ประสพการณ์, เรื่องราวทั่วไป, แง่คิด, มุมมอง ที่น่าสนใจ - สิริพงษ์ พงศ์ภิญโญภาพ
Sunday, October 18, 2020
Organizational Culture
Saturday, October 17, 2020
God and Stones
เย็นวันหนึ่ง ในขณะที่พวกเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์กำลังเตรียมตั้งกระโจมทำการพักผ่อนนอนหลับ
มีเทพเจ้าก็ปรากฏกายขึ้น
พวกคนเร่ร่อนรีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างนอบน้อม
เทพเจ้าพูดกับคนเหล่านั้นว่า
“พรุ่งนี้ เวลาเดินทาง เจอก้อนหินที่ไหนก็ให้เก็บใส่กระเป๋ามากๆ
ตกกลางคืน พวกเจ้าจะมีความสุขสุดๆ แต่ขณะเดียวกัน พวกเจ้าจะมีความทุกข์ด้วย”
พูดจบ เทพเจ้าก็หายไป เหล่าสาวกต่างผิดหวังไปตามๆกัน
พวกเขาคิดว่าเทพเจ้าจะนำโชคก้อนใหญ่มาให้พวกเขาเสียอีก ที่
ไหนได้ เทพเจ้ากลับสั่งให้พวกเขาทำงานบ้าๆ บอๆ ชิ้นหนึ่ง
เช้าวันรุ่งขึ้น แม้พวกเขาจะไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งเทพเจ้า
พวกเขาหลับหูหลับตาเก็บก้อนหินก้อนเล็กๆ ใส่กระเป๋าไปตามเรื่อง
แล้ววันนั้นก็ผ่านไปอย่างเซ็งๆ
ตกเย็น ได้เวลาที่พวกเขาจะต้องกางเต็นต์นอนพักกันแล้ว
มีคนล้วงก้อนหินในกระเป๋าออกมาดูโดยมิได้ตั้งใจ ปรากฏว่าหินในกระเป๋ากลายเป็นทองคำ
พวกเขาดีใจมาก แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็รู้สึกเสียใจเป็นที่สุดที่มิได้เก็บก้อนหินใส่กระเป๋าให้มากกว่านี้
-----
หนึ่งในวิธีการตีความนิทานเซนนี้ คือ เทพเจ้า = หัวหน้า, คนเร่ร่อน = ลูกน้อง
ที่มา https://www.facebook.com/anontawongblog/posts/1784284981730608
Employee XY
แบบ X: เราไม่ชอบทำงานและอยากจะหลีกเลี่ยงงานให้ได้มากที่สุด
แบบ Y: เราเชื่อว่างานและมนุษย์เป็นของคู่กัน และการทำงานนั้นช่วยเติมเต็มเราได้
คนส่วนใหญ่จะบอกว่าตัวเองเป็นคนพันธุ์ Y
แต่ถ้าเราถามว่านโยบายของบริษัทที่เราคุ้นเคยนั้นมองพนักงานเป็นคนแบบไหน
คำตอบก็คือพนักงานมักจะถูกมองว่าเป็นคนพันธุ์ X ที่พร้อมจะอู้งานและเอาเปรียบบริษัทได้ทุกเมื่อ
บริษัทส่วนใหญ่เชื่อใน Theory X และคิดว่าพนักงานต้องถูกขับเคลื่อนด้วยรางวัลและการลงโทษ
บริษัทที่เชื่อว่าพนักงานของตนเป็นคนพันธุ์ Y ที่มีศักดิ์ศรีของคนทำงาน
จะไม่มีกฎเกณฑ์ยุ่บยั่บ เพราะเชื่อว่าพนักงานส่วนใหญ่มีวิจารณญาณที่ดีกันอยู่แล้ว
ที่มา https://www.facebook.com/anontawongblog/posts/1786342624858177
Friday, October 16, 2020
Learn to take “No” as a question.
เวลาโดนปฏิเสธ แทนที่จะจมจ่อมกับความรู้สึกเฟลๆ
ให้มองว่าคำปฏิเสธนั้นคือประโยคคำถาม
ถ้าขายของแล้วเขาไม่ซื้อ แสดงว่าลูกค้ากำลังถามว่า
ของชิ้นนี้มันจะทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นยังไง
ราคานี้คุ้มค่าแล้วจริงหรือ
เขาจะโดนหลอกรึเปล่า
ถ้าเสนอโปรเจ็คแล้วเจ้านายไม่อนุมัติ
แสดงว่าเจ้านายก็มีคำถามเหมือนกัน
ว่าโปรเจ็คนี้จะส่งผลกระทบอะไรบ้าง
ใช้เวลามากเกินไปรึเปล่า
ถ้าผิดพลาดขึ้นมาแล้วเขาจะอธิบายข้างบนยังไง
ถ้าจีบสาวแล้วเขาไม่สน คำถามที่เขามีก็คือเราเหมาะกับเขาตรงไหน
เดินกับเราแล้วเขาจะภูมิใจหรือจะอาย คบกับเราแล้วจะดีกว่าอยู่คนเดียวยังไง
เมื่อมองดีๆ คำถามเหล่านี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไร หน้าที่ของเราคือเตรียมคำตอบให้ดีสำหรับโอกาสถัดไป
แล้วความผิดหวังจะเป็นตัวผลักดันให้เราดีกว่าเดิม
ของที่เคยขายไม่ได้ก็จะเริ่มขายได้
โปรเจ็คนี้ไม่อนุมัติแต่โปรเจ็คหน้าก็อาจจะอนุมัติ
สาวคนนี้ไม่สนแต่คนถัดไปอาจจะสนใจเราก็ได้
เมื่อรู้จักเปลี่ยนประโยคปฏิเสธเป็นประโยคคำถาม เราก็จะเป็นมิตรกับความผิดหวังได้มากขึ้นครับ
ที่มา https://www.facebook.com/anontawongblog/posts/1790165814475858
Value
ลูกสาวเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีเกียรตินิยม
“เพื่อฉลองลูกเรียนจบ พ่อจะยกรถของพ่อให้คันนึง แต่ก่อนอื่นพ่ออยากให้ลูกเอารถคันนี้ไปตีราคาที่เต็นท์รถมือสองให้พ่อหน่อย”
ลูกสาวเลยขับรถไปที่เต็นท์รถแล้วกลับมาบอกพ่อ
“เค้าบอกว่ารับซื้อแค่ 50,000 ค่ะ เพราะมันเก่ามากแล้ว”
“งั้นลูกลองเอาไปโรงจำนำดูบ้างซิ”
ลูกไปโรงรับจำนำแล้วกลับมารายงาน
“เค้าให้แค่ 5,000 เองค่ะพ่อ”
“ถ้างั้นลูกลองเอารถไปที่ชมรมคนรักรถซิ”
ลูกไปถึงแล้วก็กลับมารายงาน
“เค้าบอกว่าคันนี้ราคา 500,000 ค่ะ เพราะเป็นรถนิสสัน Skyline R34 เป็น collector’s item ที่หายาก คนเล่นรถชอบสะสมกัน”
“ที่ที่ใช่จะรู้คุณค่าของลูก
ถ้าลูกเจอที่ทำงานที่เขาไม่เห็นคุณค่าของลูกก็อย่าไปโกรธเขา
เราก็แค่ไม่เหมาะกัน ลูกจงหาที่ทำงานที่เขาเห็นและให้คุณค่ากับลูกนะ”
ที่มา https://www.facebook.com/anontawongblog/posts/1791149011044205
High Performer
3 ส่วนผสมที่ลงตัวของ High Performer
มีสมองของผู้ประกอบการ
มีจิตวิญญาณของศิลปิน
มีร่างกายของนักกีฬา
เมื่อเราคิดแบบผู้ประกอบการ เราจะไม่กลัวที่จะริเริ่ม ไม่กลัวความล้มเหลว ไม่ยึดติดกับกรอบความคิดแบบเดิมๆ
เมื่อเรามีจิตวิญญาณของศิลปิน เราจะไม่เอาตัวเลขเป็นใหญ่ แต่เอาความสนุก เอาความงาม เอาความจริงเป็นเป็นตัวตั้ง สิ่งที่เราพูดและทำจะนำพาให้คนรอบข้างมีชีวิตที่ดีขึ้น
และเมื่อเราพักผ่อนให้เพียงพอ กินของที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เราก็จะมีร่างกายที่พร้อมทำงานหนักเพื่อรับใช้ผู้อื่นได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
Entrepreneur’s mind.
Athlete’s body.
Artist’s soul.
-James Clear
ที่มา https://www.facebook.com/anontawongblog/posts/1806311516194621
Time
“It takes many hours to make what you want to make.
The hours don’t suddenly appear. You have to steal them from comfort.”
-Derek Sivers
ถ้าเราอยากจะสร้างสรรค์อะไรที่มีคุณค่า เราจำเป็นต้องให้เวลากับมันอย่างยาวนานและสม่ำเสมอ
และการที่จะมีเวลาเพื่อทำสิ่งนี้ได้ เราก็ต้องขโมยมันมาจากกิจกรรมที่เราเคยชิน
จงขโมยเวลาจากความเคยชิน เพื่อสร้างสิ่งใหม่และชีวิตที่ต่างออกไปจากเดิมครับ
ที่มา https://www.facebook.com/anontawongblog/posts/1806321422860297
Worry
ถ้าจะกังวลก็จงกังวลใส่กระดาษ
เพราะถ้าเก็บมันไว้ในหัว ความคิดจะติดหลูปและขยายความกังวลนั้นให้ใหญ่เกินจริงเสมอ
เมื่อใดที่เราเขียนความกังวลลงกระดาษ กลั่นกรองออกมาเป็นภาษามนุษย์
เมื่อนั้นสิ่งที่เรากังวลจะจับต้องได้มากขึ้น
และเราจะพบว่าสิ่งที่เรากังวลนั้นมันไม่ได้ยากเกินจะจัดการ
เราจะสามารถคิดได้ว่า สิ่งที่ต้องทำต่อไปคืออะไร เราต้องใช้อะไรบ้าง
และใครจะช่วยเราได้บ้าง
ที่มา https://www.facebook.com/anontawongblog/posts/1810079339151172
6 types of employee
พนักงาน 6 ประเภท
1. กลุ่มที่มีความรับผิดชอบต่ำ และอยากได้เงินมาง่ายๆ (The low obligation and easy income segment) :
มองหาทางลัดในการแก้ปัญหา
2. กลุ่มอะไรก็ได้ (The flexible support segment) :
ใครว่าอะไรว่าตามกัน ไม่ได้มองเรื่องงานเป็นเรื่องสำคัญ
3. กลุ่มเสี่ยงแล้วได้ (The risk and reward segment) :
การทำงานคือโอกาสสร้างความท้าทายและความตื่นเต้นให้แก่ชีวิต
4. กลุ่มร่วมมือกันเพื่อความสำเร็จ (The individual expertise and team success segment) :
มองหางานที่เปิดโอกาส ให้ร่วมมือทำงานเป็นทีม
5. กลุ่มก้าวหน้ามั่นคง (The secure progress segment) :
มองหางานที่มีอนาคตก้าวไกล
6. กลุ่มสร้างตำนาน (The expressive legacy segment) :
มองหาโอกาสในการสร้างเกียรติประวัติแก่บริษัท
ที่มา http://iyom-bookviews.com/หมวดการตลาด/การตลาด-3-0-marketing-3-0.html
5 dollars
ศาสตราจารย์ ทีนา ซีลิก สอนวิชานวัตกรรมสร้างสรรค์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ให้โจทย์นี้กับนักศึกษาที่ถูกแบ่งเป็น 14 ทีม ทุกทีมต้องแยกย้ายกันไปหนึ่งสัปดาห์แล้วกลับมารายงานหน้าชั้นเรียนเป็นเวลา 3 นาที
มาดูสิ่งที่นักศึกษามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดแต่ละทีมเลือกทำกัน จากเงินห้าเหรียญ
กลุ่มหนึ่งเอาเงินจำนวนน้อยนิดไปซื้อมะนาว น้ำตาลและมาทำน้ำมะนาวขายหน้ามหาวิทยาลัย
กลุ่มต่อมารับจ้างเติมลมยางรถจักรยานหน้ามหาวิทยาลัยคิดเงินคันละหนึ่ง เหรียญจนกระทั่งพวกเขาค้นพบว่า ถ้าขอเป็นเงินบริจาคจะได้เยอะกว่าเลยเปลี่ยนเป็นเงินบริจาคแทน
ส่วนกลุ่มที่สามได้เงินมากกว่า และคิดสร้างสรรค์ได้ไม่เลว พวกเขาตัดสินใจเลือกทำงานในคืนวันศุกร์และให้เพื่อนผู้ชายขับรถพาสาวๆ ไปทิ้งไว้หน้าร้านอาหารที่คนแน่นแล้วให้ไปจองคิวตามร้านอร่อยที่ลูกค้าต้อง ยืนรอกันเกือบชั่วโมง พอได้คิวแล้วก็เอาคิวไปขายให้ลูกค้าคนอื่นที่เพิ่งมา คิดเงินคิวละ 20 เหรียญ กลุ่มนี้หาเงินได้หลายร้อยเหรียญในเวลาสองชั่วโมง เพราะใครก็ไม่อยากรออาหารอีกหนึ่งชั่วโมง
ส่วนกลุ่มที่ชนะเลิศหาเงิน ได้ถึง 650 เหรียญ เป็นกำไรถึง 130 เท่าตัว และที่น่าทึ่งคือ พวกเขาไม่ได้ใช้เงินห้าเหรียญนั้นเลย เขาทำได้อย่างไร???
หลังจากประชุมกันนาน ทุกคนในกลุ่มโหวตว่า พวกเขาจะ “ขายเวลา”
นักศึกษากลุ่มนี้เฉลยว่า พวกเขานั่งประชุมกันนานว่า จะทำอะไรกันดี บางคนบอกไปซื้อลอตเตอรี่ดีกว่า ไปลาสเวกัส ฯลฯ แต่ ในที่สุดทุกคนสรุปว่า ต้นทุนที่ดีที่สุดที่พวกเขามีไม่ใช่เงิน 5 เหรียญ แต่เป็น “เวลา 3 นาที” สำหรับการนำเสนอแผนธุรกิจหน้าห้องเรียนที่เต็มไปด้วยนักศึกษามหาวิทยาลัย สแตนฟอร์จำนวนเป็นร้อยๆ คนที่นั่งฟังโดยไม่ลุกไปไหน
นักศึกษาจึงหาบริษัทที่ต้องการขายสินค้าแล้วขายเวลา 3 นาทีที่ตัวเองต้องพรีเซ็นต์ ให้กับบริษัทที่ต้องการเวลา 3 นาทีโฆษณาผลิตภัณฑ์ของตัวเอง
พอถึงวันจริง นักศึกษากลุ่มนี้ไม่ต้องทำอะไรนอกจากฟังเพื่อนพรีเซ็นต์และพอถึงเวลาของตัว เอง ก็ให้บริษัทที่ตกลงกันไว้มาพรีเซ็นต์สินค้า เสร็จแล้วจ่ายเงิน 650 เหรียญสำหรับเวลา 3 นาทีให้กับทีมนักศึกษาที่ขายเวลาให้
บริษัทยิ้ม นักศึกษายิ้ม และอาจารย์ยิ้มมากกว่า ที่ลูกศิษย์คิดได้นอกกรอบเหลือเชื่อ
ที่มา http://businessconnectionknowledge.blogspot.com/2012/11/how-to-earn-money-13000-percent.html
Thursday, October 15, 2020
Mistakes
เมื่อคุณพบปัญหาสิ่งแรกที่ต้องคิด คือ การหาต้นตอที่แท้จริงของปัญหา
ไม่ว่าปัญหานั้นจะเกิดจากการดีไซน์งานของคุณหรือเกิดจากคนที่ทำงานนั้น
เรย์ บอกว่าสิ่งที่เป็นความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก
คือ การแก้ปัญหาเหมือนมันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
ทั้งที่จริง ๆ แล้ว มันเป็นปัญหาเชิงระบบซึ่งต้องถูกแก้ที่การดีไซน์ระบบงานใหม่ หรือการดีไซน์เครื่องจักรใหม่นั่นเอง
การแก้ปัญหา โดยคิดว่ามันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวนั้น
จะทำให้ต้นเหตุของปัญหาจริง ๆ ถูกละเลยไป ซึ่งในที่สุดหายนะจะเกิดขึ้นได้
การแก้ปัญหาโดยหาต้นตอของปัญหาที่แท้จริงเสียเวลามากกว่า แต่มีประโยชน์มากกว่ามากในระยะยาว
อีกข้อผิดพลาดที่พบบ่อย คือ
การที่เราพยายามหลีกเลี่ยงการระบุตัวตน (depersonalize) ของคนที่ก่อให้เกิดปัญหา
การไม่เชื่อมโยงคนกับปัญหาเข้าด้วยกันนี่เอง ทำให้ไม่เกิดการพัฒนาตัวบุคคล และปัญหาก็จะยังคงอยู่
ข้อสุดท้ายและเป็นข้อผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดคือ การไม่เชื่อมโยงปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนี้กับปัญหาที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
เรื่องแย่ ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นเอง มันเกิดขึ้นเพราะคนใดคนหนึ่งทำหรือตัดสินใจอะไรบางอย่างลงไป
การวิเคราะห์เจาะลึกหาสาเหตุที่เป็นต้นเหตุจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือระบบเป็นเรื่องที่น่าอึดอัด
แต่จำเป็นต้องทำ เราอาจจะค้นพบว่าในที่สุดแล้วคนที่ทำงานอยู่ในตำแหน่งนั้นไม่เหมาะ
เพราะตัวเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดพลาดอยู่เป็นประจำ
ที่มา https://missiontothemoon.co/book-review-principles/
Interview
จ้างคนที่ถูกต้อง เพราะโทษของการจ้างคนผิดนั้นรุนแรง :
เวลาเราสัมภาษณ์คนหลายครั้งเราจะเลือกคนที่เราชอบ ซึ่งพิสูจน์มาแล้วว่าเป็นวิธีที่ผิด
หรือเราอาจจะเลือกจากการดู ใบสมัคร ทำเช็คลิสต์ และใช้กึ๋น ในการตัดสินใจ ซึ่งก็เป็นวิธีที่ไม่ดีอีกเช่นกัน
เพราะว่าทั้งหมดทั้งปวงนี้เป็นการมองผู้สมัครโดยผ่านมุมมองที่เป็น “อคติ” ของเรา
และเรามักจะเลือกรับคนที่มีวิธีคิดคล้าย ๆ กับเราเสมอ
หลังจากลองผิดลองถูกมาหลายวิธี เรย์ค้นพบว่าการเลือกคนที่ถูกต้องจะต้องทำผ่านหลักการ 2 อย่างคือ
- ต้องชัดเจนว่าเราต้องการคนแบบไหน
- มีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกที่ละเอียดมาก ๆ
ต้องเลือกคนให้เหมาะกับดีไซน์ของงาน ไม่ใช่หางานให้คนทำ กระบวนการในการคัดเลือกควรมองจาก
- คุณค่า : คือความเชื่อส่วนที่ลึกที่สุดซึ่งจะส่งผลต่อการกระทำต่าง ๆ ของเขา
รวมไปถึงความประพฤติกับบุคคลอื่นที่อยู่รอบตัวเขาด้วย
นี่คือสิ่งที่เปลี่ยนยากที่สุดในคนคนหนึ่ง
ดังนั้น คุณค่า จึงเป็นสิ่งแรกที่เราต้องมองหาว่าตรงกับสิ่งที่เราต้องการไหม
- ความสามารถ : คือวิธีคิดและวิธีการปฏิบัติตัว
บางคนเป็นคนที่เรียนรู้เร็วและตอบสนองเร็ว
ขณะที่บางคนมีความสามารถในการมองภาพใหญ่ได้ดี เป็นต้น
- ทักษะ : คือความสามารถที่สามารถฝึกฝนได้เช่นกัน ความสามารถทางภาษา เป็นต้น
ทักษะ นั้นมักมีค่าเปลี่ยนไปตามเวลาด้วย ยกตัวอย่างให้เห็นภาพคือ ความสามารถในการพิมพ์ดีด
เคยเป็นสิ่งที่สำคัญในอดีต แต่ปัจจุบันนี้เราสามารถพูดแล้วให้คอมพิวเตอร์พิมพ์แทนได้แล้ว
ถ้ามองไปในอนาคตเราจะเห็นว่า AI จะเข้ามาแทนส่วนนี้เยอะมากในอีก 10 ปีต่อจากนี้
การเลือกคนเรา จึงให้ความสำคัญกับคุณค่ามากที่สุด
ตามมาด้วย ความสามารถ และ ทักษะ เป็นอย่างสุดท้าย
แต่หลายครั้งในการจ้างงานเราทำกลับกัน คือ เราดูทักษะกับความสามารถก่อน
ในขณะที่ลืมเรื่อง “คุณค่า” ไป
สุดท้าย อย่าลืมว่าคนดี ๆ นั้นหายากมาก
ถ้าหากคุณได้มาแล้วต้องหาวิธีการรักษาเขาไว้ให้ได้
เช่น การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และคอยอัพเดทเรื่องราวต่าง ๆ ระหว่างกัน
ที่สำคัญที่สุด คือ คุณต้องหาระบบบางอย่างที่ทำให้คนของคุณพูดเรื่องที่อยู่ในใจของเขาได้
สร้างความสุขในที่ทำงานให้เขา และให้โอกาสเขาเติบโต
เมื่อคุณได้มีโอกาสรู้จักจริง ๆ ว่าคนคนนั้นเป็นยังไงคุณจะสามารถรู้ได้ว่าคุณคาดหวังอะไรจากเขาได้บ้าง
ที่มา https://missiontothemoon.co/book-review-principles/
Decision by idea meritocracy
ในองค์กร ปกติเรามักตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ โดย
1) ใช้ระบอบเผด็จการ คือ การตัดสินใจจากหัวหน้าลงมา
2) จะใช้ระบอบประชาธิปไตย คือ ไอเดียไหนที่มีคนเห็นด้วยมากที่สุดจะได้รับการปฏิบัติ
ซึ่งทั้งสองกระบวนการนี้มีข้อเสียที่รุนแรงด้วยกันทั้งคู่
กระบวนการการตัดสินใจที่ดีที่สุด คือ
การตัดสินใจแบบ แนวคิดเชิงความสามารถนิยม (idea meritocracy)
ซึ่งมีการให้น้ำหนักความคิดเห็นของแต่ละคนไม่เท่ากัน
ซึ่งน้ำหนักที่แต่ละคนได้นั้นจะแตกต่างกันออกไป ตามความรู้ความสามารถในเรื่องที่กำลังจะถูกตัดสินใจ
เราเรียกมันว่า “น้ำหนักของความเชื่อ” (Believability Weighting)
ซึ่งคนที่มีความน่าเชื่อถือในการตัดสินใจมากที่สุดคือ
- คนที่ทำสำเร็จมาอย่างต่อเนื่องในเรื่องที่เรากำลังตัดสินใจ
- คนที่สามารถแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของเหตุและผลอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ในเรื่องที่เรากำลังจะตัดสินใจ
ชั่งน้ำหนักความเชื่อของคุณในการตัดสินใจ
Wednesday, October 14, 2020
Argue
สมองส่วน เก่าแก่ (primitive)ที่มีอยู่ในมนุษย์ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์
(เช่น สมองส่วน อะมิกดะลา (amygdala) ซึ่งอยู่ในสมองส่วน กลีบขมับ (temporal lobe))
ที่ทำหน้าที่ประมวลผลอารมณ์
อยู่เหนือการควบคุมของจิตสำนึกของมนุษย์
โดยมันจะทำงานอย่างรวดเร็วและพยายามตีความทุกอย่างให้ง่ายกว่าความเป็นจริง (oversimplfy)
เมื่อมันทำงานเราจึงไม่รู้ว่ามันเข้าควบคุมพฤติกรรมอะไรของเราบ้าง
สมองส่วนนี้ชอบคำชม และตอบสนองต่อคำติเหมือนกับตอนที่เราถูกโจมตีหรือทำร้าย
สมองส่วนนี้ไม่สามารถแยกการติเพื่อก่อ ออกจากการโดนด่าเฉย ๆ ได้
ในขณะเดียวกันเรามีสมองอีกส่วนคือ คอร์เทกซ์ บริเวณกลีบหน้าผากส่วนหน้า (prefrontal cortex)
ซึ่งเป็นสมองส่วนที่สำคัญมากที่ทำให้มนุษย์เราแตกต่างจากสัตว์อื่น นั้นคือสมองส่วนจิตสำนึกที่เราใช้ในการตัดสินใจต่างๆ หรือเราเรียกว่า กิจบริหาร (executive function) ซึ่งสามารถประมวลผลเรื่องตรรกะและเหตุผลได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นมันจึงเหมือนมีเราสองคนอยู่ในคนเดียว และถ้าเราสังเกตดี ๆ เราจะพบว่าสมองส่วนต่าง ๆ นั้นพยายามอยากที่จะชนะในการตัดสินใจให้ได้
เรากินขนมแล้วหยุดไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็กินไปหมดถุงแล้ว
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ากินแล้วอ้วน แล้วตอนกินนั้นก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้หิวด้วย
เหตุการณ์แบบนี้เกินขึ้นเพราะสมองส่วน กิจบริหาร (executive function) พ่ายแพ้ต่อสมองส่วน เก่าแก่ (primitive) ของเรา
เหตุการณ์ที่มีคนไม่เห็นด้วยกับเรา และต้องการให้เราอธิบายมุมมองของเรา
คนส่วนใหญ่มักจะรู้สึกได้ถึงการถูกจู่โจมและปล่อยระบบป้องกันตัวเองออกมา
ทั้ง ๆ ที่ถ้ามองกันด้วยเหตุผลแล้วการถกเถียงในเรื่องที่มีคนไม่เห็นด้วยกับเรานั้นจริง ๆ เป็นเรื่องดี
เพราะเราจะได้เห็นมุมมองของคนอื่น
แต่โดยส่วนใหญ่เรามักจะพูดออกไปโดยไม่ไตร่ตรองก่อนเสมอ
ทำให้คำอธิบายของเราไม่สมเหตุสมผลเต็มร้อย
หรือบางทีข้อโต้แย้งก็เจือไปด้วยอารมณ์ที่ผสมอยู่
ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ฟังเหตุผลของอีกฝ่ายเลย
หลายครั้งที่สมองส่วน กิจบริหาร (executive function) ไม่สามารถทำงานได้ทัน
เราเลยพูดโดยไม่ไตร่ตรองให้ดีซะก่อน
แม้แต่คนที่ฉลาดมาก ๆ หลายคนก็เป็นแบบนี้ เพราะสำหรับเราตอนนั้น
ความจำเป็นที่จะต้องเป็นฝ่าย “ถูก” มันสำคัญกว่าการหาความจำเป็นในการหา “ความจริง”
ที่น่าสนใจอีกจุดนึง เวลาคนสองคนเถียงกัน
ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม แม้จบการเถียงกันแล้ว
ทั้งฝ่ายที่ แพ้ ชนะ หรือเสมอ ก็ยังจะคิดว่าตัวเอง “ถูก” เสมอ
เรามัวแต่พยายามจะบอกอีกฝ่ายว่าสิ่งที่เราคิดนั้น “ถูก” อย่างไร
มากกว่าที่จะสนใจกระบวนการคิดของอีกฝ่ายนึง
เราตั้งสมมติฐานโดยเอาตัวเองเป็นที่ตั้งมากเกินไป
โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายพูดสิ่งที่ไม่ตรงกับความคิดเรา
ซึ่งหลายครั้งมันทำให้เราพลาดโอกาสอะไรดี ๆ ในชีวิตไป
เพราะเราไม่สนใจหรือไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามแสดงให้เห็น
แม้ว่าสิ่งนั้นจะมีประโยชน์หรือบางครั้งอาจจะถึงขั้นช่วยชีวิตเราได้ด้วยซ้ำ
คนที่ปิดกั้น (Closed-minded people) :
คนกลุ่มนี้ไม่ชอบให้ไอเดียของพวกเขาถูกท้าทาย
พวกเขามักรู้สึกหงุดหงิดเมื่อไม่สามารถทำให้คนอื่นเห็นด้วยกับความคิดพวกเขาได้
แทนที่จะอยากรู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไร
พวกเขาสนใจที่จะพิสูจน์ว่าตัวเองถูกมากกว่าที่จะอยากรู้มุมมองของคนอื่น
คนที่เปิดกว้าง (Open-minded people) :
มักสงสัยว่าทำไมถึงเกิดการไม่เห็นด้วยเกิดขึ้น
พวกเขาไม่รู้สึกโมโหเมื่อมีคนไม่เห็นด้วยกับเขา
พวกเขาเข้าใจว่ามันมีโอกาสเสมอที่พวกเขาจะผิด
และเวลาเพียงเล็กน้อยที่จะใช้ในการพิจารณามุมมองของคนอื่นนั้น
คุ้มเกินคุ้ม เพื่อให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ครบถ้วนมากขึ้น
คนที่ปิดกั้น (Closed-minded people) :
มักจะแจ้งเพื่อทราบมากกว่าถามคำถาม
คนที่เปิดกว้าง (Open-minded people) :
มักจะถามคำถามจำนวนมากเพราะพวกเขาเชื่ออย่างแท้จริงมากเพราะอาจจะผิดก็ได้
พวกเขาจะถามคำถามอย่างจริงใจ และพวกเขาจะตั้งคำถามกับตัวเองด้วยว่า
ในเรื่องนี้เขามีความรู้ความสามารถที่จะแสดงความคิดเห็นแค่ไหน
คนที่ปิดกั้น (Closed-minded people) :
ต้องการให้คนอื่นเข้าใจตัวเองมากกว่าพยายามจะเข้าใจผู้อื่น
เมื่อคนอื่นไม่เห็นด้วยพวกเขาจะรีบสันนิษฐานก่อนว่าตัวเองไม่ได้รับความเข้าใจ
โดยไม่พิจารณาว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะเขาไม่เข้าใจมุมมองของคนอื่นก็ได้
คนที่เปิดกว้าง (Open-minded people) :
รู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องมองจากมุมมองของผู้อื่นเสมอ
Tuesday, October 13, 2020
Inspiration
พี่น้องตระกูลไรท์
คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักแซมมวล เพียร์พอนท์ แลงค์ลีย์ ย้อนไปตอนต้นศตวรรษที่ 20
การคิดค้นเครื่องบินที่คนบังคับได้ก็เหมือนธุรกิจดอทคอม ใครๆ ก็พยายามคิดค้นวิธีสร้างเครื่องบิน
แซมมวล เพียร์พอนท์ แลงค์ลีย์ มีสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นสูตรของความสำเร็จ ทุน บุคลากร และภาวะตลาด
เขาได้เงิน 50,000 ดอลลาร์ จากกรมการสงคราม ให้คิดเครื่องจักรกลที่บินได้ ดังนั้น เงินไม่ใช่ปัญหา
เขามีตำแหน่งที่ฮาร์วาร์ด และทำงานที่สมิธโซเนียน และรู้จักคนกว้างขวาง
เขารู้จักคนเก่งๆ ทุกคนในยุคนั้น
เขาจ้างแต่คนระดับสุดยอดหัวกะทิ ด้วยเงินที่มีอยู่ และสภาวะตลาดก็เยี่ยมมาก
สองสามร้อยไมล์ห่างออกไปในเมืองเดย์ตัน รัฐโอไฮโอ
ออร์วิล กับวิลเบอร์ ไรท์ ไม่มีอะไรที่เราจะเรียกว่าเป็น ส่วนผสมของความสำเร็จเลย
เขาไม่มีเงิน เงินที่เอามาลงทุนกับความฝันของเขา คือกำไรที่ได้จากร้านจักรยานของเขา
ทุกคนในทีมของสองพี่น้องตระกูลไรท์ ไม่มีใครมีปริญญาสักคน รวมทั้งออร์วิลและวิลเบอร์เองด้วย
สิ่งที่แตกต่างคือ ออร์วิลกับวิลเบอร์ทำไปด้วยแรงผลักดัน
จากเป้าหมายที่มีความหมาย ด้วยความเชื่อ เขาเชื่อว่าถ้าเขาสามารถ คิดค้นวิธีสร้างเครื่องบินขึ้นมาได้ มันจะเปลี่ยนโลกได้
ทุกครั้งที่พี่น้องตระกูลไรท์ออกไปทดสอบเครื่องบิน พวกเขาต้องเอาอะไหล่ไปด้วยห้าชุด เพราะเขาจะทดลองแล้วทดลองอีก จนเครื่องพังถึงห้าครั้ง แล้วถึงจะยอมกลับมากินข้าวมื้อเย็น
แล้วในที่สุด วันที่ 17 ธันวาคม 1903
พี่น้องตระกูลไรท์ก็ออกบินได้สำเร็จ ไม่มีใครอยู่ร่วมรับรู้กับเขาเลยด้วยซ้ำ กว่าโลกจะรู้ข่าวก็สองสามวันหลังจากนั้น
ข้อพิสูจน์อีกอย่างว่าแลงค์ลีย์ ทำงานด้วยแรงจูงใจที่ผิด ก็คือ
วันที่พี่น้องตระกูลไรท์ทำสำเร็จ เขาก็เลิกเลย
เมื่อเขาไม่ได้เป็นคนแรก ไม่ได้เงินทอง ไม่ได้ชื่อเสียง เขาก็เลิกเลย
มาร์ติน ลูเธอร์ คิง
==========
ในฤดูร้อนปี 1963 คน 250,000 คนมารวมตัวกัน ที่ย่านการค้าในเมืองวอชิงตัน เพื่อฟัง ดร. มาร์ติน ลูเธอร์ คิง พูด
ไม่มีการส่งบัตรเชิญ ไม่มีเว็บไซต์ให้เช็ควันเวลา แล้วท่านทำได้อย่างไร ?
ดร. คิงไม่ใช่คนคนเดียวในอเมริกา ที่เป็นนักปาฐกถาที่ยอดเยี่ยม
ท่านไม่ใช่คนเดียวในอเมริกาที่ได้รับผลกระทบ จากสภาพสังคมอเมริกันก่อนที่สิทธิพลเมืองจะเบ่งบาน
ที่จริง ความคิดบางอย่างของท่านก็เป็นความคิดที่แย่ แต่ท่านมีพรสวรรค์
ท่านไม่ได้ไปคอยบอกชาวบ้านว่าเราต้องทำอะไรเพื่อเปลี่ยนอเมริกา
แต่ท่านออกไปพบปะและบอกกับผู้คนว่า “ผมเชื่อ ผมเชื่อ ผมเชื่อ”
ท่านบอกประชาชนอย่างนั้น และคนที่เชื่ออย่างเดียวกับท่าน ก็เข้ามาร่วมวง และรู้สึกว่ามันเป็นเป้าหมายของตัวเอง แล้วก็บอกต่อๆ กันไป
คนเหล่านี้ บางคนก็สร้างระบบ สำหรับกระจายข่าวสารไปยังคนในวงกว้างขึ้นอีก
ไม่น่าเชื่อครับ ปรากฏว่าคน 250,000 มาชุมนุมกัน พร้อมเพรียงในวันและเวลาเดียวกัน เพื่อฟัง ดร.คิงพูด
ในจำนวนนี้มีกี่คนครับ ที่มาเพื่อ ดร.คิง ?
ไม่มีเลย
เขามาเพราะเหตุผลของเขาเอง
เพราะสิ่งที่เขาเชื่อเกี่ยวกับอเมริกา ที่ทำให้เขากระโดดขึ้นรถโดยสาร เดินทางมาแปดชั่วโมง เพื่อยืนตากแดดกลางเดือนสิงหาคมที่วอชิงตัน เขามาเพื่อสิ่งที่เขาเชื่อ ซึ่งไม่ใช่เรื่องของคนดำหรือคนขาวด้วย 25% ของคนที่มาวันนั้นเป็นคนขาว
ดร.คิงเชื่อว่า โลกนี้มีกฎหมายอยู่สองประเภท
แบบที่เขียนโดยคนมีอำนาจ กับแบบที่เขียนโดยประชาชน
เราต้องทำให้กฎหมายทุกอย่างที่เขียนด้วยประชาชน กับกฎหมายที่เขียนโดยผู้มีอำนาจสอดคล้องกันเสียก่อน
เราถึงจะได้อยู่ในโลกที่ยุติธรรมอย่างแท้จริง กลุ่มการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมือง เป็นกลุ่มที่ช่วยสนับสนุน ดร.คิง ในการทำความคิดนี้ให้เป็นจริง
เราเดินตามท่าน ไม่ใช่เพื่อตัวท่าน แต่เพื่อตัวเราเอง
ปาฐกถาที่ท่านพูดชื่อว่า “ผมมีความฝัน”
การเลือกคนเข้ามาทำงานร่วมกัน
หากแรงบันดาลใจ คือ เงิน เขาก็จะทำงานเพื่อเงิน
คัดย่อจาก https://donottellmyboss.com/start-with-why/
Monday, October 12, 2020
Entrepreneur
การจะเป็นเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จนั้น คุณต้องมีคุณสมบัติสามอย่างคือ
มีทักษะเชิงเทคนิค (เป็นผู้ชำนาญการ) เชิงการจัดการ (เป็นผู้จัดการ) และเชิงวิสัยทัศน์ (เป็นผู้ประกอบการ)
การขาดอันใดไปคือหนึ่งในสาเหตุแห่งความล้มเหลวของธุรกิจ
ที่มา หนังสือ เป็นเจ้าของกิจการที่รุ่งทะยานเกินใคร
The E-Myth Revisited
The Founder
ถอดรหัส 10 แนวคิดการสร้างธุรกิจ McDonald
จากหนังเรื่อง The Founder อยากรวย ต้องเหนือเกม
1. ธุรกิจต้องมีจุดขายที่เด่นๆอย่างน้อย 1 เรื่องที่สามารถเอาชนะคู่แข่งหรือสิ่งเดิมๆที่มีอยู่แล้วในตลาดได้ เช่นในเรื่อง 2 พี่น้อง McDonald (Muarice & Richard) ได้คิดค้นระบบปฏิบัติการของ้รานอาหารที่สามารถพร้อมเสิร์ฟได้ใน 30 วินาที แทนที่จะเป็น 3 หรือ 30 นาที และอาหารต้องไม่ผิด สะดวกและลดความยุ่งยากในการจัดหาที่นั่งในร้านหรือเดินไปเสิร์ฟที่รถซึ่งมีปัญหาเสิร์ฟผิดบ่อยมาก (ยุคนั้นคนอเมริกันยังนิยมสั่งอาหารจากในรถ และพนักงานยกใส่ถาดมาให้ทานถึงที่จอดรถ)
2. เราต้องหัดเป็นคนขี้สงสัยและตั้งคำถามท้าทายตัวเราบ่อยๆ เช่นทำไมของบางอย่างอยู่ๆถึงขายไม่ได้หรือบางสิ่งดันขายดีขึ้นมาแบบผิดปกติ และเมื่อเจอสิ่งที่สงสัย น่าสนใจ หรืออะไรที่ผิดปกติธรรมชาติ เราต้องรีบเข้าหาความจริงด้วยตัวเองเพราะสิ่งที่ผิดปกตินั้นมักจะนำ 2 สิ่งมาหาเราคือโอกาสใหญ่หรือไม่ก็ความเสียหายมหาศาล
3. อดทน ยืนระยะ (พระเอกเรียกตื้อ) คือพื้นฐานหลักของความสำเร็จ การไม่ยอมแพ้ง่ายๆจะทำให้เราอยู่รอดไปจนถึงวันที่โอกาสของเรามาถึง
4. อย่าปล่อยให้คำดูถูกถากถางมามีอิทธิพลกับชีวิตเรา และใครที่พูดอะไรขยะๆแบบนี้เราก็ควรเอาตัวออกห่าง จำไว้เสมอว่าโลกจะจดจำคุณในสิ่งที่คุณสำเร็จและทุกสิ่งที่คุณล้มเหลวมาก่อนหน้าจะถูกขุดรวมมายกย่องรวมไว้ด้วยกันเสมอ
5. มีสัญชาติญาณในการมองหาโอกาสใหม่ๆตลอด Hunger for Try on New Opportunity
6. การทดลองทำจริงสำคัญมาก แม้จะเป็นแค่ทำแบบการจำลองสถานการณ์ก็ตาม แต่การทดลองทำ ปรับแก้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพอมจแล้วจึงควักเงินจ่ายจริงๆนั้นจะช่วยลดความเสี่ยงให้เราได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ ในเรื่องนั้นฉากที่ 2 พี่น้องลงมือวาดแปลนร้านลงบนสนามเทนนิสแล้วให้พนักงานทดลองเคลื่อนไหวสมมติจนได้แปลนร้านที่ต้องการนี่สุดยอดมาก
7. การมีภาพเป้าหมายไว้แค่ในฝันนั้นไม่พอ แต่คุณต้องทำมันมาให้เห็นและจับต้องได้ด้วย วาด เขียนพูดอัดเสียงหรือปรินท์มันออกมาแปะใส่ห้องไว้
8. คุณไม่มีทางทำธุรกิจได้ดีถ้าไม่เข้าใจเรื่องการเงินและโครงสร้างรายรับ-รายจ่ายได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอันไหนเป็นค่าใช้จ่ายหลัก เราต้องการหาทางควบคุมให้อยู่ในมือให้ได้ ในเรื่องนั้นผู้ช่วยคนใหม่ของ Ray ได้ชี้ให้เห็นชัดเจน 2 เรื่องว่า ธุรกิจMcDonald จริงๆแล้วโอกาสของการสร้างรายได้คือไม่ใช่การมานั่งขายอาหารได้กำไรชิ้นละไม่กี่เซนต์ แต่มันการคือบริหารที่ดินให้เช่าเพื่อมาเปิดเป็นร้านขายแฮมเบอร์เกอร์ ชื่อ MaCDonald ดังนั้น Ray ต้องเป็นคนควบคุมตรงนี้ ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้เช่าหรือ Franchisee ไปจัดการกับธนาคารกันคนละทิศละทางแต่ Ray ต้องรวบค่าใช้จ่ายเหล่านั้นให้มากลับมาเป็นรายได้ของบริษัท ซึ่งตรงนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของ McDonald เลยก็ว่าได้
วิธีการคือแบบนี้ครับ
แบบเดิม McDonald ขายเฉพาะแฟรนไชส์โดยได้รับส่วนแบ่งจากการขายและกำไรเท่านั้น ส่วนผู้ซื้อแฟรนไชส์ไปจัดการทุกอย่างเอง เช่นหาทำเล ตกแต่ง ต่อรองเงินกู้กับธนาคาร ฯลฯ
แบบใหม่ McDonald ขายสิทธิการเช่าที่ดินตรงนี้เพื่อใช้เปิดเป็นร้าน McDonald เท่านั้น โดยที่ดินเหล่านี้ McDonald จัดหา ต่อรองดอกเบี้ยกับธนาคาร และกำหนดอัตราค่าเช่าให้เอง (เหมือนขายความสะดวกให้กับผู้ต้องการเปิดร้านไปในตัว ว่าไม่ต้องไปเตรียมอะไรให้ยุ่งยาก แค่เดินถือเงินเข้ามาก็เปิดร้านได้ทันที) McDonald ได้ประโยชน์ตรงที่เป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมาก เป็นเจ้าของวงเงินกู้รายใหญ่จึงมีอำนาจต่อรองกับธนาคารเพื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษได้
ผลที่เปลี่ยนไปคือ ผู้เช่าจ่ายค่าเช่าตรงกับ McDonald ในอัตราที่กำหนดและต้องจ่ายเป็นประจำทุกเดือน ไม่ว่าจะขายได้หรือไม่ได้ ทำให้ McDonald มีเงินสดจำนวนมากพอเข้าบริษัทประจำสม่ำเสมอและจริงๆก็มากกว่ากว่าส่วนแบ่งกำไรเสียด้วย
9. เปิดใจรับคนใหม่มาร่วมทีมเสมอ เราไม่ได้เก่งทุกเรื่องดังนั้นเราต้องหาคนที่ช่วยเราได้มาอยู่กับเรา และเมื่อได้เค้ามาแล้วเราต้องดูแลเค้าอย่างดี
10. สัญญาต้องเป็นสัญญา และสัญญานี้หมายถึงเอกสารที่ผ่านตาผู้เชี่ยวชาญและมีการลงนามแล้วเท่านั้น อย่าเชื่อคำคนแม้สมัยนี้จะมีรูปถ่าย มีไฟล์เสียง แต่สัญญาที่เป็นเอกสารยังสำคัญที่สุดเสมอ
หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง ดูแล้วจะได้เห็นถึงที่มาของร้าน McDonald ในทุกแง่มุม ซึ่งหนังแสดงให้เห็นถึงด้านที่สวยงามของการทำธุรกิจตามปรัชญาของผู้ก่อตั้ง (ตัวจริง) กับด้านมืดของการทำธุรกิจจากผู้มองเห็นและกล้าฉวยโอกาสนั้นไว้โดยไม่สนว่าจะได้มาด้วยวิธีใด
ที่มา https://www.facebook.com/trickofthetrade/photos/a.677773965589261/1453234421376541/