Saturday, October 10, 2020

Separate lifes

Part II
 
เคยคุยกับเพื่อนคนนึงที่คบกับแฟนมายาวนานหลายปีตั้งแต่สมัยเรียน แล้วอยู่ดีๆเลิกกัน เป็นเรื่องน่าสงสัยในหมู่เพื่อนมากว่า อีคู่ที่ดูไม่มีอุปสรรคใดๆ ดูรักกันมาก รักกันจนแพลนวันแต่งงานไว้แล้วเรียบร้อย 
 
อะไรทำที่ทำให้พวกมึงเลิกกัน
 
อีมิ้ง ฝ่ายหญิงเล่าให้ฟังว่า ชีวิตรักของมันก็ดูปกติดีมาเรื่อยๆ มีช่วงรักและมีช่วงทะเลาะเหมือนคู่รักทั่วไป แต่ช่วงสี่ห้าปีหลังแฟนของมันทำงานหนักมาก ทำให้หลังๆมีปัญหากันบ่อย ยิ่งนานวันสิ่งที่เยอะขึ้นคือความไม่เข้าใจ สวนทางกับความสัมพันธ์ของพวกมันที่ถดถอยไปเรื่อยๆ 
 
แฟนของมันกลับบ้านดึกบ่อยขึ้น หลายครั้งก็ไม่กลับ และเริ่มละเลยอะไรหลายๆอย่าง ความเอาใจใส่ในฐานะแฟนน้อยลง คุยกันน้อยลง และมีอารมณ์หงุดหงิดมากขึ้น 
 
มิ้ง : บางวันเราแทบไม่คุยกันเลยมึง รักกันนะ แต่เหมือนพอเห็นหน้ากันก็เริ่มหงุดหงิดแล้วอะ 
ช่า : ทะเลาะกันบ่อยมั้ยวะ?
มิ้ง : ทะเลาะกันจริงๆอะไม่บ่อย แต่กูพยายามคุยเรื่องนี้บ่อย ซึ่งแทบทุกครั้งไม่เคยได้เคลียร์กัน 
ช่า : แล้วจบยังไงอะ?
มิ้ง : นอน แยก ไม่งั้นเค้าก็กลับไปทำงาน แล้ววันรุ่งขึ้นก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้ความรู้สึกไม่ดีลอยอยู่แบบนั้น หนักเข้าก็มีหงุดหงิดหาว่ากูงอแงไม่เข้าใจ หลังๆกูเลยเลิกคุยละ เงียบดีกว่า
ช่า : เค้าพึ่งมาเป็นป้ะ?
มิ้ง : มันไม่ได้พึ่งเกิดขึ้นนะ มันเป็นแบบนี้มาหลายปีแล้ว 
ช่า : แล้วทำไมมึงยอมให้มันเป็นแบบนี้มาตั้งนานวะ?
  

"ก็เพราะกูรักมันไง" 
 

ซึ่งก็น่าจะจริง มันสองคนเป็นคนที่ไม่ว่าใครมองก็รู้ว่ารักกันมาก และอีมิ้งก็ใช้ความมั่นคงในความรักหล่อเลี้ยงความรู้สึกตัวเองมาตลอด  
 
"ไม่เป็นไรหรอกมึงเค้าก็เป็นแบบนี้แหละ"
"เอาน่ามึง กูมีความสุขดีไม่เป็นไร" 
 
คำพูดพวกนี้มักออกมาจากปากนางเสมอเวลาเพื่อนพูดถึงเรื่องมันกับแฟน และสุดท้ายการพยายามเข้าใจก็กลับมาเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มันตัดสินใจขนของออกจากบ้านไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
  
มิ้ง : แล้วกูก็รู้นะว่าเค้ารักกูมาก หลายปีมานี้กูเลยพยายามประคองทุกอย่างไว้เพราะคิดว่าวันนึงเค้าคงจะเข้าใจ และเราคงจะปรับตัวกันได้
ช่า : มึงว่าอะไรที่ทำให้มึงทนไม่ไหว?
มิ้ง : ไม่มีอะไรที่กูทนไม่ไหว กูเข้าใจได้ทุกอย่าง แต่กูอยู่กับความสัมพันธ์ที่มันห่างเหินมานานมาก นานมากจนสำหรับกูมันกลายเป็นเรื่องปกติ 
ช่า : มันปกติได้ด้วยเหรอวะ?
มิ้ง : อีปกตินี่แหละที่แย่ สมมุติว่ามึงมีแฟนแล้วมันต้องเสียใจเป็นปกติ น้อยใจเป็นปกติ ต้องอยู่กับความรู้สึกโดดเดี่ยวจนเป็นเรื่องปกติ มึงเชื่อดิว่าอีความที่มึงเสือกปกตินี่แหละเป็นสัญญาณที่เหี้ยที่สุด
ช่า : เพราะ?
มิ้ง : เพราะมึงไม่ได้ต้องการอีกแล้วไง กูไม่ได้เลิกกับเค้าเพราะกูทนไม่ไหว แต่กูเลิกกับเค้าเพราะความสัมพันธ์ของเรามันห่าง
  

 
"มันห่างจนกูรู้สึกว่าวันนี้กูไม่มีเค้าก็ไม่เป็นไร"
  

 
เรื่องที่น่ากลัวอีกเรื่องในความสัมพันธ์ที่จริงจังและยาวนาน คือการชินชากับความรู้สึกแย่ที่ก่อตัวขึ้นมาเงียบๆระหว่างคนสองคน
 
ในบ้านเดียวกัน หลังคาเดียวกัน กับคนที่รักกัน แต่เรากลับยิ่งห่างกันเพราะความไม่เข้าใจบางอย่าง แต่เราก็ซุกปัญหาทำเป็นว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น เราอดทน และยอมทำอะไรหลายๆอย่างที่เราไม่เคยคิดว่าจะทำ เพราะคิดว่ารักจะแก้ปัญหาได้
 
แต่ความรักกลับกลายเป็นตัวการที่ทำให้ปัญหายิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก
 
อีกฝ่ายไม่ใส่ใจเพราะคิดว่ายังไงก็รักกัน ส่วนอีกฝ่ายก็คิดว่าเพราะรักกันนี่แหละก็เลยต้องอดทน ความสัมพันธ์ที่มีพื้นฐานเดียวกันแต่เดินกันคนละทิศ สุดท้ายก็จบลงโดยที่ต่างฝ่ายต่างก็ยังรักกัน 
 

"แย่กว่าทนไม่ไหว คือวันที่มึงดันชินจนไม่ต้องใช้ความอดทนอะไรกับเรื่องที่มึงเคยต้องทนอีกแล้ว"
 

อีมิ้งพูดปิดประโยคนี้ไว้ด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มความนอยไว้ 

สุดท้ายแล้วเรื่องของมิ้งก็บอกอะไรหลายอย่าง ทุกความสัมพันธ์และทุกความรักไม่มีอะไรแน่นอนจีรังยั่งยืนเสมอไป วันนี้รักกัน ต่อไปก็อาจจะรักกันมากขึ้น แต่บางคนก็อาจจะรักกันน้อยลง และหลายคนก็หมดรักกันไป 
 
ตัวแปรสำคัญกลับไม่ใช่เวลา เวลากลายเป็นเพียงถนนระยะยาวที่คนสองคนต้องเดินไปด้วยกันแค่นั้น ปลายทางความสัมพันธ์จะเปลี่ยนไปในรูปแบบไหน
  

ขึ้นอยู่กับว่าเราดูแลกันยังไงในระหว่างนั้น
  

มิ้ง : แฟนกูเคยพูดไว้วันที่เลิกกัน ว่าเค้าคิดว่ายังมีเวลาอีกมากที่เราจะได้คุยได้ปรับตัวเข้ากัน เค้าขอโอกาสให้เค้าได้ทำได้มั้ย
ช่า : มึงตอบว่าไงอะ?
มิ้ง : กูขอบคุณที่เค้าขอโอกาสกู และขอให้เค้าเข้าใจว่ากูเองก็ขอโอกาสไปตามทางที่กูเลือกไว้เหมือนกัน
ช่า : โหดสัส
มิ้ง : มึง เวลามันเป็นสิ่งมีค่าที่ได้มาโคตรง่าย คนเลยไม่ค่อยเห็นคุณค่าของมัน ถ้าถามกู เวลาที่เค้าขอจากกู ทำไมกูจะไม่มีให้
  

แต่ความรู้สึกกูต่างหากที่มันไม่เหลืออะไรแล้ว
 
 
มึงรักใครก็ใช้เวลาที่มีกับคนนั้นให้ดีนะ
 
 
รัก
 
ช่า บันทึกของตุ๊ด
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3904834146197735&id=310072402340612

No comments:

Post a Comment