“อาเจียน” ... อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาการถ่ายเหลว ปวดท้อง และไข้
อาการอาเจียนมักทุเลาลงหรือหายไปได้เองภายใน 24-48 ชั่วโมง
สาเหตุ
===
- การหมุนตัวผิดปกติของลำไส้
- อาหารเป็นพิษ(อาจพบร่วมกับอาการไข้)
- สมอง เช่น เลือดออกในสมองจากอุบัติเหตุ หรือเส้นโลหิตแตกในสมอง
- ในบางรายพบว่า แม้แต่การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ก็ทำให้เด็กมีอาเจียนค่อนข้างมากได้เช่นกัน
- สาเหตุส่วนใหญ่ของอาการอาเจียนและท้องเสียในเด็กนั้น มักจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส
หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า ไวรัสลงกระเพาะนั่นเอง
(น่าจะรวม ลำไส้อักเสบ ที่เกิดจากการติดเชื้อ ด้วย)
ซึ่งในรายที่ไม่รุนแรงก็มักจะหายได้เองในเวลา 5-7 วัน
การวิเคราะห์
=======
- การอาเจียนนั้นอาจเป็นเพียงอาการนำของโรคอื่นๆ ที่อาจไม่ใช่จากโรคของระบบทางเดินอาหารก็ได้
- เด็กที่ติดเชื้อไวรัสโรต้า มักมีอาการไข้ อาเจียน และถ่ายเป็นน้ำ
- โรคติดเชื้อหลายโรค เช่น โรคไข้เลือดออก และไข้ไทฟอยด์ อาจแสดงอาการอาเจียนเป็นอาการเด่น
- เด็กที่เป็นโรคตับอักเสบ มักมีอาการอาเจียน ร่วมกับเจ็บใต้ชายโครงขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ และอาจมีภาวะดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาเหลือง)
- ถ้าเด็กมีอาการคอแข็งและไข้สูงด้วย
ให้นึกถึงการติดเชื้อของสมอง, ไข้สมองอักเสบ , ก้อนเนื้องอกในสมอง , หรือเส้นโลหิตแตกในสมอง ฯลฯ
- ไส้ติ่งอักเสบ หรือเยื่อบุช่องท้องอักเสบ มักมีอาการปวดท้องรุนแรง กดเจ็บที่หน้าท้อง อาเจียนและมีไข้ร่วมด้วย
- พยาธิไส้เดือน
เด็กบางคนอาจมีอาการปวดท้องและอาเจียนแบบไม่รุนแรง เป็นครั้งคราว
โดยมากมักจะเป็นหลังกินอาหารสักพัก มีอาการอยู่ชั่วประเดี๋ยวก็หายได้เอง แต่จะเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง
- อาหารเป็นพิษ ที่มาจากแบคทีเรีย ระยะฟักตัว ปกติ 12-24 ชั่วโมง หรืออยู่ในช่วง 4-30 ชั่วโมง
การดูแล
====
- หากเด็กมีอาการทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ดี เล่นได้ กินอาหารได้ สามารถดูแลและเฝ้าสังเกตอาการที่บ้าน
- ถ้าอาการไม่ชัดเจน ให้งดอาหารแข็งหรืออาหารที่ย่อยยาก
ให้กินอาหารเหลวหรือน้ำหวานทีละน้อย แต่บ่อยครั้ง
และให้ยาแก้อาเจียน ถ้าไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง ควรส่งโรงพยาบาล
- ยาแก้อาเจียนอาจช่วยให้อาเจียนน้อยลง และระยะเวลาในการอาเจียนห่างออก
แนะนำให้ใช้ยาดรอมเพอริโดนหรือโมทีเลียม ในขนาด 1 ช้อนชา (5 ซีซี) ต่อน้ำหนักตัว 20 กิโลกรัม
หรือครึ่งเม็ดสำหรับน้ำหนักตัว 25-40 กิโลกรัม และ 1 เม็ดสำหรับน้ำหนักตัว 40 กิโลกรัมขึ้นไป
ให้ยาก่อนอาหารประมาณครึ่งชั่วโมงวันละ 2-4 ครั้ง
- ในกรณีที่เป็นเชื้อไวรัส การให้ยาปฏิชีวนะจะไม่ได้ผลในการทำลายเชื้อ
ต้องรอจนกว่าภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถขจัดเชื้อไวรัสนั้นๆออกไปจากร่างกายเอง
ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะใช้เวลา ประมาณ 1-2 สัปดาห์
- diarrhea is a way for the body to get rid of the infection.
Antibiotics are usually not necessary either.
อาหาร
===
- Older children should begin eating within 12 to 24 hours after starting to take an ORS.
- Avoid foods with a lot of sugar and fat
Your doctor may recommend that you give your child bland foods for the first 24 hours.
Bland foods include bananas, rice, applesauce, toast, saltine crackers and unsweetened cereals.
If your child does well with these foods, you can add other foods over the next 48 hours.
- อาหารเป็นสิ่งสำคัญ ควรเน้นอาหารอ่อนและย่อยง่าย เช่นข้าวต้ม โจ๊ก เน้นอาหารจำพวกแป้ง
ลดปริมาณของอาหารในแต่ละมื้อ และเพิ่มจำนวนมื้อแทน (กินทีละน้อย แต่บ่อยครั้ง)
- You should avoid giving your child plain water.
Water alone does not contain enough salt and nutrients to help with dehydration.
- ดื่มหรือจิบน้ำและน้ำเกลือแร่ ทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง
ส่วนนมดื่มได้ตามปกติ แต่ควรลดปริมาณในแต่ละมื้อ และเพิ่มจำนวนมื้อแทน (กินทีละน้อย แต่บ่อยครั้ง)
- It's best to avoid dairy products for 3 to 7 days.
- นมพิเศษสำหรับกรณีท้องเสีย เช่น นมที่ไม่มีสารแลคโตส (Lactose-free formula)
- นมถั่วเหลือง
- ยิ่งทานนมวัวเยอะ ยิ่งทำให้ถ่ายเหลวมากขึ้น
- ควรงดน้ำผลไม้สด เช่น น้ำส้มสด แตงโม ฯลฯ เพราะบางครั้งอาจทำให้ท้องเสียมากขึ้น
- ในรายที่ไม่ชอบทานน้ำเกลือสำหรับท้องเสีย
ใช้เครื่องดื่มรสผลไม้แบบกล่องหรือแบบกระป๋อง ที่มีรสชาติที่เด็กชอบให้ทานแทนได้บ้าง
- Most children can return to their usual diet about 3 days after the diarrhea stops.
- If your child has been vomiting, wait 6 hours after the last time
he or she vomited before offering food.
เมื่อใดต้องพบแพทย์?
=========
- หากเด็กไม่สามารถดื่มน้ำได้ อาเจียนรุนแรง ปัสสาวะลดลง และอาการไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง
มีอาการตาเหลือง ซึมลง กระสับกระส่าย ไข้สูง ควรรีบปรึกษาแพทย์
- if your child is vomiting or has diarrhea and Has not urinated in 8 hours.
- มีปัสสาวะน้อย และมีภาวะเลือดเป็นกรด ก็จะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ต้องรีบทำการให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ เพื่อชดเชยปริมาณสารน้ำและเกลือที่ร่างกายสูญเสียไปให้ทัน
เพื่อป้องกันและแก้ไขอันตรายจากภาวะช็อคที่จะติดตามมา
- เด็กที่มีอาการปวดท้องร่วมกับการอาเจียนค่อนข้างมาก
จนบางครั้งเห็นสิ่งที่อาเจียนออกมาเป็นน้ำสีเหลืองๆ ซึ่งเป็นสีเหลืองของน้ำดี
แสดงว่าอาการค่อนข้างรุนแรง
- เด็กเล็กที่มีอาการอาเจียนหลายครั้ง ร่วมกับการกรีดร้องเป็นพักๆ และถ่ายเป็นเลือด
ควรคิดถึงโรคลำไส้กลืนกัน และต้องรีบไปพบแพทย์
- Has had abdominal pain for more than 2 hours.
Signs of dehydration
=====================
- 8 hours or more without urinating for children
- Dry mouth
- No tears when crying
- Skin that isn't as springy or elastic as usual
- Sleepiness
ที่มา:
http://familydoctor.org/online/famdocen/home/children/parents/common/stomach/196.printerview.html
http://www.oknation.net/blog/DrPon/2009/12/11/entry-4
http://www.clinicdek.com/index.php?option=com_content&task=view&id=68&Itemid=53
http://thaiwonders.com/pharma/index.php?Itemid=49&id=312&option=com_content&task=view
ประสพการณ์, เรื่องราวทั่วไป, แง่คิด, มุมมอง ที่น่าสนใจ - สิริพงษ์ พงศ์ภิญโญภาพ
Wednesday, April 20, 2011
Tuesday, April 19, 2011
The Beautiful Bird
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนกแสนสวยตัวหนึ่ง มีขนสวยงามมาก มีคนอยากได้ไว้ครอบครองเป็นจำนวน
มากแต่ไม่เคยมีชาวบ้านคนไหนจับนกตัวนั้นได้เลย อยู่มาวันหนึ่งมี อาบัง ขายถั่วมานั่งใต้ต้นไม้ที่มีนกแสน
สวยอยู่ พอนกแสนสวยเห็นถั่วของอาบังก็เกิดอยากกินขึ้นมา จึงร้องบอกอาบังว่า
“ อาบัง อาบัง ขอถั่วให้ชั้นกินหน่อยสิ ”
อาบังได้ยินดังนั้น ก็ตอบกลับไปว่า
“ ได้เลย ได้เลย แต่ขอขนให้ชั้นเส้นนึงนะ ”
พอนกได้ยินดังนั้น ก็ก้มลงมองที่ขนของตนเอง แล้วคิดว่า ขนของตนเองนี่มีเยอะมาก เสียไปสักเส้นคง
ไม่เป็นไรหรอก นกแสนสวยก็เลยให้ขนอาบังไปหนึ่งเส้น แล้วก็ลงไปกินถั่วของอาบัง วันต่อมานกแสน
สวยก็บอกกับอาบังอีกว่าขอถั่วให้ชั้นกินหน่อยสิ อาบังก็ตอบเหมือนเดิมว่าขอขนให้ชั้นเส้นหนึ่งก่อน นกแสน
สวยก็คิดเหมือนเดิมว่าขนมันยังมีอยู่เยอะก็เลยให้ขนอาบังไปอีก เป็นอย่างนี้ต่อไปอีกหลายวัน จนวันหนึ่ง
นกแสนสวยก็ขอถั่วอาบังกินอีก อาบังก็ตอบเหมือนเดิมว่า ขอขนให้ชั้นเส้นหนึ่งก่อน นกก็ไม่รีรอรีบให้ขน
อาบังไปทันที แล้วลงมากินถั่วของอาบัง อาบังก็เลยจับนกตัวนั้นไว้ได้ เพราะว่าขนของมันเหลือน้อยแล้ว
ไม่สามารถที่จะบินหนีอาบังได้
เรื่องนี้ถ้าอ่านผ่านไปอาจจะไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าเราลองคิดให้ดี เปลี่ยนจากนกแสนสวยเป็นตัวเรา
ขนของนกแต่ละเส้นคือเวลาของเราที่เสียไปและอาบังเป็นนายจ้างของเราส่วนถั่วที่อาบังให้ก็เหมือนกับ
เงินเดือนที่นายจ้างให้เรา
หมายความว่า ทุกวันนี้ ถ้าเรายังประมาทในการใช้ชีวิตยังพอใจแค่เงินเดือนที่นายจ้างให้เราทุกเดือน
เวลาของเราก็จะค่อยๆหมดไปเรื่อยๆ เวลาของเราไม่ได้มีมากมายหรอกแป๊บเดียวเดี๋ยวมันก็หมดไป
แล้ว ซึ่งเงินเดือนที่นายจ้างให้เราเนี่ยก็ให้แค่พอเราอยู่ได้ทุกเดือนเท่านั้นแหละ บางคนอาจจะคิดว่า
การทำงานประจำเป็นอาชีพที่มั่นคง แต่ก็ไม่นะ เพราะว่าการเป็นลูกจ้างเค้าเนี่ยเราไม่สามารถที่จะ
กำหนดวิถีชีวิตของตัวเองได้ เราถูกนายจ้างเรากำหนดให้ต่างหากว่าจะหยุดวันไหนวันนี้จะทำอะไร จึง
ไม่อยากให้ทุกคนยึดติดกับความคุ้นเคยกับความสบายเพียงแค่วันนี้แต่อยากจะให้มองให้ไกลๆ มองถึง
อนาคตของเราว่าเราจะหยุดทำงานเมื่อไหร่เราจะใช้ชีวิตในวัยเกษียณอย่างไร อย่าเป็นเหมือนนกแสน
สวยที่รู้ตัวก็ตอนที่ตัวเองไม่มีขนอยู่ที่ตัวแล้ว
มากแต่ไม่เคยมีชาวบ้านคนไหนจับนกตัวนั้นได้เลย อยู่มาวันหนึ่งมี อาบัง ขายถั่วมานั่งใต้ต้นไม้ที่มีนกแสน
สวยอยู่ พอนกแสนสวยเห็นถั่วของอาบังก็เกิดอยากกินขึ้นมา จึงร้องบอกอาบังว่า
“ อาบัง อาบัง ขอถั่วให้ชั้นกินหน่อยสิ ”
อาบังได้ยินดังนั้น ก็ตอบกลับไปว่า
“ ได้เลย ได้เลย แต่ขอขนให้ชั้นเส้นนึงนะ ”
พอนกได้ยินดังนั้น ก็ก้มลงมองที่ขนของตนเอง แล้วคิดว่า ขนของตนเองนี่มีเยอะมาก เสียไปสักเส้นคง
ไม่เป็นไรหรอก นกแสนสวยก็เลยให้ขนอาบังไปหนึ่งเส้น แล้วก็ลงไปกินถั่วของอาบัง วันต่อมานกแสน
สวยก็บอกกับอาบังอีกว่าขอถั่วให้ชั้นกินหน่อยสิ อาบังก็ตอบเหมือนเดิมว่าขอขนให้ชั้นเส้นหนึ่งก่อน นกแสน
สวยก็คิดเหมือนเดิมว่าขนมันยังมีอยู่เยอะก็เลยให้ขนอาบังไปอีก เป็นอย่างนี้ต่อไปอีกหลายวัน จนวันหนึ่ง
นกแสนสวยก็ขอถั่วอาบังกินอีก อาบังก็ตอบเหมือนเดิมว่า ขอขนให้ชั้นเส้นหนึ่งก่อน นกก็ไม่รีรอรีบให้ขน
อาบังไปทันที แล้วลงมากินถั่วของอาบัง อาบังก็เลยจับนกตัวนั้นไว้ได้ เพราะว่าขนของมันเหลือน้อยแล้ว
ไม่สามารถที่จะบินหนีอาบังได้
เรื่องนี้ถ้าอ่านผ่านไปอาจจะไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าเราลองคิดให้ดี เปลี่ยนจากนกแสนสวยเป็นตัวเรา
ขนของนกแต่ละเส้นคือเวลาของเราที่เสียไปและอาบังเป็นนายจ้างของเราส่วนถั่วที่อาบังให้ก็เหมือนกับ
เงินเดือนที่นายจ้างให้เรา
หมายความว่า ทุกวันนี้ ถ้าเรายังประมาทในการใช้ชีวิตยังพอใจแค่เงินเดือนที่นายจ้างให้เราทุกเดือน
เวลาของเราก็จะค่อยๆหมดไปเรื่อยๆ เวลาของเราไม่ได้มีมากมายหรอกแป๊บเดียวเดี๋ยวมันก็หมดไป
แล้ว ซึ่งเงินเดือนที่นายจ้างให้เราเนี่ยก็ให้แค่พอเราอยู่ได้ทุกเดือนเท่านั้นแหละ บางคนอาจจะคิดว่า
การทำงานประจำเป็นอาชีพที่มั่นคง แต่ก็ไม่นะ เพราะว่าการเป็นลูกจ้างเค้าเนี่ยเราไม่สามารถที่จะ
กำหนดวิถีชีวิตของตัวเองได้ เราถูกนายจ้างเรากำหนดให้ต่างหากว่าจะหยุดวันไหนวันนี้จะทำอะไร จึง
ไม่อยากให้ทุกคนยึดติดกับความคุ้นเคยกับความสบายเพียงแค่วันนี้แต่อยากจะให้มองให้ไกลๆ มองถึง
อนาคตของเราว่าเราจะหยุดทำงานเมื่อไหร่เราจะใช้ชีวิตในวัยเกษียณอย่างไร อย่าเป็นเหมือนนกแสน
สวยที่รู้ตัวก็ตอนที่ตัวเองไม่มีขนอยู่ที่ตัวแล้ว
Labels:
food for thought
Sunday, April 17, 2011
References Portal
1.Google:
http://www.google.com/Top/Reference/
2.Yahoo:
http://dir.yahoo.com/Reference/
3.DMOZ:
http://www.dmoz.org/Reference/
The Open Directory Project is the largest, most comprehensive human-edited directory of the Web. It is constructed and maintained by a vast, global community of volunteer editors.
http://www.google.com/Top/Reference/
2.Yahoo:
http://dir.yahoo.com/Reference/
3.DMOZ:
http://www.dmoz.org/Reference/
The Open Directory Project is the largest, most comprehensive human-edited directory of the Web. It is constructed and maintained by a vast, global community of volunteer editors.
Tuesday, April 12, 2011
The first summer
สิ่งที่ phoenix เปลี่ยนไปคือ
- จากเดิมที่ไม่เคยกรี้ด ปัจจุบัน เหมือนมีนกหวีดค้างอยู่ที่คอ
- จากแต่ก่อนที่ไม่เคยอมนิ้ว
สำหรับ ธาม
- รู้จักแบ่งของให้คนอื่นเล่น
- จากเดิมที่ไม่เคยกรี้ด ปัจจุบัน เหมือนมีนกหวีดค้างอยู่ที่คอ
- จากแต่ก่อนที่ไม่เคยอมนิ้ว
สำหรับ ธาม
- รู้จักแบ่งของให้คนอื่นเล่น
Monday, April 11, 2011
Febrile convulsion
ถ้าผู้ใหญ่เป็นไข้ นอนให้เหงื่อออกซักคืนนึงก็หาย
แต่สำหรับเด็ก ถ้าใช้สูตรเดียวกัน เด็กอาจจะได้ไปเกิดใหม่ !!!
phoenix มีไข้
แม้ว่าหน้าผากไม่ร้อนมาก แต่มีอาการตัวร้อน(ไม่มาก)มาต่อเนื่อง ทั้งวัน
สุดท้าย -> ชัก
คล้ายหมดสติ คิ้วกระตุก ตาเหลือก ปากเขียว เกร็งกัดฟันแน่น
หลังจากเช็ดตัว อาการดีขึ้นกลับมาพูดจาได้ตามปกติ
เราดันเอามันมากอดไว้ -> ร้อน -> อาการกำเริบ
ไปสอบถามหมอ ได้ความดังนี้ :
หมอ: เด็กเล็กถ้าชักเกิน 3 ครั้ง อาจมีผลกับสมองมากเกิน ต้องปรึกษาแพทย์ พิจารณากินยากันชัก
กรณีทั่วไป วิธีที่ดีที่สุดในการกันชักคือควบคุมอุณหภูมิ
หมอ: ถ้าจะกินยากันชัก
ต้องกินล่วงหน้า 2 วัน ก่อนจุดที่อาจจะเกิดอาการ
เพื่อให้มีตัวยาพร้อมอยู่ในกระแสเลือด
internet: การกินยากันชักก็จะทำให้เดินคล้ายคนง่วงนอนได้
-----------------------------------------
...สุดท้าย Phoenix หายจากการมีไข้สูงด้วยยา เซฟดิเนีย (cefdinir) 125 mg ใน 1 ช้อนชา
เป็นยาในกลุ่มเซฟาโลสปอรินส์ (cephalosporins)
เพิ่มเติม
========
ชักจากไข้
http://www.doctor.or.th/node/1892 >> สาเหตุที่ทำไมอาการไข้จึงกระตุ้นให้เด็กชัก ยังไม่สามารถอธิบายได้
ข้อมูลยา ไดอะซีแพม กันชักไข้สูง
http://www.doctor.or.th/node/2423
แต่สำหรับเด็ก ถ้าใช้สูตรเดียวกัน เด็กอาจจะได้ไปเกิดใหม่ !!!
phoenix มีไข้
แม้ว่าหน้าผากไม่ร้อนมาก แต่มีอาการตัวร้อน(ไม่มาก)มาต่อเนื่อง ทั้งวัน
สุดท้าย -> ชัก
คล้ายหมดสติ คิ้วกระตุก ตาเหลือก ปากเขียว เกร็งกัดฟันแน่น
หลังจากเช็ดตัว อาการดีขึ้นกลับมาพูดจาได้ตามปกติ
เราดันเอามันมากอดไว้ -> ร้อน -> อาการกำเริบ
ไปสอบถามหมอ ได้ความดังนี้ :
หมอ: เด็กเล็กถ้าชักเกิน 3 ครั้ง อาจมีผลกับสมองมากเกิน ต้องปรึกษาแพทย์ พิจารณากินยากันชัก
กรณีทั่วไป วิธีที่ดีที่สุดในการกันชักคือควบคุมอุณหภูมิ
หมอ: ถ้าจะกินยากันชัก
ต้องกินล่วงหน้า 2 วัน ก่อนจุดที่อาจจะเกิดอาการ
เพื่อให้มีตัวยาพร้อมอยู่ในกระแสเลือด
internet: การกินยากันชักก็จะทำให้เดินคล้ายคนง่วงนอนได้
-----------------------------------------
...สุดท้าย Phoenix หายจากการมีไข้สูงด้วยยา เซฟดิเนีย (cefdinir) 125 mg ใน 1 ช้อนชา
เป็นยาในกลุ่มเซฟาโลสปอรินส์ (cephalosporins)
เพิ่มเติม
========
ชักจากไข้
http://www.doctor.or.th/node/1892 >> สาเหตุที่ทำไมอาการไข้จึงกระตุ้นให้เด็กชัก ยังไม่สามารถอธิบายได้
ข้อมูลยา ไดอะซีแพม กันชักไข้สูง
http://www.doctor.or.th/node/2423
Labels:
raising children
Thursday, April 7, 2011
Food allergies
นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี เรียบเรียง
คนเรานั้นมีโอกาสเกิดอาการแพ้อาหารและการรับอาหารบางชนิดไม่ได้เป็นบางช่วงของชีวิต
ซึ่งในเด็กประมาณร้อยละ 3 ที่พิสูจน์ได้ว่าแพ้อาหารจริง แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่อาการแพ้อาหารนั้นจะลดลงเหลือเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น
แท้จริงแล้วอาการหรือปฏิกิริยาทางร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่อกินอาหารบางชนิดเข้าไปนั้น
มีความแตกต่างระหว่างคำว่า การแพ้อาหาร (Food allergies) กับ การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ (Food intolerance)
ทั้งนี้ การแพ้อาหาร (Food allergies) จะเกิดจากปฏิกิริยาที่ไวต่ออาหารนั้นๆ
เป็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติต่ออาหารเนื่องจากมีการกระตุ้นจากระบบภูมิต้านทานของร่างกาย
ส่วนการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทานแต่อย่างใด
แต่ทั้งสองกลุ่มนี้จะมีอาการคล้ายคลึงกัน
ทั้งนี้การแพ้อาหารจริงๆ มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่ต้องพยายามตรวจสอบและป้องกันการเกิดปฏิกิริยาการแพ้
เพราะนอกจากทำให้เกิดภาวะเจ็บป่วยแล้ว บางคนอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
กลไกการเกิดปฏิกิริยาการแพ้อาหาร
=====================
ปฏิกิริยาการแพ้นั้นมีผลเกี่ยวข้องกับ 2 กลไกทางระบบภูมิต้านทาน คือ
1) การสร้างภูมิต้านทานชนิด อี (Immunoglobulin E: IgE)
ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งเรียกว่าแอนตี้บอดี้ที่อยู่ในกระแสเลือด
2) และอีกกลไกหนึ่งเกี่ยวข้องกับมาสต์เซลล์ (Mast cell)
ที่อยู่ในทุกเนื้อเยื่อของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่เกิดอาการแพ้
เช่น ในจมูก คอ ปอด ผิวหนัง และทางเดินอาหาร
ความสามารถในการสร้าง IgE ต่ออาหารนั้นมักมีส่วนที่ได้รับจากกรรมพันธุ์
เช่น มีคนในครอบครัวมีอาการแพ้ไม่ว่าจะแพ้อาหาร แพ้ฝุ่น แพ้เกสรดอกไม้ หอบหืด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพ่อแม่เป็นภูมิแพ้ทั้งสองฝ่าย
ลูกก็จะมีโอกาสแพ้มากกว่าคนที่มีเพียงพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งที่เป็นภูมิแพ้
ก่อนที่จะเกิดอาการแพ้นั้น คนที่แพ้ต้องเคยได้รับอาหารชนิดนั้นมาก่อน
เมื่อมีการย่อยอาหารก็จะกระตุ้นให้มีการสร้าง IgE จำนวนมาก
ซึ่งจะเข้าไปเกาะผิวของมาสต์เซลล์ เมื่อมีการรับประทานอาหารชนิดนั้นอีกครั้ง
อาหารจะไปกระตุ้น IgE จำเพาะบนผิวมาสต์เซลล์นั้น
ทำให้เกิดการหลั่งสารเคมี เช่น ฮีสตามีน
ซึ่งจะทำให้เกิดอาการแพ้ตามแต่บริเวณของเนื้อเยื่อที่มีการหลั่งสารเคมีนั้น
เช่น มีการหลั่งสารเคมีที่บริเวณหู คอ จมูก
ก็จะมีอาการคันหรือบวมที่ปาก คอ หายใจลำบาก หรือกลืนอาหารลำบาก
แต่ถ้าเป็นที่บริเวณทางเดินอาหาร ก็อาจมีอาการปวดท้องหรือท้องร่วงได้
ส่วนของสารอาหารที่ทำให้เกิดการแพ้นั้น เป็นโปรตีนในอาหาร
ที่มักไม่ถูกสลายด้วยความร้อนในการปรุงอาหารหรือกรดในกระเพาะอาหารหรือน้ำย่อย
จึงทำให้สามารถดูดซึมผ่านเข้าสู่กระแสเลือดไปยังบริเวณเป้าหมายที่เกิดอาการแพ้ขึ้นได้ทั่วร่างกาย
ความซับซ้อนในกระบวนการย่อยอาหาร มีผลต่อระยะเวลาและตำแหน่งที่เกิดอาการ
================================================
ตัวอย่างเช่น อาการจะเริ่มต้นจากมีอาการคันที่ปากก่อน เมื่อเริ่มรับประทานอาหาร
พออาหารถูกย่อยในกระเพาะอาหารแล้ว มักจะเกิดอาการทางเดินอาหาร เช่น อาเจียน ท้องร่วง และปวดท้องได้
เมื่อสารที่ทำให้แพ้เข้าสู่กระแสเลือด ก็อาจทำให้ระดับความดันโลหิตตกลงได้
หากไปที่ผิวหนังก็เกิดอาการผื่นแพ้
หรือไปที่ระบบทางเดินหายใจก็อาจทำให้เกิดอาการหอบหืดได้
ซึ่งอาการต่างๆ นี้ อาจเกิดได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีจนเป็นชั่วโมงก็ได้เช่นกัน
การแพ้อาหารที่พบบ่อย
==============
ในผู้ใหญ่อาหารที่พบว่าเกิดการแพ้ได้บ่อย ได้แก่ อาหารทะเล เช่น กุ้ง กั้ง ปู พืชเมล็ดบางชนิด เช่น ถั่ว
ส่วนที่แพ้ได้แต่ไม่บ่อย ได้แก่ ปลา และไข่ ซึ่งเมื่อแพ้แล้วอาจมีอาการแพ้เพียงเล็กน้อยจนถึงขั้นรุนแรงได้
คือ อาจจะแค่คัน บวม กระทั่งความดันโลหิตตกอย่างเฉียบพลัน และอาจถึงแก่ความตายได้
ส่วนในเด็กนั้นอาหารที่พบว่าเกิดการแพ้นั้นแตกต่างจากผู้ใหญ่ คือ
มักมีอาการแพ้ไข่ นมวัว และถั่ว ซึ่งอาการแพ้อาหารนี้อาจจะหายไปได้เองเมื่อโตขึ้น
แต่หากเป็นการแพ้ปลาและกุ้งก็มักจะไม่หาย ในขณะที่ผู้ใหญ่เมื่อแพ้อะไรแล้วมักจะไม่หาย
การแพ้อาหารในทารกและเด็ก
การแพ้นมวัวและถั่วเหลืองพบได้บ่อยในทารกและเด็ก ส่วนมากจะไม่มีอาการหอบหืด แต่มักมีอาการปวดท้อง นอนไม่หลับ มีเลือดออกมากับอุจจาระ ดูเด็กไม่มีความสุข หรือเลี้ยงไม่โต เป็นต้น
สาเหตุที่ทำให้เด็กแพ้อาหาร
เชื่อว่าเกิดจากความไม่สมบูรณ์ของระบบภูมิต้านทานและระบบทางเดินอาหาร
อาการแพ้นมหรือถั่วเหลืองนี้เริ่มแสดงอาการได้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด หรือมีอายุเพียงไม่กี่เดือนนับตั้งแต่คลอด
เด็กที่มีอาการแพ้อาจพบว่ามีประวัติคนเป็นภูมิแพ้ในครอบครัวด้วย
หากทารกแพ้นมวัวแพทย์ก็จะแนะนำให้เปลี่ยนเป็นนมถั่วเหลืองแทนหรือให้ดื่มนมแม่เพียงอย่างเดียว
หากมีการแพ้นมถั่วเหลืองด้วย ก็อาจต้องใช้นมสูตรพิเศษที่มีการย่อยโปรตีนแบบสมบูรณ์
ในกรณีที่เด็กมีอาการแพ้รุนแรงคุณหมออาจจะให้ยา เช่น สเตียรอยด์
แต่ก็ยังโชคดีที่อาการแพ้ในเด็กนั้นมักจะหายไปได้เองในช่วงปี สองปีหลังเกิดอาการ
การให้นมแม่อย่างเดียวโดยไม่ให้อาหารอื่นเลยแก่ทารกในช่วง 6-12 เดือนนั้น
จะสามารถหลีกเลี่ยงการแพ้นมวัวและนมถั่วเหลืองได้
โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้
แต่คุณแม่เองก็ต้องตระหนักด้วยว่าอาหารที่รับประทานนั้นอาจทำให้ลูกเกิดอาการแพ้ได้
ดังนั้นคุณแม่ที่ให้นมลูกควรต้องระมัดระวังเลือกอาหารให้ดีด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ลูกแพ้
แม้ว่ายังไม่มีการพิสูจน์ว่าการให้นมแม่นั้นสามารถป้องกันการแพ้ในวัยที่โตขึ้นได้
แต่อย่างน้อยการให้นมแม่ก็ช่วยเลื่อนเวลาการเกิดการแพ้อาหารออกไปได้
และหากเลื่อนการให้อาหารเสริมเป็นหลังอายุ 6 เดือน ก็จะช่วยเลื่อนระยะเวลาการเกิดอาการแพ้ได้ด้วยเช่นกัน
แท้จริงแล้วอาการหรือปฏิกิริยาทางร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่อกินอาหารบางชนิดเข้าไปนั้น
มีความแตกต่างระหว่างคำว่า การแพ้อาหาร (Food allergies) กับ การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ (Food intolerance)
การแพ้อาหาร - การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ ต่างกันอย่างไร
==================================
บางคนเมื่อมีอาการหลังจากรับประทานอาหารบางชนิด แล้วไปบอกคุณหมอว่า ฉันคิดว่าฉันแพ้อาหาร
แพทย์จะต้องแยกแยะวินิจฉัยอาการต่างๆ ก่อนเพื่อไม่ให้สับสนว่าจริงๆ แล้ว
คุณคนนั้นเขาแพ้อาหาร รับอาหารบางชนิดไม่ได้ หรืออาหารเป็นพิษจากเชื้อโรคปนเปื้อนในอาหารกันแน่
ซึ่งทั้งหมดอาการคล้ายกันแต่ต่างกันที่สาเหตุ จึงต้องจำแนกแยกแยะให้ออกก่อนว่าเป็นอะไรกันแน่
บางครั้งสารเคมีตามธรรมชาติ เช่น สารฮีสตามีนที่มีอยู่ในอาหารก็ทำให้เกิดอาการคล้ายกับอาการแพ้อาหารได้
เช่น สารฮีสตามีนที่มีมากในเนยแข็ง ไวน์บางชนิด
ปลาบางชนิดโดยเฉพาะปลาทูน่าและปลาแมคเคอเรล (คล้ายปลาทู)
ซึ่งสารฮีสตามีนในปลานั้นเชื่อว่าเกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย
โดยเฉพาะปลาที่ไม่ได้แช่แข็งอย่างดี หากใครรับประทานอาหารที่มีสารฮีสตามีนนี้มากก็จะเกิดอาการเหมือนแพ้อาหารได้
เรียกว่า เกิดพิษจากสารฮีสตามีน (histamine toxicity)
การแพ้อาหาร จะเกิดจากปฏิกิริยาของระบบภูมิต้านทานในร่างกาย ส่วนการรับอาหารบางชนิดไม่ได้
อาจเกิดจากความบกพร่องของสารบางชนิดในร่างกาย หรือการไม่ถูกกันระหว่างสารในร่างกายกับสารบางชนิดที่มีอยู่ในอาหาร
ทั้งสองกรณีต่างจากอาหารเป็นพิษ ที่มีสาเหตุจากเชื้อโรคปนเปื้อนดังที่กล่าวแล้ว
การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ที่มักจะพบบ่อยคือ ภาวะพร่องน้ำย่อยน้ำตาลนม (lactase deficiency)
ซึ่งพบได้ถึง 1 ใน 10 คน น้ำย่อยนี้สร้างจากผิวของลำไส้ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลนม
หากคนที่มีน้ำย่อยน้ำตาลนมไม่พอ เมื่อดื่มนมหรือรับประทานผลิตภัณฑ์จากนมเข้าไป
น้ำตาลนมที่ไม่สามารถถูกย่อยก็จะถูกแบคทีเรียนำไปใช้ แล้วสร้างก๊าซขึ้น ทำให้ท้องอืด ปวดท้อง และอุจจาระร่วงได้
ซึ่งแพทย์วินิจฉัยได้โดยการให้รับประทานน้ำตาลนม และวัดผลจากเลือด
การรับอาหารบางชนิดไม่ได้อีกแบบหนึ่งที่เจอคือ การมีปฏิกิริยาต่อสารที่ใส่ในอาหารเพื่อปรับแต่งรส กลิ่น หรือป้องกันการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย เช่น สีผสมอาหารเบอร์ 5 ทำให้เกิดอาการหอบ หรือผงชูรส ที่ทำให้เกิดอาการร้อนซู่ซ่า ปวดศีรษะ เจ็บหน้าอก อ่อนแรง หรือหงุดหงิดได้ในบางคน ซึ่งเกิดจากการรับประทานผงชูรสในปริมาณมาก
สารซัลไฟต์ เป็นสารที่พบได้ในอาหารหรือได้ถูกใส่เข้าไปในอาหารเพื่อทำให้กรอบหรือป้องกันเชื้อรา
หากมีปริมาณมากอาจทำให้บางคนมีอาการหอบหืดได้ เนื่องจากสารนี้ทำให้เกิดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ซึ่งคนที่เป็นหอบหืดสูดดมเข้าไประหว่างรับประทานอาหาร ทำให้เกิดอาการระคายเคืองปอดและเกิดการหดตัวของหลอดลมจึงหอบได้
บางคนมีอาการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ด้วยสาเหตุทางจิต เช่น ในช่วงวัยเด็กเกิดความรู้สึกไม่ชอบหรือต่อต้านอาหารบางชนิดจนฝังใจ เมื่อกินเข้าไปก็จะเกิดปฏิกิริยาในลักษณะเดียวกับการแพ้อาหาร ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการประเมินและบำบัดทางจิตเวชถึงประสบการณ์เลวร้ายที่ผ่านมา
นอกจากนี้แล้วก็ยังมีโรคอื่นๆ ที่มีอาการแบบเดียวกับการแพ้อาหาร เช่น
แผลและมะเร็งในทางเดินอาหาร ทำให้อาเจียน อุจจาระร่วง หรือปวดท้องเมื่อรับประทานอาหาร
หรือบางคนมีการแพ้อาหารเพราะถูกกระตุ้นจากการออกกำลังกาย
คือ คนที่แพ้มักจะรับประทานอาหารมาก่อนที่จะออกกำลังกาย
เมื่อออกกำลังกายจนความร้อนของร่างกายเพิ่มมากขึ้น ก็จะเริ่มมีอาการคัน รู้สึกเบาศีรษะ แล้วเกิดอาการแพ้
เช่น หอบ และอาจรุนแรงได้ถึงแก่ความตายได้
วิธีแก้ง่ายๆ ก็คืออย่ารับประทานอาหาร 2 ชั่วโมงก่อนออกกำลังกาย
การรักษาการแพ้อาหาร
==============
การรักษาการแพ้อาหารเมื่อวินิจฉัยได้ว่าแพ้อาหารชนิดใด ก็ควรงดอาหารที่แพ้ชนิดนั้น
และก่อนที่จะเลือกซื้ออาหารควรอ่านรายละเอียดส่วนผสมที่ฉลากอาหารก่อนว่ามีสิ่งที่ตัวเองแพ้ผสมอยู่หรือไม่
เช่น ถ้าแพ้นมต้องดูว่าในส่วนผสมมีผลิตภัณฑ์นมผสมอยู่ด้วยไหม
หรือถ้าแพ้ไข่ ต้องดูว่าน้ำสลัดที่เลือกมานั้นมีส่วนผสมของไข่หรือไม่
หรือถ้าแพ้ผงชูรสก็พยายามหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ใส่ผงชูรส เป็นต้น
ในคนที่มีอาการแพ้มากแม้ว่าได้รับสารอาหารที่แพ้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถเกิดอาการแพ้ได้
แต่คนที่มีอาการแพ้น้อย อาจทนทานต่อสารอาหารได้หากได้รับในจำนวนน้อยๆ
คนที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง ควรมีการเตรียมพร้อมเมื่ออาการแพ้เสมอ เพราะแม้ว่าจะคอยระวังเรื่องอาหารแล้วก็ตาม แต่ก็อาจเกิดความผิดพลาดได้เหมือนกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันในคนที่มีอาการแพ้รุนแรงนี้ ก็ควรพกพายาแก้แพ้ติดตัว หรือห้อยเป็นสายสร้อยเพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน หรืออาจพกยาอะดรินาลีน ไว้ฉีดยามฉุกเฉิน และควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะในคนที่แพ้รุนแรงอาการช็อคอาจเกิดได้แม้ว่าจะเริ่มต้นด้วยอาการเพียงเล็กน้อย เช่น แค่คันที่ปากและคอ หรือไม่สบายท้องเท่านั้น
ทางที่ดีที่สุดคือเมื่อเราทราบแล้วว่าแพ้อาหารชนิดใด ก็คงต้องระมัดระวังการเลือกอาหารให้ดี ควรเลี่ยงและงดสิ่งที่แพ้คือเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ที่มา http://www.oknation.net/blog/ION/2009/01/27/entry-1 (นิตยสาร Health Today)
คนที่แพ้อาหารจะแสดงอาการออกมาใน 2-3 นาที จนถึง 2-3 ชั่วโมง หลังจากรับประทานอาหาร
ไม่ควรกินยาแก้แพ้ล่วงหน้า เพื่อจะรับประทานอาหารที่แพ้เข้าไป
เพราะยาอาจบดบังอาการขั้นต้น
ทำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารชนิดนั้นในปริมาณมาก จะทำให้เกิดอาการแพ้ที่รุนแรงตามมาภายหลังได้
ที่มา http://www.kingdomplaza.com/article/health/news.php?nid=712 (หนังสือพิมพ์ข่าวสด)
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ อาการมักจะหายไปเมื่อหยุดรับสารนั้น
แต่บางคนอาการจะคงอยู่เป็นเวลาหลายวัน
อาการมักจะเกิดหลังรับประทาน โดยมากไม่เกิน 2 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหาร
ที่มา http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/allergy/food_know.html
ก่อนหน้านี้เมื่อสงสัยว่าจะแพ้อาหารอะไร แพทย์จะแนะะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้
แต่ต่อมาพบว่าการหลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้ ก่อให้เกิดผลเสีย คือจะมีปฎิกิริยาภูมิแพ้แรงขึ้น
ปัจจุบันแนะนำว่าหากผู้ป่วยพอทนได้ก็ไม่ต้องงดอาหารนั้น
ที่มา http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/allergy/food_diag.html
การวินิจฉัยการแพ้อาหาร
===============
- การทดสอบทางผิวหนัง
บอกอะไรไม่ได้มาก กล่าวคือ หากการทดสอบให้ผลบวกผู้ป่วยอาจจะไม่แพ้ต่ออาหารนั้น
การวินิจฉัยจะต้องร่วมกับประวัติ หากการทดสอบเข้าได้กับประวัติ จะช่วยในการวินิจฉัย
แต่หากการทดสอบผิวหนังให้ผลลบ ก็บอกได้เลยว่าผู้ป่วยรายนั้นไม่แพ้
- การเจาะเลือดหาระดับ IgE ต่อสารอาหาร
หากค่าดังกล่าวสูงก็น่าจะแพ้ต่อสารอาหารนั้น
หากค่าต่ำก็ไม่น่าจะแพ้
แต่ก็มีผู้ป่วยที่ค่า IgE ต่ำแต่แพ้
การตรวจนี้จะทำเมื่อไม่สามารถทดสอบทางผิวหนัง หรือผู้ป่วยได้รับยาแก้แพ้
ที่มา http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/allergy/food_diag.html
- มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวและตัวเองหรือไม่
- มีอาการของโรคภูมิแพ้หรือไม่ เช่น โรคหอบหืด โรคผื่นแพ้ จามหรือคัดจมูก
- ได้รับอาหารบางอย่างแล้วเกิดอาการหรือไม่
- ประวัติเกิดผื่นหลังจากรับประทานอาหารไปกี่ชั่วโมง
- ก่อนออกผื่นกำลังทำอะไรอยู่( เช่นออกกำลังกาย)
- ควรจะมีสมุดจดรายการอาหารที่รับประทานก่อนเกิดผื่น 12 ชั่วโมง
และควรจะจดอาการต่างๆที่เกิดด้วย ท่านจะพบความสัมพันธ์ของอาหารและผื่น
- เมื่อสงสัยว่าเกิดจากอาหารประเภทใดก็ให้หยุดอาหารประเภทนั้นสัก 10-14 วันแล้วสังเกตอาการว่าดีขึ้นหรือไม่
คนเรานั้นมีโอกาสเกิดอาการแพ้อาหารและการรับอาหารบางชนิดไม่ได้เป็นบางช่วงของชีวิต
ซึ่งในเด็กประมาณร้อยละ 3 ที่พิสูจน์ได้ว่าแพ้อาหารจริง แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่อาการแพ้อาหารนั้นจะลดลงเหลือเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น
แท้จริงแล้วอาการหรือปฏิกิริยาทางร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่อกินอาหารบางชนิดเข้าไปนั้น
มีความแตกต่างระหว่างคำว่า การแพ้อาหาร (Food allergies) กับ การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ (Food intolerance)
ทั้งนี้ การแพ้อาหาร (Food allergies) จะเกิดจากปฏิกิริยาที่ไวต่ออาหารนั้นๆ
เป็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติต่ออาหารเนื่องจากมีการกระตุ้นจากระบบภูมิต้านทานของร่างกาย
ส่วนการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทานแต่อย่างใด
แต่ทั้งสองกลุ่มนี้จะมีอาการคล้ายคลึงกัน
ทั้งนี้การแพ้อาหารจริงๆ มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่ต้องพยายามตรวจสอบและป้องกันการเกิดปฏิกิริยาการแพ้
เพราะนอกจากทำให้เกิดภาวะเจ็บป่วยแล้ว บางคนอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
กลไกการเกิดปฏิกิริยาการแพ้อาหาร
=====================
ปฏิกิริยาการแพ้นั้นมีผลเกี่ยวข้องกับ 2 กลไกทางระบบภูมิต้านทาน คือ
1) การสร้างภูมิต้านทานชนิด อี (Immunoglobulin E: IgE)
ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งเรียกว่าแอนตี้บอดี้ที่อยู่ในกระแสเลือด
2) และอีกกลไกหนึ่งเกี่ยวข้องกับมาสต์เซลล์ (Mast cell)
ที่อยู่ในทุกเนื้อเยื่อของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่เกิดอาการแพ้
เช่น ในจมูก คอ ปอด ผิวหนัง และทางเดินอาหาร
ความสามารถในการสร้าง IgE ต่ออาหารนั้นมักมีส่วนที่ได้รับจากกรรมพันธุ์
เช่น มีคนในครอบครัวมีอาการแพ้ไม่ว่าจะแพ้อาหาร แพ้ฝุ่น แพ้เกสรดอกไม้ หอบหืด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพ่อแม่เป็นภูมิแพ้ทั้งสองฝ่าย
ลูกก็จะมีโอกาสแพ้มากกว่าคนที่มีเพียงพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งที่เป็นภูมิแพ้
ก่อนที่จะเกิดอาการแพ้นั้น คนที่แพ้ต้องเคยได้รับอาหารชนิดนั้นมาก่อน
เมื่อมีการย่อยอาหารก็จะกระตุ้นให้มีการสร้าง IgE จำนวนมาก
ซึ่งจะเข้าไปเกาะผิวของมาสต์เซลล์ เมื่อมีการรับประทานอาหารชนิดนั้นอีกครั้ง
อาหารจะไปกระตุ้น IgE จำเพาะบนผิวมาสต์เซลล์นั้น
ทำให้เกิดการหลั่งสารเคมี เช่น ฮีสตามีน
ซึ่งจะทำให้เกิดอาการแพ้ตามแต่บริเวณของเนื้อเยื่อที่มีการหลั่งสารเคมีนั้น
เช่น มีการหลั่งสารเคมีที่บริเวณหู คอ จมูก
ก็จะมีอาการคันหรือบวมที่ปาก คอ หายใจลำบาก หรือกลืนอาหารลำบาก
แต่ถ้าเป็นที่บริเวณทางเดินอาหาร ก็อาจมีอาการปวดท้องหรือท้องร่วงได้
ส่วนของสารอาหารที่ทำให้เกิดการแพ้นั้น เป็นโปรตีนในอาหาร
ที่มักไม่ถูกสลายด้วยความร้อนในการปรุงอาหารหรือกรดในกระเพาะอาหารหรือน้ำย่อย
จึงทำให้สามารถดูดซึมผ่านเข้าสู่กระแสเลือดไปยังบริเวณเป้าหมายที่เกิดอาการแพ้ขึ้นได้ทั่วร่างกาย
ความซับซ้อนในกระบวนการย่อยอาหาร มีผลต่อระยะเวลาและตำแหน่งที่เกิดอาการ
================================================
ตัวอย่างเช่น อาการจะเริ่มต้นจากมีอาการคันที่ปากก่อน เมื่อเริ่มรับประทานอาหาร
พออาหารถูกย่อยในกระเพาะอาหารแล้ว มักจะเกิดอาการทางเดินอาหาร เช่น อาเจียน ท้องร่วง และปวดท้องได้
เมื่อสารที่ทำให้แพ้เข้าสู่กระแสเลือด ก็อาจทำให้ระดับความดันโลหิตตกลงได้
หากไปที่ผิวหนังก็เกิดอาการผื่นแพ้
หรือไปที่ระบบทางเดินหายใจก็อาจทำให้เกิดอาการหอบหืดได้
ซึ่งอาการต่างๆ นี้ อาจเกิดได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีจนเป็นชั่วโมงก็ได้เช่นกัน
การแพ้อาหารที่พบบ่อย
==============
ในผู้ใหญ่อาหารที่พบว่าเกิดการแพ้ได้บ่อย ได้แก่ อาหารทะเล เช่น กุ้ง กั้ง ปู พืชเมล็ดบางชนิด เช่น ถั่ว
ส่วนที่แพ้ได้แต่ไม่บ่อย ได้แก่ ปลา และไข่ ซึ่งเมื่อแพ้แล้วอาจมีอาการแพ้เพียงเล็กน้อยจนถึงขั้นรุนแรงได้
คือ อาจจะแค่คัน บวม กระทั่งความดันโลหิตตกอย่างเฉียบพลัน และอาจถึงแก่ความตายได้
ส่วนในเด็กนั้นอาหารที่พบว่าเกิดการแพ้นั้นแตกต่างจากผู้ใหญ่ คือ
มักมีอาการแพ้ไข่ นมวัว และถั่ว ซึ่งอาการแพ้อาหารนี้อาจจะหายไปได้เองเมื่อโตขึ้น
แต่หากเป็นการแพ้ปลาและกุ้งก็มักจะไม่หาย ในขณะที่ผู้ใหญ่เมื่อแพ้อะไรแล้วมักจะไม่หาย
การแพ้อาหารในทารกและเด็ก
การแพ้นมวัวและถั่วเหลืองพบได้บ่อยในทารกและเด็ก ส่วนมากจะไม่มีอาการหอบหืด แต่มักมีอาการปวดท้อง นอนไม่หลับ มีเลือดออกมากับอุจจาระ ดูเด็กไม่มีความสุข หรือเลี้ยงไม่โต เป็นต้น
สาเหตุที่ทำให้เด็กแพ้อาหาร
เชื่อว่าเกิดจากความไม่สมบูรณ์ของระบบภูมิต้านทานและระบบทางเดินอาหาร
อาการแพ้นมหรือถั่วเหลืองนี้เริ่มแสดงอาการได้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด หรือมีอายุเพียงไม่กี่เดือนนับตั้งแต่คลอด
เด็กที่มีอาการแพ้อาจพบว่ามีประวัติคนเป็นภูมิแพ้ในครอบครัวด้วย
หากทารกแพ้นมวัวแพทย์ก็จะแนะนำให้เปลี่ยนเป็นนมถั่วเหลืองแทนหรือให้ดื่มนมแม่เพียงอย่างเดียว
หากมีการแพ้นมถั่วเหลืองด้วย ก็อาจต้องใช้นมสูตรพิเศษที่มีการย่อยโปรตีนแบบสมบูรณ์
ในกรณีที่เด็กมีอาการแพ้รุนแรงคุณหมออาจจะให้ยา เช่น สเตียรอยด์
แต่ก็ยังโชคดีที่อาการแพ้ในเด็กนั้นมักจะหายไปได้เองในช่วงปี สองปีหลังเกิดอาการ
การให้นมแม่อย่างเดียวโดยไม่ให้อาหารอื่นเลยแก่ทารกในช่วง 6-12 เดือนนั้น
จะสามารถหลีกเลี่ยงการแพ้นมวัวและนมถั่วเหลืองได้
โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้
แต่คุณแม่เองก็ต้องตระหนักด้วยว่าอาหารที่รับประทานนั้นอาจทำให้ลูกเกิดอาการแพ้ได้
ดังนั้นคุณแม่ที่ให้นมลูกควรต้องระมัดระวังเลือกอาหารให้ดีด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ลูกแพ้
แม้ว่ายังไม่มีการพิสูจน์ว่าการให้นมแม่นั้นสามารถป้องกันการแพ้ในวัยที่โตขึ้นได้
แต่อย่างน้อยการให้นมแม่ก็ช่วยเลื่อนเวลาการเกิดการแพ้อาหารออกไปได้
และหากเลื่อนการให้อาหารเสริมเป็นหลังอายุ 6 เดือน ก็จะช่วยเลื่อนระยะเวลาการเกิดอาการแพ้ได้ด้วยเช่นกัน
แท้จริงแล้วอาการหรือปฏิกิริยาทางร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่อกินอาหารบางชนิดเข้าไปนั้น
มีความแตกต่างระหว่างคำว่า การแพ้อาหาร (Food allergies) กับ การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ (Food intolerance)
การแพ้อาหาร - การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ ต่างกันอย่างไร
==================================
บางคนเมื่อมีอาการหลังจากรับประทานอาหารบางชนิด แล้วไปบอกคุณหมอว่า ฉันคิดว่าฉันแพ้อาหาร
แพทย์จะต้องแยกแยะวินิจฉัยอาการต่างๆ ก่อนเพื่อไม่ให้สับสนว่าจริงๆ แล้ว
คุณคนนั้นเขาแพ้อาหาร รับอาหารบางชนิดไม่ได้ หรืออาหารเป็นพิษจากเชื้อโรคปนเปื้อนในอาหารกันแน่
ซึ่งทั้งหมดอาการคล้ายกันแต่ต่างกันที่สาเหตุ จึงต้องจำแนกแยกแยะให้ออกก่อนว่าเป็นอะไรกันแน่
บางครั้งสารเคมีตามธรรมชาติ เช่น สารฮีสตามีนที่มีอยู่ในอาหารก็ทำให้เกิดอาการคล้ายกับอาการแพ้อาหารได้
เช่น สารฮีสตามีนที่มีมากในเนยแข็ง ไวน์บางชนิด
ปลาบางชนิดโดยเฉพาะปลาทูน่าและปลาแมคเคอเรล (คล้ายปลาทู)
ซึ่งสารฮีสตามีนในปลานั้นเชื่อว่าเกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย
โดยเฉพาะปลาที่ไม่ได้แช่แข็งอย่างดี หากใครรับประทานอาหารที่มีสารฮีสตามีนนี้มากก็จะเกิดอาการเหมือนแพ้อาหารได้
เรียกว่า เกิดพิษจากสารฮีสตามีน (histamine toxicity)
การแพ้อาหาร จะเกิดจากปฏิกิริยาของระบบภูมิต้านทานในร่างกาย ส่วนการรับอาหารบางชนิดไม่ได้
อาจเกิดจากความบกพร่องของสารบางชนิดในร่างกาย หรือการไม่ถูกกันระหว่างสารในร่างกายกับสารบางชนิดที่มีอยู่ในอาหาร
ทั้งสองกรณีต่างจากอาหารเป็นพิษ ที่มีสาเหตุจากเชื้อโรคปนเปื้อนดังที่กล่าวแล้ว
การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ที่มักจะพบบ่อยคือ ภาวะพร่องน้ำย่อยน้ำตาลนม (lactase deficiency)
ซึ่งพบได้ถึง 1 ใน 10 คน น้ำย่อยนี้สร้างจากผิวของลำไส้ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลนม
หากคนที่มีน้ำย่อยน้ำตาลนมไม่พอ เมื่อดื่มนมหรือรับประทานผลิตภัณฑ์จากนมเข้าไป
น้ำตาลนมที่ไม่สามารถถูกย่อยก็จะถูกแบคทีเรียนำไปใช้ แล้วสร้างก๊าซขึ้น ทำให้ท้องอืด ปวดท้อง และอุจจาระร่วงได้
ซึ่งแพทย์วินิจฉัยได้โดยการให้รับประทานน้ำตาลนม และวัดผลจากเลือด
การรับอาหารบางชนิดไม่ได้อีกแบบหนึ่งที่เจอคือ การมีปฏิกิริยาต่อสารที่ใส่ในอาหารเพื่อปรับแต่งรส กลิ่น หรือป้องกันการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย เช่น สีผสมอาหารเบอร์ 5 ทำให้เกิดอาการหอบ หรือผงชูรส ที่ทำให้เกิดอาการร้อนซู่ซ่า ปวดศีรษะ เจ็บหน้าอก อ่อนแรง หรือหงุดหงิดได้ในบางคน ซึ่งเกิดจากการรับประทานผงชูรสในปริมาณมาก
สารซัลไฟต์ เป็นสารที่พบได้ในอาหารหรือได้ถูกใส่เข้าไปในอาหารเพื่อทำให้กรอบหรือป้องกันเชื้อรา
หากมีปริมาณมากอาจทำให้บางคนมีอาการหอบหืดได้ เนื่องจากสารนี้ทำให้เกิดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ซึ่งคนที่เป็นหอบหืดสูดดมเข้าไประหว่างรับประทานอาหาร ทำให้เกิดอาการระคายเคืองปอดและเกิดการหดตัวของหลอดลมจึงหอบได้
บางคนมีอาการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ด้วยสาเหตุทางจิต เช่น ในช่วงวัยเด็กเกิดความรู้สึกไม่ชอบหรือต่อต้านอาหารบางชนิดจนฝังใจ เมื่อกินเข้าไปก็จะเกิดปฏิกิริยาในลักษณะเดียวกับการแพ้อาหาร ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการประเมินและบำบัดทางจิตเวชถึงประสบการณ์เลวร้ายที่ผ่านมา
นอกจากนี้แล้วก็ยังมีโรคอื่นๆ ที่มีอาการแบบเดียวกับการแพ้อาหาร เช่น
แผลและมะเร็งในทางเดินอาหาร ทำให้อาเจียน อุจจาระร่วง หรือปวดท้องเมื่อรับประทานอาหาร
หรือบางคนมีการแพ้อาหารเพราะถูกกระตุ้นจากการออกกำลังกาย
คือ คนที่แพ้มักจะรับประทานอาหารมาก่อนที่จะออกกำลังกาย
เมื่อออกกำลังกายจนความร้อนของร่างกายเพิ่มมากขึ้น ก็จะเริ่มมีอาการคัน รู้สึกเบาศีรษะ แล้วเกิดอาการแพ้
เช่น หอบ และอาจรุนแรงได้ถึงแก่ความตายได้
วิธีแก้ง่ายๆ ก็คืออย่ารับประทานอาหาร 2 ชั่วโมงก่อนออกกำลังกาย
การรักษาการแพ้อาหาร
==============
การรักษาการแพ้อาหารเมื่อวินิจฉัยได้ว่าแพ้อาหารชนิดใด ก็ควรงดอาหารที่แพ้ชนิดนั้น
และก่อนที่จะเลือกซื้ออาหารควรอ่านรายละเอียดส่วนผสมที่ฉลากอาหารก่อนว่ามีสิ่งที่ตัวเองแพ้ผสมอยู่หรือไม่
เช่น ถ้าแพ้นมต้องดูว่าในส่วนผสมมีผลิตภัณฑ์นมผสมอยู่ด้วยไหม
หรือถ้าแพ้ไข่ ต้องดูว่าน้ำสลัดที่เลือกมานั้นมีส่วนผสมของไข่หรือไม่
หรือถ้าแพ้ผงชูรสก็พยายามหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ใส่ผงชูรส เป็นต้น
ในคนที่มีอาการแพ้มากแม้ว่าได้รับสารอาหารที่แพ้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถเกิดอาการแพ้ได้
แต่คนที่มีอาการแพ้น้อย อาจทนทานต่อสารอาหารได้หากได้รับในจำนวนน้อยๆ
คนที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง ควรมีการเตรียมพร้อมเมื่ออาการแพ้เสมอ เพราะแม้ว่าจะคอยระวังเรื่องอาหารแล้วก็ตาม แต่ก็อาจเกิดความผิดพลาดได้เหมือนกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันในคนที่มีอาการแพ้รุนแรงนี้ ก็ควรพกพายาแก้แพ้ติดตัว หรือห้อยเป็นสายสร้อยเพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน หรืออาจพกยาอะดรินาลีน ไว้ฉีดยามฉุกเฉิน และควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะในคนที่แพ้รุนแรงอาการช็อคอาจเกิดได้แม้ว่าจะเริ่มต้นด้วยอาการเพียงเล็กน้อย เช่น แค่คันที่ปากและคอ หรือไม่สบายท้องเท่านั้น
ทางที่ดีที่สุดคือเมื่อเราทราบแล้วว่าแพ้อาหารชนิดใด ก็คงต้องระมัดระวังการเลือกอาหารให้ดี ควรเลี่ยงและงดสิ่งที่แพ้คือเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ที่มา http://www.oknation.net/blog/ION/2009/01/27/entry-1 (นิตยสาร Health Today)
คนที่แพ้อาหารจะแสดงอาการออกมาใน 2-3 นาที จนถึง 2-3 ชั่วโมง หลังจากรับประทานอาหาร
ไม่ควรกินยาแก้แพ้ล่วงหน้า เพื่อจะรับประทานอาหารที่แพ้เข้าไป
เพราะยาอาจบดบังอาการขั้นต้น
ทำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารชนิดนั้นในปริมาณมาก จะทำให้เกิดอาการแพ้ที่รุนแรงตามมาภายหลังได้
ที่มา http://www.kingdomplaza.com/article/health/news.php?nid=712 (หนังสือพิมพ์ข่าวสด)
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ อาการมักจะหายไปเมื่อหยุดรับสารนั้น
แต่บางคนอาการจะคงอยู่เป็นเวลาหลายวัน
อาการมักจะเกิดหลังรับประทาน โดยมากไม่เกิน 2 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหาร
ที่มา http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/allergy/food_know.html
ก่อนหน้านี้เมื่อสงสัยว่าจะแพ้อาหารอะไร แพทย์จะแนะะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้
แต่ต่อมาพบว่าการหลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้ ก่อให้เกิดผลเสีย คือจะมีปฎิกิริยาภูมิแพ้แรงขึ้น
ปัจจุบันแนะนำว่าหากผู้ป่วยพอทนได้ก็ไม่ต้องงดอาหารนั้น
ที่มา http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/allergy/food_diag.html
การวินิจฉัยการแพ้อาหาร
===============
- การทดสอบทางผิวหนัง
บอกอะไรไม่ได้มาก กล่าวคือ หากการทดสอบให้ผลบวกผู้ป่วยอาจจะไม่แพ้ต่ออาหารนั้น
การวินิจฉัยจะต้องร่วมกับประวัติ หากการทดสอบเข้าได้กับประวัติ จะช่วยในการวินิจฉัย
แต่หากการทดสอบผิวหนังให้ผลลบ ก็บอกได้เลยว่าผู้ป่วยรายนั้นไม่แพ้
- การเจาะเลือดหาระดับ IgE ต่อสารอาหาร
หากค่าดังกล่าวสูงก็น่าจะแพ้ต่อสารอาหารนั้น
หากค่าต่ำก็ไม่น่าจะแพ้
แต่ก็มีผู้ป่วยที่ค่า IgE ต่ำแต่แพ้
การตรวจนี้จะทำเมื่อไม่สามารถทดสอบทางผิวหนัง หรือผู้ป่วยได้รับยาแก้แพ้
ที่มา http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/allergy/food_diag.html
- มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวและตัวเองหรือไม่
- มีอาการของโรคภูมิแพ้หรือไม่ เช่น โรคหอบหืด โรคผื่นแพ้ จามหรือคัดจมูก
- ได้รับอาหารบางอย่างแล้วเกิดอาการหรือไม่
- ประวัติเกิดผื่นหลังจากรับประทานอาหารไปกี่ชั่วโมง
- ก่อนออกผื่นกำลังทำอะไรอยู่( เช่นออกกำลังกาย)
- ควรจะมีสมุดจดรายการอาหารที่รับประทานก่อนเกิดผื่น 12 ชั่วโมง
และควรจะจดอาการต่างๆที่เกิดด้วย ท่านจะพบความสัมพันธ์ของอาหารและผื่น
- เมื่อสงสัยว่าเกิดจากอาหารประเภทใดก็ให้หยุดอาหารประเภทนั้นสัก 10-14 วันแล้วสังเกตอาการว่าดีขึ้นหรือไม่
Labels:
raising children
Monday, April 4, 2011
Go to school
- เด็กกลัวการถูกทอดทิ้ง
คิดว่าเราจะเอาเขาไปทิ้งที่โรงเรียน
แก้โดย ให้ความมั่นใจกับเขา ว่าเรารักเขา และจะมารับเขากลับไปเล่นต่อที่บ้านเมื่อเลิกเรียน
- บอกให้ลูกฟังว่า เมื่อเป็นเด็กโต ก็มีหน้าที่ต้องไปโรงเรียน
เหมือนพ่อแม่มีหน้าที่ต้องไปทำงาน
- พาลูกไปดู เด็กๆ เขาเล่นกันที่โรงเรียน
ชี้ให้เขาดูว่า เล่นกันสนุก
(พาไปแต่เนิ่นๆ)
- เล่าให้เขาฟังว่า เราเลือกร.ร.ที่ ครูใจดี ของเล่นเยอะๆ ให้เขา
- บอกเขาว่า ไปรร.เฉพาะวันจันทร์ ถึงศุกร์
พ่อแม่ไปทำงาน ลูกไปเล่นที่โรงเรียน
เสาร์อาทิตย์ ไปเที่ยวกับพ่อแม่
- บอกลูกว่า ไปเล่นที่โรงเรียน เดี๋ยวพ่อแม่มารับ
- ให้ดาว ถ้าไม่ร้องไห้
- ทบทวนให้เขาฟัง ว่าไปเล่นอะไรที่โรงเรียนบ้าง
เช่น ร้องเพลง ฟังนิทาน เล่นบ้านบอล เป็นต้น
- ให้เขาพกขนมไปแจกเพื่อน
- ถามเขาว่า ทำไมไม่อยากมาโรงเรียน
- ให้เขาพกของเล่นไป อวดเพื่อน
- อย่าผ่อนผันเรื่องการไปโรงเรียน
ให้ไปทุกวันไม่ให้ขาด
กับเด็กบางคน ถ้ายอมอ่อนข้อ มีครั้งที่ ๑ ก็มีครั้งที่๒
และจะทวีความต้องการไปเรื่อยๆ
- ตอนเช้า เด็กมักจะลืม
งอแงว่าไม่อยากไปโรงเรียน
พูดเน้นย้ำ ช่วยเขาระลึก หัวข้อต่างๆข้างต้น
- ชวนลูก ถามเด็กคนอื่นว่า เวลาไปโรงเรียนร้องไห้มั้ย
- เปลี่ยนเรื่อง เบนความสนใจ
อาจพิจารณาให้เด็กไปทดลองเรียน หรือเรียนช่วง summer
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาไม่ชอบพฤติกรรมครู หรือเด็กยังไม่พร้อมจะไปรร.
แต่จ่ายค่าเทอมไปหมดแล้ว
คิดว่าเราจะเอาเขาไปทิ้งที่โรงเรียน
แก้โดย ให้ความมั่นใจกับเขา ว่าเรารักเขา และจะมารับเขากลับไปเล่นต่อที่บ้านเมื่อเลิกเรียน
- บอกให้ลูกฟังว่า เมื่อเป็นเด็กโต ก็มีหน้าที่ต้องไปโรงเรียน
เหมือนพ่อแม่มีหน้าที่ต้องไปทำงาน
- พาลูกไปดู เด็กๆ เขาเล่นกันที่โรงเรียน
ชี้ให้เขาดูว่า เล่นกันสนุก
(พาไปแต่เนิ่นๆ)
- เล่าให้เขาฟังว่า เราเลือกร.ร.ที่ ครูใจดี ของเล่นเยอะๆ ให้เขา
- บอกเขาว่า ไปรร.เฉพาะวันจันทร์ ถึงศุกร์
พ่อแม่ไปทำงาน ลูกไปเล่นที่โรงเรียน
เสาร์อาทิตย์ ไปเที่ยวกับพ่อแม่
- บอกลูกว่า ไปเล่นที่โรงเรียน เดี๋ยวพ่อแม่มารับ
- ให้ดาว ถ้าไม่ร้องไห้
- ทบทวนให้เขาฟัง ว่าไปเล่นอะไรที่โรงเรียนบ้าง
เช่น ร้องเพลง ฟังนิทาน เล่นบ้านบอล เป็นต้น
- ให้เขาพกขนมไปแจกเพื่อน
- ถามเขาว่า ทำไมไม่อยากมาโรงเรียน
- ให้เขาพกของเล่นไป อวดเพื่อน
- อย่าผ่อนผันเรื่องการไปโรงเรียน
ให้ไปทุกวันไม่ให้ขาด
กับเด็กบางคน ถ้ายอมอ่อนข้อ มีครั้งที่ ๑ ก็มีครั้งที่๒
และจะทวีความต้องการไปเรื่อยๆ
- ตอนเช้า เด็กมักจะลืม
งอแงว่าไม่อยากไปโรงเรียน
พูดเน้นย้ำ ช่วยเขาระลึก หัวข้อต่างๆข้างต้น
- ชวนลูก ถามเด็กคนอื่นว่า เวลาไปโรงเรียนร้องไห้มั้ย
- เปลี่ยนเรื่อง เบนความสนใจ
อาจพิจารณาให้เด็กไปทดลองเรียน หรือเรียนช่วง summer
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาไม่ชอบพฤติกรรมครู หรือเด็กยังไม่พร้อมจะไปรร.
แต่จ่ายค่าเทอมไปหมดแล้ว
Labels:
raising children
For new moms
ก่อนตั้งครรภ์
- กินโฟลิก
ระหว่างตั้งครรภ์
- ระวังกินหวานจนเป็นเบาหวาน
- เปลี่ยนวิธีการบริโภคไอโอดีน
- conclusion-for-kids
- ชื่อที่จะตั้งให้กับเขา
why-i-named-him-phoenix
ใกล้คลอด
- ขอบริจาคนมแม่ หรือข้อมูลการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ที่ http://www.breastfeedingthai.com/
ในเมื่อคนยอมให้ลูกกินนมจากสัตว์ชนิดอื่นได้ ทำไมถึงจะไม่ให้ลูกกินนมคนด้วยกัน
ในต่างประเทศมี ธนาคารน้ำนม (Milk Bank) อย่างเป็นเรื่องเป็นราว สำหรับรับบริจาคและขอบริจาคน้ำนมแม่
เนื่องจากน้ำนมแม่หรือน้ำนมคนนั้นมีคุณค่าและคุณประโยชน์ที่ดีที่สุดสำหรับทารก
โดยเฉพาะทารกคลอดก่อนกำหนด เจ็บป่วย หรือมีปัญหาทางสุขภาพตั้งแต่แรกคลอด
น้ำนมแม่จะช่วยให้ทารกเหล่านั้นแข็งแรงและเจริญเติบโตได้ดีกว่าสารอาหารทดแทนนมแม่อื่นๆ
(โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ)
คลอดใหม่ๆ
- ถ้าลูกนอนเก่ง ปลุกให้ลูกกินนมด้วย กระตุ้นการผลิตน้ำนม และไม่เกิดภาวะตัวเหลืองในลูก
- ถ้าน้ำนมมาช้า หรือกลัวไม่พอ, problem-of-not-enough-milk
- ลูกขาโก่ง bowlegs.html
- อ่าน "รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว"
- อ่าน และฝึกฝน ตามหนังสือ "วิธีพูดกับลูก โดยไม่ทำร้ายจิตใจของเขา และทำให้เขาร่วมมือยอมทำตามคุณ"
"Between Parent and Child"
- ถ้าต้องซื้อนมผง ซื้อกล่องเล็กมาลองก่อน
เผื่อลูกกินแล้วแพ้
- ลูกเป็นไข้นี่อันตรายถึงชีวิตได้
ถ้าดูแลไม่ดี จากไปอย่างง่ายๆ โดยที่พ่อแม่ไม่ได้ตั้งตัว (ผิดจากโรคอื่นๆ)
- แม้ให้นมบุตรอยู่ คุณแม่ก็ยังมีศักยภาพในการมีลูกคนต่อไปได้
1 ปี
- เตรียมนิทาน (วิธีสอนเด็กที่ยอดเยี่ยมวิธีหนึ่ง)
- เริ่มเลือก รร.อนุบาล บางแห่งสมัครกันก่อนเกือบปี
บางคนบอกว่าควรให้ลูกได้หัดไปอยู่ nursery ตั้งแต่ 2 ขวบ
ให้แกเคยชินที่จะอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่ พอเข้าอนุบาลจะไม่งอแง ไม่อยากไปโรงเรียน
บางคนบอกว่า 3 ปีแรก เป็นช่วงเวลาที่เด็กต้องการความรักจากพ่อแม่อย่างมาก ไม่ควรรีบให้ไปรร.
อาจปรับให้เหมาะสมกับลูก เช่น ให้เด็กไปหัดอยู่ด้วยแค่ 3 ชม.ต่อวัน
ควรเลือกครูทีมีเวลาเอาใจใส่แก่เด็ก
- ของเล่นสาธารณะ ในโรงเรียน หรือแม้แต่ ในโรงพยาบาล หลายแห่ง เป็นแหล่งรวมเชื้อโรค
- When He crys -> เบี่ยงเบนความสนใจ
2 ปี
- respect-your-wife
- repeat-goodness
- delight-your-kids
- when he cry
- ตกลงกันก่อนนะว่า
- อุบายที่ดีที่สุด และได้ผลมากที่สุดในการสอนเด็ก คือ นิทาน
- เด็กไม่กินอาหารบางอย่าง เพราะไม่ชินกับรสชาติ
- ถ้าจะสอนเด็กว่ายน้ำ สอนให้แกรู้จักว่าหายใจเข้า หายใจออกเป็นยังไงก่อน
- แสดงออก + ทำให้ลูกเห็นว่าพ่อแม่เป็นคนรักษาสัญญา
(เวลารักษาสัญญา บอกแกด้วย เด็กๆอาจไม่สนใจสังเกตุ ผู้ใหญ่ต้องคอยย้ำบอก)
เวลาพาลูกไปรร. บอกแกว่าเดี๋ยวมารับ แกจะได้มั่นใจ
ไม่งอแง ว่าจะถูกเอาไปทิ้ง
3 ปี ขึ้นไป
http://www.maedek.net/ เป็นแหล่งข้อมูลดีๆ ที่รวบรวมประสพการณ์ คำถาม คำตอบ ดีๆไว้มากมาย
http://familydoctor.org/
- กินโฟลิก
ระหว่างตั้งครรภ์
- ระวังกินหวานจนเป็นเบาหวาน
- เปลี่ยนวิธีการบริโภคไอโอดีน
- conclusion-for-kids
- ชื่อที่จะตั้งให้กับเขา
why-i-named-him-phoenix
ใกล้คลอด
- ขอบริจาคนมแม่ หรือข้อมูลการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ที่ http://www.breastfeedingthai.com/
ในเมื่อคนยอมให้ลูกกินนมจากสัตว์ชนิดอื่นได้ ทำไมถึงจะไม่ให้ลูกกินนมคนด้วยกัน
ในต่างประเทศมี ธนาคารน้ำนม (Milk Bank) อย่างเป็นเรื่องเป็นราว สำหรับรับบริจาคและขอบริจาคน้ำนมแม่
เนื่องจากน้ำนมแม่หรือน้ำนมคนนั้นมีคุณค่าและคุณประโยชน์ที่ดีที่สุดสำหรับทารก
โดยเฉพาะทารกคลอดก่อนกำหนด เจ็บป่วย หรือมีปัญหาทางสุขภาพตั้งแต่แรกคลอด
น้ำนมแม่จะช่วยให้ทารกเหล่านั้นแข็งแรงและเจริญเติบโตได้ดีกว่าสารอาหารทดแทนนมแม่อื่นๆ
(โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ)
คลอดใหม่ๆ
- ถ้าลูกนอนเก่ง ปลุกให้ลูกกินนมด้วย กระตุ้นการผลิตน้ำนม และไม่เกิดภาวะตัวเหลืองในลูก
- ถ้าน้ำนมมาช้า หรือกลัวไม่พอ, problem-of-not-enough-milk
- ลูกขาโก่ง bowlegs.html
- อ่าน "รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว"
- อ่าน และฝึกฝน ตามหนังสือ "วิธีพูดกับลูก โดยไม่ทำร้ายจิตใจของเขา และทำให้เขาร่วมมือยอมทำตามคุณ"
"Between Parent and Child"
- ถ้าต้องซื้อนมผง ซื้อกล่องเล็กมาลองก่อน
เผื่อลูกกินแล้วแพ้
- ลูกเป็นไข้นี่อันตรายถึงชีวิตได้
ถ้าดูแลไม่ดี จากไปอย่างง่ายๆ โดยที่พ่อแม่ไม่ได้ตั้งตัว (ผิดจากโรคอื่นๆ)
- แม้ให้นมบุตรอยู่ คุณแม่ก็ยังมีศักยภาพในการมีลูกคนต่อไปได้
1 ปี
- เตรียมนิทาน (วิธีสอนเด็กที่ยอดเยี่ยมวิธีหนึ่ง)
- เริ่มเลือก รร.อนุบาล บางแห่งสมัครกันก่อนเกือบปี
บางคนบอกว่าควรให้ลูกได้หัดไปอยู่ nursery ตั้งแต่ 2 ขวบ
ให้แกเคยชินที่จะอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่ พอเข้าอนุบาลจะไม่งอแง ไม่อยากไปโรงเรียน
บางคนบอกว่า 3 ปีแรก เป็นช่วงเวลาที่เด็กต้องการความรักจากพ่อแม่อย่างมาก ไม่ควรรีบให้ไปรร.
อาจปรับให้เหมาะสมกับลูก เช่น ให้เด็กไปหัดอยู่ด้วยแค่ 3 ชม.ต่อวัน
ควรเลือกครูทีมีเวลาเอาใจใส่แก่เด็ก
- ของเล่นสาธารณะ ในโรงเรียน หรือแม้แต่ ในโรงพยาบาล หลายแห่ง เป็นแหล่งรวมเชื้อโรค
- When He crys -> เบี่ยงเบนความสนใจ
2 ปี
- respect-your-wife
- repeat-goodness
- delight-your-kids
- when he cry
- ตกลงกันก่อนนะว่า
- อุบายที่ดีที่สุด และได้ผลมากที่สุดในการสอนเด็ก คือ นิทาน
- เด็กไม่กินอาหารบางอย่าง เพราะไม่ชินกับรสชาติ
- ถ้าจะสอนเด็กว่ายน้ำ สอนให้แกรู้จักว่าหายใจเข้า หายใจออกเป็นยังไงก่อน
- แสดงออก + ทำให้ลูกเห็นว่าพ่อแม่เป็นคนรักษาสัญญา
(เวลารักษาสัญญา บอกแกด้วย เด็กๆอาจไม่สนใจสังเกตุ ผู้ใหญ่ต้องคอยย้ำบอก)
เวลาพาลูกไปรร. บอกแกว่าเดี๋ยวมารับ แกจะได้มั่นใจ
ไม่งอแง ว่าจะถูกเอาไปทิ้ง
3 ปี ขึ้นไป
http://www.maedek.net/ เป็นแหล่งข้อมูลดีๆ ที่รวบรวมประสพการณ์ คำถาม คำตอบ ดีๆไว้มากมาย
http://familydoctor.org/
Labels:
raising children
Subscribe to:
Posts (Atom)