า 3x8 ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ ? ”
เอี๋ยนหุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า “ ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ
ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด ”
จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกาย
จากตำนานเรื่องเล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเพลงๆหนึ่งของอิวเค่อหลี่หลิน(นักร้องดูโอของไต้หวัน)
ที่ร้องว่า “ หากสูญเสียเธอไป ต่อให้เอาชนะทั้งโลกได้แล้วจะยังไง ? เช่นกัน
บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป ”
เรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็นหนักเบารีบช้า อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะให้ได้ แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต
เรื่องราวมากมายที่ไม่ควรทะเลาะกัน ถอยหนึ่งก้าว ทะเลกว้างฟ้างาม
ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับเถ้าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( วันที่ตรวจผลงานปลายปีมาถึง คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( เธอไม่สนใจคุณ คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)
ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( เคลียร์ไม่ได้ คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)
ใบชา เกิดสีสวยและกลิ่นหอมน่าลิ้มลองได้ ก็เพราะโดนน้ำร้อนลวก
ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า
จึงเหลือไว้ซึ่งเรื่องราวเป็นตำนานให้ได้เล่าขานน่าตามติด
ผู้ที่รู้สำนึกคุณอยู่เสมอ จึงเป็นผู้มีวาสนามากที่สุด
ที่มา Fwd mail
Labels:
food for thought
Tuesday, May 24, 2011
Sunday, May 15, 2011
Android End User Tips Howtos
My Favorites
=============
SwiFTP
https://market.android.com/developer?pub=Dave+Revell
Adobe® Reader®
Visual Task Switcher Free
https://market.android.com/developer?pub=ESD+Mobile
PreHome
https://market.android.com/developer?pub=Salt
QuickPic
http://www.alensw.com/attachment/QuickPic_1.1.3.zip
News & Forums
=============
http://www.thaidroidupdate.com/
http://board.samsungparty.com/galaxy-tab-fanclub-f26/
Set default memory when install apps to sd card
==================================================
adb shell pm setInstallLocation 2
ref: http://www.thaidroidupdate.com/archives/664
or manual move by settings -> Application -> Manage Apps -> Move to SDcard
Capture screens
===============
ddms
http://www.thaidroidupdate.com/archives/545
=============
SwiFTP
https://market.android.com/developer?pub=Dave+Revell
Adobe® Reader®
Visual Task Switcher Free
https://market.android.com/developer?pub=ESD+Mobile
PreHome
https://market.android.com/developer?pub=Salt
QuickPic
http://www.alensw.com/attachment/QuickPic_1.1.3.zip
News & Forums
=============
http://www.thaidroidupdate.com/
http://board.samsungparty.com/galaxy-tab-fanclub-f26/
Set default memory when install apps to sd card
==================================================
adb shell pm setInstallLocation 2
ref: http://www.thaidroidupdate.com/archives/664
or manual move by settings -> Application -> Manage Apps -> Move to SDcard
Capture screens
===============
ddms
http://www.thaidroidupdate.com/archives/545
Labels:
android
Wednesday, April 20, 2011
Nausea, Vomiting and Diarrhea in Children
“อาเจียน” ... อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาการถ่ายเหลว ปวดท้อง และไข้
อาการอาเจียนมักทุเลาลงหรือหายไปได้เองภายใน 24-48 ชั่วโมง
สาเหตุ
===
- การหมุนตัวผิดปกติของลำไส้
- อาหารเป็นพิษ(อาจพบร่วมกับอาการไข้)
- สมอง เช่น เลือดออกในสมองจากอุบัติเหตุ หรือเส้นโลหิตแตกในสมอง
- ในบางรายพบว่า แม้แต่การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ก็ทำให้เด็กมีอาเจียนค่อนข้างมากได้เช่นกัน
- สาเหตุส่วนใหญ่ของอาการอาเจียนและท้องเสียในเด็กนั้น มักจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส
หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า ไวรัสลงกระเพาะนั่นเอง
(น่าจะรวม ลำไส้อักเสบ ที่เกิดจากการติดเชื้อ ด้วย)
ซึ่งในรายที่ไม่รุนแรงก็มักจะหายได้เองในเวลา 5-7 วัน
การวิเคราะห์
=======
- การอาเจียนนั้นอาจเป็นเพียงอาการนำของโรคอื่นๆ ที่อาจไม่ใช่จากโรคของระบบทางเดินอาหารก็ได้
- เด็กที่ติดเชื้อไวรัสโรต้า มักมีอาการไข้ อาเจียน และถ่ายเป็นน้ำ
- โรคติดเชื้อหลายโรค เช่น โรคไข้เลือดออก และไข้ไทฟอยด์ อาจแสดงอาการอาเจียนเป็นอาการเด่น
- เด็กที่เป็นโรคตับอักเสบ มักมีอาการอาเจียน ร่วมกับเจ็บใต้ชายโครงขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ และอาจมีภาวะดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาเหลือง)
- ถ้าเด็กมีอาการคอแข็งและไข้สูงด้วย
ให้นึกถึงการติดเชื้อของสมอง, ไข้สมองอักเสบ , ก้อนเนื้องอกในสมอง , หรือเส้นโลหิตแตกในสมอง ฯลฯ
- ไส้ติ่งอักเสบ หรือเยื่อบุช่องท้องอักเสบ มักมีอาการปวดท้องรุนแรง กดเจ็บที่หน้าท้อง อาเจียนและมีไข้ร่วมด้วย
- พยาธิไส้เดือน
เด็กบางคนอาจมีอาการปวดท้องและอาเจียนแบบไม่รุนแรง เป็นครั้งคราว
โดยมากมักจะเป็นหลังกินอาหารสักพัก มีอาการอยู่ชั่วประเดี๋ยวก็หายได้เอง แต่จะเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง
- อาหารเป็นพิษ ที่มาจากแบคทีเรีย ระยะฟักตัว ปกติ 12-24 ชั่วโมง หรืออยู่ในช่วง 4-30 ชั่วโมง
การดูแล
====
- หากเด็กมีอาการทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ดี เล่นได้ กินอาหารได้ สามารถดูแลและเฝ้าสังเกตอาการที่บ้าน
- ถ้าอาการไม่ชัดเจน ให้งดอาหารแข็งหรืออาหารที่ย่อยยาก
ให้กินอาหารเหลวหรือน้ำหวานทีละน้อย แต่บ่อยครั้ง
และให้ยาแก้อาเจียน ถ้าไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง ควรส่งโรงพยาบาล
- ยาแก้อาเจียนอาจช่วยให้อาเจียนน้อยลง และระยะเวลาในการอาเจียนห่างออก
แนะนำให้ใช้ยาดรอมเพอริโดนหรือโมทีเลียม ในขนาด 1 ช้อนชา (5 ซีซี) ต่อน้ำหนักตัว 20 กิโลกรัม
หรือครึ่งเม็ดสำหรับน้ำหนักตัว 25-40 กิโลกรัม และ 1 เม็ดสำหรับน้ำหนักตัว 40 กิโลกรัมขึ้นไป
ให้ยาก่อนอาหารประมาณครึ่งชั่วโมงวันละ 2-4 ครั้ง
- ในกรณีที่เป็นเชื้อไวรัส การให้ยาปฏิชีวนะจะไม่ได้ผลในการทำลายเชื้อ
ต้องรอจนกว่าภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถขจัดเชื้อไวรัสนั้นๆออกไปจากร่างกายเอง
ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะใช้เวลา ประมาณ 1-2 สัปดาห์
- diarrhea is a way for the body to get rid of the infection.
Antibiotics are usually not necessary either.
อาหาร
===
- Older children should begin eating within 12 to 24 hours after starting to take an ORS.
- Avoid foods with a lot of sugar and fat
Your doctor may recommend that you give your child bland foods for the first 24 hours.
Bland foods include bananas, rice, applesauce, toast, saltine crackers and unsweetened cereals.
If your child does well with these foods, you can add other foods over the next 48 hours.
- อาหารเป็นสิ่งสำคัญ ควรเน้นอาหารอ่อนและย่อยง่าย เช่นข้าวต้ม โจ๊ก เน้นอาหารจำพวกแป้ง
ลดปริมาณของอาหารในแต่ละมื้อ และเพิ่มจำนวนมื้อแทน (กินทีละน้อย แต่บ่อยครั้ง)
- You should avoid giving your child plain water.
Water alone does not contain enough salt and nutrients to help with dehydration.
- ดื่มหรือจิบน้ำและน้ำเกลือแร่ ทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง
ส่วนนมดื่มได้ตามปกติ แต่ควรลดปริมาณในแต่ละมื้อ และเพิ่มจำนวนมื้อแทน (กินทีละน้อย แต่บ่อยครั้ง)
- It's best to avoid dairy products for 3 to 7 days.
- นมพิเศษสำหรับกรณีท้องเสีย เช่น นมที่ไม่มีสารแลคโตส (Lactose-free formula)
- นมถั่วเหลือง
- ยิ่งทานนมวัวเยอะ ยิ่งทำให้ถ่ายเหลวมากขึ้น
- ควรงดน้ำผลไม้สด เช่น น้ำส้มสด แตงโม ฯลฯ เพราะบางครั้งอาจทำให้ท้องเสียมากขึ้น
- ในรายที่ไม่ชอบทานน้ำเกลือสำหรับท้องเสีย
ใช้เครื่องดื่มรสผลไม้แบบกล่องหรือแบบกระป๋อง ที่มีรสชาติที่เด็กชอบให้ทานแทนได้บ้าง
- Most children can return to their usual diet about 3 days after the diarrhea stops.
- If your child has been vomiting, wait 6 hours after the last time
he or she vomited before offering food.
เมื่อใดต้องพบแพทย์?
=========
- หากเด็กไม่สามารถดื่มน้ำได้ อาเจียนรุนแรง ปัสสาวะลดลง และอาการไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง
มีอาการตาเหลือง ซึมลง กระสับกระส่าย ไข้สูง ควรรีบปรึกษาแพทย์
- if your child is vomiting or has diarrhea and Has not urinated in 8 hours.
- มีปัสสาวะน้อย และมีภาวะเลือดเป็นกรด ก็จะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ต้องรีบทำการให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ เพื่อชดเชยปริมาณสารน้ำและเกลือที่ร่างกายสูญเสียไปให้ทัน
เพื่อป้องกันและแก้ไขอันตรายจากภาวะช็อคที่จะติดตามมา
- เด็กที่มีอาการปวดท้องร่วมกับการอาเจียนค่อนข้างมาก
จนบางครั้งเห็นสิ่งที่อาเจียนออกมาเป็นน้ำสีเหลืองๆ ซึ่งเป็นสีเหลืองของน้ำดี
แสดงว่าอาการค่อนข้างรุนแรง
- เด็กเล็กที่มีอาการอาเจียนหลายครั้ง ร่วมกับการกรีดร้องเป็นพักๆ และถ่ายเป็นเลือด
ควรคิดถึงโรคลำไส้กลืนกัน และต้องรีบไปพบแพทย์
- Has had abdominal pain for more than 2 hours.
Signs of dehydration
=====================
- 8 hours or more without urinating for children
- Dry mouth
- No tears when crying
- Skin that isn't as springy or elastic as usual
- Sleepiness
ที่มา:
http://familydoctor.org/online/famdocen/home/children/parents/common/stomach/196.printerview.html
http://www.oknation.net/blog/DrPon/2009/12/11/entry-4
http://www.clinicdek.com/index.php?option=com_content&task=view&id=68&Itemid=53
http://thaiwonders.com/pharma/index.php?Itemid=49&id=312&option=com_content&task=view
อาการอาเจียนมักทุเลาลงหรือหายไปได้เองภายใน 24-48 ชั่วโมง
สาเหตุ
===
- การหมุนตัวผิดปกติของลำไส้
- อาหารเป็นพิษ(อาจพบร่วมกับอาการไข้)
- สมอง เช่น เลือดออกในสมองจากอุบัติเหตุ หรือเส้นโลหิตแตกในสมอง
- ในบางรายพบว่า แม้แต่การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ก็ทำให้เด็กมีอาเจียนค่อนข้างมากได้เช่นกัน
- สาเหตุส่วนใหญ่ของอาการอาเจียนและท้องเสียในเด็กนั้น มักจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส
หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า ไวรัสลงกระเพาะนั่นเอง
(น่าจะรวม ลำไส้อักเสบ ที่เกิดจากการติดเชื้อ ด้วย)
ซึ่งในรายที่ไม่รุนแรงก็มักจะหายได้เองในเวลา 5-7 วัน
การวิเคราะห์
=======
- การอาเจียนนั้นอาจเป็นเพียงอาการนำของโรคอื่นๆ ที่อาจไม่ใช่จากโรคของระบบทางเดินอาหารก็ได้
- เด็กที่ติดเชื้อไวรัสโรต้า มักมีอาการไข้ อาเจียน และถ่ายเป็นน้ำ
- โรคติดเชื้อหลายโรค เช่น โรคไข้เลือดออก และไข้ไทฟอยด์ อาจแสดงอาการอาเจียนเป็นอาการเด่น
- เด็กที่เป็นโรคตับอักเสบ มักมีอาการอาเจียน ร่วมกับเจ็บใต้ชายโครงขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ และอาจมีภาวะดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาเหลือง)
- ถ้าเด็กมีอาการคอแข็งและไข้สูงด้วย
ให้นึกถึงการติดเชื้อของสมอง, ไข้สมองอักเสบ , ก้อนเนื้องอกในสมอง , หรือเส้นโลหิตแตกในสมอง ฯลฯ
- ไส้ติ่งอักเสบ หรือเยื่อบุช่องท้องอักเสบ มักมีอาการปวดท้องรุนแรง กดเจ็บที่หน้าท้อง อาเจียนและมีไข้ร่วมด้วย
- พยาธิไส้เดือน
เด็กบางคนอาจมีอาการปวดท้องและอาเจียนแบบไม่รุนแรง เป็นครั้งคราว
โดยมากมักจะเป็นหลังกินอาหารสักพัก มีอาการอยู่ชั่วประเดี๋ยวก็หายได้เอง แต่จะเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง
- อาหารเป็นพิษ ที่มาจากแบคทีเรีย ระยะฟักตัว ปกติ 12-24 ชั่วโมง หรืออยู่ในช่วง 4-30 ชั่วโมง
การดูแล
====
- หากเด็กมีอาการทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ดี เล่นได้ กินอาหารได้ สามารถดูแลและเฝ้าสังเกตอาการที่บ้าน
- ถ้าอาการไม่ชัดเจน ให้งดอาหารแข็งหรืออาหารที่ย่อยยาก
ให้กินอาหารเหลวหรือน้ำหวานทีละน้อย แต่บ่อยครั้ง
และให้ยาแก้อาเจียน ถ้าไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง ควรส่งโรงพยาบาล
- ยาแก้อาเจียนอาจช่วยให้อาเจียนน้อยลง และระยะเวลาในการอาเจียนห่างออก
แนะนำให้ใช้ยาดรอมเพอริโดนหรือโมทีเลียม ในขนาด 1 ช้อนชา (5 ซีซี) ต่อน้ำหนักตัว 20 กิโลกรัม
หรือครึ่งเม็ดสำหรับน้ำหนักตัว 25-40 กิโลกรัม และ 1 เม็ดสำหรับน้ำหนักตัว 40 กิโลกรัมขึ้นไป
ให้ยาก่อนอาหารประมาณครึ่งชั่วโมงวันละ 2-4 ครั้ง
- ในกรณีที่เป็นเชื้อไวรัส การให้ยาปฏิชีวนะจะไม่ได้ผลในการทำลายเชื้อ
ต้องรอจนกว่าภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถขจัดเชื้อไวรัสนั้นๆออกไปจากร่างกายเอง
ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะใช้เวลา ประมาณ 1-2 สัปดาห์
- diarrhea is a way for the body to get rid of the infection.
Antibiotics are usually not necessary either.
อาหาร
===
- Older children should begin eating within 12 to 24 hours after starting to take an ORS.
- Avoid foods with a lot of sugar and fat
Your doctor may recommend that you give your child bland foods for the first 24 hours.
Bland foods include bananas, rice, applesauce, toast, saltine crackers and unsweetened cereals.
If your child does well with these foods, you can add other foods over the next 48 hours.
- อาหารเป็นสิ่งสำคัญ ควรเน้นอาหารอ่อนและย่อยง่าย เช่นข้าวต้ม โจ๊ก เน้นอาหารจำพวกแป้ง
ลดปริมาณของอาหารในแต่ละมื้อ และเพิ่มจำนวนมื้อแทน (กินทีละน้อย แต่บ่อยครั้ง)
- You should avoid giving your child plain water.
Water alone does not contain enough salt and nutrients to help with dehydration.
- ดื่มหรือจิบน้ำและน้ำเกลือแร่ ทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง
ส่วนนมดื่มได้ตามปกติ แต่ควรลดปริมาณในแต่ละมื้อ และเพิ่มจำนวนมื้อแทน (กินทีละน้อย แต่บ่อยครั้ง)
- It's best to avoid dairy products for 3 to 7 days.
- นมพิเศษสำหรับกรณีท้องเสีย เช่น นมที่ไม่มีสารแลคโตส (Lactose-free formula)
- นมถั่วเหลือง
- ยิ่งทานนมวัวเยอะ ยิ่งทำให้ถ่ายเหลวมากขึ้น
- ควรงดน้ำผลไม้สด เช่น น้ำส้มสด แตงโม ฯลฯ เพราะบางครั้งอาจทำให้ท้องเสียมากขึ้น
- ในรายที่ไม่ชอบทานน้ำเกลือสำหรับท้องเสีย
ใช้เครื่องดื่มรสผลไม้แบบกล่องหรือแบบกระป๋อง ที่มีรสชาติที่เด็กชอบให้ทานแทนได้บ้าง
- Most children can return to their usual diet about 3 days after the diarrhea stops.
- If your child has been vomiting, wait 6 hours after the last time
he or she vomited before offering food.
เมื่อใดต้องพบแพทย์?
=========
- หากเด็กไม่สามารถดื่มน้ำได้ อาเจียนรุนแรง ปัสสาวะลดลง และอาการไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง
มีอาการตาเหลือง ซึมลง กระสับกระส่าย ไข้สูง ควรรีบปรึกษาแพทย์
- if your child is vomiting or has diarrhea and Has not urinated in 8 hours.
- มีปัสสาวะน้อย และมีภาวะเลือดเป็นกรด ก็จะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ต้องรีบทำการให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ เพื่อชดเชยปริมาณสารน้ำและเกลือที่ร่างกายสูญเสียไปให้ทัน
เพื่อป้องกันและแก้ไขอันตรายจากภาวะช็อคที่จะติดตามมา
- เด็กที่มีอาการปวดท้องร่วมกับการอาเจียนค่อนข้างมาก
จนบางครั้งเห็นสิ่งที่อาเจียนออกมาเป็นน้ำสีเหลืองๆ ซึ่งเป็นสีเหลืองของน้ำดี
แสดงว่าอาการค่อนข้างรุนแรง
- เด็กเล็กที่มีอาการอาเจียนหลายครั้ง ร่วมกับการกรีดร้องเป็นพักๆ และถ่ายเป็นเลือด
ควรคิดถึงโรคลำไส้กลืนกัน และต้องรีบไปพบแพทย์
- Has had abdominal pain for more than 2 hours.
Signs of dehydration
=====================
- 8 hours or more without urinating for children
- Dry mouth
- No tears when crying
- Skin that isn't as springy or elastic as usual
- Sleepiness
ที่มา:
http://familydoctor.org/online/famdocen/home/children/parents/common/stomach/196.printerview.html
http://www.oknation.net/blog/DrPon/2009/12/11/entry-4
http://www.clinicdek.com/index.php?option=com_content&task=view&id=68&Itemid=53
http://thaiwonders.com/pharma/index.php?Itemid=49&id=312&option=com_content&task=view
Labels:
raising children
Tuesday, April 19, 2011
The Beautiful Bird
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนกแสนสวยตัวหนึ่ง มีขนสวยงามมาก มีคนอยากได้ไว้ครอบครองเป็นจำนวน
มากแต่ไม่เคยมีชาวบ้านคนไหนจับนกตัวนั้นได้เลย อยู่มาวันหนึ่งมี อาบัง ขายถั่วมานั่งใต้ต้นไม้ที่มีนกแสน
สวยอยู่ พอนกแสนสวยเห็นถั่วของอาบังก็เกิดอยากกินขึ้นมา จึงร้องบอกอาบังว่า
“ อาบัง อาบัง ขอถั่วให้ชั้นกินหน่อยสิ ”
อาบังได้ยินดังนั้น ก็ตอบกลับไปว่า
“ ได้เลย ได้เลย แต่ขอขนให้ชั้นเส้นนึงนะ ”
พอนกได้ยินดังนั้น ก็ก้มลงมองที่ขนของตนเอง แล้วคิดว่า ขนของตนเองนี่มีเยอะมาก เสียไปสักเส้นคง
ไม่เป็นไรหรอก นกแสนสวยก็เลยให้ขนอาบังไปหนึ่งเส้น แล้วก็ลงไปกินถั่วของอาบัง วันต่อมานกแสน
สวยก็บอกกับอาบังอีกว่าขอถั่วให้ชั้นกินหน่อยสิ อาบังก็ตอบเหมือนเดิมว่าขอขนให้ชั้นเส้นหนึ่งก่อน นกแสน
สวยก็คิดเหมือนเดิมว่าขนมันยังมีอยู่เยอะก็เลยให้ขนอาบังไปอีก เป็นอย่างนี้ต่อไปอีกหลายวัน จนวันหนึ่ง
นกแสนสวยก็ขอถั่วอาบังกินอีก อาบังก็ตอบเหมือนเดิมว่า ขอขนให้ชั้นเส้นหนึ่งก่อน นกก็ไม่รีรอรีบให้ขน
อาบังไปทันที แล้วลงมากินถั่วของอาบัง อาบังก็เลยจับนกตัวนั้นไว้ได้ เพราะว่าขนของมันเหลือน้อยแล้ว
ไม่สามารถที่จะบินหนีอาบังได้
เรื่องนี้ถ้าอ่านผ่านไปอาจจะไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าเราลองคิดให้ดี เปลี่ยนจากนกแสนสวยเป็นตัวเรา
ขนของนกแต่ละเส้นคือเวลาของเราที่เสียไปและอาบังเป็นนายจ้างของเราส่วนถั่วที่อาบังให้ก็เหมือนกับ
เงินเดือนที่นายจ้างให้เรา
หมายความว่า ทุกวันนี้ ถ้าเรายังประมาทในการใช้ชีวิตยังพอใจแค่เงินเดือนที่นายจ้างให้เราทุกเดือน
เวลาของเราก็จะค่อยๆหมดไปเรื่อยๆ เวลาของเราไม่ได้มีมากมายหรอกแป๊บเดียวเดี๋ยวมันก็หมดไป
แล้ว ซึ่งเงินเดือนที่นายจ้างให้เราเนี่ยก็ให้แค่พอเราอยู่ได้ทุกเดือนเท่านั้นแหละ บางคนอาจจะคิดว่า
การทำงานประจำเป็นอาชีพที่มั่นคง แต่ก็ไม่นะ เพราะว่าการเป็นลูกจ้างเค้าเนี่ยเราไม่สามารถที่จะ
กำหนดวิถีชีวิตของตัวเองได้ เราถูกนายจ้างเรากำหนดให้ต่างหากว่าจะหยุดวันไหนวันนี้จะทำอะไร จึง
ไม่อยากให้ทุกคนยึดติดกับความคุ้นเคยกับความสบายเพียงแค่วันนี้แต่อยากจะให้มองให้ไกลๆ มองถึง
อนาคตของเราว่าเราจะหยุดทำงานเมื่อไหร่เราจะใช้ชีวิตในวัยเกษียณอย่างไร อย่าเป็นเหมือนนกแสน
สวยที่รู้ตัวก็ตอนที่ตัวเองไม่มีขนอยู่ที่ตัวแล้ว
มากแต่ไม่เคยมีชาวบ้านคนไหนจับนกตัวนั้นได้เลย อยู่มาวันหนึ่งมี อาบัง ขายถั่วมานั่งใต้ต้นไม้ที่มีนกแสน
สวยอยู่ พอนกแสนสวยเห็นถั่วของอาบังก็เกิดอยากกินขึ้นมา จึงร้องบอกอาบังว่า
“ อาบัง อาบัง ขอถั่วให้ชั้นกินหน่อยสิ ”
อาบังได้ยินดังนั้น ก็ตอบกลับไปว่า
“ ได้เลย ได้เลย แต่ขอขนให้ชั้นเส้นนึงนะ ”
พอนกได้ยินดังนั้น ก็ก้มลงมองที่ขนของตนเอง แล้วคิดว่า ขนของตนเองนี่มีเยอะมาก เสียไปสักเส้นคง
ไม่เป็นไรหรอก นกแสนสวยก็เลยให้ขนอาบังไปหนึ่งเส้น แล้วก็ลงไปกินถั่วของอาบัง วันต่อมานกแสน
สวยก็บอกกับอาบังอีกว่าขอถั่วให้ชั้นกินหน่อยสิ อาบังก็ตอบเหมือนเดิมว่าขอขนให้ชั้นเส้นหนึ่งก่อน นกแสน
สวยก็คิดเหมือนเดิมว่าขนมันยังมีอยู่เยอะก็เลยให้ขนอาบังไปอีก เป็นอย่างนี้ต่อไปอีกหลายวัน จนวันหนึ่ง
นกแสนสวยก็ขอถั่วอาบังกินอีก อาบังก็ตอบเหมือนเดิมว่า ขอขนให้ชั้นเส้นหนึ่งก่อน นกก็ไม่รีรอรีบให้ขน
อาบังไปทันที แล้วลงมากินถั่วของอาบัง อาบังก็เลยจับนกตัวนั้นไว้ได้ เพราะว่าขนของมันเหลือน้อยแล้ว
ไม่สามารถที่จะบินหนีอาบังได้
เรื่องนี้ถ้าอ่านผ่านไปอาจจะไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าเราลองคิดให้ดี เปลี่ยนจากนกแสนสวยเป็นตัวเรา
ขนของนกแต่ละเส้นคือเวลาของเราที่เสียไปและอาบังเป็นนายจ้างของเราส่วนถั่วที่อาบังให้ก็เหมือนกับ
เงินเดือนที่นายจ้างให้เรา
หมายความว่า ทุกวันนี้ ถ้าเรายังประมาทในการใช้ชีวิตยังพอใจแค่เงินเดือนที่นายจ้างให้เราทุกเดือน
เวลาของเราก็จะค่อยๆหมดไปเรื่อยๆ เวลาของเราไม่ได้มีมากมายหรอกแป๊บเดียวเดี๋ยวมันก็หมดไป
แล้ว ซึ่งเงินเดือนที่นายจ้างให้เราเนี่ยก็ให้แค่พอเราอยู่ได้ทุกเดือนเท่านั้นแหละ บางคนอาจจะคิดว่า
การทำงานประจำเป็นอาชีพที่มั่นคง แต่ก็ไม่นะ เพราะว่าการเป็นลูกจ้างเค้าเนี่ยเราไม่สามารถที่จะ
กำหนดวิถีชีวิตของตัวเองได้ เราถูกนายจ้างเรากำหนดให้ต่างหากว่าจะหยุดวันไหนวันนี้จะทำอะไร จึง
ไม่อยากให้ทุกคนยึดติดกับความคุ้นเคยกับความสบายเพียงแค่วันนี้แต่อยากจะให้มองให้ไกลๆ มองถึง
อนาคตของเราว่าเราจะหยุดทำงานเมื่อไหร่เราจะใช้ชีวิตในวัยเกษียณอย่างไร อย่าเป็นเหมือนนกแสน
สวยที่รู้ตัวก็ตอนที่ตัวเองไม่มีขนอยู่ที่ตัวแล้ว
Labels:
food for thought
Sunday, April 17, 2011
References Portal
1.Google:
http://www.google.com/Top/Reference/
2.Yahoo:
http://dir.yahoo.com/Reference/
3.DMOZ:
http://www.dmoz.org/Reference/
The Open Directory Project is the largest, most comprehensive human-edited directory of the Web. It is constructed and maintained by a vast, global community of volunteer editors.
http://www.google.com/Top/Reference/
2.Yahoo:
http://dir.yahoo.com/Reference/
3.DMOZ:
http://www.dmoz.org/Reference/
The Open Directory Project is the largest, most comprehensive human-edited directory of the Web. It is constructed and maintained by a vast, global community of volunteer editors.
Tuesday, April 12, 2011
The first summer
สิ่งที่ phoenix เปลี่ยนไปคือ
- จากเดิมที่ไม่เคยกรี้ด ปัจจุบัน เหมือนมีนกหวีดค้างอยู่ที่คอ
- จากแต่ก่อนที่ไม่เคยอมนิ้ว
สำหรับ ธาม
- รู้จักแบ่งของให้คนอื่นเล่น
- จากเดิมที่ไม่เคยกรี้ด ปัจจุบัน เหมือนมีนกหวีดค้างอยู่ที่คอ
- จากแต่ก่อนที่ไม่เคยอมนิ้ว
สำหรับ ธาม
- รู้จักแบ่งของให้คนอื่นเล่น
Monday, April 11, 2011
Febrile convulsion
ถ้าผู้ใหญ่เป็นไข้ นอนให้เหงื่อออกซักคืนนึงก็หาย
แต่สำหรับเด็ก ถ้าใช้สูตรเดียวกัน เด็กอาจจะได้ไปเกิดใหม่ !!!
phoenix มีไข้
แม้ว่าหน้าผากไม่ร้อนมาก แต่มีอาการตัวร้อน(ไม่มาก)มาต่อเนื่อง ทั้งวัน
สุดท้าย -> ชัก
คล้ายหมดสติ คิ้วกระตุก ตาเหลือก ปากเขียว เกร็งกัดฟันแน่น
หลังจากเช็ดตัว อาการดีขึ้นกลับมาพูดจาได้ตามปกติ
เราดันเอามันมากอดไว้ -> ร้อน -> อาการกำเริบ
ไปสอบถามหมอ ได้ความดังนี้ :
หมอ: เด็กเล็กถ้าชักเกิน 3 ครั้ง อาจมีผลกับสมองมากเกิน ต้องปรึกษาแพทย์ พิจารณากินยากันชัก
กรณีทั่วไป วิธีที่ดีที่สุดในการกันชักคือควบคุมอุณหภูมิ
หมอ: ถ้าจะกินยากันชัก
ต้องกินล่วงหน้า 2 วัน ก่อนจุดที่อาจจะเกิดอาการ
เพื่อให้มีตัวยาพร้อมอยู่ในกระแสเลือด
internet: การกินยากันชักก็จะทำให้เดินคล้ายคนง่วงนอนได้
-----------------------------------------
...สุดท้าย Phoenix หายจากการมีไข้สูงด้วยยา เซฟดิเนีย (cefdinir) 125 mg ใน 1 ช้อนชา
เป็นยาในกลุ่มเซฟาโลสปอรินส์ (cephalosporins)
เพิ่มเติม
========
ชักจากไข้
http://www.doctor.or.th/node/1892 >> สาเหตุที่ทำไมอาการไข้จึงกระตุ้นให้เด็กชัก ยังไม่สามารถอธิบายได้
ข้อมูลยา ไดอะซีแพม กันชักไข้สูง
http://www.doctor.or.th/node/2423
แต่สำหรับเด็ก ถ้าใช้สูตรเดียวกัน เด็กอาจจะได้ไปเกิดใหม่ !!!
phoenix มีไข้
แม้ว่าหน้าผากไม่ร้อนมาก แต่มีอาการตัวร้อน(ไม่มาก)มาต่อเนื่อง ทั้งวัน
สุดท้าย -> ชัก
คล้ายหมดสติ คิ้วกระตุก ตาเหลือก ปากเขียว เกร็งกัดฟันแน่น
หลังจากเช็ดตัว อาการดีขึ้นกลับมาพูดจาได้ตามปกติ
เราดันเอามันมากอดไว้ -> ร้อน -> อาการกำเริบ
ไปสอบถามหมอ ได้ความดังนี้ :
หมอ: เด็กเล็กถ้าชักเกิน 3 ครั้ง อาจมีผลกับสมองมากเกิน ต้องปรึกษาแพทย์ พิจารณากินยากันชัก
กรณีทั่วไป วิธีที่ดีที่สุดในการกันชักคือควบคุมอุณหภูมิ
หมอ: ถ้าจะกินยากันชัก
ต้องกินล่วงหน้า 2 วัน ก่อนจุดที่อาจจะเกิดอาการ
เพื่อให้มีตัวยาพร้อมอยู่ในกระแสเลือด
internet: การกินยากันชักก็จะทำให้เดินคล้ายคนง่วงนอนได้
-----------------------------------------
...สุดท้าย Phoenix หายจากการมีไข้สูงด้วยยา เซฟดิเนีย (cefdinir) 125 mg ใน 1 ช้อนชา
เป็นยาในกลุ่มเซฟาโลสปอรินส์ (cephalosporins)
เพิ่มเติม
========
ชักจากไข้
http://www.doctor.or.th/node/1892 >> สาเหตุที่ทำไมอาการไข้จึงกระตุ้นให้เด็กชัก ยังไม่สามารถอธิบายได้
ข้อมูลยา ไดอะซีแพม กันชักไข้สูง
http://www.doctor.or.th/node/2423
Labels:
raising children
Thursday, April 7, 2011
Food allergies
นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี เรียบเรียง
คนเรานั้นมีโอกาสเกิดอาการแพ้อาหารและการรับอาหารบางชนิดไม่ได้เป็นบางช่วงของชีวิต
ซึ่งในเด็กประมาณร้อยละ 3 ที่พิสูจน์ได้ว่าแพ้อาหารจริง แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่อาการแพ้อาหารนั้นจะลดลงเหลือเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น
แท้จริงแล้วอาการหรือปฏิกิริยาทางร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่อกินอาหารบางชนิดเข้าไปนั้น
มีความแตกต่างระหว่างคำว่า การแพ้อาหาร (Food allergies) กับ การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ (Food intolerance)
ทั้งนี้ การแพ้อาหาร (Food allergies) จะเกิดจากปฏิกิริยาที่ไวต่ออาหารนั้นๆ
เป็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติต่ออาหารเนื่องจากมีการกระตุ้นจากระบบภูมิต้านทานของร่างกาย
ส่วนการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทานแต่อย่างใด
แต่ทั้งสองกลุ่มนี้จะมีอาการคล้ายคลึงกัน
ทั้งนี้การแพ้อาหารจริงๆ มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่ต้องพยายามตรวจสอบและป้องกันการเกิดปฏิกิริยาการแพ้
เพราะนอกจากทำให้เกิดภาวะเจ็บป่วยแล้ว บางคนอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
กลไกการเกิดปฏิกิริยาการแพ้อาหาร
=====================
ปฏิกิริยาการแพ้นั้นมีผลเกี่ยวข้องกับ 2 กลไกทางระบบภูมิต้านทาน คือ
1) การสร้างภูมิต้านทานชนิด อี (Immunoglobulin E: IgE)
ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งเรียกว่าแอนตี้บอดี้ที่อยู่ในกระแสเลือด
2) และอีกกลไกหนึ่งเกี่ยวข้องกับมาสต์เซลล์ (Mast cell)
ที่อยู่ในทุกเนื้อเยื่อของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่เกิดอาการแพ้
เช่น ในจมูก คอ ปอด ผิวหนัง และทางเดินอาหาร
ความสามารถในการสร้าง IgE ต่ออาหารนั้นมักมีส่วนที่ได้รับจากกรรมพันธุ์
เช่น มีคนในครอบครัวมีอาการแพ้ไม่ว่าจะแพ้อาหาร แพ้ฝุ่น แพ้เกสรดอกไม้ หอบหืด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพ่อแม่เป็นภูมิแพ้ทั้งสองฝ่าย
ลูกก็จะมีโอกาสแพ้มากกว่าคนที่มีเพียงพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งที่เป็นภูมิแพ้
ก่อนที่จะเกิดอาการแพ้นั้น คนที่แพ้ต้องเคยได้รับอาหารชนิดนั้นมาก่อน
เมื่อมีการย่อยอาหารก็จะกระตุ้นให้มีการสร้าง IgE จำนวนมาก
ซึ่งจะเข้าไปเกาะผิวของมาสต์เซลล์ เมื่อมีการรับประทานอาหารชนิดนั้นอีกครั้ง
อาหารจะไปกระตุ้น IgE จำเพาะบนผิวมาสต์เซลล์นั้น
ทำให้เกิดการหลั่งสารเคมี เช่น ฮีสตามีน
ซึ่งจะทำให้เกิดอาการแพ้ตามแต่บริเวณของเนื้อเยื่อที่มีการหลั่งสารเคมีนั้น
เช่น มีการหลั่งสารเคมีที่บริเวณหู คอ จมูก
ก็จะมีอาการคันหรือบวมที่ปาก คอ หายใจลำบาก หรือกลืนอาหารลำบาก
แต่ถ้าเป็นที่บริเวณทางเดินอาหาร ก็อาจมีอาการปวดท้องหรือท้องร่วงได้
ส่วนของสารอาหารที่ทำให้เกิดการแพ้นั้น เป็นโปรตีนในอาหาร
ที่มักไม่ถูกสลายด้วยความร้อนในการปรุงอาหารหรือกรดในกระเพาะอาหารหรือน้ำย่อย
จึงทำให้สามารถดูดซึมผ่านเข้าสู่กระแสเลือดไปยังบริเวณเป้าหมายที่เกิดอาการแพ้ขึ้นได้ทั่วร่างกาย
ความซับซ้อนในกระบวนการย่อยอาหาร มีผลต่อระยะเวลาและตำแหน่งที่เกิดอาการ
================================================
ตัวอย่างเช่น อาการจะเริ่มต้นจากมีอาการคันที่ปากก่อน เมื่อเริ่มรับประทานอาหาร
พออาหารถูกย่อยในกระเพาะอาหารแล้ว มักจะเกิดอาการทางเดินอาหาร เช่น อาเจียน ท้องร่วง และปวดท้องได้
เมื่อสารที่ทำให้แพ้เข้าสู่กระแสเลือด ก็อาจทำให้ระดับความดันโลหิตตกลงได้
หากไปที่ผิวหนังก็เกิดอาการผื่นแพ้
หรือไปที่ระบบทางเดินหายใจก็อาจทำให้เกิดอาการหอบหืดได้
ซึ่งอาการต่างๆ นี้ อาจเกิดได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีจนเป็นชั่วโมงก็ได้เช่นกัน
การแพ้อาหารที่พบบ่อย
==============
ในผู้ใหญ่อาหารที่พบว่าเกิดการแพ้ได้บ่อย ได้แก่ อาหารทะเล เช่น กุ้ง กั้ง ปู พืชเมล็ดบางชนิด เช่น ถั่ว
ส่วนที่แพ้ได้แต่ไม่บ่อย ได้แก่ ปลา และไข่ ซึ่งเมื่อแพ้แล้วอาจมีอาการแพ้เพียงเล็กน้อยจนถึงขั้นรุนแรงได้
คือ อาจจะแค่คัน บวม กระทั่งความดันโลหิตตกอย่างเฉียบพลัน และอาจถึงแก่ความตายได้
ส่วนในเด็กนั้นอาหารที่พบว่าเกิดการแพ้นั้นแตกต่างจากผู้ใหญ่ คือ
มักมีอาการแพ้ไข่ นมวัว และถั่ว ซึ่งอาการแพ้อาหารนี้อาจจะหายไปได้เองเมื่อโตขึ้น
แต่หากเป็นการแพ้ปลาและกุ้งก็มักจะไม่หาย ในขณะที่ผู้ใหญ่เมื่อแพ้อะไรแล้วมักจะไม่หาย
การแพ้อาหารในทารกและเด็ก
การแพ้นมวัวและถั่วเหลืองพบได้บ่อยในทารกและเด็ก ส่วนมากจะไม่มีอาการหอบหืด แต่มักมีอาการปวดท้อง นอนไม่หลับ มีเลือดออกมากับอุจจาระ ดูเด็กไม่มีความสุข หรือเลี้ยงไม่โต เป็นต้น
สาเหตุที่ทำให้เด็กแพ้อาหาร
เชื่อว่าเกิดจากความไม่สมบูรณ์ของระบบภูมิต้านทานและระบบทางเดินอาหาร
อาการแพ้นมหรือถั่วเหลืองนี้เริ่มแสดงอาการได้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด หรือมีอายุเพียงไม่กี่เดือนนับตั้งแต่คลอด
เด็กที่มีอาการแพ้อาจพบว่ามีประวัติคนเป็นภูมิแพ้ในครอบครัวด้วย
หากทารกแพ้นมวัวแพทย์ก็จะแนะนำให้เปลี่ยนเป็นนมถั่วเหลืองแทนหรือให้ดื่มนมแม่เพียงอย่างเดียว
หากมีการแพ้นมถั่วเหลืองด้วย ก็อาจต้องใช้นมสูตรพิเศษที่มีการย่อยโปรตีนแบบสมบูรณ์
ในกรณีที่เด็กมีอาการแพ้รุนแรงคุณหมออาจจะให้ยา เช่น สเตียรอยด์
แต่ก็ยังโชคดีที่อาการแพ้ในเด็กนั้นมักจะหายไปได้เองในช่วงปี สองปีหลังเกิดอาการ
การให้นมแม่อย่างเดียวโดยไม่ให้อาหารอื่นเลยแก่ทารกในช่วง 6-12 เดือนนั้น
จะสามารถหลีกเลี่ยงการแพ้นมวัวและนมถั่วเหลืองได้
โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้
แต่คุณแม่เองก็ต้องตระหนักด้วยว่าอาหารที่รับประทานนั้นอาจทำให้ลูกเกิดอาการแพ้ได้
ดังนั้นคุณแม่ที่ให้นมลูกควรต้องระมัดระวังเลือกอาหารให้ดีด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ลูกแพ้
แม้ว่ายังไม่มีการพิสูจน์ว่าการให้นมแม่นั้นสามารถป้องกันการแพ้ในวัยที่โตขึ้นได้
แต่อย่างน้อยการให้นมแม่ก็ช่วยเลื่อนเวลาการเกิดการแพ้อาหารออกไปได้
และหากเลื่อนการให้อาหารเสริมเป็นหลังอายุ 6 เดือน ก็จะช่วยเลื่อนระยะเวลาการเกิดอาการแพ้ได้ด้วยเช่นกัน
แท้จริงแล้วอาการหรือปฏิกิริยาทางร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่อกินอาหารบางชนิดเข้าไปนั้น
มีความแตกต่างระหว่างคำว่า การแพ้อาหาร (Food allergies) กับ การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ (Food intolerance)
การแพ้อาหาร - การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ ต่างกันอย่างไร
==================================
บางคนเมื่อมีอาการหลังจากรับประทานอาหารบางชนิด แล้วไปบอกคุณหมอว่า ฉันคิดว่าฉันแพ้อาหาร
แพทย์จะต้องแยกแยะวินิจฉัยอาการต่างๆ ก่อนเพื่อไม่ให้สับสนว่าจริงๆ แล้ว
คุณคนนั้นเขาแพ้อาหาร รับอาหารบางชนิดไม่ได้ หรืออาหารเป็นพิษจากเชื้อโรคปนเปื้อนในอาหารกันแน่
ซึ่งทั้งหมดอาการคล้ายกันแต่ต่างกันที่สาเหตุ จึงต้องจำแนกแยกแยะให้ออกก่อนว่าเป็นอะไรกันแน่
บางครั้งสารเคมีตามธรรมชาติ เช่น สารฮีสตามีนที่มีอยู่ในอาหารก็ทำให้เกิดอาการคล้ายกับอาการแพ้อาหารได้
เช่น สารฮีสตามีนที่มีมากในเนยแข็ง ไวน์บางชนิด
ปลาบางชนิดโดยเฉพาะปลาทูน่าและปลาแมคเคอเรล (คล้ายปลาทู)
ซึ่งสารฮีสตามีนในปลานั้นเชื่อว่าเกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย
โดยเฉพาะปลาที่ไม่ได้แช่แข็งอย่างดี หากใครรับประทานอาหารที่มีสารฮีสตามีนนี้มากก็จะเกิดอาการเหมือนแพ้อาหารได้
เรียกว่า เกิดพิษจากสารฮีสตามีน (histamine toxicity)
การแพ้อาหาร จะเกิดจากปฏิกิริยาของระบบภูมิต้านทานในร่างกาย ส่วนการรับอาหารบางชนิดไม่ได้
อาจเกิดจากความบกพร่องของสารบางชนิดในร่างกาย หรือการไม่ถูกกันระหว่างสารในร่างกายกับสารบางชนิดที่มีอยู่ในอาหาร
ทั้งสองกรณีต่างจากอาหารเป็นพิษ ที่มีสาเหตุจากเชื้อโรคปนเปื้อนดังที่กล่าวแล้ว
การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ที่มักจะพบบ่อยคือ ภาวะพร่องน้ำย่อยน้ำตาลนม (lactase deficiency)
ซึ่งพบได้ถึง 1 ใน 10 คน น้ำย่อยนี้สร้างจากผิวของลำไส้ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลนม
หากคนที่มีน้ำย่อยน้ำตาลนมไม่พอ เมื่อดื่มนมหรือรับประทานผลิตภัณฑ์จากนมเข้าไป
น้ำตาลนมที่ไม่สามารถถูกย่อยก็จะถูกแบคทีเรียนำไปใช้ แล้วสร้างก๊าซขึ้น ทำให้ท้องอืด ปวดท้อง และอุจจาระร่วงได้
ซึ่งแพทย์วินิจฉัยได้โดยการให้รับประทานน้ำตาลนม และวัดผลจากเลือด
การรับอาหารบางชนิดไม่ได้อีกแบบหนึ่งที่เจอคือ การมีปฏิกิริยาต่อสารที่ใส่ในอาหารเพื่อปรับแต่งรส กลิ่น หรือป้องกันการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย เช่น สีผสมอาหารเบอร์ 5 ทำให้เกิดอาการหอบ หรือผงชูรส ที่ทำให้เกิดอาการร้อนซู่ซ่า ปวดศีรษะ เจ็บหน้าอก อ่อนแรง หรือหงุดหงิดได้ในบางคน ซึ่งเกิดจากการรับประทานผงชูรสในปริมาณมาก
สารซัลไฟต์ เป็นสารที่พบได้ในอาหารหรือได้ถูกใส่เข้าไปในอาหารเพื่อทำให้กรอบหรือป้องกันเชื้อรา
หากมีปริมาณมากอาจทำให้บางคนมีอาการหอบหืดได้ เนื่องจากสารนี้ทำให้เกิดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ซึ่งคนที่เป็นหอบหืดสูดดมเข้าไประหว่างรับประทานอาหาร ทำให้เกิดอาการระคายเคืองปอดและเกิดการหดตัวของหลอดลมจึงหอบได้
บางคนมีอาการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ด้วยสาเหตุทางจิต เช่น ในช่วงวัยเด็กเกิดความรู้สึกไม่ชอบหรือต่อต้านอาหารบางชนิดจนฝังใจ เมื่อกินเข้าไปก็จะเกิดปฏิกิริยาในลักษณะเดียวกับการแพ้อาหาร ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการประเมินและบำบัดทางจิตเวชถึงประสบการณ์เลวร้ายที่ผ่านมา
นอกจากนี้แล้วก็ยังมีโรคอื่นๆ ที่มีอาการแบบเดียวกับการแพ้อาหาร เช่น
แผลและมะเร็งในทางเดินอาหาร ทำให้อาเจียน อุจจาระร่วง หรือปวดท้องเมื่อรับประทานอาหาร
หรือบางคนมีการแพ้อาหารเพราะถูกกระตุ้นจากการออกกำลังกาย
คือ คนที่แพ้มักจะรับประทานอาหารมาก่อนที่จะออกกำลังกาย
เมื่อออกกำลังกายจนความร้อนของร่างกายเพิ่มมากขึ้น ก็จะเริ่มมีอาการคัน รู้สึกเบาศีรษะ แล้วเกิดอาการแพ้
เช่น หอบ และอาจรุนแรงได้ถึงแก่ความตายได้
วิธีแก้ง่ายๆ ก็คืออย่ารับประทานอาหาร 2 ชั่วโมงก่อนออกกำลังกาย
การรักษาการแพ้อาหาร
==============
การรักษาการแพ้อาหารเมื่อวินิจฉัยได้ว่าแพ้อาหารชนิดใด ก็ควรงดอาหารที่แพ้ชนิดนั้น
และก่อนที่จะเลือกซื้ออาหารควรอ่านรายละเอียดส่วนผสมที่ฉลากอาหารก่อนว่ามีสิ่งที่ตัวเองแพ้ผสมอยู่หรือไม่
เช่น ถ้าแพ้นมต้องดูว่าในส่วนผสมมีผลิตภัณฑ์นมผสมอยู่ด้วยไหม
หรือถ้าแพ้ไข่ ต้องดูว่าน้ำสลัดที่เลือกมานั้นมีส่วนผสมของไข่หรือไม่
หรือถ้าแพ้ผงชูรสก็พยายามหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ใส่ผงชูรส เป็นต้น
ในคนที่มีอาการแพ้มากแม้ว่าได้รับสารอาหารที่แพ้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถเกิดอาการแพ้ได้
แต่คนที่มีอาการแพ้น้อย อาจทนทานต่อสารอาหารได้หากได้รับในจำนวนน้อยๆ
คนที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง ควรมีการเตรียมพร้อมเมื่ออาการแพ้เสมอ เพราะแม้ว่าจะคอยระวังเรื่องอาหารแล้วก็ตาม แต่ก็อาจเกิดความผิดพลาดได้เหมือนกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันในคนที่มีอาการแพ้รุนแรงนี้ ก็ควรพกพายาแก้แพ้ติดตัว หรือห้อยเป็นสายสร้อยเพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน หรืออาจพกยาอะดรินาลีน ไว้ฉีดยามฉุกเฉิน และควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะในคนที่แพ้รุนแรงอาการช็อคอาจเกิดได้แม้ว่าจะเริ่มต้นด้วยอาการเพียงเล็กน้อย เช่น แค่คันที่ปากและคอ หรือไม่สบายท้องเท่านั้น
ทางที่ดีที่สุดคือเมื่อเราทราบแล้วว่าแพ้อาหารชนิดใด ก็คงต้องระมัดระวังการเลือกอาหารให้ดี ควรเลี่ยงและงดสิ่งที่แพ้คือเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ที่มา http://www.oknation.net/blog/ION/2009/01/27/entry-1 (นิตยสาร Health Today)
คนที่แพ้อาหารจะแสดงอาการออกมาใน 2-3 นาที จนถึง 2-3 ชั่วโมง หลังจากรับประทานอาหาร
ไม่ควรกินยาแก้แพ้ล่วงหน้า เพื่อจะรับประทานอาหารที่แพ้เข้าไป
เพราะยาอาจบดบังอาการขั้นต้น
ทำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารชนิดนั้นในปริมาณมาก จะทำให้เกิดอาการแพ้ที่รุนแรงตามมาภายหลังได้
ที่มา http://www.kingdomplaza.com/article/health/news.php?nid=712 (หนังสือพิมพ์ข่าวสด)
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ อาการมักจะหายไปเมื่อหยุดรับสารนั้น
แต่บางคนอาการจะคงอยู่เป็นเวลาหลายวัน
อาการมักจะเกิดหลังรับประทาน โดยมากไม่เกิน 2 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหาร
ที่มา http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/allergy/food_know.html
ก่อนหน้านี้เมื่อสงสัยว่าจะแพ้อาหารอะไร แพทย์จะแนะะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้
แต่ต่อมาพบว่าการหลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้ ก่อให้เกิดผลเสีย คือจะมีปฎิกิริยาภูมิแพ้แรงขึ้น
ปัจจุบันแนะนำว่าหากผู้ป่วยพอทนได้ก็ไม่ต้องงดอาหารนั้น
ที่มา http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/allergy/food_diag.html
การวินิจฉัยการแพ้อาหาร
===============
- การทดสอบทางผิวหนัง
บอกอะไรไม่ได้มาก กล่าวคือ หากการทดสอบให้ผลบวกผู้ป่วยอาจจะไม่แพ้ต่ออาหารนั้น
การวินิจฉัยจะต้องร่วมกับประวัติ หากการทดสอบเข้าได้กับประวัติ จะช่วยในการวินิจฉัย
แต่หากการทดสอบผิวหนังให้ผลลบ ก็บอกได้เลยว่าผู้ป่วยรายนั้นไม่แพ้
- การเจาะเลือดหาระดับ IgE ต่อสารอาหาร
หากค่าดังกล่าวสูงก็น่าจะแพ้ต่อสารอาหารนั้น
หากค่าต่ำก็ไม่น่าจะแพ้
แต่ก็มีผู้ป่วยที่ค่า IgE ต่ำแต่แพ้
การตรวจนี้จะทำเมื่อไม่สามารถทดสอบทางผิวหนัง หรือผู้ป่วยได้รับยาแก้แพ้
ที่มา http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/allergy/food_diag.html
- มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวและตัวเองหรือไม่
- มีอาการของโรคภูมิแพ้หรือไม่ เช่น โรคหอบหืด โรคผื่นแพ้ จามหรือคัดจมูก
- ได้รับอาหารบางอย่างแล้วเกิดอาการหรือไม่
- ประวัติเกิดผื่นหลังจากรับประทานอาหารไปกี่ชั่วโมง
- ก่อนออกผื่นกำลังทำอะไรอยู่( เช่นออกกำลังกาย)
- ควรจะมีสมุดจดรายการอาหารที่รับประทานก่อนเกิดผื่น 12 ชั่วโมง
และควรจะจดอาการต่างๆที่เกิดด้วย ท่านจะพบความสัมพันธ์ของอาหารและผื่น
- เมื่อสงสัยว่าเกิดจากอาหารประเภทใดก็ให้หยุดอาหารประเภทนั้นสัก 10-14 วันแล้วสังเกตอาการว่าดีขึ้นหรือไม่
คนเรานั้นมีโอกาสเกิดอาการแพ้อาหารและการรับอาหารบางชนิดไม่ได้เป็นบางช่วงของชีวิต
ซึ่งในเด็กประมาณร้อยละ 3 ที่พิสูจน์ได้ว่าแพ้อาหารจริง แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่อาการแพ้อาหารนั้นจะลดลงเหลือเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น
แท้จริงแล้วอาการหรือปฏิกิริยาทางร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่อกินอาหารบางชนิดเข้าไปนั้น
มีความแตกต่างระหว่างคำว่า การแพ้อาหาร (Food allergies) กับ การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ (Food intolerance)
ทั้งนี้ การแพ้อาหาร (Food allergies) จะเกิดจากปฏิกิริยาที่ไวต่ออาหารนั้นๆ
เป็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติต่ออาหารเนื่องจากมีการกระตุ้นจากระบบภูมิต้านทานของร่างกาย
ส่วนการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทานแต่อย่างใด
แต่ทั้งสองกลุ่มนี้จะมีอาการคล้ายคลึงกัน
ทั้งนี้การแพ้อาหารจริงๆ มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่ต้องพยายามตรวจสอบและป้องกันการเกิดปฏิกิริยาการแพ้
เพราะนอกจากทำให้เกิดภาวะเจ็บป่วยแล้ว บางคนอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
กลไกการเกิดปฏิกิริยาการแพ้อาหาร
=====================
ปฏิกิริยาการแพ้นั้นมีผลเกี่ยวข้องกับ 2 กลไกทางระบบภูมิต้านทาน คือ
1) การสร้างภูมิต้านทานชนิด อี (Immunoglobulin E: IgE)
ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งเรียกว่าแอนตี้บอดี้ที่อยู่ในกระแสเลือด
2) และอีกกลไกหนึ่งเกี่ยวข้องกับมาสต์เซลล์ (Mast cell)
ที่อยู่ในทุกเนื้อเยื่อของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่เกิดอาการแพ้
เช่น ในจมูก คอ ปอด ผิวหนัง และทางเดินอาหาร
ความสามารถในการสร้าง IgE ต่ออาหารนั้นมักมีส่วนที่ได้รับจากกรรมพันธุ์
เช่น มีคนในครอบครัวมีอาการแพ้ไม่ว่าจะแพ้อาหาร แพ้ฝุ่น แพ้เกสรดอกไม้ หอบหืด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพ่อแม่เป็นภูมิแพ้ทั้งสองฝ่าย
ลูกก็จะมีโอกาสแพ้มากกว่าคนที่มีเพียงพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งที่เป็นภูมิแพ้
ก่อนที่จะเกิดอาการแพ้นั้น คนที่แพ้ต้องเคยได้รับอาหารชนิดนั้นมาก่อน
เมื่อมีการย่อยอาหารก็จะกระตุ้นให้มีการสร้าง IgE จำนวนมาก
ซึ่งจะเข้าไปเกาะผิวของมาสต์เซลล์ เมื่อมีการรับประทานอาหารชนิดนั้นอีกครั้ง
อาหารจะไปกระตุ้น IgE จำเพาะบนผิวมาสต์เซลล์นั้น
ทำให้เกิดการหลั่งสารเคมี เช่น ฮีสตามีน
ซึ่งจะทำให้เกิดอาการแพ้ตามแต่บริเวณของเนื้อเยื่อที่มีการหลั่งสารเคมีนั้น
เช่น มีการหลั่งสารเคมีที่บริเวณหู คอ จมูก
ก็จะมีอาการคันหรือบวมที่ปาก คอ หายใจลำบาก หรือกลืนอาหารลำบาก
แต่ถ้าเป็นที่บริเวณทางเดินอาหาร ก็อาจมีอาการปวดท้องหรือท้องร่วงได้
ส่วนของสารอาหารที่ทำให้เกิดการแพ้นั้น เป็นโปรตีนในอาหาร
ที่มักไม่ถูกสลายด้วยความร้อนในการปรุงอาหารหรือกรดในกระเพาะอาหารหรือน้ำย่อย
จึงทำให้สามารถดูดซึมผ่านเข้าสู่กระแสเลือดไปยังบริเวณเป้าหมายที่เกิดอาการแพ้ขึ้นได้ทั่วร่างกาย
ความซับซ้อนในกระบวนการย่อยอาหาร มีผลต่อระยะเวลาและตำแหน่งที่เกิดอาการ
================================================
ตัวอย่างเช่น อาการจะเริ่มต้นจากมีอาการคันที่ปากก่อน เมื่อเริ่มรับประทานอาหาร
พออาหารถูกย่อยในกระเพาะอาหารแล้ว มักจะเกิดอาการทางเดินอาหาร เช่น อาเจียน ท้องร่วง และปวดท้องได้
เมื่อสารที่ทำให้แพ้เข้าสู่กระแสเลือด ก็อาจทำให้ระดับความดันโลหิตตกลงได้
หากไปที่ผิวหนังก็เกิดอาการผื่นแพ้
หรือไปที่ระบบทางเดินหายใจก็อาจทำให้เกิดอาการหอบหืดได้
ซึ่งอาการต่างๆ นี้ อาจเกิดได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีจนเป็นชั่วโมงก็ได้เช่นกัน
การแพ้อาหารที่พบบ่อย
==============
ในผู้ใหญ่อาหารที่พบว่าเกิดการแพ้ได้บ่อย ได้แก่ อาหารทะเล เช่น กุ้ง กั้ง ปู พืชเมล็ดบางชนิด เช่น ถั่ว
ส่วนที่แพ้ได้แต่ไม่บ่อย ได้แก่ ปลา และไข่ ซึ่งเมื่อแพ้แล้วอาจมีอาการแพ้เพียงเล็กน้อยจนถึงขั้นรุนแรงได้
คือ อาจจะแค่คัน บวม กระทั่งความดันโลหิตตกอย่างเฉียบพลัน และอาจถึงแก่ความตายได้
ส่วนในเด็กนั้นอาหารที่พบว่าเกิดการแพ้นั้นแตกต่างจากผู้ใหญ่ คือ
มักมีอาการแพ้ไข่ นมวัว และถั่ว ซึ่งอาการแพ้อาหารนี้อาจจะหายไปได้เองเมื่อโตขึ้น
แต่หากเป็นการแพ้ปลาและกุ้งก็มักจะไม่หาย ในขณะที่ผู้ใหญ่เมื่อแพ้อะไรแล้วมักจะไม่หาย
การแพ้อาหารในทารกและเด็ก
การแพ้นมวัวและถั่วเหลืองพบได้บ่อยในทารกและเด็ก ส่วนมากจะไม่มีอาการหอบหืด แต่มักมีอาการปวดท้อง นอนไม่หลับ มีเลือดออกมากับอุจจาระ ดูเด็กไม่มีความสุข หรือเลี้ยงไม่โต เป็นต้น
สาเหตุที่ทำให้เด็กแพ้อาหาร
เชื่อว่าเกิดจากความไม่สมบูรณ์ของระบบภูมิต้านทานและระบบทางเดินอาหาร
อาการแพ้นมหรือถั่วเหลืองนี้เริ่มแสดงอาการได้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด หรือมีอายุเพียงไม่กี่เดือนนับตั้งแต่คลอด
เด็กที่มีอาการแพ้อาจพบว่ามีประวัติคนเป็นภูมิแพ้ในครอบครัวด้วย
หากทารกแพ้นมวัวแพทย์ก็จะแนะนำให้เปลี่ยนเป็นนมถั่วเหลืองแทนหรือให้ดื่มนมแม่เพียงอย่างเดียว
หากมีการแพ้นมถั่วเหลืองด้วย ก็อาจต้องใช้นมสูตรพิเศษที่มีการย่อยโปรตีนแบบสมบูรณ์
ในกรณีที่เด็กมีอาการแพ้รุนแรงคุณหมออาจจะให้ยา เช่น สเตียรอยด์
แต่ก็ยังโชคดีที่อาการแพ้ในเด็กนั้นมักจะหายไปได้เองในช่วงปี สองปีหลังเกิดอาการ
การให้นมแม่อย่างเดียวโดยไม่ให้อาหารอื่นเลยแก่ทารกในช่วง 6-12 เดือนนั้น
จะสามารถหลีกเลี่ยงการแพ้นมวัวและนมถั่วเหลืองได้
โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้
แต่คุณแม่เองก็ต้องตระหนักด้วยว่าอาหารที่รับประทานนั้นอาจทำให้ลูกเกิดอาการแพ้ได้
ดังนั้นคุณแม่ที่ให้นมลูกควรต้องระมัดระวังเลือกอาหารให้ดีด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ลูกแพ้
แม้ว่ายังไม่มีการพิสูจน์ว่าการให้นมแม่นั้นสามารถป้องกันการแพ้ในวัยที่โตขึ้นได้
แต่อย่างน้อยการให้นมแม่ก็ช่วยเลื่อนเวลาการเกิดการแพ้อาหารออกไปได้
และหากเลื่อนการให้อาหารเสริมเป็นหลังอายุ 6 เดือน ก็จะช่วยเลื่อนระยะเวลาการเกิดอาการแพ้ได้ด้วยเช่นกัน
แท้จริงแล้วอาการหรือปฏิกิริยาทางร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่อกินอาหารบางชนิดเข้าไปนั้น
มีความแตกต่างระหว่างคำว่า การแพ้อาหาร (Food allergies) กับ การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ (Food intolerance)
การแพ้อาหาร - การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ ต่างกันอย่างไร
==================================
บางคนเมื่อมีอาการหลังจากรับประทานอาหารบางชนิด แล้วไปบอกคุณหมอว่า ฉันคิดว่าฉันแพ้อาหาร
แพทย์จะต้องแยกแยะวินิจฉัยอาการต่างๆ ก่อนเพื่อไม่ให้สับสนว่าจริงๆ แล้ว
คุณคนนั้นเขาแพ้อาหาร รับอาหารบางชนิดไม่ได้ หรืออาหารเป็นพิษจากเชื้อโรคปนเปื้อนในอาหารกันแน่
ซึ่งทั้งหมดอาการคล้ายกันแต่ต่างกันที่สาเหตุ จึงต้องจำแนกแยกแยะให้ออกก่อนว่าเป็นอะไรกันแน่
บางครั้งสารเคมีตามธรรมชาติ เช่น สารฮีสตามีนที่มีอยู่ในอาหารก็ทำให้เกิดอาการคล้ายกับอาการแพ้อาหารได้
เช่น สารฮีสตามีนที่มีมากในเนยแข็ง ไวน์บางชนิด
ปลาบางชนิดโดยเฉพาะปลาทูน่าและปลาแมคเคอเรล (คล้ายปลาทู)
ซึ่งสารฮีสตามีนในปลานั้นเชื่อว่าเกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย
โดยเฉพาะปลาที่ไม่ได้แช่แข็งอย่างดี หากใครรับประทานอาหารที่มีสารฮีสตามีนนี้มากก็จะเกิดอาการเหมือนแพ้อาหารได้
เรียกว่า เกิดพิษจากสารฮีสตามีน (histamine toxicity)
การแพ้อาหาร จะเกิดจากปฏิกิริยาของระบบภูมิต้านทานในร่างกาย ส่วนการรับอาหารบางชนิดไม่ได้
อาจเกิดจากความบกพร่องของสารบางชนิดในร่างกาย หรือการไม่ถูกกันระหว่างสารในร่างกายกับสารบางชนิดที่มีอยู่ในอาหาร
ทั้งสองกรณีต่างจากอาหารเป็นพิษ ที่มีสาเหตุจากเชื้อโรคปนเปื้อนดังที่กล่าวแล้ว
การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ที่มักจะพบบ่อยคือ ภาวะพร่องน้ำย่อยน้ำตาลนม (lactase deficiency)
ซึ่งพบได้ถึง 1 ใน 10 คน น้ำย่อยนี้สร้างจากผิวของลำไส้ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลนม
หากคนที่มีน้ำย่อยน้ำตาลนมไม่พอ เมื่อดื่มนมหรือรับประทานผลิตภัณฑ์จากนมเข้าไป
น้ำตาลนมที่ไม่สามารถถูกย่อยก็จะถูกแบคทีเรียนำไปใช้ แล้วสร้างก๊าซขึ้น ทำให้ท้องอืด ปวดท้อง และอุจจาระร่วงได้
ซึ่งแพทย์วินิจฉัยได้โดยการให้รับประทานน้ำตาลนม และวัดผลจากเลือด
การรับอาหารบางชนิดไม่ได้อีกแบบหนึ่งที่เจอคือ การมีปฏิกิริยาต่อสารที่ใส่ในอาหารเพื่อปรับแต่งรส กลิ่น หรือป้องกันการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย เช่น สีผสมอาหารเบอร์ 5 ทำให้เกิดอาการหอบ หรือผงชูรส ที่ทำให้เกิดอาการร้อนซู่ซ่า ปวดศีรษะ เจ็บหน้าอก อ่อนแรง หรือหงุดหงิดได้ในบางคน ซึ่งเกิดจากการรับประทานผงชูรสในปริมาณมาก
สารซัลไฟต์ เป็นสารที่พบได้ในอาหารหรือได้ถูกใส่เข้าไปในอาหารเพื่อทำให้กรอบหรือป้องกันเชื้อรา
หากมีปริมาณมากอาจทำให้บางคนมีอาการหอบหืดได้ เนื่องจากสารนี้ทำให้เกิดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ซึ่งคนที่เป็นหอบหืดสูดดมเข้าไประหว่างรับประทานอาหาร ทำให้เกิดอาการระคายเคืองปอดและเกิดการหดตัวของหลอดลมจึงหอบได้
บางคนมีอาการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ด้วยสาเหตุทางจิต เช่น ในช่วงวัยเด็กเกิดความรู้สึกไม่ชอบหรือต่อต้านอาหารบางชนิดจนฝังใจ เมื่อกินเข้าไปก็จะเกิดปฏิกิริยาในลักษณะเดียวกับการแพ้อาหาร ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการประเมินและบำบัดทางจิตเวชถึงประสบการณ์เลวร้ายที่ผ่านมา
นอกจากนี้แล้วก็ยังมีโรคอื่นๆ ที่มีอาการแบบเดียวกับการแพ้อาหาร เช่น
แผลและมะเร็งในทางเดินอาหาร ทำให้อาเจียน อุจจาระร่วง หรือปวดท้องเมื่อรับประทานอาหาร
หรือบางคนมีการแพ้อาหารเพราะถูกกระตุ้นจากการออกกำลังกาย
คือ คนที่แพ้มักจะรับประทานอาหารมาก่อนที่จะออกกำลังกาย
เมื่อออกกำลังกายจนความร้อนของร่างกายเพิ่มมากขึ้น ก็จะเริ่มมีอาการคัน รู้สึกเบาศีรษะ แล้วเกิดอาการแพ้
เช่น หอบ และอาจรุนแรงได้ถึงแก่ความตายได้
วิธีแก้ง่ายๆ ก็คืออย่ารับประทานอาหาร 2 ชั่วโมงก่อนออกกำลังกาย
การรักษาการแพ้อาหาร
==============
การรักษาการแพ้อาหารเมื่อวินิจฉัยได้ว่าแพ้อาหารชนิดใด ก็ควรงดอาหารที่แพ้ชนิดนั้น
และก่อนที่จะเลือกซื้ออาหารควรอ่านรายละเอียดส่วนผสมที่ฉลากอาหารก่อนว่ามีสิ่งที่ตัวเองแพ้ผสมอยู่หรือไม่
เช่น ถ้าแพ้นมต้องดูว่าในส่วนผสมมีผลิตภัณฑ์นมผสมอยู่ด้วยไหม
หรือถ้าแพ้ไข่ ต้องดูว่าน้ำสลัดที่เลือกมานั้นมีส่วนผสมของไข่หรือไม่
หรือถ้าแพ้ผงชูรสก็พยายามหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ใส่ผงชูรส เป็นต้น
ในคนที่มีอาการแพ้มากแม้ว่าได้รับสารอาหารที่แพ้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถเกิดอาการแพ้ได้
แต่คนที่มีอาการแพ้น้อย อาจทนทานต่อสารอาหารได้หากได้รับในจำนวนน้อยๆ
คนที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง ควรมีการเตรียมพร้อมเมื่ออาการแพ้เสมอ เพราะแม้ว่าจะคอยระวังเรื่องอาหารแล้วก็ตาม แต่ก็อาจเกิดความผิดพลาดได้เหมือนกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันในคนที่มีอาการแพ้รุนแรงนี้ ก็ควรพกพายาแก้แพ้ติดตัว หรือห้อยเป็นสายสร้อยเพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน หรืออาจพกยาอะดรินาลีน ไว้ฉีดยามฉุกเฉิน และควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะในคนที่แพ้รุนแรงอาการช็อคอาจเกิดได้แม้ว่าจะเริ่มต้นด้วยอาการเพียงเล็กน้อย เช่น แค่คันที่ปากและคอ หรือไม่สบายท้องเท่านั้น
ทางที่ดีที่สุดคือเมื่อเราทราบแล้วว่าแพ้อาหารชนิดใด ก็คงต้องระมัดระวังการเลือกอาหารให้ดี ควรเลี่ยงและงดสิ่งที่แพ้คือเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ที่มา http://www.oknation.net/blog/ION/2009/01/27/entry-1 (นิตยสาร Health Today)
คนที่แพ้อาหารจะแสดงอาการออกมาใน 2-3 นาที จนถึง 2-3 ชั่วโมง หลังจากรับประทานอาหาร
ไม่ควรกินยาแก้แพ้ล่วงหน้า เพื่อจะรับประทานอาหารที่แพ้เข้าไป
เพราะยาอาจบดบังอาการขั้นต้น
ทำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารชนิดนั้นในปริมาณมาก จะทำให้เกิดอาการแพ้ที่รุนแรงตามมาภายหลังได้
ที่มา http://www.kingdomplaza.com/article/health/news.php?nid=712 (หนังสือพิมพ์ข่าวสด)
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ อาการมักจะหายไปเมื่อหยุดรับสารนั้น
แต่บางคนอาการจะคงอยู่เป็นเวลาหลายวัน
อาการมักจะเกิดหลังรับประทาน โดยมากไม่เกิน 2 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหาร
ที่มา http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/allergy/food_know.html
ก่อนหน้านี้เมื่อสงสัยว่าจะแพ้อาหารอะไร แพทย์จะแนะะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้
แต่ต่อมาพบว่าการหลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้ ก่อให้เกิดผลเสีย คือจะมีปฎิกิริยาภูมิแพ้แรงขึ้น
ปัจจุบันแนะนำว่าหากผู้ป่วยพอทนได้ก็ไม่ต้องงดอาหารนั้น
ที่มา http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/allergy/food_diag.html
การวินิจฉัยการแพ้อาหาร
===============
- การทดสอบทางผิวหนัง
บอกอะไรไม่ได้มาก กล่าวคือ หากการทดสอบให้ผลบวกผู้ป่วยอาจจะไม่แพ้ต่ออาหารนั้น
การวินิจฉัยจะต้องร่วมกับประวัติ หากการทดสอบเข้าได้กับประวัติ จะช่วยในการวินิจฉัย
แต่หากการทดสอบผิวหนังให้ผลลบ ก็บอกได้เลยว่าผู้ป่วยรายนั้นไม่แพ้
- การเจาะเลือดหาระดับ IgE ต่อสารอาหาร
หากค่าดังกล่าวสูงก็น่าจะแพ้ต่อสารอาหารนั้น
หากค่าต่ำก็ไม่น่าจะแพ้
แต่ก็มีผู้ป่วยที่ค่า IgE ต่ำแต่แพ้
การตรวจนี้จะทำเมื่อไม่สามารถทดสอบทางผิวหนัง หรือผู้ป่วยได้รับยาแก้แพ้
ที่มา http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/allergy/food_diag.html
- มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวและตัวเองหรือไม่
- มีอาการของโรคภูมิแพ้หรือไม่ เช่น โรคหอบหืด โรคผื่นแพ้ จามหรือคัดจมูก
- ได้รับอาหารบางอย่างแล้วเกิดอาการหรือไม่
- ประวัติเกิดผื่นหลังจากรับประทานอาหารไปกี่ชั่วโมง
- ก่อนออกผื่นกำลังทำอะไรอยู่( เช่นออกกำลังกาย)
- ควรจะมีสมุดจดรายการอาหารที่รับประทานก่อนเกิดผื่น 12 ชั่วโมง
และควรจะจดอาการต่างๆที่เกิดด้วย ท่านจะพบความสัมพันธ์ของอาหารและผื่น
- เมื่อสงสัยว่าเกิดจากอาหารประเภทใดก็ให้หยุดอาหารประเภทนั้นสัก 10-14 วันแล้วสังเกตอาการว่าดีขึ้นหรือไม่
Labels:
raising children
Monday, April 4, 2011
Go to school
- เด็กกลัวการถูกทอดทิ้ง
คิดว่าเราจะเอาเขาไปทิ้งที่โรงเรียน
แก้โดย ให้ความมั่นใจกับเขา ว่าเรารักเขา และจะมารับเขากลับไปเล่นต่อที่บ้านเมื่อเลิกเรียน
- บอกให้ลูกฟังว่า เมื่อเป็นเด็กโต ก็มีหน้าที่ต้องไปโรงเรียน
เหมือนพ่อแม่มีหน้าที่ต้องไปทำงาน
- พาลูกไปดู เด็กๆ เขาเล่นกันที่โรงเรียน
ชี้ให้เขาดูว่า เล่นกันสนุก
(พาไปแต่เนิ่นๆ)
- เล่าให้เขาฟังว่า เราเลือกร.ร.ที่ ครูใจดี ของเล่นเยอะๆ ให้เขา
- บอกเขาว่า ไปรร.เฉพาะวันจันทร์ ถึงศุกร์
พ่อแม่ไปทำงาน ลูกไปเล่นที่โรงเรียน
เสาร์อาทิตย์ ไปเที่ยวกับพ่อแม่
- บอกลูกว่า ไปเล่นที่โรงเรียน เดี๋ยวพ่อแม่มารับ
- ให้ดาว ถ้าไม่ร้องไห้
- ทบทวนให้เขาฟัง ว่าไปเล่นอะไรที่โรงเรียนบ้าง
เช่น ร้องเพลง ฟังนิทาน เล่นบ้านบอล เป็นต้น
- ให้เขาพกขนมไปแจกเพื่อน
- ถามเขาว่า ทำไมไม่อยากมาโรงเรียน
- ให้เขาพกของเล่นไป อวดเพื่อน
- อย่าผ่อนผันเรื่องการไปโรงเรียน
ให้ไปทุกวันไม่ให้ขาด
กับเด็กบางคน ถ้ายอมอ่อนข้อ มีครั้งที่ ๑ ก็มีครั้งที่๒
และจะทวีความต้องการไปเรื่อยๆ
- ตอนเช้า เด็กมักจะลืม
งอแงว่าไม่อยากไปโรงเรียน
พูดเน้นย้ำ ช่วยเขาระลึก หัวข้อต่างๆข้างต้น
- ชวนลูก ถามเด็กคนอื่นว่า เวลาไปโรงเรียนร้องไห้มั้ย
- เปลี่ยนเรื่อง เบนความสนใจ
อาจพิจารณาให้เด็กไปทดลองเรียน หรือเรียนช่วง summer
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาไม่ชอบพฤติกรรมครู หรือเด็กยังไม่พร้อมจะไปรร.
แต่จ่ายค่าเทอมไปหมดแล้ว
คิดว่าเราจะเอาเขาไปทิ้งที่โรงเรียน
แก้โดย ให้ความมั่นใจกับเขา ว่าเรารักเขา และจะมารับเขากลับไปเล่นต่อที่บ้านเมื่อเลิกเรียน
- บอกให้ลูกฟังว่า เมื่อเป็นเด็กโต ก็มีหน้าที่ต้องไปโรงเรียน
เหมือนพ่อแม่มีหน้าที่ต้องไปทำงาน
- พาลูกไปดู เด็กๆ เขาเล่นกันที่โรงเรียน
ชี้ให้เขาดูว่า เล่นกันสนุก
(พาไปแต่เนิ่นๆ)
- เล่าให้เขาฟังว่า เราเลือกร.ร.ที่ ครูใจดี ของเล่นเยอะๆ ให้เขา
- บอกเขาว่า ไปรร.เฉพาะวันจันทร์ ถึงศุกร์
พ่อแม่ไปทำงาน ลูกไปเล่นที่โรงเรียน
เสาร์อาทิตย์ ไปเที่ยวกับพ่อแม่
- บอกลูกว่า ไปเล่นที่โรงเรียน เดี๋ยวพ่อแม่มารับ
- ให้ดาว ถ้าไม่ร้องไห้
- ทบทวนให้เขาฟัง ว่าไปเล่นอะไรที่โรงเรียนบ้าง
เช่น ร้องเพลง ฟังนิทาน เล่นบ้านบอล เป็นต้น
- ให้เขาพกขนมไปแจกเพื่อน
- ถามเขาว่า ทำไมไม่อยากมาโรงเรียน
- ให้เขาพกของเล่นไป อวดเพื่อน
- อย่าผ่อนผันเรื่องการไปโรงเรียน
ให้ไปทุกวันไม่ให้ขาด
กับเด็กบางคน ถ้ายอมอ่อนข้อ มีครั้งที่ ๑ ก็มีครั้งที่๒
และจะทวีความต้องการไปเรื่อยๆ
- ตอนเช้า เด็กมักจะลืม
งอแงว่าไม่อยากไปโรงเรียน
พูดเน้นย้ำ ช่วยเขาระลึก หัวข้อต่างๆข้างต้น
- ชวนลูก ถามเด็กคนอื่นว่า เวลาไปโรงเรียนร้องไห้มั้ย
- เปลี่ยนเรื่อง เบนความสนใจ
อาจพิจารณาให้เด็กไปทดลองเรียน หรือเรียนช่วง summer
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาไม่ชอบพฤติกรรมครู หรือเด็กยังไม่พร้อมจะไปรร.
แต่จ่ายค่าเทอมไปหมดแล้ว
Labels:
raising children
For new moms
ก่อนตั้งครรภ์
- กินโฟลิก
ระหว่างตั้งครรภ์
- ระวังกินหวานจนเป็นเบาหวาน
- เปลี่ยนวิธีการบริโภคไอโอดีน
- conclusion-for-kids
- ชื่อที่จะตั้งให้กับเขา
why-i-named-him-phoenix
ใกล้คลอด
- ขอบริจาคนมแม่ หรือข้อมูลการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ที่ http://www.breastfeedingthai.com/
ในเมื่อคนยอมให้ลูกกินนมจากสัตว์ชนิดอื่นได้ ทำไมถึงจะไม่ให้ลูกกินนมคนด้วยกัน
ในต่างประเทศมี ธนาคารน้ำนม (Milk Bank) อย่างเป็นเรื่องเป็นราว สำหรับรับบริจาคและขอบริจาคน้ำนมแม่
เนื่องจากน้ำนมแม่หรือน้ำนมคนนั้นมีคุณค่าและคุณประโยชน์ที่ดีที่สุดสำหรับทารก
โดยเฉพาะทารกคลอดก่อนกำหนด เจ็บป่วย หรือมีปัญหาทางสุขภาพตั้งแต่แรกคลอด
น้ำนมแม่จะช่วยให้ทารกเหล่านั้นแข็งแรงและเจริญเติบโตได้ดีกว่าสารอาหารทดแทนนมแม่อื่นๆ
(โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ)
คลอดใหม่ๆ
- ถ้าลูกนอนเก่ง ปลุกให้ลูกกินนมด้วย กระตุ้นการผลิตน้ำนม และไม่เกิดภาวะตัวเหลืองในลูก
- ถ้าน้ำนมมาช้า หรือกลัวไม่พอ, problem-of-not-enough-milk
- ลูกขาโก่ง bowlegs.html
- อ่าน "รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว"
- อ่าน และฝึกฝน ตามหนังสือ "วิธีพูดกับลูก โดยไม่ทำร้ายจิตใจของเขา และทำให้เขาร่วมมือยอมทำตามคุณ"
"Between Parent and Child"
- ถ้าต้องซื้อนมผง ซื้อกล่องเล็กมาลองก่อน
เผื่อลูกกินแล้วแพ้
- ลูกเป็นไข้นี่อันตรายถึงชีวิตได้
ถ้าดูแลไม่ดี จากไปอย่างง่ายๆ โดยที่พ่อแม่ไม่ได้ตั้งตัว (ผิดจากโรคอื่นๆ)
- แม้ให้นมบุตรอยู่ คุณแม่ก็ยังมีศักยภาพในการมีลูกคนต่อไปได้
1 ปี
- เตรียมนิทาน (วิธีสอนเด็กที่ยอดเยี่ยมวิธีหนึ่ง)
- เริ่มเลือก รร.อนุบาล บางแห่งสมัครกันก่อนเกือบปี
บางคนบอกว่าควรให้ลูกได้หัดไปอยู่ nursery ตั้งแต่ 2 ขวบ
ให้แกเคยชินที่จะอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่ พอเข้าอนุบาลจะไม่งอแง ไม่อยากไปโรงเรียน
บางคนบอกว่า 3 ปีแรก เป็นช่วงเวลาที่เด็กต้องการความรักจากพ่อแม่อย่างมาก ไม่ควรรีบให้ไปรร.
อาจปรับให้เหมาะสมกับลูก เช่น ให้เด็กไปหัดอยู่ด้วยแค่ 3 ชม.ต่อวัน
ควรเลือกครูทีมีเวลาเอาใจใส่แก่เด็ก
- ของเล่นสาธารณะ ในโรงเรียน หรือแม้แต่ ในโรงพยาบาล หลายแห่ง เป็นแหล่งรวมเชื้อโรค
- When He crys -> เบี่ยงเบนความสนใจ
2 ปี
- respect-your-wife
- repeat-goodness
- delight-your-kids
- when he cry
- ตกลงกันก่อนนะว่า
- อุบายที่ดีที่สุด และได้ผลมากที่สุดในการสอนเด็ก คือ นิทาน
- เด็กไม่กินอาหารบางอย่าง เพราะไม่ชินกับรสชาติ
- ถ้าจะสอนเด็กว่ายน้ำ สอนให้แกรู้จักว่าหายใจเข้า หายใจออกเป็นยังไงก่อน
- แสดงออก + ทำให้ลูกเห็นว่าพ่อแม่เป็นคนรักษาสัญญา
(เวลารักษาสัญญา บอกแกด้วย เด็กๆอาจไม่สนใจสังเกตุ ผู้ใหญ่ต้องคอยย้ำบอก)
เวลาพาลูกไปรร. บอกแกว่าเดี๋ยวมารับ แกจะได้มั่นใจ
ไม่งอแง ว่าจะถูกเอาไปทิ้ง
3 ปี ขึ้นไป
http://www.maedek.net/ เป็นแหล่งข้อมูลดีๆ ที่รวบรวมประสพการณ์ คำถาม คำตอบ ดีๆไว้มากมาย
http://familydoctor.org/
- กินโฟลิก
ระหว่างตั้งครรภ์
- ระวังกินหวานจนเป็นเบาหวาน
- เปลี่ยนวิธีการบริโภคไอโอดีน
- conclusion-for-kids
- ชื่อที่จะตั้งให้กับเขา
why-i-named-him-phoenix
ใกล้คลอด
- ขอบริจาคนมแม่ หรือข้อมูลการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ที่ http://www.breastfeedingthai.com/
ในเมื่อคนยอมให้ลูกกินนมจากสัตว์ชนิดอื่นได้ ทำไมถึงจะไม่ให้ลูกกินนมคนด้วยกัน
ในต่างประเทศมี ธนาคารน้ำนม (Milk Bank) อย่างเป็นเรื่องเป็นราว สำหรับรับบริจาคและขอบริจาคน้ำนมแม่
เนื่องจากน้ำนมแม่หรือน้ำนมคนนั้นมีคุณค่าและคุณประโยชน์ที่ดีที่สุดสำหรับทารก
โดยเฉพาะทารกคลอดก่อนกำหนด เจ็บป่วย หรือมีปัญหาทางสุขภาพตั้งแต่แรกคลอด
น้ำนมแม่จะช่วยให้ทารกเหล่านั้นแข็งแรงและเจริญเติบโตได้ดีกว่าสารอาหารทดแทนนมแม่อื่นๆ
(โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ)
คลอดใหม่ๆ
- ถ้าลูกนอนเก่ง ปลุกให้ลูกกินนมด้วย กระตุ้นการผลิตน้ำนม และไม่เกิดภาวะตัวเหลืองในลูก
- ถ้าน้ำนมมาช้า หรือกลัวไม่พอ, problem-of-not-enough-milk
- ลูกขาโก่ง bowlegs.html
- อ่าน "รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว"
- อ่าน และฝึกฝน ตามหนังสือ "วิธีพูดกับลูก โดยไม่ทำร้ายจิตใจของเขา และทำให้เขาร่วมมือยอมทำตามคุณ"
"Between Parent and Child"
- ถ้าต้องซื้อนมผง ซื้อกล่องเล็กมาลองก่อน
เผื่อลูกกินแล้วแพ้
- ลูกเป็นไข้นี่อันตรายถึงชีวิตได้
ถ้าดูแลไม่ดี จากไปอย่างง่ายๆ โดยที่พ่อแม่ไม่ได้ตั้งตัว (ผิดจากโรคอื่นๆ)
- แม้ให้นมบุตรอยู่ คุณแม่ก็ยังมีศักยภาพในการมีลูกคนต่อไปได้
1 ปี
- เตรียมนิทาน (วิธีสอนเด็กที่ยอดเยี่ยมวิธีหนึ่ง)
- เริ่มเลือก รร.อนุบาล บางแห่งสมัครกันก่อนเกือบปี
บางคนบอกว่าควรให้ลูกได้หัดไปอยู่ nursery ตั้งแต่ 2 ขวบ
ให้แกเคยชินที่จะอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่ พอเข้าอนุบาลจะไม่งอแง ไม่อยากไปโรงเรียน
บางคนบอกว่า 3 ปีแรก เป็นช่วงเวลาที่เด็กต้องการความรักจากพ่อแม่อย่างมาก ไม่ควรรีบให้ไปรร.
อาจปรับให้เหมาะสมกับลูก เช่น ให้เด็กไปหัดอยู่ด้วยแค่ 3 ชม.ต่อวัน
ควรเลือกครูทีมีเวลาเอาใจใส่แก่เด็ก
- ของเล่นสาธารณะ ในโรงเรียน หรือแม้แต่ ในโรงพยาบาล หลายแห่ง เป็นแหล่งรวมเชื้อโรค
- When He crys -> เบี่ยงเบนความสนใจ
2 ปี
- respect-your-wife
- repeat-goodness
- delight-your-kids
- when he cry
- ตกลงกันก่อนนะว่า
- อุบายที่ดีที่สุด และได้ผลมากที่สุดในการสอนเด็ก คือ นิทาน
- เด็กไม่กินอาหารบางอย่าง เพราะไม่ชินกับรสชาติ
- ถ้าจะสอนเด็กว่ายน้ำ สอนให้แกรู้จักว่าหายใจเข้า หายใจออกเป็นยังไงก่อน
- แสดงออก + ทำให้ลูกเห็นว่าพ่อแม่เป็นคนรักษาสัญญา
(เวลารักษาสัญญา บอกแกด้วย เด็กๆอาจไม่สนใจสังเกตุ ผู้ใหญ่ต้องคอยย้ำบอก)
เวลาพาลูกไปรร. บอกแกว่าเดี๋ยวมารับ แกจะได้มั่นใจ
ไม่งอแง ว่าจะถูกเอาไปทิ้ง
3 ปี ขึ้นไป
http://www.maedek.net/ เป็นแหล่งข้อมูลดีๆ ที่รวบรวมประสพการณ์ คำถาม คำตอบ ดีๆไว้มากมาย
http://familydoctor.org/
Labels:
raising children
Tuesday, March 29, 2011
Breakers
ระบบไฟฟ้า 1 เฟส
==========
คือ ระบบไฟฟ้าที่จ่ายมา 2 เส้น
ประกอบด้วยสายเส้นที่มีไฟหนึ่งเส้น เรียกว่า สายเส้นเฟส หรือเส้นไฟ (เขียนแทนตัวอักษรย่อว่า L หรือ P)
และอีกเส้นที่เหลือไม่มีไฟเรียกว่า สายนิวทรัล (Neutral) หรือสายศูนย์ (เขียนแทนด้วยอักษรย่อว่า N หรือเลขศูนย์ )
เซอร์กิตเบรกเกอร์(แบบทั่วไป)
===============
หมายถึง อุปกรณ์ที่ทำงาน เปิดและปิดวงจรไฟฟ้า แบบไม่อัตโนมัติ
แต่สามารถเปิดวงจรได้อัตโนมัติ ถ้ามีกระแส ไหลผ่าน เกินกว่าค่าที่กำหนด (ดังนั้น รวมถึงลัดวงจรด้วย)
ใช้ป้องกันความเสียหายต่ออุปกรณ์ที่ต่อเข้ากับระบบ
ซึ่งโดยกลไกการทำงานของมันแล้ว จะไม่มีตัวป้องกันไฟดูด หรือกระแสไฟฟ้ารั่ว
แบ่งออกได้หลายชนิด ได้แก่ MCCB, MCB เป็นต้น
พิกัดกระแสของ circuit breaker ที่ควรรู้จักมี
- Ampere Trip (AT)
บอกให้รู้ว่าสามารถทนกระแสใช้งานในภาวะปกติได้สูงสุดเท่าใด
มักแสดงค่าไว้ที่ name plate หรือด้ามโยกของเบรคเกอร์
- Ampere Frame (AF)
มีประโยชน์คือ สามารถเปลี่ยนพิกัด Ampere Trip ได้
- Interrupting Capacity (IC)
พิกัดการทนกระแสลัดวงจรสูงสุดโดยปลอดภัยของเบรคเกอร์นั้นๆ
โดยปกติกำหนดค่าการทนกระแสเป็น KA.
MCCB
====
Mold case circuit breaker โมลเคสเซอร์กิตเบรกเกอร์
หมายถึง breaker ที่ถูกห่อหุ้มมิดชิด โดย mold 2 ส่วน
แบบ Thermal
----------
มีกระแสเกินไหลผ่านโลหะ bimetal (เป็นโลหะ 2 ชนิด ที่มีสัมประสิทธิ์ ทางความร้อน ไม่เท่ากัน) จะทำให้ bimetal โก่งตัว ไปปลดอุปกรณ์ทางกล และทำให้ CB. ตัดวงจร
แบบ Magnetic
-----------
กระแสจำนวนมาก จะทำให้เกิด สนามแม่เหล็กความเข้มสูง ดึงให้อุปกรณ์ ปลดวงจรทำงาน
RCCB
====
Residual Current Circuit Breaker (without Overcurrent Protection)
วัตถุประสงค์หลัก
--------
ป้องกันภัยจากการโดนไฟดูด
ไม่มีกลไกที่ใช้ตัดวงจรเมื่อเกิดกระแสเกิน
หลักการทำงาน
-------
จะทำงานโดยอาศัยหลักการสร้างความสมดุลให้กระแสไหลเข้า กับกระแสไหลออก
คือกระแสไฟฟ้าสาย L ควรมีค่าเท่ากับสาย N ซึ่งเป็นสภาพการใช้งานปกติ
และในสภาพเช่นนี้จะทำให้ค่าสนามแม่เหล็กหักร้างกันเท่ากับศูนย์
ในกรณีที่เกิดกระแสไฟรั่วและดูดคนเข้า กระแสส่วนหนึ่งจะไหลผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้า ไปยังผู้สัมผัส และลงดิน
ซึ่งทำให้ค่าของกระแสระหว่าง L กับ N นั้นมีค่าต่างกัน จนทำให้มีสนามแม่เหล็กเกิดขึ้น
ชิ้นส่วนหลัก
------
สำหรับ RCCB นั้นก็จะประกอบด้วยชิ้นส่วนหลัก 2 ตัวคือ
แกนเหล็กที่ถูกพันไว้ด้วยสาย L และ สาย N
โดยเชื่อมต่อเข้ากับชุดตัดระบบไฟซึ่งทำหน้าที่ในการขยายสัญญาณวงจรจากสนาม แม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดขึ้นบริเวณแกนเหล็ก ไปยังสวิทช์อัตโนมัติและที่ทำหน้าที่ตัดวงจรไฟฟ้าที่ผิดปกตินี้ อย่างรวดเร็ว
การใช้งาน
-----
ติดตั้งร่วมกับสวิทช์ตัดวงจรกระแสเกิน หรือ MCB
ควรที่จะต่อตู้ควบคุมวงจรไฟฟ้านี้เข้ากับระบบกราวด์ หรือสายดิน เพื่อที่จะช่วยให้ผู้ใช้อุปกรณ์มีความปลอดภัยมากขึ้นด้วย
RCBO
====
Residual Current Circuit Breaker with Overcurrent Protection
ทำหน้าที่ได้ทั้ง ในการป้องกันภัยเครื่องใช้ไฟฟ้า กรณีเกิดกระแสเกิน
และปกป้องชีวิตมนุษย์ กรณีเกิดไฟฟ้ารั่วอยู่ในตัวเดียวกัน
โดยจะเป็นการรวมเอากลไกตัดวงจรไฟฟ้าอัตโนมัติของ MCB และ RCCB เข้าไว้ด้วยกันนั่นเอง
หลักการ
-----
เอาสายไฟ L-N ผ่านตัวหม้อแปลงกระแสหรือตัว CT
แล้วเอาสายที่ออกจาก CT ไปเข้าชุดขยายสัญญาณ
จะเอาความไวเท่าไหร่ อยู่ที่ชุดขยายสัญญาณ
แล้วเอาชุดขยายสัญญาณ ไปต่อกับคันชักให้เมนเบรกเกอร์ตัดวงจร
(ปุ่มทริป ก็คือการช็อต L-N โดยผ่านตัวต้านทาน 1 ตัว)
ในเวลาที่ใช้ไฟสภาวะปกติ (ไม่มีไฟรั่วออกนอกระบบ)
กระแสไฟระหว่างสายไฟ L-N เท่ากัน จะหักล้างกันเป็นศูนย์
แต่เมื่อมีไฟรั่ว จะเกิดความแตกต่างในระหว่าง2สาย
ตัว CT จะตรวจจับกระแสส่วนที่หายออกไป แล้วส่งไปสู่วงจรขยาย
หากไฟรั่วตามค่าความไวที่ตั้งไว้ คันชักก็จะดึง เมนเบรกเกอร์ เบรกเกอร์ก็ตัดไฟ
ELCB (EARTH LEAKAGE CIRCUIT BREAKER)
=====================================
แปลออกมาตรงๆ ก็จะได้เป็นคำ ประมาณว่า "อุปกรณ์ปลดวงจรเมื่อมีการรั่วลงดิน"
เป็นอุปกรณ์ป้องกันไฟดูด(กันดูด)ตระกูลหนึ่ง
มีรูปร่างหน้าตาภายนอก คล้ายคลึงกันกับ เซฟตี้เบรกเกอร์ ที่เรานิยมใช้เป็นเบรกเกอร์เปิด-ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า จำพวกแอร์หรือเครื่องทำน้ำอุ่น
ประโยชน์
-----
สามารถปลดวงจร ในกรณี ไฟฟ้าลัดวงจร หรือ มีกระแสไฟฟ้ารั่วลงดินได้
(ตามค่า sensitive ที่เครื่องจะตรวจจับได้)
ข้อด้อย
-----
ปลดวงจรในกรณีมีการใช้กระแสไฟเกินพิกัดไม่ได้ (จึงจำเป็นต้องมีการใช้ควบคู่กับฟิวส์ด้วย)
มีค่า IC (ค่าทนกระแสลัดวงจร) ประมาณ 1.5 - 2 kA.
(ถ้าเป็น RCBO จะมีค่า IC ประมาณ 5 - 10 kA)
การใช้งาน
------
การนำเอา ELCB มาเป็นเครื่องปลดวงจรในส่วนของเมนสวิตช์ ดูไม่เหมาะสมต่อการใช้งาน
แต่ ข้อดีที่ราคาถูก จึงดูเหมาะสมที่จะนำมาป้องกันในส่วน เฉพาะอุปกรณ์ อย่างเช่น เครื่องทำน้ำอุ่น
ELCB ปัจจุบัน ในบ้านเรา ที่เห็นวางขายกันทั่วไป ผมขอยกตัวอย่างมา2ยี่ห้อ ที่เห็นวางขายกันแพร่หลายมากที่สุดในบ้านเรา
นั่นก็คือ ELCB ของ Haco และของ Kyokuto ราคาค่าตัวอยู่ที่ประมาณ 300 กว่าบาท แตกต่างกันแล้วแต่ร้านผู้จำหน่าย
ผู้ผลิตบางราย ผลิตเครื่องป้องกันไฟดูด ที่ป้องกันได้ทั้ง ไฟดูด-ไฟรั่ว ไฟลัดวงจร และการใช้กระแสไฟเกินพิกัด แต่ใช้คำเรียก
สินค้าตัวนั้นว่า ELCB อาจจะสร้างความสับสนไปบ้าง แต่เมื่อมาดูที่ค่า IC จะพบว่ามันทนทานต่อกระแสลัดวงจรได้เพียงไม่มาก
เพิ่มเติม เกี่ยวกับ ELCB:
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=kanichikoong&month=10-12-2008&group=17&gblog=3
Saft-T-Cut กับ RCBO
=================
RCBO ทั่วไป ที่มีค่า sensitive การตรวจจับกระแสไฟที่รั่วลงดิน แบบตายตัว (ระดับมาตรฐาน)
Saft-t-cut คือ RCBO ที่มีปุ่มปรับตั้งค่า sensitive ได้หลายค่า
วงจรภายใน Safe-T-Cut
- ลูกเซอร์กิตเบรกเกอร์ 3ขั้ว
- วงจรขยายสัญญาณ
- ชุดปรับค่าขยายสัญญาณ(ปรับความไว)
- ตัวแกนที่ทำหน้าที่ชักกลไกลเมนเบรกเกอร์ให้ปลดวงจร
- คอยล์แบบ CT ไว้ตรวจจับกระแสไฟในกรณีที่ไหลกลับมาไม่เท่ากัน
- ตัวต้านทานกับปุ่มช็อต ที่เอาไว้เทสกลไกลของตัวมันเอง
ตัวอย่าง การติดตั้งระบบไฟฟ้าภายในบ้าน
ต่อสายดินเข้ากับสายเส้นศูนย์ (นิวทรัล) ที่ตู้เมนสวิตช์ ทำไม?
----------------------------------------------------------------
เพื่อให้ระบบสายดินทำงานได้อย่างสมบูรณ์
ทำให้กระแสลัดวงจรที่ไหลลงสายดิน สามารถไหลย้อนกลับไปหม้อแปลงของการไฟฟ้าฯทางสายเส้นศูนย์ได้อีกทางหนึ่ง
(ไหลได้สะดวกกว่าการไหลลงดินเส้นทางเดียว)
ทำให้กระแสลัดวงจรมีค่าสูง และเครื่องตัดกระแสลัดวงจร (เบรกเกอร์หรือฟิวส์) สามารถตัดไฟออกได้อย่างรวดเร็ว
ที่มา:
http://www.havells-sylvania.co.th/lightingtip_qa.php?id=22
http://topicstock.pantip.com/home/topicstock/2009/11/R8595040/R8595040.html
==========
คือ ระบบไฟฟ้าที่จ่ายมา 2 เส้น
ประกอบด้วยสายเส้นที่มีไฟหนึ่งเส้น เรียกว่า สายเส้นเฟส หรือเส้นไฟ (เขียนแทนตัวอักษรย่อว่า L หรือ P)
และอีกเส้นที่เหลือไม่มีไฟเรียกว่า สายนิวทรัล (Neutral) หรือสายศูนย์ (เขียนแทนด้วยอักษรย่อว่า N หรือเลขศูนย์ )
เซอร์กิตเบรกเกอร์(แบบทั่วไป)
===============
หมายถึง อุปกรณ์ที่ทำงาน เปิดและปิดวงจรไฟฟ้า แบบไม่อัตโนมัติ
แต่สามารถเปิดวงจรได้อัตโนมัติ ถ้ามีกระแส ไหลผ่าน เกินกว่าค่าที่กำหนด (ดังนั้น รวมถึงลัดวงจรด้วย)
ใช้ป้องกันความเสียหายต่ออุปกรณ์ที่ต่อเข้ากับระบบ
ซึ่งโดยกลไกการทำงานของมันแล้ว จะไม่มีตัวป้องกันไฟดูด หรือกระแสไฟฟ้ารั่ว
แบ่งออกได้หลายชนิด ได้แก่ MCCB, MCB เป็นต้น
พิกัดกระแสของ circuit breaker ที่ควรรู้จักมี
- Ampere Trip (AT)
บอกให้รู้ว่าสามารถทนกระแสใช้งานในภาวะปกติได้สูงสุดเท่าใด
มักแสดงค่าไว้ที่ name plate หรือด้ามโยกของเบรคเกอร์
- Ampere Frame (AF)
มีประโยชน์คือ สามารถเปลี่ยนพิกัด Ampere Trip ได้
- Interrupting Capacity (IC)
พิกัดการทนกระแสลัดวงจรสูงสุดโดยปลอดภัยของเบรคเกอร์นั้นๆ
โดยปกติกำหนดค่าการทนกระแสเป็น KA.
MCCB
====
Mold case circuit breaker โมลเคสเซอร์กิตเบรกเกอร์
หมายถึง breaker ที่ถูกห่อหุ้มมิดชิด โดย mold 2 ส่วน
แบบ Thermal
----------
มีกระแสเกินไหลผ่านโลหะ bimetal (เป็นโลหะ 2 ชนิด ที่มีสัมประสิทธิ์ ทางความร้อน ไม่เท่ากัน) จะทำให้ bimetal โก่งตัว ไปปลดอุปกรณ์ทางกล และทำให้ CB. ตัดวงจร
แบบ Magnetic
-----------
กระแสจำนวนมาก จะทำให้เกิด สนามแม่เหล็กความเข้มสูง ดึงให้อุปกรณ์ ปลดวงจรทำงาน
RCCB
====
Residual Current Circuit Breaker (without Overcurrent Protection)
วัตถุประสงค์หลัก
--------
ป้องกันภัยจากการโดนไฟดูด
ไม่มีกลไกที่ใช้ตัดวงจรเมื่อเกิดกระแสเกิน
หลักการทำงาน
-------
จะทำงานโดยอาศัยหลักการสร้างความสมดุลให้กระแสไหลเข้า กับกระแสไหลออก
คือกระแสไฟฟ้าสาย L ควรมีค่าเท่ากับสาย N ซึ่งเป็นสภาพการใช้งานปกติ
และในสภาพเช่นนี้จะทำให้ค่าสนามแม่เหล็กหักร้างกันเท่ากับศูนย์
ในกรณีที่เกิดกระแสไฟรั่วและดูดคนเข้า กระแสส่วนหนึ่งจะไหลผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้า ไปยังผู้สัมผัส และลงดิน
ซึ่งทำให้ค่าของกระแสระหว่าง L กับ N นั้นมีค่าต่างกัน จนทำให้มีสนามแม่เหล็กเกิดขึ้น
ชิ้นส่วนหลัก
------
สำหรับ RCCB นั้นก็จะประกอบด้วยชิ้นส่วนหลัก 2 ตัวคือ
แกนเหล็กที่ถูกพันไว้ด้วยสาย L และ สาย N
โดยเชื่อมต่อเข้ากับชุดตัดระบบไฟซึ่งทำหน้าที่ในการขยายสัญญาณวงจรจากสนาม แม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดขึ้นบริเวณแกนเหล็ก ไปยังสวิทช์อัตโนมัติและที่ทำหน้าที่ตัดวงจรไฟฟ้าที่ผิดปกตินี้ อย่างรวดเร็ว
การใช้งาน
-----
ติดตั้งร่วมกับสวิทช์ตัดวงจรกระแสเกิน หรือ MCB
ควรที่จะต่อตู้ควบคุมวงจรไฟฟ้านี้เข้ากับระบบกราวด์ หรือสายดิน เพื่อที่จะช่วยให้ผู้ใช้อุปกรณ์มีความปลอดภัยมากขึ้นด้วย
RCBO
====
Residual Current Circuit Breaker with Overcurrent Protection
ทำหน้าที่ได้ทั้ง ในการป้องกันภัยเครื่องใช้ไฟฟ้า กรณีเกิดกระแสเกิน
และปกป้องชีวิตมนุษย์ กรณีเกิดไฟฟ้ารั่วอยู่ในตัวเดียวกัน
โดยจะเป็นการรวมเอากลไกตัดวงจรไฟฟ้าอัตโนมัติของ MCB และ RCCB เข้าไว้ด้วยกันนั่นเอง
หลักการ
-----
เอาสายไฟ L-N ผ่านตัวหม้อแปลงกระแสหรือตัว CT
แล้วเอาสายที่ออกจาก CT ไปเข้าชุดขยายสัญญาณ
จะเอาความไวเท่าไหร่ อยู่ที่ชุดขยายสัญญาณ
แล้วเอาชุดขยายสัญญาณ ไปต่อกับคันชักให้เมนเบรกเกอร์ตัดวงจร
(ปุ่มทริป ก็คือการช็อต L-N โดยผ่านตัวต้านทาน 1 ตัว)
ในเวลาที่ใช้ไฟสภาวะปกติ (ไม่มีไฟรั่วออกนอกระบบ)
กระแสไฟระหว่างสายไฟ L-N เท่ากัน จะหักล้างกันเป็นศูนย์
แต่เมื่อมีไฟรั่ว จะเกิดความแตกต่างในระหว่าง2สาย
ตัว CT จะตรวจจับกระแสส่วนที่หายออกไป แล้วส่งไปสู่วงจรขยาย
หากไฟรั่วตามค่าความไวที่ตั้งไว้ คันชักก็จะดึง เมนเบรกเกอร์ เบรกเกอร์ก็ตัดไฟ
ELCB (EARTH LEAKAGE CIRCUIT BREAKER)
=====================================
แปลออกมาตรงๆ ก็จะได้เป็นคำ ประมาณว่า "อุปกรณ์ปลดวงจรเมื่อมีการรั่วลงดิน"
เป็นอุปกรณ์ป้องกันไฟดูด(กันดูด)ตระกูลหนึ่ง
มีรูปร่างหน้าตาภายนอก คล้ายคลึงกันกับ เซฟตี้เบรกเกอร์ ที่เรานิยมใช้เป็นเบรกเกอร์เปิด-ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า จำพวกแอร์หรือเครื่องทำน้ำอุ่น
ประโยชน์
-----
สามารถปลดวงจร ในกรณี ไฟฟ้าลัดวงจร หรือ มีกระแสไฟฟ้ารั่วลงดินได้
(ตามค่า sensitive ที่เครื่องจะตรวจจับได้)
ข้อด้อย
-----
ปลดวงจรในกรณีมีการใช้กระแสไฟเกินพิกัดไม่ได้ (จึงจำเป็นต้องมีการใช้ควบคู่กับฟิวส์ด้วย)
มีค่า IC (ค่าทนกระแสลัดวงจร) ประมาณ 1.5 - 2 kA.
(ถ้าเป็น RCBO จะมีค่า IC ประมาณ 5 - 10 kA)
การใช้งาน
------
การนำเอา ELCB มาเป็นเครื่องปลดวงจรในส่วนของเมนสวิตช์ ดูไม่เหมาะสมต่อการใช้งาน
แต่ ข้อดีที่ราคาถูก จึงดูเหมาะสมที่จะนำมาป้องกันในส่วน เฉพาะอุปกรณ์ อย่างเช่น เครื่องทำน้ำอุ่น
ELCB ปัจจุบัน ในบ้านเรา ที่เห็นวางขายกันทั่วไป ผมขอยกตัวอย่างมา2ยี่ห้อ ที่เห็นวางขายกันแพร่หลายมากที่สุดในบ้านเรา
นั่นก็คือ ELCB ของ Haco และของ Kyokuto ราคาค่าตัวอยู่ที่ประมาณ 300 กว่าบาท แตกต่างกันแล้วแต่ร้านผู้จำหน่าย
ผู้ผลิตบางราย ผลิตเครื่องป้องกันไฟดูด ที่ป้องกันได้ทั้ง ไฟดูด-ไฟรั่ว ไฟลัดวงจร และการใช้กระแสไฟเกินพิกัด แต่ใช้คำเรียก
สินค้าตัวนั้นว่า ELCB อาจจะสร้างความสับสนไปบ้าง แต่เมื่อมาดูที่ค่า IC จะพบว่ามันทนทานต่อกระแสลัดวงจรได้เพียงไม่มาก
เพิ่มเติม เกี่ยวกับ ELCB:
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=kanichikoong&month=10-12-2008&group=17&gblog=3
Saft-T-Cut กับ RCBO
=================
RCBO ทั่วไป ที่มีค่า sensitive การตรวจจับกระแสไฟที่รั่วลงดิน แบบตายตัว (ระดับมาตรฐาน)
Saft-t-cut คือ RCBO ที่มีปุ่มปรับตั้งค่า sensitive ได้หลายค่า
วงจรภายใน Safe-T-Cut
- ลูกเซอร์กิตเบรกเกอร์ 3ขั้ว
- วงจรขยายสัญญาณ
- ชุดปรับค่าขยายสัญญาณ(ปรับความไว)
- ตัวแกนที่ทำหน้าที่ชักกลไกลเมนเบรกเกอร์ให้ปลดวงจร
- คอยล์แบบ CT ไว้ตรวจจับกระแสไฟในกรณีที่ไหลกลับมาไม่เท่ากัน
- ตัวต้านทานกับปุ่มช็อต ที่เอาไว้เทสกลไกลของตัวมันเอง
ตัวอย่าง การติดตั้งระบบไฟฟ้าภายในบ้าน
ต่อสายดินเข้ากับสายเส้นศูนย์ (นิวทรัล) ที่ตู้เมนสวิตช์ ทำไม?
----------------------------------------------------------------
เพื่อให้ระบบสายดินทำงานได้อย่างสมบูรณ์
ทำให้กระแสลัดวงจรที่ไหลลงสายดิน สามารถไหลย้อนกลับไปหม้อแปลงของการไฟฟ้าฯทางสายเส้นศูนย์ได้อีกทางหนึ่ง
(ไหลได้สะดวกกว่าการไหลลงดินเส้นทางเดียว)
ทำให้กระแสลัดวงจรมีค่าสูง และเครื่องตัดกระแสลัดวงจร (เบรกเกอร์หรือฟิวส์) สามารถตัดไฟออกได้อย่างรวดเร็ว
ที่มา:
http://www.havells-sylvania.co.th/lightingtip_qa.php?id=22
http://topicstock.pantip.com/home/topicstock/2009/11/R8595040/R8595040.html
neutral wire
ระบบไฟฟ้า 1 เฟส
==========
คือ ระบบไฟฟ้าที่จ่ายมา 2 เส้น
ประกอบด้วยสายเส้นที่มีไฟหนึ่งเส้น เรียกว่า สายเส้นเฟส หรือเส้นไฟ (เขียนแทนตัวอักษรย่อว่า L หรือ P)
และอีกเส้นที่เหลือไม่มีไฟเรียกว่า สายนิวทรัล (Neutral) หรือสายศูนย์ (เขียนแทนด้วยอักษรย่อว่า N หรือเลขศูนย์ )
ไฟฟ้าที่จ่ายในบ้านที่อยู่อาศัยจะวัดแรงดันไฟฟ้าระหว่างสาย L และ N ได้ค่าประมาณ 220 โวลต์
สาย Neutral มีกระแสไฟฟ้าไหลมั้ย?
======================
มี แน่ๆเลย
เครื่องตัดไฟรั่ว จะตรวจดูไฟที่ไหลเข้า และไหลออกจากเครื่องใช้ไฟฟ้า ว่ามีค่าเท่ากันมั้ย
เอากระแสไฟฟ้ามาจากไหน?
==============
ก็จากไฟที่ไหลเข้านั่นไง
เปรียบ load อุปกรณ์เป็น R ตัวใหญ่ๆสักตัวนึง
เอาขามาจิ้มเข้ากับทั้ง 2 สาย
สาย Neutral ดูดมั้ย?
==============
แต่ไม่ดูด
ตราบใดที่ ความต้านทานในตัวคนเรานั้นมีค่าสูงกว่าค่าความต้านทานของสายไฟที่เรานำมาต่อ
เราโดนไฟดูด เพราะ ไฟฟ้าใช้ร่างกายเป็น ทางผ่านของกระแสไฟฟ้าลงดิน
ทำไมไฟฟ้าชอบไหลลงดิน?
=============
ธรรมชาติ ของไฟฟ้า
ไฟฟ้านั้นมีโอกาสผ่านลงดินได้ จะไหลลงดินทันที
(โลกเปรียบ เสมือนมี ความต้านทานเป็น ศูนย์ )
ระบบการจำหน่ายไฟฟ้า (ทั้งทางด้าน แรงดันไฟฟ้าสูงและแรงดันไฟฟ้าต่ำ )จะมีการต่อ วงจรส่วนหนึ่งลงดินไว้
ไฟฟ้าจึงพยายามจะไหลลงดินเพื่อให้ครบวงจรกับดิน
ที่มา http://www.npc-se.co.th/news_safety/npcse_01safety.asp?news_id=1549
ถ้าเสียบเฉพาะ สายเส้นเฟส แล้วอีกเส้นต่อลงดิน จะทำงานได้มั้ย?
===============================
มีคนบอกว่าได้
แต่ถ้าติดตั้งเครื่องป้องกันไฟรั่วไว้ เครื่องจะ Trip ตัดไฟออกจากระบบ
==========
คือ ระบบไฟฟ้าที่จ่ายมา 2 เส้น
ประกอบด้วยสายเส้นที่มีไฟหนึ่งเส้น เรียกว่า สายเส้นเฟส หรือเส้นไฟ (เขียนแทนตัวอักษรย่อว่า L หรือ P)
และอีกเส้นที่เหลือไม่มีไฟเรียกว่า สายนิวทรัล (Neutral) หรือสายศูนย์ (เขียนแทนด้วยอักษรย่อว่า N หรือเลขศูนย์ )
ไฟฟ้าที่จ่ายในบ้านที่อยู่อาศัยจะวัดแรงดันไฟฟ้าระหว่างสาย L และ N ได้ค่าประมาณ 220 โวลต์
สาย Neutral มีกระแสไฟฟ้าไหลมั้ย?
======================
มี แน่ๆเลย
เครื่องตัดไฟรั่ว จะตรวจดูไฟที่ไหลเข้า และไหลออกจากเครื่องใช้ไฟฟ้า ว่ามีค่าเท่ากันมั้ย
เอากระแสไฟฟ้ามาจากไหน?
==============
ก็จากไฟที่ไหลเข้านั่นไง
เปรียบ load อุปกรณ์เป็น R ตัวใหญ่ๆสักตัวนึง
เอาขามาจิ้มเข้ากับทั้ง 2 สาย
สาย Neutral ดูดมั้ย?
==============
แต่ไม่ดูด
ตราบใดที่ ความต้านทานในตัวคนเรานั้นมีค่าสูงกว่าค่าความต้านทานของสายไฟที่เรานำมาต่อ
เราโดนไฟดูด เพราะ ไฟฟ้าใช้ร่างกายเป็น ทางผ่านของกระแสไฟฟ้าลงดิน
ทำไมไฟฟ้าชอบไหลลงดิน?
=============
ธรรมชาติ ของไฟฟ้า
ไฟฟ้านั้นมีโอกาสผ่านลงดินได้ จะไหลลงดินทันที
(โลกเปรียบ เสมือนมี ความต้านทานเป็น ศูนย์ )
ระบบการจำหน่ายไฟฟ้า (ทั้งทางด้าน แรงดันไฟฟ้าสูงและแรงดันไฟฟ้าต่ำ )จะมีการต่อ วงจรส่วนหนึ่งลงดินไว้
ไฟฟ้าจึงพยายามจะไหลลงดินเพื่อให้ครบวงจรกับดิน
ที่มา http://www.npc-se.co.th/news_safety/npcse_01safety.asp?news_id=1549
ถ้าเสียบเฉพาะ สายเส้นเฟส แล้วอีกเส้นต่อลงดิน จะทำงานได้มั้ย?
===============================
มีคนบอกว่าได้
แต่ถ้าติดตั้งเครื่องป้องกันไฟรั่วไว้ เครื่องจะ Trip ตัดไฟออกจากระบบ
Friday, March 18, 2011
ชีวิตการเรียน
รากฐานของตึกคืออิฐ รากฐานของชีวิตคือการศึกษา
วัยเรียนรู้ ทำหน้าที่อย่างรับผิดชอบ รักที่จะเรียน และเรียนด้วยใจรัก
เก็บเกี่ยวความรู้ให้แม่นยำ มีหลักวิชาการ และทักษะการงาน และทักษะด้านสังคม
วัยเรียนรู้ ทำหน้าที่อย่างรับผิดชอบ รักที่จะเรียน และเรียนด้วยใจรัก
เก็บเกี่ยวความรู้ให้แม่นยำ มีหลักวิชาการ และทักษะการงาน และทักษะด้านสังคม
Labels:
Bedtime Story
Sunday, March 13, 2011
Think Global, Act Local
คิดแบบสากล ประพฤติตนเหมาะสมกับสถานที่
ประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ
ถ้าคิดกันแบบสากล "นามมงคล เลขศาสตร์ พยัญชนะมงคล,อัปมงคล" เชื่อถือได้หรอ?
ในเมื่อมันไม่ครอบคลุมภาษาอื่น !!
ถ้าชื่อ "ฟีนิกซ์" ไม่เป็นมงคล แล้วเขียนเป็น Phoenix หละ จะมงคลมั้ย ??
แล้วชื่อของคนรัสเซีย หรือนอร์เวย์หละ มีศาสตร์อย่างเดียวกันหรือเปล่า ???
การอยู่ไฟ ที่คนไทยเชื่อกันนักหนา
แต่ หมอบัลเลย์ ตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๓
พยายามเขียนไว้ใน "คัมภีร์ครรภ์รักษา" ให้คนไทยเลิก
เพราะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มารดาหลังคลอดเสียชีวิต
(และน่าจะเพราะว่า ไม่เคยเจอว่ามีที่อื่นในโลกเขาทำกัน)
เราควรเชื่อธรรมเนียมนี้แค่ไหน?
อ้างอิง http://valuablebook.tkpark.or.th/image/BL/bl.html
เพิ่มเติม http://siripong-blog.blogspot.com/2008/09/lie-by-fire-after-childbirth.html
ประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ
ถ้าคิดกันแบบสากล "นามมงคล เลขศาสตร์ พยัญชนะมงคล,อัปมงคล" เชื่อถือได้หรอ?
ในเมื่อมันไม่ครอบคลุมภาษาอื่น !!
ถ้าชื่อ "ฟีนิกซ์" ไม่เป็นมงคล แล้วเขียนเป็น Phoenix หละ จะมงคลมั้ย ??
แล้วชื่อของคนรัสเซีย หรือนอร์เวย์หละ มีศาสตร์อย่างเดียวกันหรือเปล่า ???
การอยู่ไฟ ที่คนไทยเชื่อกันนักหนา
แต่ หมอบัลเลย์ ตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๓
พยายามเขียนไว้ใน "คัมภีร์ครรภ์รักษา" ให้คนไทยเลิก
เพราะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มารดาหลังคลอดเสียชีวิต
(และน่าจะเพราะว่า ไม่เคยเจอว่ามีที่อื่นในโลกเขาทำกัน)
เราควรเชื่อธรรมเนียมนี้แค่ไหน?
อ้างอิง http://valuablebook.tkpark.or.th/image/BL/bl.html
เพิ่มเติม http://siripong-blog.blogspot.com/2008/09/lie-by-fire-after-childbirth.html
Labels:
detailed consideration,
อยู่ไฟ
repeat goodness
ฟีนิกซ์กัดเคลียร์ เนื่องจากขึ้นมานั่งจักรยานคันใหม่โดยไม่ได้ขออนุญาต
ระหว่างที่คุยกับฟีนิกซ์ให้กล่าวขอโทษเคลียร์
ว่าทำร้ายผู้อื่นไม่ได้ เขาเจ็บ เขาร้องไห้ ...
และอีกหลากหลายมุม เพื่อให้เขาคิดหลายๆแง่ เช่น
ผลการกระทำต่อคุณแม่
คุณแม่จะถูกผู้อื่นตำหนิ ถ้าลูกทำตัวไม่ดี
คุณแม่จะภูมิใจในความกล้าหาญที่จะกล่าวคำขอโทษ
ธามที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย.. ยกมือขึ้นไหว้ขอโทษแทนฟีนิกซ์ !!!
แล้วก็หัดมาถามกู๋เอ้งว่า "แม่ธามจะภูมิใจในตัวธามมั๊ยคับ กู๋เอ้ง"
...
เมื่อลูกประพฤติดี อย่าลืมบอกกับเขาด้วยว่า
"เราชอบ" "เราภูมิใจในตัวเขา"
(เช่น ที่เขาแบ่งของเล่นให้เพื่อน)
น่าจะเป็นการเน้นย้ำในสิ่งดีได้ด้วย
เขาคิดไม่ถึงนะ ถ้าเราไม่บอก
ระหว่างที่คุยกับฟีนิกซ์ให้กล่าวขอโทษเคลียร์
ว่าทำร้ายผู้อื่นไม่ได้ เขาเจ็บ เขาร้องไห้ ...
และอีกหลากหลายมุม เพื่อให้เขาคิดหลายๆแง่ เช่น
ผลการกระทำต่อคุณแม่
คุณแม่จะถูกผู้อื่นตำหนิ ถ้าลูกทำตัวไม่ดี
คุณแม่จะภูมิใจในความกล้าหาญที่จะกล่าวคำขอโทษ
ธามที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย.. ยกมือขึ้นไหว้ขอโทษแทนฟีนิกซ์ !!!
แล้วก็หัดมาถามกู๋เอ้งว่า "แม่ธามจะภูมิใจในตัวธามมั๊ยคับ กู๋เอ้ง"
...
เมื่อลูกประพฤติดี อย่าลืมบอกกับเขาด้วยว่า
"เราชอบ" "เราภูมิใจในตัวเขา"
(เช่น ที่เขาแบ่งของเล่นให้เพื่อน)
น่าจะเป็นการเน้นย้ำในสิ่งดีได้ด้วย
เขาคิดไม่ถึงนะ ถ้าเราไม่บอก
Labels:
raising children
Tuesday, March 8, 2011
remind yourself (draft)
ควบคุมตนเอง
==========
จะดีจะชั่ว อยู่ที่ตัวทำ
จะสูงจะต่ำ อยู่ที่ทำตัว
ความซื่อสัตย์
==========
ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว
แต่คนคดเคี้ยว ใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
การปฏิบัติตัวต่อผู้อื่น
==============
ยิ่งอวดอำนาจ ยิ่งดูต่ำศักดิ์
ยิ่งสุภาพ ยิ่งดูมีบารมี
ผู้มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น
ความคิด
======
อยู่คนเดียวให้ระวังยั้งความคิด อยู่ร่วมมิตรให้ระวังยั้งคำขาน
Open-minded
Think global, Act local.
เปิดใจ พร้อมรับสิ่งใหม่
=================
จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอดเวลา
หมั่นแสวงหาความรู้
==============
หนังสือเป็นศูนย์รวมปัญญาของโลก จงอ่านมัน
ประมาณตน ถ่อมตน
==============
อย่าคิดว่าเราเก่ง
คนที่เคยทำได้เหมือนเรา และดีกว่าก็มีมากในโลกนี้
- พระบรมราโชวาท
มีเป้าหมายในชีวิต
=============
มีแต่ปลาที่ตายแล้วเท่านั้น ที่จะยอมให้กระแสน้ำพัดพาไปอย่างไร้จุดหมาย
ทุกชิ้นงานจะต้องกำหนดวันเวลาแล้วเสร็จ
นอกจากเป้าหมายแล้ว ให้เขียนวิธีการควบคู่ลงไปด้วย
การวางแผน
==========
เป็นนักบริหารต้องหมั่นตรวจตราสิ่งที่ทำแล้ว และสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ - พุทธภาษิต
Albert Einstein นิยามความวิกลจริตไว้ว่า คือ
การทำสิ่งเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา และหวังให้ผลของมันเปลี่ยนไป
เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เหมือนเวลากำลังแนะนำคนอื่น ให้ทำในสิ่งที่เขาจะภูมิใจในตัวเองภายหลัง - ฐิตินาถ
มนุษย์ทุกคนมีชิ้นงานมากมายในชีวิต จงทำชิ้นงานที่สำคัญที่สุดก่อนเสมอ
ตรวจสอบตนเอง
=============
จงหมั่นใช้ธรรมะส่องตน ดั่งเช่นใช้กระจกตรวจใบหน้า หยิบสิ่งสกปรกออกจากชีวิต
หมั่นพัฒนาตน
==========
หยุดพัฒนาตนเอง คือเริ่มต้นถอยหลัง - Wright
ไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยเปล่าประโยชน์
==============================
วันที่เลวร้ายที่สุด คือ วันที่ไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์
พรุ่งนี้จะดีได้ ถ้าวันนี้ทำดีแล้ว
???
===
สำคัญที่สุดของชีวิต คือ การทำความดี
โชคดีที่สุดของชีวิต คือ สุขภาพที่แข็งแรง
มีความสุขมากที่สุดของชีวิต คือ มีศีลธรรม
การให้ที่มีค่ามากที่สุดของชีวิต คือ การให้อภัย
บาปกรรมใหญ่หลวงที่สุดของชีวิต คือ ไม่กตัญญู
ภาคภูมิใจที่สุดของชีวิต คือ การช่วยเหลือผู้อื่น
เข้มแข็งที่สุดของชีวิต คือ ความสามัคคี
ชัยชนะที่สุดของชีวิต คือ ชนะสิ่งไม่ดีของตนเอง
ความผิดที่สุดของชีวิต คือ ไม่รู้ว่าตนเองทำผิด
ความโง่เขลาที่สุดของชีวิต คือ ติดยาเสพติด
มี ความทุกข์ที่สุดของชีวิต คือ สร้างความเสื่อมเสียให้วงศ์ตระกูล
พ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดของชีวิต คือ ทะนงตัว
ยากจนที่สุดของชีวิต คือ ใช้เงินสุรุ่ย สุร่าย
ความวิบัติที่สุดของชีวิต คือ การพนัน
ตกต่ำ สิ้นคิดที่สุดของชีวิต คือ ไม่สุจริต ขี้ขโมย
น่ารักที่สุดของชีวิต คือ อ่อนน้อม ถ่อมตน
น่ารังเกียจที่สุดของชีวิต คือ การนินทา
สวยงามที่สุดของชีวิต คือ ความจริงใจ
ขยะแขยงที่สุดของชีวิต คือ การเสแสร้าง
ลำบากที่สุดของชีวิต คือ ความขี้เกียจ
ยอมรับที่ สุดของชีวิต คือ ความก้าวหน้า
สุดท้ายที่สุดของชีวิต คือ การเป็นคนดี มีคนรัก อย่าเรียกร้องน้ำใจด้วยเงิน และ อย่าตอบแทนน้ำใจด้วยเงิน
==========
จะดีจะชั่ว อยู่ที่ตัวทำ
จะสูงจะต่ำ อยู่ที่ทำตัว
ความซื่อสัตย์
==========
ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว
แต่คนคดเคี้ยว ใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
การปฏิบัติตัวต่อผู้อื่น
==============
ยิ่งอวดอำนาจ ยิ่งดูต่ำศักดิ์
ยิ่งสุภาพ ยิ่งดูมีบารมี
ผู้มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น
ความคิด
======
อยู่คนเดียวให้ระวังยั้งความคิด อยู่ร่วมมิตรให้ระวังยั้งคำขาน
Open-minded
Think global, Act local.
เปิดใจ พร้อมรับสิ่งใหม่
=================
จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอดเวลา
หมั่นแสวงหาความรู้
==============
หนังสือเป็นศูนย์รวมปัญญาของโลก จงอ่านมัน
ประมาณตน ถ่อมตน
==============
อย่าคิดว่าเราเก่ง
คนที่เคยทำได้เหมือนเรา และดีกว่าก็มีมากในโลกนี้
- พระบรมราโชวาท
มีเป้าหมายในชีวิต
=============
มีแต่ปลาที่ตายแล้วเท่านั้น ที่จะยอมให้กระแสน้ำพัดพาไปอย่างไร้จุดหมาย
ทุกชิ้นงานจะต้องกำหนดวันเวลาแล้วเสร็จ
นอกจากเป้าหมายแล้ว ให้เขียนวิธีการควบคู่ลงไปด้วย
การวางแผน
==========
เป็นนักบริหารต้องหมั่นตรวจตราสิ่งที่ทำแล้ว และสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ - พุทธภาษิต
Albert Einstein นิยามความวิกลจริตไว้ว่า คือ
การทำสิ่งเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา และหวังให้ผลของมันเปลี่ยนไป
เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เหมือนเวลากำลังแนะนำคนอื่น ให้ทำในสิ่งที่เขาจะภูมิใจในตัวเองภายหลัง - ฐิตินาถ
มนุษย์ทุกคนมีชิ้นงานมากมายในชีวิต จงทำชิ้นงานที่สำคัญที่สุดก่อนเสมอ
ตรวจสอบตนเอง
=============
จงหมั่นใช้ธรรมะส่องตน ดั่งเช่นใช้กระจกตรวจใบหน้า หยิบสิ่งสกปรกออกจากชีวิต
หมั่นพัฒนาตน
==========
หยุดพัฒนาตนเอง คือเริ่มต้นถอยหลัง - Wright
ไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยเปล่าประโยชน์
==============================
วันที่เลวร้ายที่สุด คือ วันที่ไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์
พรุ่งนี้จะดีได้ ถ้าวันนี้ทำดีแล้ว
???
===
สำคัญที่สุดของชีวิต คือ การทำความดี
โชคดีที่สุดของชีวิต คือ สุขภาพที่แข็งแรง
มีความสุขมากที่สุดของชีวิต คือ มีศีลธรรม
การให้ที่มีค่ามากที่สุดของชีวิต คือ การให้อภัย
บาปกรรมใหญ่หลวงที่สุดของชีวิต คือ ไม่กตัญญู
ภาคภูมิใจที่สุดของชีวิต คือ การช่วยเหลือผู้อื่น
เข้มแข็งที่สุดของชีวิต คือ ความสามัคคี
ชัยชนะที่สุดของชีวิต คือ ชนะสิ่งไม่ดีของตนเอง
ความผิดที่สุดของชีวิต คือ ไม่รู้ว่าตนเองทำผิด
ความโง่เขลาที่สุดของชีวิต คือ ติดยาเสพติด
มี ความทุกข์ที่สุดของชีวิต คือ สร้างความเสื่อมเสียให้วงศ์ตระกูล
พ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดของชีวิต คือ ทะนงตัว
ยากจนที่สุดของชีวิต คือ ใช้เงินสุรุ่ย สุร่าย
ความวิบัติที่สุดของชีวิต คือ การพนัน
ตกต่ำ สิ้นคิดที่สุดของชีวิต คือ ไม่สุจริต ขี้ขโมย
น่ารักที่สุดของชีวิต คือ อ่อนน้อม ถ่อมตน
น่ารังเกียจที่สุดของชีวิต คือ การนินทา
สวยงามที่สุดของชีวิต คือ ความจริงใจ
ขยะแขยงที่สุดของชีวิต คือ การเสแสร้าง
ลำบากที่สุดของชีวิต คือ ความขี้เกียจ
ยอมรับที่ สุดของชีวิต คือ ความก้าวหน้า
สุดท้ายที่สุดของชีวิต คือ การเป็นคนดี มีคนรัก อย่าเรียกร้องน้ำใจด้วยเงิน และ อย่าตอบแทนน้ำใจด้วยเงิน
นิทานก่อนนอน : โกหก
คนเรายอมเสียความซื่อสัตย์ ก็เท่ากับสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต
โกหกเพียงครั้ง ถูกสงสัยตลอดกาล
โกหกเพียงครั้ง ถูกสงสัยตลอดกาล
Labels:
Bedtime Story
Friday, March 4, 2011
เมื่อทำสิ่งผิดพลาด
Do no wrong is do nothing.
ผู้ทำผิดแล้วไม่แก้ไข กำลังทำผิดอีกครั้งหนึ่ง - ขงจื๊อ
ผิดหนึ่งพึงจดไว้ ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรองจงหนัก เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้าหกซ้ำ อภัยไฉน!
ท่านธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ
ผู้ทำผิดแล้วไม่แก้ไข กำลังทำผิดอีกครั้งหนึ่ง - ขงจื๊อ
ผิดหนึ่งพึงจดไว้ ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรองจงหนัก เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้าหกซ้ำ อภัยไฉน!
ท่านธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ
Labels:
Bedtime Story,
Mistakes
Subscribe to:
Posts (Atom)