Sunday, October 18, 2020

Organizational Culture

ชนเผ่า (Tribal Culture)

เป็นวัฒนธรรมที่เน้นเรื่องความสัมพันธ์และมิตรภาพระหว่างกัน โดยเชื่อว่ามันจะเป็นคำตอบขององค์กรในระยะยาว คนในองค์กรแนวนี้จะมีสิ่งที่คล้ายๆกันทั้งในเชิงพฤติกรรมและวิธีคิด พูดง่ายๆคือการอยู่กันแบบครอบครัวที่มีผู้บริหารห่วงใยพนักงานวางตัวเป็นโค้ชมากกว่าเป็นบอส ค่านิยมหลักมักจะเป็นในแนว collaboration, participation และ inclusion การตัดสินใจต่างๆจะอยู่บนพื้นฐานของประชาธิปไตยและการเห็นพ้องต้องกันเป็นหลัก ตัวอย่างขององค์กรแนวนี้คือ Airbnb, Southwest Airline และ Zappos

.

สร้างสรรค์ (Creative Culture)

คือวัฒนธรรมองค์กรแบบ ไอเดียเป็นใหญ่ โดยไม่เกี่ยวกับลำดับขั้นในองค์กร การมองหาสิ่งใหม่ๆที่ดีกว่าเป้น DNA ของเผ่าพันธ์นี้ ผู้บริหารมักจะเป็นผู้มีความฝันที่ยิ่งใหญ่และวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลซึ่งจะต้องเดินทางผ่าน disruption และ transformation ลูกแล้วลูกเล่า ทุกคนในองค์กรจึงถูกปลูกฝังวิธีคิดแบบลองผิดลองถูก ล้มเหลวได้ เสี่ยงได้ เพื่อจะนำมาซึ่งนวัตกรรม องค์กรลักษณะนี้ได้แก่ tech startup ที่ประสบ
ความสำเร็จส่วนใหญ่ รวมถึงองค์กรอย่าง Pixar และ Apple 

.

ควบคุม (Controlling Culture)

เป็นรูปแบบที่เชื่อเรื่องการเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่มาจากผู้นำซึ่งเป็นผู้กำหนดทิศทางที่ชัดเจนในเกือบทุกเรื่องในองค์กร คาดหวังให้ผู้คนทำตามกฏระเบียบและหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัด มุ่งเน้นด้านความมีประสิทธิภาพมากกว่านวัตกรรมใหม่ๆ การตัดสินใจเป็นไปโดยคนไม่กี่คนข้างบนผ่านการใช้อำนาจตามตำแหน่งงาน ค่านิยมหลักๆขององค์กรแนวนี้ได้แก่ deliberative ตัวอย่างองค์กรเหล่านี้ได้แก่ หน่วยงานราชการต่างๆ

.

แข่งขัน (Competitive Culture)    

ความสำเร็จเท่านั้นที่เป็นคำตอบ น่าจะเป็นนิยามที่ชัดเจนขององค์กรแนวนี้ การทำงานแบบเน้นผลลัพธ์ในกลุ่มคนที่ถูกจูงใจด้วยเป้าหมายและความทะเยอทะยาน ทุกคนมีแนวคิดแบบแข่งขันและท้าทายกันและกัน การอยู่ร่วมกันจะเป็นแบบเป็นการเป็นงานและเน้นการพูดคุยเรื่องงานเป็นหลัก ผู้บริหารจะเป็นนักกลยุทธ์ที่นำทิศทางองค์กรในแบบของตนตามคัวชี้วัดที่ออกแบบมาค่อนข้างชัดเจนทุกมิติเพื่อวัดความสำเร็จ องค์กรที่มีวัฒนธรรมลักษณะนี้ได้แก่ Netflix และ Amazon 

.

ไม่มีวัฒนธรรมที่ถูกและผิด แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับบริบทและความเชื่อของผู้ก่อตั้ง องค์กรที่อยู่ในธุรกิจเดียวกันก็ไม่จำเป็นต้องมีวัฒนธรรมในแบบเดียวกัน ที่เห็นได้ชัดคือ Pixar และ Netflix ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ต่างประสบความสำเร็จอย่างมากมาย และที่สำคัญองค์กรมักจะมีส่วนผสมวัฒนธรรมมากกว่าหนึ่งรูปแบบ

-------------------

เราสามารถแบ่งวัฒนธรรมองค์กรได้เป็น 4 แบบจากแกนสองแกนดังนี้
• สนใจเรื่องภายในและการบูรณาการ หรือ สนใจเรื่องภายนอกและการสร้างความแตกต่าง ( internal focus/external focus)
• ความมั่นคงและการควบคุม หรือ ความยืดหยุ่นและการยึดวิจารณญาณ (Adaptive/Predictable) 
และเมื่อสองแกนนี้ตัดกันเราจะได้ วัฒนธรรมทั้งสี่ประเภท


ที่มา https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=349897919774561&id=108440997253589

Saturday, October 17, 2020

God and Stones

เย็นวันหนึ่ง ในขณะที่พวกเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์กำลังเตรียมตั้งกระโจมทำการพักผ่อนนอนหลับ
มีเทพเจ้าก็ปรากฏกายขึ้น

พวกคนเร่ร่อนรีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างนอบน้อม

เทพเจ้าพูดกับคนเหล่านั้นว่า

“พรุ่งนี้ เวลาเดินทาง เจอก้อนหินที่ไหนก็ให้เก็บใส่กระเป๋ามากๆ
ตกกลางคืน พวกเจ้าจะมีความสุขสุดๆ แต่ขณะเดียวกัน พวกเจ้าจะมีความทุกข์ด้วย”

พูดจบ เทพเจ้าก็หายไป เหล่าสาวกต่างผิดหวังไปตามๆกัน
พวกเขาคิดว่าเทพเจ้าจะนำโชคก้อนใหญ่มาให้พวกเขาเสียอีก ที่
ไหนได้ เทพเจ้ากลับสั่งให้พวกเขาทำงานบ้าๆ บอๆ ชิ้นหนึ่ง

เช้าวันรุ่งขึ้น แม้พวกเขาจะไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งเทพเจ้า
พวกเขาหลับหูหลับตาเก็บก้อนหินก้อนเล็กๆ ใส่กระเป๋าไปตามเรื่อง
แล้ววันนั้นก็ผ่านไปอย่างเซ็งๆ

ตกเย็น ได้เวลาที่พวกเขาจะต้องกางเต็นต์นอนพักกันแล้ว
มีคนล้วงก้อนหินในกระเป๋าออกมาดูโดยมิได้ตั้งใจ ปรากฏว่าหินในกระเป๋ากลายเป็นทองคำ

พวกเขาดีใจมาก แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็รู้สึกเสียใจเป็นที่สุดที่มิได้เก็บก้อนหินใส่กระเป๋าให้มากกว่านี้

-----

หนึ่งในวิธีการตีความนิทานเซนนี้ คือ เทพเจ้า = หัวหน้า, คนเร่ร่อน = ลูกน้อง

ที่มา https://www.facebook.com/anontawongblog/posts/1784284981730608

Employee XY

แบบ X: เราไม่ชอบทำงานและอยากจะหลีกเลี่ยงงานให้ได้มากที่สุด
แบบ Y: เราเชื่อว่างานและมนุษย์เป็นของคู่กัน และการทำงานนั้นช่วยเติมเต็มเราได้

คนส่วนใหญ่จะบอกว่าตัวเองเป็นคนพันธุ์ Y

แต่ถ้าเราถามว่านโยบายของบริษัทที่เราคุ้นเคยนั้นมองพนักงานเป็นคนแบบไหน
คำตอบก็คือพนักงานมักจะถูกมองว่าเป็นคนพันธุ์ X ที่พร้อมจะอู้งานและเอาเปรียบบริษัทได้ทุกเมื่อ

บริษัทส่วนใหญ่เชื่อใน Theory X และคิดว่าพนักงานต้องถูกขับเคลื่อนด้วยรางวัลและการลงโทษ

บริษัทที่เชื่อว่าพนักงานของตนเป็นคนพันธุ์ Y ที่มีศักดิ์ศรีของคนทำงาน
จะไม่มีกฎเกณฑ์ยุ่บยั่บ เพราะเชื่อว่าพนักงานส่วนใหญ่มีวิจารณญาณที่ดีกันอยู่แล้ว

ที่มา https://www.facebook.com/anontawongblog/posts/1786342624858177

Friday, October 16, 2020

Learn to take “No” as a question.

เวลาโดนปฏิเสธ แทนที่จะจมจ่อมกับความรู้สึกเฟลๆ

ให้มองว่าคำปฏิเสธนั้นคือประโยคคำถาม

ถ้าขายของแล้วเขาไม่ซื้อ แสดงว่าลูกค้ากำลังถามว่า ของชิ้นนี้มันจะทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นยังไง
ราคานี้คุ้มค่าแล้วจริงหรือ เขาจะโดนหลอกรึเปล่า

ถ้าเสนอโปรเจ็คแล้วเจ้านายไม่อนุมัติ แสดงว่าเจ้านายก็มีคำถามเหมือนกัน
ว่าโปรเจ็คนี้จะส่งผลกระทบอะไรบ้าง ใช้เวลามากเกินไปรึเปล่า
ถ้าผิดพลาดขึ้นมาแล้วเขาจะอธิบายข้างบนยังไง

ถ้าจีบสาวแล้วเขาไม่สน คำถามที่เขามีก็คือเราเหมาะกับเขาตรงไหน
เดินกับเราแล้วเขาจะภูมิใจหรือจะอาย คบกับเราแล้วจะดีกว่าอยู่คนเดียวยังไง

เมื่อมองดีๆ คำถามเหล่านี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไร หน้าที่ของเราคือเตรียมคำตอบให้ดีสำหรับโอกาสถัดไป

แล้วความผิดหวังจะเป็นตัวผลักดันให้เราดีกว่าเดิม ของที่เคยขายไม่ได้ก็จะเริ่มขายได้
โปรเจ็คนี้ไม่อนุมัติแต่โปรเจ็คหน้าก็อาจจะอนุมัติ สาวคนนี้ไม่สนแต่คนถัดไปอาจจะสนใจเราก็ได้

เมื่อรู้จักเปลี่ยนประโยคปฏิเสธเป็นประโยคคำถาม เราก็จะเป็นมิตรกับความผิดหวังได้มากขึ้นครับ

ที่มา https://www.facebook.com/anontawongblog/posts/1790165814475858

Value

 ลูกสาวเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีเกียรตินิยม

“เพื่อฉลองลูกเรียนจบ พ่อจะยกรถของพ่อให้คันนึง แต่ก่อนอื่นพ่ออยากให้ลูกเอารถคันนี้ไปตีราคาที่เต็นท์รถมือสองให้พ่อหน่อย”

ลูกสาวเลยขับรถไปที่เต็นท์รถแล้วกลับมาบอกพ่อ

“เค้าบอกว่ารับซื้อแค่ 50,000 ค่ะ เพราะมันเก่ามากแล้ว”

“งั้นลูกลองเอาไปโรงจำนำดูบ้างซิ”

ลูกไปโรงรับจำนำแล้วกลับมารายงาน

“เค้าให้แค่ 5,000 เองค่ะพ่อ”

“ถ้างั้นลูกลองเอารถไปที่ชมรมคนรักรถซิ”

ลูกไปถึงแล้วก็กลับมารายงาน

“เค้าบอกว่าคันนี้ราคา 500,000 ค่ะ เพราะเป็นรถนิสสัน Skyline R34 เป็น collector’s item ที่หายาก คนเล่นรถชอบสะสมกัน”

“ที่ที่ใช่จะรู้คุณค่าของลูก
ถ้าลูกเจอที่ทำงานที่เขาไม่เห็นคุณค่าของลูกก็อย่าไปโกรธเขา
เราก็แค่ไม่เหมาะกัน ลูกจงหาที่ทำงานที่เขาเห็นและให้คุณค่ากับลูกนะ”

ที่มา https://www.facebook.com/anontawongblog/posts/1791149011044205

High Performer

3 ส่วนผสมที่ลงตัวของ High Performer

มีสมองของผู้ประกอบการ
มีจิตวิญญาณของศิลปิน
มีร่างกายของนักกีฬา

เมื่อเราคิดแบบผู้ประกอบการ เราจะไม่กลัวที่จะริเริ่ม ไม่กลัวความล้มเหลว ไม่ยึดติดกับกรอบความคิดแบบเดิมๆ

เมื่อเรามีจิตวิญญาณของศิลปิน เราจะไม่เอาตัวเลขเป็นใหญ่ แต่เอาความสนุก เอาความงาม เอาความจริงเป็นเป็นตัวตั้ง สิ่งที่เราพูดและทำจะนำพาให้คนรอบข้างมีชีวิตที่ดีขึ้น

และเมื่อเราพักผ่อนให้เพียงพอ กินของที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เราก็จะมีร่างกายที่พร้อมทำงานหนักเพื่อรับใช้ผู้อื่นได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

Entrepreneur’s mind.
Athlete’s body.
Artist’s soul.
-James Clear

ที่มา https://www.facebook.com/anontawongblog/posts/1806311516194621

Time

 “It takes many hours to make what you want to make.
The hours don’t suddenly appear. You have to steal them from comfort.”

-Derek Sivers

 ถ้าเราอยากจะสร้างสรรค์อะไรที่มีคุณค่า เราจำเป็นต้องให้เวลากับมันอย่างยาวนานและสม่ำเสมอ
และการที่จะมีเวลาเพื่อทำสิ่งนี้ได้ เราก็ต้องขโมยมันมาจากกิจกรรมที่เราเคยชิน

จงขโมยเวลาจากความเคยชิน เพื่อสร้างสิ่งใหม่และชีวิตที่ต่างออกไปจากเดิมครับ

ที่มา https://www.facebook.com/anontawongblog/posts/1806321422860297

Worry

ถ้าจะกังวลก็จงกังวลใส่กระดาษ

เพราะถ้าเก็บมันไว้ในหัว ความคิดจะติดหลูปและขยายความกังวลนั้นให้ใหญ่เกินจริงเสมอ

เมื่อใดที่เราเขียนความกังวลลงกระดาษ กลั่นกรองออกมาเป็นภาษามนุษย์
เมื่อนั้นสิ่งที่เรากังวลจะจับต้องได้มากขึ้น และเราจะพบว่าสิ่งที่เรากังวลนั้นมันไม่ได้ยากเกินจะจัดการ
เราจะสามารถคิดได้ว่า สิ่งที่ต้องทำต่อไปคืออะไร เราต้องใช้อะไรบ้าง และใครจะช่วยเราได้บ้าง

ที่มา https://www.facebook.com/anontawongblog/posts/1810079339151172

6 types of employee

 พนักงาน 6 ประเภท

1. กลุ่มที่มีความรับผิดชอบต่ำ และอยากได้เงินมาง่ายๆ (The low obligation and easy income segment) :
มองหาทางลัดในการแก้ปัญหา

2. กลุ่มอะไรก็ได้ (The flexible support segment) :
ใครว่าอะไรว่าตามกัน ไม่ได้มองเรื่องงานเป็นเรื่องสำคัญ

3. กลุ่มเสี่ยงแล้วได้ (The risk and reward segment) :
การทำงานคือโอกาสสร้างความท้าทายและความตื่นเต้นให้แก่ชีวิต

4. กลุ่มร่วมมือกันเพื่อความสำเร็จ (The individual expertise and team success segment) :
มองหางานที่เปิดโอกาส ให้ร่วมมือทำงานเป็นทีม

5. กลุ่มก้าวหน้ามั่นคง (The secure progress segment) :
มองหางานที่มีอนาคตก้าวไกล

6. กลุ่มสร้างตำนาน (The expressive legacy segment) :
มองหาโอกาสในการสร้างเกียรติประวัติแก่บริษัท

ที่มา http://iyom-bookviews.com/หมวดการตลาด/การตลาด-3-0-marketing-3-0.html

5 dollars

มี เงินให้ห้าเหรียญ ให้เวลาประชุมกันไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ ให้เวลาสองชั่วโมงสำหรับปฏิบัติการตามแผน แต่ต้องทำกำไรให้ได้มากที่สุด เป็นเราจะทำอะไร? ถ้าเป็นคุณผู้อ่านเจอโจทย์แบบนี้จะทำอย่างไรดี

ศาสตราจารย์ ทีนา ซีลิก สอนวิชานวัตกรรมสร้างสรรค์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ให้โจทย์นี้กับนักศึกษาที่ถูกแบ่งเป็น 14 ทีม ทุกทีมต้องแยกย้ายกันไปหนึ่งสัปดาห์แล้วกลับมารายงานหน้าชั้นเรียนเป็นเวลา 3 นาที

มาดูสิ่งที่นักศึกษามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดแต่ละทีมเลือกทำกัน จากเงินห้าเหรียญ

กลุ่มหนึ่งเอาเงินจำนวนน้อยนิดไปซื้อมะนาว น้ำตาลและมาทำน้ำมะนาวขายหน้ามหาวิทยาลัย

กลุ่มต่อมารับจ้างเติมลมยางรถจักรยานหน้ามหาวิทยาลัยคิดเงินคันละหนึ่ง เหรียญจนกระทั่งพวกเขาค้นพบว่า ถ้าขอเป็นเงินบริจาคจะได้เยอะกว่าเลยเปลี่ยนเป็นเงินบริจาคแทน

ส่วนกลุ่มที่สามได้เงินมากกว่า และคิดสร้างสรรค์ได้ไม่เลว พวกเขาตัดสินใจเลือกทำงานในคืนวันศุกร์และให้เพื่อนผู้ชายขับรถพาสาวๆ ไปทิ้งไว้หน้าร้านอาหารที่คนแน่นแล้วให้ไปจองคิวตามร้านอร่อยที่ลูกค้าต้อง ยืนรอกันเกือบชั่วโมง พอได้คิวแล้วก็เอาคิวไปขายให้ลูกค้าคนอื่นที่เพิ่งมา คิดเงินคิวละ 20 เหรียญ กลุ่มนี้หาเงินได้หลายร้อยเหรียญในเวลาสองชั่วโมง เพราะใครก็ไม่อยากรออาหารอีกหนึ่งชั่วโมง

ส่วนกลุ่มที่ชนะเลิศหาเงิน ได้ถึง 650 เหรียญ เป็นกำไรถึง 130 เท่าตัว และที่น่าทึ่งคือ พวกเขาไม่ได้ใช้เงินห้าเหรียญนั้นเลย เขาทำได้อย่างไร???

หลังจากประชุมกันนาน ทุกคนในกลุ่มโหวตว่า พวกเขาจะ “ขายเวลา”

นักศึกษากลุ่มนี้เฉลยว่า พวกเขานั่งประชุมกันนานว่า จะทำอะไรกันดี บางคนบอกไปซื้อลอตเตอรี่ดีกว่า ไปลาสเวกัส ฯลฯ แต่ ในที่สุดทุกคนสรุปว่า ต้นทุนที่ดีที่สุดที่พวกเขามีไม่ใช่เงิน 5 เหรียญ แต่เป็น “เวลา 3 นาที” สำหรับการนำเสนอแผนธุรกิจหน้าห้องเรียนที่เต็มไปด้วยนักศึกษามหาวิทยาลัย สแตนฟอร์จำนวนเป็นร้อยๆ คนที่นั่งฟังโดยไม่ลุกไปไหน

นักศึกษาจึงหาบริษัทที่ต้องการขายสินค้าแล้วขายเวลา 3 นาทีที่ตัวเองต้องพรีเซ็นต์ ให้กับบริษัทที่ต้องการเวลา 3 นาทีโฆษณาผลิตภัณฑ์ของตัวเอง

พอถึงวันจริง นักศึกษากลุ่มนี้ไม่ต้องทำอะไรนอกจากฟังเพื่อนพรีเซ็นต์และพอถึงเวลาของตัว เอง ก็ให้บริษัทที่ตกลงกันไว้มาพรีเซ็นต์สินค้า เสร็จแล้วจ่ายเงิน 650 เหรียญสำหรับเวลา 3 นาทีให้กับทีมนักศึกษาที่ขายเวลาให้

บริษัทยิ้ม นักศึกษายิ้ม และอาจารย์ยิ้มมากกว่า ที่ลูกศิษย์คิดได้นอกกรอบเหลือเชื่อ

ที่มา http://businessconnectionknowledge.blogspot.com/2012/11/how-to-earn-money-13000-percent.html

Thursday, October 15, 2020

Mistakes

 เมื่อคุณพบปัญหาสิ่งแรกที่ต้องคิด คือ การหาต้นตอที่แท้จริงของปัญหา
ไม่ว่าปัญหานั้นจะเกิดจากการดีไซน์งานของคุณหรือเกิดจากคนที่ทำงานนั้น

เรย์ บอกว่าสิ่งที่เป็นความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก
คือ การแก้ปัญหาเหมือนมันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
ทั้งที่จริง ๆ แล้ว มันเป็นปัญหาเชิงระบบซึ่งต้องถูกแก้ที่การดีไซน์ระบบงานใหม่ หรือการดีไซน์เครื่องจักรใหม่นั่นเอง
การแก้ปัญหา โดยคิดว่ามันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวนั้น
จะทำให้ต้นเหตุของปัญหาจริง ๆ ถูกละเลยไป ซึ่งในที่สุดหายนะจะเกิดขึ้นได้

การแก้ปัญหาโดยหาต้นตอของปัญหาที่แท้จริงเสียเวลามากกว่า แต่มีประโยชน์มากกว่ามากในระยะยาว

อีกข้อผิดพลาดที่พบบ่อย คือ
การที่เราพยายามหลีกเลี่ยงการระบุตัวตน (depersonalize) ของคนที่ก่อให้เกิดปัญหา
การไม่เชื่อมโยงคนกับปัญหาเข้าด้วยกันนี่เอง ทำให้ไม่เกิดการพัฒนาตัวบุคคล และปัญหาก็จะยังคงอยู่

ข้อสุดท้ายและเป็นข้อผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดคือ การไม่เชื่อมโยงปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนี้กับปัญหาที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

เรื่องแย่ ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นเอง มันเกิดขึ้นเพราะคนใดคนหนึ่งทำหรือตัดสินใจอะไรบางอย่างลงไป
การวิเคราะห์เจาะลึกหาสาเหตุที่เป็นต้นเหตุจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือระบบเป็นเรื่องที่น่าอึดอัด
แต่จำเป็นต้องทำ เราอาจจะค้นพบว่าในที่สุดแล้วคนที่ทำงานอยู่ในตำแหน่งนั้นไม่เหมาะ
เพราะตัวเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดพลาดอยู่เป็นประจำ


ที่มา https://missiontothemoon.co/book-review-principles/

Interview

จ้างคนที่ถูกต้อง เพราะโทษของการจ้างคนผิดนั้นรุนแรง :

เวลาเราสัมภาษณ์คนหลายครั้งเราจะเลือกคนที่เราชอบ ซึ่งพิสูจน์มาแล้วว่าเป็นวิธีที่ผิด
หรือเราอาจจะเลือกจากการดู ใบสมัคร ทำเช็คลิสต์ และใช้กึ๋น ในการตัดสินใจ ซึ่งก็เป็นวิธีที่ไม่ดีอีกเช่นกัน
เพราะว่าทั้งหมดทั้งปวงนี้เป็นการมองผู้สมัครโดยผ่านมุมมองที่เป็น “อคติ” ของเรา
และเรามักจะเลือกรับคนที่มีวิธีคิดคล้าย ๆ กับเราเสมอ

หลังจากลองผิดลองถูกมาหลายวิธี เรย์ค้นพบว่าการเลือกคนที่ถูกต้องจะต้องทำผ่านหลักการ 2 อย่างคือ

- ต้องชัดเจนว่าเราต้องการคนแบบไหน
- มีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกที่ละเอียดมาก ๆ

ต้องเลือกคนให้เหมาะกับดีไซน์ของงาน ไม่ใช่หางานให้คนทำ กระบวนการในการคัดเลือกควรมองจาก

- คุณค่า : คือความเชื่อส่วนที่ลึกที่สุดซึ่งจะส่งผลต่อการกระทำต่าง ๆ ของเขา
รวมไปถึงความประพฤติกับบุคคลอื่นที่อยู่รอบตัวเขาด้วย
นี่คือสิ่งที่เปลี่ยนยากที่สุดในคนคนหนึ่ง
ดังนั้น คุณค่า จึงเป็นสิ่งแรกที่เราต้องมองหาว่าตรงกับสิ่งที่เราต้องการไหม

- ความสามารถ : คือวิธีคิดและวิธีการปฏิบัติตัว
บางคนเป็นคนที่เรียนรู้เร็วและตอบสนองเร็ว
ขณะที่บางคนมีความสามารถในการมองภาพใหญ่ได้ดี เป็นต้น

- ทักษะ : คือความสามารถที่สามารถฝึกฝนได้เช่นกัน ความสามารถทางภาษา เป็นต้น
ทักษะ นั้นมักมีค่าเปลี่ยนไปตามเวลาด้วย ยกตัวอย่างให้เห็นภาพคือ ความสามารถในการพิมพ์ดีด
เคยเป็นสิ่งที่สำคัญในอดีต แต่ปัจจุบันนี้เราสามารถพูดแล้วให้คอมพิวเตอร์พิมพ์แทนได้แล้ว
ถ้ามองไปในอนาคตเราจะเห็นว่า AI จะเข้ามาแทนส่วนนี้เยอะมากในอีก 10 ปีต่อจากนี้

การเลือกคนเรา จึงให้ความสำคัญกับคุณค่ามากที่สุด
ตามมาด้วย ความสามารถ และ ทักษะ เป็นอย่างสุดท้าย
แต่หลายครั้งในการจ้างงานเราทำกลับกัน คือ เราดูทักษะกับความสามารถก่อน
ในขณะที่ลืมเรื่อง “คุณค่า” ไป

สุดท้าย อย่าลืมว่าคนดี ๆ นั้นหายากมาก
ถ้าหากคุณได้มาแล้วต้องหาวิธีการรักษาเขาไว้ให้ได้
เช่น การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และคอยอัพเดทเรื่องราวต่าง ๆ ระหว่างกัน
ที่สำคัญที่สุด คือ คุณต้องหาระบบบางอย่างที่ทำให้คนของคุณพูดเรื่องที่อยู่ในใจของเขาได้
สร้างความสุขในที่ทำงานให้เขา และให้โอกาสเขาเติบโต

เมื่อคุณได้มีโอกาสรู้จักจริง ๆ ว่าคนคนนั้นเป็นยังไงคุณจะสามารถรู้ได้ว่าคุณคาดหวังอะไรจากเขาได้บ้าง

ที่มา https://missiontothemoon.co/book-review-principles/

Decision by idea meritocracy

ในองค์กร ปกติเรามักตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ โดย
1) ใช้ระบอบเผด็จการ คือ การตัดสินใจจากหัวหน้าลงมา
2) จะใช้ระบอบประชาธิปไตย คือ ไอเดียไหนที่มีคนเห็นด้วยมากที่สุดจะได้รับการปฏิบัติ
ซึ่งทั้งสองกระบวนการนี้มีข้อเสียที่รุนแรงด้วยกันทั้งคู่

กระบวนการการตัดสินใจที่ดีที่สุด คือ
การตัดสินใจแบบ แนวคิดเชิงความสามารถนิยม (idea meritocracy)
ซึ่งมีการให้น้ำหนักความคิดเห็นของแต่ละคนไม่เท่ากัน

ซึ่งน้ำหนักที่แต่ละคนได้นั้นจะแตกต่างกันออกไป ตามความรู้ความสามารถในเรื่องที่กำลังจะถูกตัดสินใจ
เราเรียกมันว่า “น้ำหนักของความเชื่อ” (Believability Weighting)
ซึ่งคนที่มีความน่าเชื่อถือในการตัดสินใจมากที่สุดคือ

- คนที่ทำสำเร็จมาอย่างต่อเนื่องในเรื่องที่เรากำลังตัดสินใจ
- คนที่สามารถแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของเหตุและผลอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ในเรื่องที่เรากำลังจะตัดสินใจ

ชั่งน้ำหนักความเชื่อของคุณในการตัดสินใจ

ที่มา https://missiontothemoon.co/book-review-principles/

Wednesday, October 14, 2020

Argue

 สมองส่วน เก่าแก่ (primitive)ที่มีอยู่ในมนุษย์ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์
(เช่น สมองส่วน อะมิกดะลา (amygdala) ซึ่งอยู่ในสมองส่วน กลีบขมับ (temporal lobe))
ที่ทำหน้าที่ประมวลผลอารมณ์
อยู่เหนือการควบคุมของจิตสำนึกของมนุษย์
โดยมันจะทำงานอย่างรวดเร็วและพยายามตีความทุกอย่างให้ง่ายกว่าความเป็นจริง (oversimplfy)
เมื่อมันทำงานเราจึงไม่รู้ว่ามันเข้าควบคุมพฤติกรรมอะไรของเราบ้าง
สมองส่วนนี้ชอบคำชม และตอบสนองต่อคำติเหมือนกับตอนที่เราถูกโจมตีหรือทำร้าย
สมองส่วนนี้ไม่สามารถแยกการติเพื่อก่อ ออกจากการโดนด่าเฉย ๆ ได้

ในขณะเดียวกันเรามีสมองอีกส่วนคือ คอร์เทกซ์ บริเวณกลีบหน้าผากส่วนหน้า (prefrontal cortex)
ซึ่งเป็นสมองส่วนที่สำคัญมากที่ทำให้มนุษย์เราแตกต่างจากสัตว์อื่น นั้นคือสมองส่วนจิตสำนึกที่เราใช้ในการตัดสินใจต่างๆ หรือเราเรียกว่า กิจบริหาร (executive function) ซึ่งสามารถประมวลผลเรื่องตรรกะและเหตุผลได้เป็นอย่างดี

ดังนั้นมันจึงเหมือนมีเราสองคนอยู่ในคนเดียว และถ้าเราสังเกตดี ๆ เราจะพบว่าสมองส่วนต่าง ๆ นั้นพยายามอยากที่จะชนะในการตัดสินใจให้ได้

เรากินขนมแล้วหยุดไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็กินไปหมดถุงแล้ว
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ากินแล้วอ้วน แล้วตอนกินนั้นก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้หิวด้วย
เหตุการณ์แบบนี้เกินขึ้นเพราะสมองส่วน กิจบริหาร (executive function) พ่ายแพ้ต่อสมองส่วน เก่าแก่ (primitive) ของเรา

เหตุการณ์ที่มีคนไม่เห็นด้วยกับเรา และต้องการให้เราอธิบายมุมมองของเรา
คนส่วนใหญ่มักจะรู้สึกได้ถึงการถูกจู่โจมและปล่อยระบบป้องกันตัวเองออกมา
ทั้ง ๆ ที่ถ้ามองกันด้วยเหตุผลแล้วการถกเถียงในเรื่องที่มีคนไม่เห็นด้วยกับเรานั้นจริง ๆ เป็นเรื่องดี
เพราะเราจะได้เห็นมุมมองของคนอื่น

แต่โดยส่วนใหญ่เรามักจะพูดออกไปโดยไม่ไตร่ตรองก่อนเสมอ
ทำให้คำอธิบายของเราไม่สมเหตุสมผลเต็มร้อย
หรือบางทีข้อโต้แย้งก็เจือไปด้วยอารมณ์ที่ผสมอยู่
ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ฟังเหตุผลของอีกฝ่ายเลย

หลายครั้งที่สมองส่วน กิจบริหาร (executive function) ไม่สามารถทำงานได้ทัน
เราเลยพูดโดยไม่ไตร่ตรองให้ดีซะก่อน
แม้แต่คนที่ฉลาดมาก ๆ หลายคนก็เป็นแบบนี้ เพราะสำหรับเราตอนนั้น
ความจำเป็นที่จะต้องเป็นฝ่าย “ถูก” มันสำคัญกว่าการหาความจำเป็นในการหา “ความจริง”

ที่น่าสนใจอีกจุดนึง เวลาคนสองคนเถียงกัน
ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม แม้จบการเถียงกันแล้ว
ทั้งฝ่ายที่ แพ้ ชนะ หรือเสมอ ก็ยังจะคิดว่าตัวเอง “ถูก” เสมอ

เรามัวแต่พยายามจะบอกอีกฝ่ายว่าสิ่งที่เราคิดนั้น “ถูก” อย่างไร
มากกว่าที่จะสนใจกระบวนการคิดของอีกฝ่ายนึง

เราตั้งสมมติฐานโดยเอาตัวเองเป็นที่ตั้งมากเกินไป
โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายพูดสิ่งที่ไม่ตรงกับความคิดเรา
ซึ่งหลายครั้งมันทำให้เราพลาดโอกาสอะไรดี ๆ ในชีวิตไป
เพราะเราไม่สนใจหรือไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามแสดงให้เห็น
แม้ว่าสิ่งนั้นจะมีประโยชน์หรือบางครั้งอาจจะถึงขั้นช่วยชีวิตเราได้ด้วยซ้ำ


คนที่ปิดกั้น (Closed-minded people) :
คนกลุ่มนี้ไม่ชอบให้ไอเดียของพวกเขาถูกท้าทาย
พวกเขามักรู้สึกหงุดหงิดเมื่อไม่สามารถทำให้คนอื่นเห็นด้วยกับความคิดพวกเขาได้
แทนที่จะอยากรู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไร
พวกเขาสนใจที่จะพิสูจน์ว่าตัวเองถูกมากกว่าที่จะอยากรู้มุมมองของคนอื่น

คนที่เปิดกว้าง (Open-minded people) :
มักสงสัยว่าทำไมถึงเกิดการไม่เห็นด้วยเกิดขึ้น
พวกเขาไม่รู้สึกโมโหเมื่อมีคนไม่เห็นด้วยกับเขา
พวกเขาเข้าใจว่ามันมีโอกาสเสมอที่พวกเขาจะผิด
และเวลาเพียงเล็กน้อยที่จะใช้ในการพิจารณามุมมองของคนอื่นนั้น
คุ้มเกินคุ้ม เพื่อให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ครบถ้วนมากขึ้น

คนที่ปิดกั้น (Closed-minded people) :
มักจะแจ้งเพื่อทราบมากกว่าถามคำถาม

คนที่เปิดกว้าง (Open-minded people) :
มักจะถามคำถามจำนวนมากเพราะพวกเขาเชื่ออย่างแท้จริงมากเพราะอาจจะผิดก็ได้
พวกเขาจะถามคำถามอย่างจริงใจ และพวกเขาจะตั้งคำถามกับตัวเองด้วยว่า
ในเรื่องนี้เขามีความรู้ความสามารถที่จะแสดงความคิดเห็นแค่ไหน

คนที่ปิดกั้น (Closed-minded people) :
ต้องการให้คนอื่นเข้าใจตัวเองมากกว่าพยายามจะเข้าใจผู้อื่น
เมื่อคนอื่นไม่เห็นด้วยพวกเขาจะรีบสันนิษฐานก่อนว่าตัวเองไม่ได้รับความเข้าใจ
โดยไม่พิจารณาว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะเขาไม่เข้าใจมุมมองของคนอื่นก็ได้

คนที่เปิดกว้าง (Open-minded people) :
รู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องมองจากมุมมองของผู้อื่นเสมอ

ที่มา https://missiontothemoon.co/book-review-principles/

Tuesday, October 13, 2020

Inspiration

พี่น้องตระกูลไรท์

คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักแซมมวล เพียร์พอนท์ แลงค์ลีย์ ย้อนไปตอนต้นศตวรรษที่ 20

การคิดค้นเครื่องบินที่คนบังคับได้ก็เหมือนธุรกิจดอทคอม ใครๆ ก็พยายามคิดค้นวิธีสร้างเครื่องบิน

แซมมวล เพียร์พอนท์ แลงค์ลีย์ มีสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นสูตรของความสำเร็จ ทุน บุคลากร และภาวะตลาด

เขาได้เงิน 50,000 ดอลลาร์ จากกรมการสงคราม ให้คิดเครื่องจักรกลที่บินได้ ดังนั้น เงินไม่ใช่ปัญหา

เขามีตำแหน่งที่ฮาร์วาร์ด และทำงานที่สมิธโซเนียน และรู้จักคนกว้างขวาง

เขารู้จักคนเก่งๆ ทุกคนในยุคนั้น

เขาจ้างแต่คนระดับสุดยอดหัวกะทิ ด้วยเงินที่มีอยู่ และสภาวะตลาดก็เยี่ยมมาก


สองสามร้อยไมล์ห่างออกไปในเมืองเดย์ตัน รัฐโอไฮโอ

ออร์วิล กับวิลเบอร์ ไรท์ ไม่มีอะไรที่เราจะเรียกว่าเป็น ส่วนผสมของความสำเร็จเลย

เขาไม่มีเงิน เงินที่เอามาลงทุนกับความฝันของเขา คือกำไรที่ได้จากร้านจักรยานของเขา

ทุกคนในทีมของสองพี่น้องตระกูลไรท์ ไม่มีใครมีปริญญาสักคน รวมทั้งออร์วิลและวิลเบอร์เองด้วย

สิ่งที่แตกต่างคือ ออร์วิลกับวิลเบอร์ทำไปด้วยแรงผลักดัน

จากเป้าหมายที่มีความหมาย ด้วยความเชื่อ เขาเชื่อว่าถ้าเขาสามารถ คิดค้นวิธีสร้างเครื่องบินขึ้นมาได้ มันจะเปลี่ยนโลกได้

ทุกครั้งที่พี่น้องตระกูลไรท์ออกไปทดสอบเครื่องบิน พวกเขาต้องเอาอะไหล่ไปด้วยห้าชุด เพราะเขาจะทดลองแล้วทดลองอีก จนเครื่องพังถึงห้าครั้ง แล้วถึงจะยอมกลับมากินข้าวมื้อเย็น

แล้วในที่สุด วันที่ 17 ธันวาคม 1903

พี่น้องตระกูลไรท์ก็ออกบินได้สำเร็จ ไม่มีใครอยู่ร่วมรับรู้กับเขาเลยด้วยซ้ำ กว่าโลกจะรู้ข่าวก็สองสามวันหลังจากนั้น

ข้อพิสูจน์อีกอย่างว่าแลงค์ลีย์ ทำงานด้วยแรงจูงใจที่ผิด ก็คือ

วันที่พี่น้องตระกูลไรท์ทำสำเร็จ เขาก็เลิกเลย

เมื่อเขาไม่ได้เป็นคนแรก ไม่ได้เงินทอง ไม่ได้ชื่อเสียง เขาก็เลิกเลย


มาร์ติน ลูเธอร์ คิง
==========

ในฤดูร้อนปี 1963 คน 250,000 คนมารวมตัวกัน ที่ย่านการค้าในเมืองวอชิงตัน เพื่อฟัง ดร. มาร์ติน ลูเธอร์ คิง พูด

ไม่มีการส่งบัตรเชิญ ไม่มีเว็บไซต์ให้เช็ควันเวลา แล้วท่านทำได้อย่างไร ?

ดร. คิงไม่ใช่คนคนเดียวในอเมริกา ที่เป็นนักปาฐกถาที่ยอดเยี่ยม

ท่านไม่ใช่คนเดียวในอเมริกาที่ได้รับผลกระทบ จากสภาพสังคมอเมริกันก่อนที่สิทธิพลเมืองจะเบ่งบาน

ที่จริง ความคิดบางอย่างของท่านก็เป็นความคิดที่แย่ แต่ท่านมีพรสวรรค์

ท่านไม่ได้ไปคอยบอกชาวบ้านว่าเราต้องทำอะไรเพื่อเปลี่ยนอเมริกา

แต่ท่านออกไปพบปะและบอกกับผู้คนว่า “ผมเชื่อ ผมเชื่อ ผมเชื่อ”

ท่านบอกประชาชนอย่างนั้น และคนที่เชื่ออย่างเดียวกับท่าน ก็เข้ามาร่วมวง และรู้สึกว่ามันเป็นเป้าหมายของตัวเอง แล้วก็บอกต่อๆ กันไป

คนเหล่านี้ บางคนก็สร้างระบบ สำหรับกระจายข่าวสารไปยังคนในวงกว้างขึ้นอีก

ไม่น่าเชื่อครับ ปรากฏว่าคน 250,000 มาชุมนุมกัน พร้อมเพรียงในวันและเวลาเดียวกัน เพื่อฟัง ดร.คิงพูด

ในจำนวนนี้มีกี่คนครับ ที่มาเพื่อ ดร.คิง ?

ไม่มีเลย

เขามาเพราะเหตุผลของเขาเอง

เพราะสิ่งที่เขาเชื่อเกี่ยวกับอเมริกา ที่ทำให้เขากระโดดขึ้นรถโดยสาร เดินทางมาแปดชั่วโมง เพื่อยืนตากแดดกลางเดือนสิงหาคมที่วอชิงตัน เขามาเพื่อสิ่งที่เขาเชื่อ ซึ่งไม่ใช่เรื่องของคนดำหรือคนขาวด้วย 25% ของคนที่มาวันนั้นเป็นคนขาว

ดร.คิงเชื่อว่า โลกนี้มีกฎหมายอยู่สองประเภท

แบบที่เขียนโดยคนมีอำนาจ กับแบบที่เขียนโดยประชาชน

เราต้องทำให้กฎหมายทุกอย่างที่เขียนด้วยประชาชน กับกฎหมายที่เขียนโดยผู้มีอำนาจสอดคล้องกันเสียก่อน

เราถึงจะได้อยู่ในโลกที่ยุติธรรมอย่างแท้จริง กลุ่มการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมือง เป็นกลุ่มที่ช่วยสนับสนุน ดร.คิง ในการทำความคิดนี้ให้เป็นจริง

เราเดินตามท่าน ไม่ใช่เพื่อตัวท่าน แต่เพื่อตัวเราเอง

ปาฐกถาที่ท่านพูดชื่อว่า “ผมมีความฝัน”

การเลือกคนเข้ามาทำงานร่วมกัน

หากแรงบันดาลใจ คือ เงิน เขาก็จะทำงานเพื่อเงิน



คัดย่อจาก https://donottellmyboss.com/start-with-why/

Monday, October 12, 2020

Entrepreneur

การจะเป็นเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จนั้น คุณต้องมีคุณสมบัติสามอย่างคือ
มีทักษะเชิงเทคนิค (เป็นผู้ชำนาญการ) เชิงการจัดการ (เป็นผู้จัดการ) และเชิงวิสัยทัศน์ (เป็นผู้ประกอบการ)
การขาดอันใดไปคือหนึ่งในสาเหตุแห่งความล้มเหลวของธุรกิจ

ที่มา หนังสือ เป็นเจ้าของกิจการที่รุ่งทะยานเกินใคร
The E-Myth Revisited

The Founder

 ถอดรหัส 10 แนวคิดการสร้างธุรกิจ McDonald
จากหนังเรื่อง The Founder อยากรวย ต้องเหนือเกม

1. ธุรกิจต้องมีจุดขายที่เด่นๆอย่างน้อย 1 เรื่องที่สามารถเอาชนะคู่แข่งหรือสิ่งเดิมๆที่มีอยู่แล้วในตลาดได้ เช่นในเรื่อง 2 พี่น้อง McDonald (Muarice & Richard) ได้คิดค้นระบบปฏิบัติการของ้รานอาหารที่สามารถพร้อมเสิร์ฟได้ใน 30 วินาที แทนที่จะเป็น 3 หรือ 30 นาที และอาหารต้องไม่ผิด สะดวกและลดความยุ่งยากในการจัดหาที่นั่งในร้านหรือเดินไปเสิร์ฟที่รถซึ่งมีปัญหาเสิร์ฟผิดบ่อยมาก (ยุคนั้นคนอเมริกันยังนิยมสั่งอาหารจากในรถ และพนักงานยกใส่ถาดมาให้ทานถึงที่จอดรถ)

2. เราต้องหัดเป็นคนขี้สงสัยและตั้งคำถามท้าทายตัวเราบ่อยๆ เช่นทำไมของบางอย่างอยู่ๆถึงขายไม่ได้หรือบางสิ่งดันขายดีขึ้นมาแบบผิดปกติ และเมื่อเจอสิ่งที่สงสัย น่าสนใจ หรืออะไรที่ผิดปกติธรรมชาติ เราต้องรีบเข้าหาความจริงด้วยตัวเองเพราะสิ่งที่ผิดปกตินั้นมักจะนำ 2 สิ่งมาหาเราคือโอกาสใหญ่หรือไม่ก็ความเสียหายมหาศาล

3. อดทน ยืนระยะ (พระเอกเรียกตื้อ) คือพื้นฐานหลักของความสำเร็จ การไม่ยอมแพ้ง่ายๆจะทำให้เราอยู่รอดไปจนถึงวันที่โอกาสของเรามาถึง

4. อย่าปล่อยให้คำดูถูกถากถางมามีอิทธิพลกับชีวิตเรา และใครที่พูดอะไรขยะๆแบบนี้เราก็ควรเอาตัวออกห่าง จำไว้เสมอว่าโลกจะจดจำคุณในสิ่งที่คุณสำเร็จและทุกสิ่งที่คุณล้มเหลวมาก่อนหน้าจะถูกขุดรวมมายกย่องรวมไว้ด้วยกันเสมอ

5. มีสัญชาติญาณในการมองหาโอกาสใหม่ๆตลอด Hunger for Try on New Opportunity

6. การทดลองทำจริงสำคัญมาก แม้จะเป็นแค่ทำแบบการจำลองสถานการณ์ก็ตาม แต่การทดลองทำ ปรับแก้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพอมจแล้วจึงควักเงินจ่ายจริงๆนั้นจะช่วยลดความเสี่ยงให้เราได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ ในเรื่องนั้นฉากที่ 2 พี่น้องลงมือวาดแปลนร้านลงบนสนามเทนนิสแล้วให้พนักงานทดลองเคลื่อนไหวสมมติจนได้แปลนร้านที่ต้องการนี่สุดยอดมาก

7. การมีภาพเป้าหมายไว้แค่ในฝันนั้นไม่พอ แต่คุณต้องทำมันมาให้เห็นและจับต้องได้ด้วย วาด เขียนพูดอัดเสียงหรือปรินท์มันออกมาแปะใส่ห้องไว้

8. คุณไม่มีทางทำธุรกิจได้ดีถ้าไม่เข้าใจเรื่องการเงินและโครงสร้างรายรับ-รายจ่ายได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอันไหนเป็นค่าใช้จ่ายหลัก เราต้องการหาทางควบคุมให้อยู่ในมือให้ได้ ในเรื่องนั้นผู้ช่วยคนใหม่ของ Ray ได้ชี้ให้เห็นชัดเจน 2 เรื่องว่า ธุรกิจMcDonald จริงๆแล้วโอกาสของการสร้างรายได้คือไม่ใช่การมานั่งขายอาหารได้กำไรชิ้นละไม่กี่เซนต์ แต่มันการคือบริหารที่ดินให้เช่าเพื่อมาเปิดเป็นร้านขายแฮมเบอร์เกอร์ ชื่อ MaCDonald ดังนั้น Ray ต้องเป็นคนควบคุมตรงนี้ ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้เช่าหรือ Franchisee ไปจัดการกับธนาคารกันคนละทิศละทางแต่ Ray ต้องรวบค่าใช้จ่ายเหล่านั้นให้มากลับมาเป็นรายได้ของบริษัท ซึ่งตรงนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของ McDonald เลยก็ว่าได้

วิธีการคือแบบนี้ครับ
แบบเดิม McDonald ขายเฉพาะแฟรนไชส์โดยได้รับส่วนแบ่งจากการขายและกำไรเท่านั้น ส่วนผู้ซื้อแฟรนไชส์ไปจัดการทุกอย่างเอง เช่นหาทำเล ตกแต่ง ต่อรองเงินกู้กับธนาคาร ฯลฯ
แบบใหม่ McDonald ขายสิทธิการเช่าที่ดินตรงนี้เพื่อใช้เปิดเป็นร้าน McDonald เท่านั้น โดยที่ดินเหล่านี้ McDonald จัดหา ต่อรองดอกเบี้ยกับธนาคาร และกำหนดอัตราค่าเช่าให้เอง (เหมือนขายความสะดวกให้กับผู้ต้องการเปิดร้านไปในตัว ว่าไม่ต้องไปเตรียมอะไรให้ยุ่งยาก แค่เดินถือเงินเข้ามาก็เปิดร้านได้ทันที) McDonald ได้ประโยชน์ตรงที่เป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมาก เป็นเจ้าของวงเงินกู้รายใหญ่จึงมีอำนาจต่อรองกับธนาคารเพื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษได้

ผลที่เปลี่ยนไปคือ ผู้เช่าจ่ายค่าเช่าตรงกับ McDonald ในอัตราที่กำหนดและต้องจ่ายเป็นประจำทุกเดือน ไม่ว่าจะขายได้หรือไม่ได้ ทำให้ McDonald มีเงินสดจำนวนมากพอเข้าบริษัทประจำสม่ำเสมอและจริงๆก็มากกว่ากว่าส่วนแบ่งกำไรเสียด้วย

9. เปิดใจรับคนใหม่มาร่วมทีมเสมอ เราไม่ได้เก่งทุกเรื่องดังนั้นเราต้องหาคนที่ช่วยเราได้มาอยู่กับเรา และเมื่อได้เค้ามาแล้วเราต้องดูแลเค้าอย่างดี

10. สัญญาต้องเป็นสัญญา และสัญญานี้หมายถึงเอกสารที่ผ่านตาผู้เชี่ยวชาญและมีการลงนามแล้วเท่านั้น อย่าเชื่อคำคนแม้สมัยนี้จะมีรูปถ่าย มีไฟล์เสียง แต่สัญญาที่เป็นเอกสารยังสำคัญที่สุดเสมอ

หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง ดูแล้วจะได้เห็นถึงที่มาของร้าน McDonald ในทุกแง่มุม ซึ่งหนังแสดงให้เห็นถึงด้านที่สวยงามของการทำธุรกิจตามปรัชญาของผู้ก่อตั้ง (ตัวจริง) กับด้านมืดของการทำธุรกิจจากผู้มองเห็นและกล้าฉวยโอกาสนั้นไว้โดยไม่สนว่าจะได้มาด้วยวิธีใด

ที่มา https://www.facebook.com/trickofthetrade/photos/a.677773965589261/1453234421376541/

Saturday, October 10, 2020

Gambattekudasai

"พยายามเข้านะ"

ผมมีลูกสาว 2 คน
ทั้งคู่อยู่ในวัยเริ่มต้นของการเรียนทั้งคู่
การมีลูกสาวที่อยู่ในวัยเริ่มต้นของการเรียน
ทำให้ผมเจอ Norm (ภาษาไทยแปลว่าบรรทัดฐาน) 
ของสังคมพ่อแม่ในเมืองหลวงไทย

คือ ….
เด็กเล็ก ๆ หนึ่งคนถูกจับให้เรียนทุกอย่างที่คิดว่าโลกนี้ต้องการ

ลูกเราต้องเรียน และเก่ง คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ 
ลูกเราต้องเรียน และเก่ง ภาษา อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี สันสกฤต บาลี  
ลูกเราต้องเรียน และเก่ง กีฬา 
ลูกเราต้องเรียน และเก่ง ดนตรี ร้องเพลง
ลูกเราต้องเรียน และเก่ง ศิลปะ วาดรูป ปั้นดินน้ำมัน
ลูกเราต้องเรียน และเก่ง ทำอาหาร 
ลูกเราต้องเรียน และเก่ง นำเสนอ พูดจา
ลูกเราต้องเรียน และเก่ง คิดดี คิดบวก 
ลูกเราต้องเรียน และเก่ง เข้าสังคม 
ลูกเราต้องเรียน และเก่ง เป็นผู้นำ 
และอีกหลาย ๆ เก่ง 


จนผมคิดว่าเมืองไทยน่าจะเป็นประเทศที่จัดทำหลักสูตรพัฒนาความเก่งของเด็กออกมาได้มากที่สุดในโลก  
และ อนาคตของประเทศไทยคงจะพัฒนาเจริญก้าวไกลอย่างแน่นอน
เพราะปัจจุบันว่าเด็กไทยของเราถูกทำให้เก่งทุกเรื่องตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 6 ขวบ !!! 

ไว้เราค่อยไปดูกันในอีกประมาณ 10-20 ปีข้างหน้านี้

...

มีอยู่วันหนึ่ง
ผมเผอิญไปเปิด TED Talk ตอนหนึ่งดู

มันเป็นตอนที่มีชื่อว่า 
The Key to success “กุญแจสู่ความสำเร็จ”

มันเป็นเรื่องของคุณแอนเจล่า ลี ดั๊กเวิร์ธ 
เธอมาเล่าประสบการณ์และงานวิจัยของเธอให้ฟังว่า 
เธอเคยเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ให้เด็กเกรดเจ็ดในโรงเรียนเทศบาลนิวยอร์ก 
จากประสบการณ์ทำงานในครั้งนั้น 
สิ่งที่เธอแปลกใจคือ ไอคิว ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เด็กเรียนดีที่สุดและอ่อนที่สุด
เด็กที่ผลการเรียนดีที่สุดบางคน ไม่ได้มีคะแนนไอคิวที่สูง
แล้วเด็กที่ฉลาดที่สุดบางคนก็ไม่ได้มีผลการเรียนที่ดี

เธอเก็บความสงสัยนี้ไว้

จนเมื่อไปเรียนต่อปริญญาโทด้านจิตวิทยา 
เธอทำวิจัยโดยการศึกษาทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ 
ภายใต้โจทย์ที่สุดแสนท้าทายที่เธอสงสัยมานาน คือ  

คนแบบไหนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต และทำไม 

เธอและทีมวิจัยใช้กลุ่มตัวอย่างหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น

ศึกษากลุ่มทหารเวสท์พอยท์ 
โดยดูว่านายร้อยคนใด สามารถอยู่ฝึกต่อจนจบ 
และใครจะลาออกก่อน 

ศึกษาผู้เข้าแข่งขันในการแข่งขันสะกดคำแห่งชาติ 
เพื่อดูว่าเด็กคนไหนจะไปได้ไกลที่สุดในการแข่งขัน 

ศึกษาคุณครูมือใหม่ ที่ต้องทำงานในโรงเรียนที่ยากลำบาก 
เพื่อดูว่าครูคนใดจะยังคงสอนอยู่ต่อไป เมื่อจบปีการศึกษา 

ศึกษา Sale-man ใครคือผู้ที่จะยังรักษายอดขายไว้ได้ 
และใครจะเป็นผู้ที่ทำยอดขายได้สูงสุด 

จากบริบทที่แตกต่างกันทั้งหมดนี้ ผลวิจัยที่ออกมา มีคุณสมบัติหนึ่งที่ช่วยพยากรณ์ความสำเร็จของคนได้ชัดเจนมาก 

ซึ่งมันไม่ใช่ความฉลาดในการเข้าสังคม 
ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่ดูดี 
ไม่ใช่ความแข็งแรงของร่างกาย
และ…
ไม่ใช่ความฉลาด หรือคนที่มีไอคิวสูง 

แต่

มันคือ 
ความเพียร ความพยายาม (Grit)
ที่เป็นตัวพยากรณ์ว่า
คนที่มีสิ่งนี้อยู่ในตัว 
จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่าคนประเภทอื่น ๆ 


ข้อคิดจากผลงานวิจัยของคุณแอนเจล่า ลี ดั๊กเวิร์ธ
ทำให้กลับมามองย้อนสังคมของเรา 
ที่มุ่งสอนเพื่อให้เด็กเรียนเพื่อไปทำข้อสอบให้เก่ง 
และต้องเป็นคนที่ทำได้เก่งในทุกเรื่อง

แต่…
เราได้สนใจในการทำให้เด็กของเรามีทัศนคติในเรื่องความเพียร ความพยายาม หรือเปล่า

ผมมี Clip อยู่ Clip หนึ่ง 
ที่สะท้อนถึงการสร้างทัศนคติในการทำอะไรแบบไม่ยอมแพ้ ไม่ท้อถอย
น่าจะเป็น Clip ที่ถ่ายมาจากงานแสดงความสามารถของเด็กโรงเรียนที่ญี่ปุ่น
ผมว่าหลายคนน่าจะเคยผ่านตามาบ้างแล้ว

https://www.youtube.com/watch?v=EPagPSyubyo

ลองชวนกันคิดจากเหตุการณ์ใน Clip นี้
ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชาติญี่ปุ่น ถึงกลายเป็นชาติที่เจริญก้าวหน้า 
เพราะการสร้างทัศนคติของผู้คนในประเทศให้มีความพยายาม ความตั้งใจ และต้องทำให้สำเร็จถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ๆ 

ถ้าเทียบกับเมืองไทย ผมคิดว่าตั้งแต่การกระโดดที่ไม่ผ่านในครั้งแรกของเด็ก 
คุณครู พ่อ และ แม่ต้องรีบวิ่งกันเข้าไปโอ๋ และกอดเด็กเพื่อปลอบโยน โดยพาไปซื้อน้ำ ซื้อขนมกินเรียบร้อยแล้วครับ

ผมมีอีกเรื่องครับ

คำให้พรของคนไทยส่วนใหญ่จะใช้คำว่า 
“ขอให้โชคดี”

ส่วนคำให้พรของคนญี่ปุ่น ส่วนใหญ่เขาจะใช้คำว่า 
“がんばってください” gambattekudasai 
มันแปลว่าอะไรรู้ไหมครับ

แปลว่า
"พยายามเข้านะ"

คุณเห็นความแตกต่างอะไรในจุดนี้ไหม
.....

Link TED Talk ตอน The Key to success “กุญแจสู่ความสำเร็จ”

https://www.ted.com/talks/angela_lee_duckworth_the_key_to_success_grit

ที่มา ซามูไรพ่อลูกสอง
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=963180477100777&id=932509903501168

Separate lifes

Part II
 
เคยคุยกับเพื่อนคนนึงที่คบกับแฟนมายาวนานหลายปีตั้งแต่สมัยเรียน แล้วอยู่ดีๆเลิกกัน เป็นเรื่องน่าสงสัยในหมู่เพื่อนมากว่า อีคู่ที่ดูไม่มีอุปสรรคใดๆ ดูรักกันมาก รักกันจนแพลนวันแต่งงานไว้แล้วเรียบร้อย 
 
อะไรทำที่ทำให้พวกมึงเลิกกัน
 
อีมิ้ง ฝ่ายหญิงเล่าให้ฟังว่า ชีวิตรักของมันก็ดูปกติดีมาเรื่อยๆ มีช่วงรักและมีช่วงทะเลาะเหมือนคู่รักทั่วไป แต่ช่วงสี่ห้าปีหลังแฟนของมันทำงานหนักมาก ทำให้หลังๆมีปัญหากันบ่อย ยิ่งนานวันสิ่งที่เยอะขึ้นคือความไม่เข้าใจ สวนทางกับความสัมพันธ์ของพวกมันที่ถดถอยไปเรื่อยๆ 
 
แฟนของมันกลับบ้านดึกบ่อยขึ้น หลายครั้งก็ไม่กลับ และเริ่มละเลยอะไรหลายๆอย่าง ความเอาใจใส่ในฐานะแฟนน้อยลง คุยกันน้อยลง และมีอารมณ์หงุดหงิดมากขึ้น 
 
มิ้ง : บางวันเราแทบไม่คุยกันเลยมึง รักกันนะ แต่เหมือนพอเห็นหน้ากันก็เริ่มหงุดหงิดแล้วอะ 
ช่า : ทะเลาะกันบ่อยมั้ยวะ?
มิ้ง : ทะเลาะกันจริงๆอะไม่บ่อย แต่กูพยายามคุยเรื่องนี้บ่อย ซึ่งแทบทุกครั้งไม่เคยได้เคลียร์กัน 
ช่า : แล้วจบยังไงอะ?
มิ้ง : นอน แยก ไม่งั้นเค้าก็กลับไปทำงาน แล้ววันรุ่งขึ้นก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้ความรู้สึกไม่ดีลอยอยู่แบบนั้น หนักเข้าก็มีหงุดหงิดหาว่ากูงอแงไม่เข้าใจ หลังๆกูเลยเลิกคุยละ เงียบดีกว่า
ช่า : เค้าพึ่งมาเป็นป้ะ?
มิ้ง : มันไม่ได้พึ่งเกิดขึ้นนะ มันเป็นแบบนี้มาหลายปีแล้ว 
ช่า : แล้วทำไมมึงยอมให้มันเป็นแบบนี้มาตั้งนานวะ?
  

"ก็เพราะกูรักมันไง" 
 

ซึ่งก็น่าจะจริง มันสองคนเป็นคนที่ไม่ว่าใครมองก็รู้ว่ารักกันมาก และอีมิ้งก็ใช้ความมั่นคงในความรักหล่อเลี้ยงความรู้สึกตัวเองมาตลอด  
 
"ไม่เป็นไรหรอกมึงเค้าก็เป็นแบบนี้แหละ"
"เอาน่ามึง กูมีความสุขดีไม่เป็นไร" 
 
คำพูดพวกนี้มักออกมาจากปากนางเสมอเวลาเพื่อนพูดถึงเรื่องมันกับแฟน และสุดท้ายการพยายามเข้าใจก็กลับมาเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มันตัดสินใจขนของออกจากบ้านไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
  
มิ้ง : แล้วกูก็รู้นะว่าเค้ารักกูมาก หลายปีมานี้กูเลยพยายามประคองทุกอย่างไว้เพราะคิดว่าวันนึงเค้าคงจะเข้าใจ และเราคงจะปรับตัวกันได้
ช่า : มึงว่าอะไรที่ทำให้มึงทนไม่ไหว?
มิ้ง : ไม่มีอะไรที่กูทนไม่ไหว กูเข้าใจได้ทุกอย่าง แต่กูอยู่กับความสัมพันธ์ที่มันห่างเหินมานานมาก นานมากจนสำหรับกูมันกลายเป็นเรื่องปกติ 
ช่า : มันปกติได้ด้วยเหรอวะ?
มิ้ง : อีปกตินี่แหละที่แย่ สมมุติว่ามึงมีแฟนแล้วมันต้องเสียใจเป็นปกติ น้อยใจเป็นปกติ ต้องอยู่กับความรู้สึกโดดเดี่ยวจนเป็นเรื่องปกติ มึงเชื่อดิว่าอีความที่มึงเสือกปกตินี่แหละเป็นสัญญาณที่เหี้ยที่สุด
ช่า : เพราะ?
มิ้ง : เพราะมึงไม่ได้ต้องการอีกแล้วไง กูไม่ได้เลิกกับเค้าเพราะกูทนไม่ไหว แต่กูเลิกกับเค้าเพราะความสัมพันธ์ของเรามันห่าง
  

 
"มันห่างจนกูรู้สึกว่าวันนี้กูไม่มีเค้าก็ไม่เป็นไร"
  

 
เรื่องที่น่ากลัวอีกเรื่องในความสัมพันธ์ที่จริงจังและยาวนาน คือการชินชากับความรู้สึกแย่ที่ก่อตัวขึ้นมาเงียบๆระหว่างคนสองคน
 
ในบ้านเดียวกัน หลังคาเดียวกัน กับคนที่รักกัน แต่เรากลับยิ่งห่างกันเพราะความไม่เข้าใจบางอย่าง แต่เราก็ซุกปัญหาทำเป็นว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น เราอดทน และยอมทำอะไรหลายๆอย่างที่เราไม่เคยคิดว่าจะทำ เพราะคิดว่ารักจะแก้ปัญหาได้
 
แต่ความรักกลับกลายเป็นตัวการที่ทำให้ปัญหายิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก
 
อีกฝ่ายไม่ใส่ใจเพราะคิดว่ายังไงก็รักกัน ส่วนอีกฝ่ายก็คิดว่าเพราะรักกันนี่แหละก็เลยต้องอดทน ความสัมพันธ์ที่มีพื้นฐานเดียวกันแต่เดินกันคนละทิศ สุดท้ายก็จบลงโดยที่ต่างฝ่ายต่างก็ยังรักกัน 
 

"แย่กว่าทนไม่ไหว คือวันที่มึงดันชินจนไม่ต้องใช้ความอดทนอะไรกับเรื่องที่มึงเคยต้องทนอีกแล้ว"
 

อีมิ้งพูดปิดประโยคนี้ไว้ด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มความนอยไว้ 

สุดท้ายแล้วเรื่องของมิ้งก็บอกอะไรหลายอย่าง ทุกความสัมพันธ์และทุกความรักไม่มีอะไรแน่นอนจีรังยั่งยืนเสมอไป วันนี้รักกัน ต่อไปก็อาจจะรักกันมากขึ้น แต่บางคนก็อาจจะรักกันน้อยลง และหลายคนก็หมดรักกันไป 
 
ตัวแปรสำคัญกลับไม่ใช่เวลา เวลากลายเป็นเพียงถนนระยะยาวที่คนสองคนต้องเดินไปด้วยกันแค่นั้น ปลายทางความสัมพันธ์จะเปลี่ยนไปในรูปแบบไหน
  

ขึ้นอยู่กับว่าเราดูแลกันยังไงในระหว่างนั้น
  

มิ้ง : แฟนกูเคยพูดไว้วันที่เลิกกัน ว่าเค้าคิดว่ายังมีเวลาอีกมากที่เราจะได้คุยได้ปรับตัวเข้ากัน เค้าขอโอกาสให้เค้าได้ทำได้มั้ย
ช่า : มึงตอบว่าไงอะ?
มิ้ง : กูขอบคุณที่เค้าขอโอกาสกู และขอให้เค้าเข้าใจว่ากูเองก็ขอโอกาสไปตามทางที่กูเลือกไว้เหมือนกัน
ช่า : โหดสัส
มิ้ง : มึง เวลามันเป็นสิ่งมีค่าที่ได้มาโคตรง่าย คนเลยไม่ค่อยเห็นคุณค่าของมัน ถ้าถามกู เวลาที่เค้าขอจากกู ทำไมกูจะไม่มีให้
  

แต่ความรู้สึกกูต่างหากที่มันไม่เหลืออะไรแล้ว
 
 
มึงรักใครก็ใช้เวลาที่มีกับคนนั้นให้ดีนะ
 
 
รัก
 
ช่า บันทึกของตุ๊ด
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3904834146197735&id=310072402340612

Steve Jobs speech

“จงหิวโหย จงโง่เขลาอยู่เสมอ” 

“จงกล้าหาญอยู่เสมอที่จะทำตามหัวใจ และสัญชาตญาณของตัวเอง”

“ถึงแม้บางครั้งชีวิตจะเล่นตลกกับคุณบ้าง แต่จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณเชื่อ”

“ต้องเชื่อมั่นและศรัทธาในบางสิ่งบางอย่างอย่างแน่วแน่”

- STEVE JOBS ‘SPEECH 

สุนทรพจน์ที่ทรงพลังและสร้างแรงบันดาลใจของสตีฟ จ็อบสฺ ในพิธีมอบปริญญาบัตรมหาวิทยาลัย สแตนฟอร์ด 12 มิถุนายน 2005 …
       
       
ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่วันนี้ได้มาร่วมในพิธีมอบปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยที่ถือว่ามีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในโลก ความจริงที่ทุกคนรู้กัน ผมไม่เคยจบมหาวิทยาลัย และครั้งนี้เป็นครั้งที่ผมได้เข้าใกล้พิธีรับปริญญาบัตรมากที่สุดในชีวิต
       
       
วันนี้ผมอยากจะขอเล่าเรื่องสามเรื่องในชีวิตผม สามเรื่องแค่นั้น เรื่องแรกคือ การลากเส้นต่อจุด ผมลาออกจากมหาวิทยาลัย Reed หลังจากที่เรียนไปได้แค่ 6 เดือน แต่ก็ยังแอบเนียนเรียนต่ออยู่อีกราว 18 เดือนก่อนจะออกจริงๆ
       
       
แล้วเพราะอะไรผมถึงลาออก สาเหตุนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนผมเกิด แม่ที่ให้กำเนิดผมเป็น นักศึกษาสาวท้องก่อนแต่ง เธอตัดสินใจยกผมให้คนอื่นรับไปเลี้ยงดูแทน โดยตั้งใจไว้ว่าคนที่รับผมไปเลี้ยง จะสามารถเลี้ยงดูผมได้จนจบปริญญา
       
       
ทุกอย่างจึงจัดเตรียมไว้เรียบร้อยว่าผมจะได้พ่อบุญธรรมที่เป็นทนายความกับภรรยารับไปเลี้ยง ทุกอย่างดูลงตัวจนกระทั่งผมเกิดออกมา พ่อแม่บุญธรรมที่เลือกผมไว้กลับเปลี่นใจอยากได้ลูกผู้หญิง
       
       
ดังนั้นพ่อแม่ปัจจุบันของผม ซึ่งมีชื่อยู่ในรายชื่อที่รอคอยอุปการะ จึงได้รับโทรศัพท์กลางดึกคืนนั้น ปลายสายถามว่า "เราบังเอิญได้เด็กทารกผู้ชายพวกคุณอยากรับไปเลี้ยงไหม?" พ่อแม่ผมก็ตอบไปว่า "รับ"
       
       
แต่แม่ที่ให้กำเนิดผมมารู้ที่หลังว่า แม่บุญธรรมของผมไม่ได้จบปริญญา ส่วนพ่อบุญธรรมก็ไม่ได้เรียนจบมัธยมปลาย เลยเปลี่ยนใจไม่ยอมเซ็นเอกสารยกผมให้พ่อแม่บุญธรรมไปอุปการะ เธอลังเลใจอยู่นาน แต่ในที่สุดก็ยอมยกผมให้ เพราะพ่อแม่บุญธรรมผมสัญญาไว้ว่าจะเลี้ยงดูผมจนจบปริญญาให้ได้
       
       
นี่คือจุดเริ่มต้น ของชีวิตผม
       
       
17 ปีต่อมา ผมก็ได้เข้ามหาวิทยาลัย แต่ด้วยความไร้เดียงสา ผมดันเลือกไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ค่าเทอมแพงเกือบเท่าสแตนฟอร์ด แล้วผมก็ใช้เงินเก็บของพ่อแม่ตัวเอง ที่เป็นคนทำงานกินเงินเดือนมาเป็นค่าเทอม
       
       
หลังจากเรียนไปได้ 6 เดือน ผมก็รู้สึกไม่เห็นจะได้อะไรจากสิ่งที่เรียนไป แล้วก็ไม่เห็นว่าการเรียนในมหาวิทยาลัยจะช่วยให้ผมรู้จักตัวเองมากขึ้น แล้วผมจะผลาญเงินเก็บที่พ่อแม่ผมหามาชั่วชีวิตไปทำไม
       
       
ผมเลยตัดสินใจลาออก ได้แต่ภาวนาขอให้เรื่องทุกอย่างลงเอยด้วยดี ที่จริงผมก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน แต่เมื่อมองย้อนกลับไป มันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของผมเลยทีเดียว ทันทีที่ผมลาออก ทำให้ผมไม่ต้องเรียนวิชาที่ไม่อยากเรียน และเลือกเรียนแต่วิชาที่อยากมากกว่า
       
       
แต่ชีวิตไม่ง่ายเหมือนในนิยาย ผมไม่มีหออยู่เลยต้องอาศัยพื้นห้องเพื่อนเป็นที่นอน ต้องเก็บขวดโค้กไปแลกเงินขวดละ 5 เซนต์ เพื่อนำเงินไปซื้อข้าว แล้วก็ต้องเดินทางไปโบสถ์ทุกคืนวันอาทิตย์ระยะทาง 5 ไมล์ เพื่อหาอาหารดีๆทานสักมื้อ แต่ผมก็ชอบนะ
       
       
แล้วการที่ผมทำตามสัญชาตญาณอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง ภายหลังกลับกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาล ยกตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัย Reed ในตอนนั้นมีวิชาการประดิษฐ์ตัวอักษร ที่อาจะเรียกได้ว่าดีที่สุดในประเทศ ทั่วทั้งมหาวิทยาลัย โปสเตอร์ หรือป้ายที่ติดตามบอร์ดต่างๆ ล้วนมือแต่ตัวหนังสือที่เขียนด้วยมือ
       
       
เพราะผมลาออกเลยไม่ต้องไปเรียนวิชาบังคับ ผมจึงได้เรียนวิชาประดิษฐ์ตัวอักษร และเรียนรู้วิธีประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นมา เรียนรู้ว่าแบบตัวพิมพ์ Serif หรือ Sen Serif คืออะไร เรียนวิธีการวางช่องไฟระหว่างตัวอักษร การออกแบบตัวอักษรให้สวย ทำอย่างไร
       
       
มันกลายเป็นศิลปแขนงหนึ่งที่สวยงาม และใช้การออกแบบที่ละเอียดอ่อนขนาดที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถทำได้เหมือน และที่สำคัญผมหลงใหลกับวิชานี้มากทีเดียว แต่ผมไม่เคยคิดว่าผมจะเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้ประโยชน์อะไรในชีวิต
       
       
จนกระทั่ง 10 ปีต่อมา เมื่อผมกับเพื่อนออกแบบเครื่อง แมคอินทอช เครื่องแรก จึงได้รื้อฟื้นวิชาพวกนี้ขึ้นมาอีกครั้ง และดีไซน์ตัวอักษรทั้งหมดลงไปในเครื่องแมค จึงกลายเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีการออกแบบตัวหนังสืออย่างสวยงาม
       
       
ถ้าไม่ใช่เพราะผมเลือกเรียนวิชานั้น เครื่องแมคคงไม่มีแบบตัวอักษรที่หลากหลาย และการจัดช่องไฟที่สวยงามแบบนี้ และถ้า วินโดวส์ ไม่ได้มาลอกเลียนแบบจาก แมค ไป คงไม่มีคอมพิวเตอร์เครื่องไหนในปัจจุบันที่มีฟอนต์สวยงามแบบนี้
       
       
ถ้าผมไม่ได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยตอนนั้น ผมคงไม่ได้เรียนวิชาออกแบบตัวอักษร และคอมพิวเตอร์ทุกวันนี้คงไม่มีฟอนต์สวยๆแบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน แน่นอนว่าคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าผมจะพยายามลากเส้นต่อจุดอนาคตของตัวเองตอนที่ผมเรียนอยู่ แต่เมื่อมองย้อนกลับไป 10 ปีให้หลังจุดแต่ละจุดนั้นมันชัดเจนมากๆ
       
       
ดังนั้น ผมขอบอกว่าเราไม่สามารถลากเส้นต่อจุดเมื่อมองไปในอนาคต เราจะเห็นมันก็ต่อเมื่อ เรามองย้อนกลับไปในอดีตเท่านั้น จึงต้องเชื่อว่าจุดทั้งหลายที่ผ่านมาในชีวิตคุณ มันจะหาทางลากเส้นต่อเข้าหากันเองในอนาคต
       
       
ต้องเชื่อมั่นและศรัทธาในบางสิ่งบางอย่างอย่างแน่วแน่ เพราะความเชื่อที่เรามีต่อจุดแต่ละจุดนั้น ในที่สุดมันจะเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเอง และมันจะให้ความมั่นใจทำตามสิ่งที่หัวใจคุณต้องการ ถึงแม้บางครั้งมันอาจจะพาคุณออกนอกเส้นทางบ้าง และสิ่งนั้นจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน
       
       
เรื่องที่สองของผมเกี่ยวกับความรัก และการสูญเสีย ผมโชคดีที่ผมค้นพบสิ่งที่ผมรักตั้งแต่อายุยังน้อย ผมกับวอซเริ่มทำบริษัท แอปเปิล ด้วยกันในโรงรถของพ่อตอนอายุ 20 ปี เราทำงานกันอย่างหนัก 10 ปีต่อมา แอปเปิลเติบโตจากเรา 2 คนที่ทำงานกันในโรงรถกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่า 2,000 ล้านเหรียญ พนักงงานมากกว่า 4,000 คน
       
       
เราเปิดตัวยวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเราอย่าง แมคอินทอช ปีเดียวก่อนที่ผมจะอายุครบ 30 หลังจากนั้นผมก็ถูกไล่ออก คนเราจะถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองสร้างขึ้นมาได้อย่างไร? ก็คือว่าในขณะที่ แอปเปิล เติบโตขึ้น เราก็จ้างคนที่ผมคิดว่ามีความสามารถมาก มาบริหารบริษัทกับผม
       
       
ช่วงปีแรกผ่านไปด้วยดี แต่หลังจากนั้นวิสัยทัศน์ก็เริ่มไปคนละทิศละทาง จนในที่สุดก็ถึงขั้นแตกหัก และกรรมการบริษัทคนอื่นก็เข้าข้างผู้บริหารคนนั้นด้วย ผมจึงถูกไล่ออกตอนอายุ 30 แล้วก็เป็นการออกที่ครึกโครมด้วย
       
       
ผมสูญเสียสิ่งที่ทุ่มเทมาตลอดในช่วงวัยทำงานของผม หลังจากเหตุการณ์นั้นผมเสียศูนย์ไปหลายเดือน เพราะผมรู้สึกเหมือนตัวเองทำให้นักธุรกิจในยุคก่อนหน้าผมต้องเสื่อมเสีย เหมือนกับเป็นวาทยากรที่ทำให้ไม้บาตองที่รับสืบทอดมาตกลงไป
       
       
ผมได้พบกับ เดวิด แพกการ์ด และ บ็อบ นอยซ์ เพื่อขอโทษที่ผมทำให้วงการเสื่อมเสีย ความล้มเหลวของผมเป็นข่าวดังครึกโครมจนผมอยากจะหนีไปจากวงการคอมพิวเตอร์ แต่ก็มีบางอย่างเริ่มชี้ทางสว่างแก่ผมว่า ยังไงผมก็รักสิ่งที่ผมทำ
       
       
เหตุการณ์พลิกผันใน แอปเปิล ไม่ได้เปลี่ยนความรักนั้นแม้แต่น้อย ผมถูกปฏิเสธ แต่ผมก็ยังรักมัน จึงตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ ผมได้เรียนรู้ทีหลังว่าการที่ถูกไล่ออกจากแอปเปิล เป็นสิ่งที่ดีที่สุดอีกอย่างหนึ่งในชีวิต จากเมื่อก่อนที่ต้องแบกความสำเร็จไว้บนบ่ามาตลอด ถูกแทนที่ด้วยความโล่งสบาย ที่ได้กลับมาเป็นมือใหม่อีกครั้ง มั่นใจน้อยลง
       
       
แล้วสิ่งนี้ก็ช่วยปลดปล่อยให้ผมกลับสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดในชีวิตของผม 5 ปีต่อมา ผมตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT แล้วก็ Pixar และต่อมาก็ได้พบรักกับลอว์เรนซ์ซึ่งต่อมาเป็นภรรยาของเขา
       
       
Pixar ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลกนั่นคือ Toy Story และขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก และต่อมาเหตุการณ์กลับตาลปัตรแอปเปิลกลับมาซื้อ NeXT ซึ่งทำให้ ผมได้กลับคืนสู่แอปเปิลอีกครั้ง และเทคโนโลยีที่ได้คิดค้นขึ้นที่ NeXT ได้กลายมาเป็นหัวใจของยุคฟื้นฟูของแอปเปิลในท้ายที่สุด
       
       
ส่วนผมกับลอว์เรนซ์ก็มีครอบครัวที่มีความสุขด้วยกัน ผมคิดว่าทุกเรื่องคงไม่ลงเอยแบบวันนี้ถ้าวันนั้นผมไม่ได้ถูกไล่ออกจาก แอปเปิลมันเป็นยาขมแต่ยังไงคนป่วยก็ต้องการยา
       
       
ถึงแม้บางครั้งชีวิตจะเล่นตลกกับคุณบ้าง แต่จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณเชื่อ ผมเองก็เชื่อว่า สิ่งเดียวที่ทำให้ผมลุกขึ้นเดินต่อไปได้ คือผมรักในสิ่งที่ผมทำ ดังนั้นคุณจะต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ ทั้งเรื่องงาน และเครื่องความรัก
       
       
เพราะคุณจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับการทำงาน และวิธีเดียวที่คุณจะทำในสิ่งที่ยอดเยี่ยม คือคุณจะต้องรักในสิ่งที่คุณทำ และถ้าหากคุณยังหามันไม่พบ อย่าหยุดหาจนกว่าจะพบ และหัวใจจะบอกคุณเอง เมื่อคุณพบมันแล้ว มันก็เหมือนกับมิตรภาพ หรือความสัมพันธ์ดีๆ ก็คือยิ่งนานวันเข้า เราก็จะรู้สึกว่ามันยิ่งใช่ ดังนั้นจงค้นหาต่อไป อย่าหยุด จนกว่าจะเจอ
       
       
เรื่องที่สามของพบเกี่ยวกับความตาย ตอนผมอายุ 17 ผมเคยอ่านคำคมคนนึงบอกว่า "ให้คุณใช้ชีวิตเหมือนกับวันนี้เป็นวันสุดท้าย มันอาจจะเป็นจริงเข้าสักวัน" ผมประทับใจมาก และตลอด 33 ปีที่ผ่านมาผมจะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า "ถ้าผมอยู่วันนี้เป็นวันสุดท้ายผมจะยังอยากทำในสิ่งที่ผมกำลังจะไปทำในวันนี้หรือไม่" แล้วถ้าคำตอบเป็น “ไม่” ติดๆ กันหลายวัน ผมก็รู้ว่า ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง
       
       
วิธีคิดว่าคนเราอาจจะตายวันตายพรุ่ง เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จัก ช่วยให้ผมตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตได้ เพราะแทบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ ความกลัวที่จะต้องอับอายขายหน้าหรือล้มเหลว จะหมดความหมายไปโดยปริยายเมื่อความตายมาถึง เหลือไว้ก็แต่เพียงสิ่งที่มีคุณค่าอย่างแท้จริงเท่านั้น
       
       
การเตือนตัวเองว่า เราไม่ได้อยู่ค้ำฟ้าเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมรู้ เพราะเมื่อตายไปแล้ว เราก็เหลือแต่ร่างกายที่เปลือยเปล่า จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำตามสิ่งที่หัวใจต้องการ
       
       
เมื่อประมาณปีที่แล้ว ผมถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง ผมทำการตรวจร่างกายตอนเช้า 7.30 ผลที่ได้ปรากฏชัดว่า ผมมีก้อนเนื้อในตับอ่อน ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตับอ่อนมันอยู่ตรงไหน ต่อมาหมดก็บอกว่ามะเร็งชนิดนี้ไม่สามารถรักษาได้ ผมคงอยู่ได่อีกไม่เกิน 3-6 เดือน
       
       
หมอแนะนำว่าผมควรกลับไปจัดการธุระที่บ้านให้เรียบร้อยซะ ความหมายอีกนัยหนึ่งของหมอก็คือให้เตรียมพร้อมจะตายได้เลย หมายถึงให้กลับไปสั่งเสียลูกๆ ทั้งๆที่ ตอนแรกคุณนึกว่าจะได้มีเวลาบอกเขาอีกสักสิบปี แทนที่จะเหลือแค่ 2-3 เดือน
       
       
หมายถึงสะสางเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อยซะเพื่อคนในครอบครัวจะได้ไม่ต้องมายุ่งยากทีหลัง และหมายถึงเตรียมตัวบอกลาได้ วันนั้นทั้งวันผมใช้เวลาไปกับการตรวจร่างกาย พอตกเย็น ผมถูกตัดเนื้อเยื้อไปตรวจ
       
       
วิธีก็คือหมอจะแหย่ท่อยาวๆ ลงไปผ่านลำคอ ท้อง ลำไส้ แล้วก็เอาเข็มจิ้มลงไปในตับอ่อนของผมเพื่อให้ได้เซลล์ส่วนนึงจากก้อนเนื้อที่อยู่ในนั้น ตอนนั้นผมสลบอยู่แต่ภรรยาผมเล่าให้ฟังทีหลังว่า พอหมอเห็นเซลล์ที่อยู่ใต้กล้องจุลทรรศน์แล้วหมอก็เริ่มร้องไห้
       
       
เพราะปรากฏว่าก้อนเนื้อนั้นเป็นมะเร็งตับอ่อนที่ไม่ค่อยพบมากนัก และสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด ผมเข้ารับการผ่าตัด และขอบคุณพระเข้าตอนนี้ผมหายดีแล้ว
       
       
นั่นเป็นครั้งที่ผมเฉียดความตายมากที่สุดชีวิต และหวังว่าขอให้เป็นอย่างนั้นอีกสักพลายๆปี พอผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้ มันทำให้ผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำกับพวกคุณว่า ความตายเป็นประโยชน์และเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดสติปัญญาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
       
       
ไม่มีใครที่อยากตาย แม้แต่คนที่อยากขึ้นสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายก่อนเพื่อจะขึ้นสวรรค์ ยังไงก็แล้วแต่ความตายเป็นจุดหมายปลายทางที่เราทุกคนต่างจะต้องไป ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แล้วมันก็ควรเป็นอย่างนั้นด้วย
       
       
เพราะความตายเป็นเหมือนประดิษฐกรรมสุดยอดสิ่งหนึ่งของชีวิต เป็นการเปลี่ยนผ่านจากชีวิตหนึ่งไปสู่อีกชีวิตหนึ่ง เป็นการชำระล้างสิ่งเก่าๆเพื่อรอรับสิ่งใหม่ๆ
       
       
ตอนนี้สิ่งใหม่นั้นคือคุณ แต่อีกไม่นานจากนี้ไป คุณก็จะเริ่มกลายเป็นสิ่งเก่าๆ และถูกเลือนหายไป ขอโทษด้วยครับที่พูดตรงไปหน่อย แต่มันเป็นความจริง เวลาของคุณมีจำกัด ดังนั้นอย่าเสียเวลาใช้ชีวิตใต้เงาของคนอื่น
       
       
อย่าตีกรอบด้วยกฏเกณฑ์ ซึ่งก็คือผลของการใช้ชีวิตตามความคิดของคนอื่นนั่นเอง อย่าให้เสียงความคิดเห็นของคนอื่น กลบเสียงที่อยู่ภายในของคุณจนหมดสิ้น และที่สำคัญที่สุด จงกล้าหาญอยู่เสมอที่จะทำตามหัวใจ และสัญชาตญาณของตัวเอง เพราะบางทีสองสิ่งนี้อาจรู้อยู่แล้วว่าที่จริงแล้วคุณต้องการจะเป็นอะไร นอกจากนี้แล้วทุกอย่างเป็นเรื่องสำคัญรองลงไปหมด
       
       
ตอนที่ผมยังเด็ก มีวารสารที่ชื่อว่า The Whole Earth Catalog ซึ่งเปรียบได้กับคัมภีร์ของคนยุคผมเลยทีเดียว เจ้าของวารสารเล่มนี้ชื่อว่า Stewart Brand ซึ่งอาศัยอยู่ใน Menlo Park ไม่ไกลจากที่นี้
       
       
เขาทำให้วารสารเล่มนี้ เต็มไปด้วยชีวิตชีวาด้วยสำนวนการเขียนที่น่าประทับใจ ยุคนั้นเป็นปลายยุค 1960 ก่อนมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ คอมพิวเตอร์สำหรับงานสิ่งพิมพ์เสียอีก ทุกหน้าพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีด ใช้กรรไกรตัดแปะ ใช้รูปจากกล้องโพลารอยด์ วารสารนี้เปรียบเทียบได้กับ กูเกิล ในรูปแบบกระดาษ เพียงแค่มันเกิดก่อนกูเกิล 35 ปี เป็นวารสารที่เปี่ยมไปด้วยอุดมคติ ท่วมท้นไปด้วยไอเดียบรรเจิด และเครื่องมือเจ๋งๆ
       
       
Stewart Brand และทีมงานผลิต The Whole Earth Catalog ขึ้นมาหลายฉบับ จนกระทั่งเมื่อถึงวาระของมัน นิตยสารนี้ก็มาถึงฉบับสุดท้าย นั่นเป็นช่วงกลางยุค 1970 ซึ่งตอนนั้นผมก็อายุเท่ากับพวกคุณในที่นี้
       
       
ด้านหลังปกของวารสารฉบับสุดท้าย เป็นรูปถ่ายถนนในชนบทเส้นหนึ่งในยามเช้า เป็นภาพที่พอจะกระตุ้นต่อมอยากของนักผจญภัยได้ ใต้รูปมีคำพูดประโยคนึงเขียนไว้ว่า “จงหิวโหย จงโง่เขลาอยู่เสมอ”
       
       
ถือเป็นข้อความอำลงก่อนที่วารสารเล่มนี้จะปิดตัวลง “จงหิวโหย จงโง่เขลาอยู่เสมอ” 
เป็นคำที่ผมขอให้ตัวผมเองเป็นอย่างนั้นอยู่ตลอด

… Steve Jobs [Steven Paul Jobs, 24 February 1955 – 5 October 2011]
… แปล : อาทิตย์ โกวิทวรางกูร #MADMANBOOKS
… Source : [http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=7yciGpzhcVk]


ที่มา https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=174498487553243&id=106791607657265

Friday, October 2, 2020

corn

ครั้งหนึ่งในอเมริกากลาง
ทุก ๆ ปีจะมีการประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพด
หลังจากการประกวดชายผู้ที่ชนะเลิศที่หนึ่ง
เขาทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง นั่นคือ ...
ทันทีที่เขาชนะ
เขาได้นำเมล็ดพันธ์ที่เพิ่งชนะการประกวด
แจกให้กับผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันและกล่าวว่า
เอาเมล็ดพันธ์นี้ไปปลูกน่ะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งกันใหม่

ในปีต่อมา ...
เขาก็ชนะการประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพดอีก
เขาเดินแจกเมล็ดพันธ์ที่เขาเพิ่งชนะให้กับคนอื่น ๆ
แล้วบอกว่า ...
เอาไปปลูกน่ะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งกันใหม่

ชายผู้นี้ชนะการประกวดเมล็ดพันธ์ข้าวโพด
ติดต่อกัน 6 ครั้ง และเขาก็แจกเมล็ดพันธ์ที่ชนะ
ให้ผู้แข่งขันคนอื่น ๆ ทุกปี

มีนักข่าวถามเขาว่า ...
ไม่เป็นการง่ายกว่าหรือ ถ้าเขาเก็บเมล็ดพันธ์ที่ดี
โดยไม่แบ่งคนอื่น เขาก็จะได้ชนะง่าย ๆทุกปี
เขาตอบว่า ... แสดงว่า ...
คุณไม่เข้าใจในการปลูกพืช คุณเคยได้ยินคำว่า ...
การกลายพันธ์ไหม ถ้าไร่ของผมมีเมล็ดพันธ์ที่ดี
บังเอิญไร่ของเพื่อนบ้านมีแต่เมล็ดพันธ์ที่แย่ ๆ
วันหนึ่ง ลมก็จะพัดเอาเกสรของเมล็ดพันธ์ที่แย่ ๆ
มาตกในไร่ของผม ทำให้เมล็ดพันธ์ผมแย่ไปด้วย
มันไม่เป็นการดีหรอกหรือ ...
ที่ทุกคนมีเมล็ดพันธ์ที่ดีแล้ว ...
ถึงตอนนั้นมาแข่งกันว่า ...
ใครขยัน รดนำพรวนดินดีกว่ากัน

มีคำกล่าวว่า ...
ถ้าคุณมีเมล็ดพันธ์ความคิดที่ดี คุณเก็บไว้กับตัว
ไม่แบ่งปันใคร ถึงวันหนึ่งเมล็ดพันธ์แห่งความคิดนั้น
ก็จะตายไปพร้อมคุณ
เป็นสิ่งสำคัญในชีวิต ที่ความคิดและความรู้
ยิ่งให้ออกไป เรายิ่งได้รับกลับมา
และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คน ๆ นั้น
ประสบความสำเร็จที่มากขึ้นไปพร้อม ๆ กับ
การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม

ที่มา internet