Sunday, April 25, 2010

Forward Mail about Health

เอามาจากกระทู้แนะนำห้องหว้ากอโดยคุณหมอแมว

ที่มา http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X5931221/X5931221.html
และ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X5940947/X5940947.html

ที่ ผ่านมาได้ FWD Mail แปลกๆ มาเยอะมาก จากสารพัดเพื่อนที่ส่งให้ด้วยความหวังดี แต่ใครจะรู้มั่งว่าที่ส่งๆ มาน่ะมันไม่จริง
ถ้าสงสัยเมลที่ตัวเองเคยส่งว่าเป็นเรื่องจริงรึเปล่า เชิญอ่านเลยค่ะ

**********************************************************************************************

1. แก็งค์ขโมยอวัยวะ
เนื้อหา ของFWD << ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีกระแสข่าวเกิดขึ้นในหลายจังหวัดว่ามีแก็งค์รถตู้ออกตระเวนจับคนไปตัด อวัยวะ ฆ่าทิ้งโดยควักอวัยวะไป หรือลักพาตัวหายไป ... กระแสข่าวนี้ มีทั้งในทีวี วิทยุ โทรทัศน์ และ อินเตอร์เนท วิเคราะห์FWD >> ในเมื่อผมไม่ใช่ตำรวจ ก็คงไม่สามารถบอกได้ว่าจริงๆแล้วมีคนหายหรือตายในช่วงดังกล่าวเท่าไหร่ แต่มีข้อสังเกตบางสิ่งบางอย่างดังนี้
- ลักษณะข่าวหลายข่าว มีตั้งแต่การเจอศพที่ถูกฆ่าแล้วเปิดท้องเอาอวัยวะไป มีเด็กเจอจับแล้วก็มีคนควักลูกตาออกจากนั้นก็โยนเงินมาให้ มีคนโดนฆ่าทั้งครอบครัว ฯลฯ ... หลายข่าว คนที่ส่งต่อหรือเล่าต่อจะเล่าเหมือนกับว่าตนเองเห็นเหตุการณ์หรือได้ฟังจาก ปากผู้เสียหายจริงๆ แต่หากลองถามย้อนสืบค้นกลับไปแล้วจะพบว่าไม่มีรายใดเลยที่ได้รับรู้ข่าวจาก เหตุการณ์จริง
- ไม่มีข่าวใดขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์
- การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ต้องใช้ห้องผ่าตัดและอุปกรณ์ที่ทันสมัย ในเมืองไทยทำได้ไม่กี่ที่ มีคนทำได้จำนวนไม่มาก
- หลังการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ต้องกินยาควบคุมภูมิคุ้มกันไป'ตลอดชีวิต'และต้องตรวจอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งผู้ที่เปลี่ยนอวัยวะในเมืองไทยจะมีอยู่จำนวนนึง ... ถ้ามีคนไทยที่ได้รับการเปลี่ยนอวัยวะอย่างผิดกฎหมาย ก็เป็นไปได้ยากที่จะไม่มีใครรู้ใครเห็น
- ที่สำคัญที่สุด ความสดของอวัยวะ ... เทคนิกที่จะทำให้อวัยวะสดใหม่พอที่จะนำไปปลูกถ่ายให้กับคนป่วยนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ... การฆ่าคนแล้วเอาอวัยวะไปหลังจากคนๆนั้นตายแล้วเป็นสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะอวัยวะนั้นมักจะเสียคุณภาพและมีโอกาสที่จะเสียมาก ... ถ้าจะทำจริงๆน่าจะลักพาตัวไปจะง่ายกว่า
- และจากข้อข้างบน ... การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ต้องทำการจับคู่อวัยวะของทั้งผู้ให้และผู้รับ ... ดังนั้นการจะลักอวัยวะ ต้องทำการตรวจเลือดของผู้ให้และผู้รับและจับคู่กันให้ได้ (ส่วนมากมักเป็นญาติกัน โอกาสจะเจอจากคนที่ไม่ใช่ญาตินั้นน้อย) การที่ไปดักฆ่าใครมั่วๆซั่วๆแล้วตัดอวัยวะไป จึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะมีขบวนการใดงี่เง่าพอที่จะไปทำ(เพราะไม่คุ้มทุน)

ที่มาของFwd : Fwd ลักษณะนี้มีในอเมริกามาตั้งแต่ปี 1998 แล้วครับ

*********************************************************************************************

2. การกินวิตามินC ร่วมกับการกินกุ้งทำให้ตายได้
เนื้อหา ของFWDในไทย << เป็นเรื่องราวที่เกิดในไต้หวันโดยมีกรณีที่พบผู้หญิงตายโดยไม่ทราบสาเหตุและ มีศาสตราจารย์คนนึงไปร่วมชันสูตร และก็บอกว่าผู้หญิงคนนี้ตายจากการที่กินกุ้งพร้อมกับวิตามินซี ซึ่งเข้าไปทำปฏิกริยากับสารหนูชนิดไม่มีพิษ As2O5 กลายเป็น As2O3 หรือสารหนูชนิดที่เป็นพิษทำให้ตายแบบเลือดไหลออกหมดตามทวาร วิเคราะห์FWD >> จับผิดได้หลายจุด
- ข้อแรก ไม่มีรายงานทางการแพทย์ฉบับใดที่รายงานการเกิดพิษจากสารหนูจนถึงตาย จากการกินกุ้งพร้อมกับวิตามินซี ... ถ้ามันเป็นเรื่องที่ง่ายขนาดที่ศาสตราจารย์ทางการแพทย์ไต้หวันรู้ในพริบตา เดียว ก็น่าจะมีตำราหรือรายงานการแพทย์สักฉบับในโลกที่กล่าวถึง
- กุ้งจะไปเอาสารหนูในระดับที่ฆ่าคนได้มาจากไหนโดยกุ้งไม่ตาย ... อย่าลืมว่าสารหนู(As) เป็นธาตุไม่ใช่สารประกอบ ดังนั้นไม่มีทางผสมสารใดๆแล้วบังเอิญกลายมาเป็นสารหนูได้ ถ้าไม่มีสารหนูเป็นตัวตั้งต้น
- As2O5 จะเปลี่ยนเป็น As2O3ได้ ต้องใช้อุณหูมิ 300 องศาเซลเซียส
- As2O3 หรือ อาร์เซนิกไตรออกไซด์ มีพิษก็จริง แต่พิษของมันถ้าเกิดเฉียบพลันจะก่อให้เกิดอาการท้องเสียรุนแรง อาเจียนมาก ... ไม่ใช่เลือดออกทุกทวาร
- As2O5 หรืออาร์เซนิกเพนตาออกไซด์ก็มีพิษ กุ้งที่ไหนจะรับได้

ที่มาของFWD : พบ FWD นี้ในinternet ตั้งแต่ปี 2001 โดยเริ่มแรกจากข้อความสั้นๆและได้โดนพิสูจน์ว่ามั่วไปนานแล้ว
แต่เมื่อเข้ามาในไทยในปี2007ก็ขยายความยาวของเนื้อหาและรายละเอียดหลายส่วน ที่แก้ต่างข้อพิสูจน์เหล่านั้นไป

จริงๆเป็นForward Mail ที่ไม่น่าเชื่อถืออันนึง แต่โชคไม่ดีที่มีสื่อบางแขนงเอาไปเผยแพร่โดยไม่ได้ทำการตรวจสอบให้ดี
(ทั้งที่ยุคนี้การตรวจสอบข่าวสารทำได้ง่ายกว่าแต่ก่อนเยอะ หรือแค่ถามแพทย์ที่ทำงานให้กับองค์กรสื่อแห่งนั้นก็ยังได้)
ซึ่งจากการเผยแพร่ของสื่อนั้น ยิ่งทำให้คนที่ไม่รู้เข้าใจไปว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริง

*********************************************************************************************

3. รู้ไหม ถ้าคุณกำลังจะหัวใจวาย การไอสามารถช่วยคุณได้

เนื้อหา ของFWD << เริ่มด้วยการสมมุติว่ากำลังขับรถกลับบ้านตอนเย็น จากนั้นก็เจ็บหน้าอกเกิดอาการหัวใจล้มเหลว ... ซึ่งรู้ว่าต้องช่วยด้วยการนวดหัวใจ แต่การนวดหัวใจ (CPR cardiopulmonary resuscitation) ต้องทำโดยคนอื่น แล้วถ้าคุณกำลังจะหัวใจหยุดเต้นใครจะช่วยได้ ... ในเนื้อหาอ้างว่าการผายปอดด้วยการไอ หรือนวดหัวใจด้วยการไอ (Cough CPR) เป็นสิ่งที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยสถาบันการแพทย์และถูกบรรจุในหลักสูตร โดยให้ไอไปเรื่อยๆเป็นจังหวะเพื่อกระตุ้นหัวใจให้ทำงาน วิเคราะห์FWD >>
- เมล์ดังกล่าวจะมีการอ้างสถาบันสุขภาพของอเมริกาหลายแห่ง แต่อันที่แพร่หลายในไทยจะอ้าง JOURNAL OF GENERAL HOSPITAL ROCHESTER และ American Heart Association ... ซึ่งสิ่งที่ค้นพบคือทั้งสองแห่งได้มีข้อความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ ชัดเจนว่าไม่เคยมีการแนะนำดังกล่าว
http://www.viahealth.org/body_rochester.cfm?id=329
อันแรกเป็นlinkของโรงพยาบาล Rochester ที่ยืนยันว่าไม่เคยมีการแนะนำดังกล่าวในวารสารของโรงพยาบาล
และ ทาง Amercan heart association หรือสมาคมโรงหัวใจสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ของการแพทย์ด้านหัวใจของโลก
ก็ได้มีความเห็นในwebsite เกี่ยวกับเรื่อง Cough CPRไว้ดังนี้ครับ
http://www.americanheart.org/presenter.jhtml?identifier=4535
ซึ่งสรุปใจความสั้นๆไว้ชัดเจนว่า
- การนวดหัวใจด้วยการไอ มีใช้ก็เฉพาะกรณีที่กำลังทำการสวนหัวใจอยู่แล้วไปสะกิดโดนบางจุดจนเกิดหัวใจ เต้นผิดจังหวะ ซึ่งแพทย์ที่สวนหัวใจจะสั่งให้คนไข้ไอ
- ไม่เคยมีการสอนให้ทำ Cough CPR ในคำแนะนำสากลแก่ประชาชน(หรือบุคลากรทางการแพทย์ทั่วไป)

นอกจากนี้
- อาการเจ็บหน้าอก เป็นอาการของหัวใจขาดเลือด Myocardial Iscemia หรือ Myocardial Infarct การแก้ไขคือ
พยายามให้ผู้ที่มีอาการ อยู่นิ่งๆและหยุดกิจกรรมต่างๆ อมยาใต้ลิ้นเพื่อลดอาการเจ็บปวด และกินยาป้องกันเกร็ดเลือดแข็งตัว จากนั้นก็รีบไปโรงพยาบาล
- การพยายามไอมากๆในคนที่มีอาการเจ็บหน้าอกของโรคหัวใจเป็นการออกแรง ซึ่งน่าจะให้ผลเสีย(ถึงตาย) มากกว่าผลดี
- หัวใจเต้นผิดจังหวะที่ไม่มีสาเหตุแน่ชัดอื่นๆ ไม่ได้รักษาด้วยการไอ
- แรงดันในช่องอกจากการไอ ไม่เพียงพอที่จะนวดหัวใจให้พ่นเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้
- ถ้าหัวใจของใครสักคนหยุดเต้น ความดันเลือดจะตกลงจนสมองหยุดทำงาน ... ซึ่งรวดเร็วเกินกว่าที่สมองจะสั่งการให้ไอได้ทัน

สรุป แล้วดูเหมือนกับว่านอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว หากผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีอาการเจ็บหน้าอกคนไหนเอาไปใช้ ก็อาจจะเกิดอันตรายได้มากกว่าที่จะเป็นประโยชน์

*************************************************************************************************

4. สูบบุหรี่ผิดด้าน ไปจุดเอาก้นกรองจะทำให้เป็นหมัน
เนื้อหาของFWD << บอกว่าในก้นกรองบุหรี่มีสารเคมีที่ทำให้เป็นมะเร็งและทำให้เป็นหมัน วิเคราะห์FWD >> ค่อนข้างพิสูจน์ได้ง่าย
- ก้นกรองบุหรี่ ทำมาจากสารพวกเซลลูโลส พูดง่ายๆว่าทำมาจากเยื่อไม้ ... จากนั้นก็เอามาทาสีข้างนอกเป็นสีน้ำตาล สีขาว ฯลฯ
ดังนั้นสูบก้นกรองเข้าไปก็ไม่ได้มีอันตรายเพิ่มไปกว่าเดิม ที่จริง ก้นกรองเป็นส่วนที่ปลอดภัยที่สุดของบุหรี่ครับ
- ก้นกรองบุหรี่ที่อันตราย คือก้นกรองบุหรี่แบบเก่าๆ ที่ทำมาจากแร่ใยหิน Asbestos

สรุปแล้วมั่วมากครับ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าคนอ่านแล้วจับผิดได้ง่าย เมล์FWDนี้เลยไม่ค่อยแพร่หลายนัก
ที่สำคัญ เจ้าสารที่ทำให้เป็นหมันและมะเร็ง อยู่ในตัวยาสูบ ไม่ใช่ก้นกรอง
ดังนั้นถ้าใครสูบบุหรี่อยู่แล้วสูบผิดด้านก็ไม่ต้องกังวลครับ เพราะด้านที่สูบตามปกติ ก่อมะเร็งได้ง่ายกว่าก้นกรองเป็นพันเท่า

*************************************************************************************************

5. กินฉี่หนูที่เปื้อนกระป๋องน้ำอัดลม ... ตาย!!!
เนื้อหา ของFWDในไทย << เมล์เก่าแก่นี้เริ่มตั้งแต่เตือนว่าการมีคนตายจากการกินน้ำอัดลมโดยไม่ได้ เช็ดที่ปากกระป๋อง จึงกินฉี่หนูที่ติดตรงนั้นเข้าไป หลังจากนั้นก็ป่วยหนักและตาย ... ต่อมาก็เริ่มมีการกล่าวอ้างเพิ่มขึ้น มีทั้งบอกว่าต้องไปรักษาที่รพ. หมอบอกว่าเป็นโรคฉี่หนู ต้องส่งมารักษาที่กทม. เสียเงินเป็นล้าน , มีการกล่าวอ้างว่าฉี่หนูเฉยๆกินเข้าไปก็ตายได้ , หรือแม้แต่ระบุที่ท้ายของ Fwd เป็นเบอร์โทรศัพท์ของกองสาธารณสุข วิเคราะห์FWD >> เรื่องนี้ใครที่ทำงานด้านสาธารณสุข จะรู้ทันทีหลังจากอ่านว่า"มั่ว" , ใครที่บ้านมีหนูจะรู้ว่าเรื่องมันทะ:-)ๆ
- โรคฉี่หนูชนิดรุนแรง จะมีอาการไข้สูงหนาวสั่น ปวดกล้ามเนื้อ ตัวเหลืองตาเหลือง ... ซึ่งอาการในเมล์มักจะเป็นอาการที่ไม่ใช่
- ฉี่หนูปกติ ต่อให้กินเข้าไปก็ไม่ตายครับ ฉี่หนูที่มีเชื้อกินเข้าไปโอกาสติดเชื้ออาจจะมีแต่น้อยมากๆ(ลงกระเพาะก็ตาย ไปเกือบหมด ถ้าจะติดก็คงจากแผลในปาก)
... จนถึงตอนนี้ผมก็ยังค้นหาเอกสารทางการแพทย์ที่บอกว่าฉี่หนูติดได้ง่ายๆจากการ กินไม่พบเลย
- บ้านใครมีหนู คงรู้นะครับว่าฉี่หนูแห้งๆกลิ่นมันขนาดไหน ใครจะกินได้

ที่มาของFWD นี้ มันกระจายในอเมริกามาตั้งแต่ปี 1998 ซึ่งอเมริกามีโรคฉี่หนูไม่มากเท่าเมืองไทย forwardเมล์นี้เลยค่อนข้างอยู่ยงคงกระพัน และถูกส่งไปส่งมาเรื่อยๆครับ

*************************************************************************************************

6. โค้ก เป็นสิ่งอันตรายมาก (ทำให้กระดูกผุ)
ตัวอย่าง FWD http://www.maama.com/reading/view.php?id=001590
เนื้อหา ของFWD << เนื้อหาในนั้นจะกล่าวถึงการคุณสมบัติที่ทำให้โค้กดูเหมือนเป็นน้ำอัดลมที่มี ฤทธิ์กัดกร่อน เป็นกรดที่รุนแรง ... ลำพังตัวฟอร์เวิร์ดนี้จะไม่มีอะไร แต่มันเป็นการไปตอกย้ำความเชื่อที่ว่าการดื่มน้ำอัดลมทำให้กระดูกผุ น้ำอัดลมเป็นสารที่อันตราย ฯลฯ วิเคราะห์FWD >>
- ถ้าตามเข้าไปดูในข้อมูลต่างๆในนั้น จะเห็นว่าเป็นข้อมูลที่ดูแล้วทำให้โค้กเป็นวัสดุกัดกร่อนที่มีฤทธิ์รุนแรง สามารถกัดกร่อนสิ่งต่างๆได้ การใช้งานก็ดูน่ากลัวสำหรับของที่จะเอามากิน
- (ปัจจัยในเวบบอร์ดต่างๆ และความเชื่อสมัยก่อน บอกว่าการดื่มน้ำอัดลมทุกชนิดทำให้กระดูกผุ เพราะกรดในน้ำอัดลมจะไปละลายกระดูก)
- โค้กมีpH ที่ประมาณ2.5 อันนี้ก็จริง ... แต่
- น้ำมะนาวมีpH 2-2.5 ส่วนกรดในกระเพาะอาหาร มีpH 1.5-2 กัดกร่อนยิ่งกว่าโค้กเสียอีก เรื่องคุณสมบัติที่ว่านั้นหากเอาน้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชูไปแทนที่ก็ทำได้ เหมือนกัน (แต่Apple cider vinegarดันบอกว่าดีต่อสุขภาพ ทำไมไม่บอกว่ากัดกระดูกล่ะ)
- ในต่างประเทศของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมีราคาแพง ในขณะที่โค้กมีราคาถูกมากและมีแพร่หลายทุกพื้นที่ ก็ไม่แปลกนักที่ชาวต่างชาติเขาจะใช้โค้กในการทำความสะอาดหรือใช้งานกันแปลกๆ (ก็มันประหยัด)
- เรื่องฤทธิ์กัดกร่อนกระดูกนั้น ที่จริงทางการแพทย์เคยเชื่อกันมานานและแนะนำอย่างนี้กันมานาน แต่ว่าในระยะหลังๆเริ่มมีงานวิจัยออกมาคัดค้าน เพราะว่ามีข้อสังเกตว่า กรดฟอสฟอริกที่เคยเชื่อว่าทำลายกระดูกก็มีในอาหารหลายชนิด แต่ว่าไม่ปรากฎว่าจะทำให้เกิดกระดูกพรุนได้
- งานวิจัยล่าสุดเมื่อปีที่แล้วในชุด The Framingham Osteoporosis Study ระบุถึงความเกี่ยวข้องของน้ำอัดลมต่อมวลกระดูก ก็บอกว่ามีโค้ก (แต่ไม่รวมถึงน้ำอัดลมแบบอื่นๆ)ที่ทำให้เกิดมวลกระดูกลดลง (แถมเกิดเฉพาะในผู้หญิง) http://www.ajcn.org/cgi/content/abstract/84/4/936 ... เลยทำให้ต้องกลับไปดูกันอีกว่า ตกลงแล้วน้ำอัดลมทำให้กระดูกพรุนได้อย่างที่เคยเชื่อจริงหรือ
- ข้อมูลที่บอกว่าดื่มน้ำป้องกันมะเร็งได้ อันนี้ไม่มีหลักฐานการวิจัยที่สนับสนุนชัดเจน

ดังนั้น เมื่อดูจากข้อมูลแล้วถ้าดูเผินๆจะไม่มีอะไร แต่มันสร้างภาพลักษณ์ที่เข้าใจผิดว่าการดื่มน้ำอัดลมก่อให้เกิดการกัดกร่อน ในกระเพาะ(โรคกระเพาะ ?) และก่อโรคกระดูกพรุน ซึ่งจริงๆไม่เกี่ยวข้องกัน ..... และความไม่มีอะไรและการที่ความเชื่อเรื่องน้ำอัดลม"กัดกระดูก"มันเป็นควา เชื่อมานาน พอมีคนออกมาคัดค้านก็อาจจะโดนมองว่าไม่น่าเชื่อถือ
ข้อมูลเพิ่มเติม
- แต่การดื่มน้ำอัดลมกลุ่มที่มีน้ำตาล ก่อให้เกิดโรคอ้วนและเบาหวานชัดเจน
- การดื่มน้ำอัดลมที่ใส่สารทดแทนความหวาน ก็ก่อความเสี่ยงเรื่องโรคอ้วนและเบาหวานได้เช่นกัน

*************************************************************************************************

7. Cravit ยาอันตรายที่ต้องระวัง
ตัวอย่าง FWD http://www.fwdder.com/topic/11326
เนื้อหา ของFWD << เนื้อหากล่าวถึงการที่แพทย์จ่ายยาอย่างไม่จำเป็นเพียงเพื่อหวังยอดขายและ เงินส่วนแบ่ง ในนั้นอ้างว่ายาจะทำให้กล้ามเนื้อถูกทำลาย มีการสร้างความน่าเชื่อถือโดยการอ้างว่ามีเภสัชกรมายืนยันว่าไม่ต้องกินก็ ได้ ... และมีการแสดงตัวอย่างที่บอกว่าการกินยาตัวนี้ทำให้คนดีๆต้องมีอาการหนักขึ้น วิเคราะห์FWD >> เรื่องนี้คนที่สร้างFWDน่าจะเป็นคนไทย ซึ่งขอแยกประเด็นเป็นดังนี้ครับ
- เรื่องการสั่งยาโดยไม่จำเป็น ... การให้ยาCravit โดยไม่จำเป็น ถามว่ามีไหมก็คงจะมี แต่เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังในการวิจารณ์ เนื่องจากผมเองเป็นหมอเอง เอายาที่หมอหรือเภสัชกรจ่ายให้คนไข้มาดู ก็ไม่อาจจะบอกได้ว่ายานั้นเหมาะสมหรือไม่ ดังนั้นเรื่องที่ว่าจำเป็นหรือไม่ต้องไปดูกันเป็นรายๆไป (ดังนั้นประเด็นนี้ไม่วิจารณ์ เพราะถ้าวิจารณ์จะเกิดการโต้เถียง) และเรื่องค่าคอมมิชชั่น อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้
จะ เห็นว่าเรื่องนี้จับเอาคนสองฝ่ายมาชนกันในFWD คือ หมอและเภสัชกร ... ซึ่งถ้าเถียงไปเถียงมา อาจจะเกิดกระทบกระทั่งกันเองได้ (ดังนั้นเรื่องผลประโยชน์ผมว่าคุยกันวันหลังดีกว่านะครับ)
-ในFWDบอกว่า มันเป็นยาแก้ปวดแต่ที่จริง Cravit เป็นตัวยาที่มีชื่อว่า Levofloxacin เป็นยาปฏิชีวนะ ที่มักใช้ในการรักษาโรคในระบบทางเดินหายใจและปัสสาวะ ... ในเมืองไทยการจ่ายยาตัวนี้แบบมีข้อบ่งชี้ ก็คือ การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่คาดว่าเชื้อจะดื้อยา ปอดบวม และ กรวยไตอักเสบ (แต่ปกติไม่ได้ใช้เป็นตัวแรกเพราะมันมีผลข้างเคียง)
- ข้อดีของยาตัวนี้ที่ทำให้นิยมในรพ.เอกชนคือ ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล และ ไม่ต้องฉีดยา
- อาการที่ในFWD กล่าวถึงผู้หญิงฝ่ายMarketing พิสูจน์ไม่ได้ว่าเกิดจากยาหรือเกิดจากโรค เพราะสมมุติว่าคนนั้นเป็นกรวยไตอักเสบ อาการของกรวยไตอักเสบก็สามารถทำให้อาการหนักจนเข้าโรงพยาบาลได้เช่นกัน
- ถ้ายามันมีผลเสียจนมากเกินผลดีจริงๆ ในอเมิรกาคงมีการฟ้องกันวุ่นวายแล้ว
- และถ้ามีผลเสียต่อสุขภาพถึงขนาดเป็นยาอันตรายที่ไม่ควรกิน ประโยชน์มากกว่าโทษ FDA เขาตัดทิ้งครับ ... เผลอๆบริษัทแม่เอาออกจากตลาดเอง เพราะว่าถ้าบริษัทเหล่านั้นโดนฟ้อง เขาถือว่าไม่คุ้มกัน

โดยสรุปแล้ว หากใครได้รับยานี้จากแพทย์ และคุณคิดว่าไม่มีความจำเป็น(แพง)หรือไม่อยากกิน(กลัว) ให้บอกกับแพทย์ตรงนั้นไปเลยครับ เพราะว่าถ้าคุณเกิดจำเป็นต้องกินยานั้นขึ้นมาแล้วคุณไม่กิน อาจจะเกิดอันตรายจากการติดเชื้อได้ ... หรือถ้าหากกินยาแล้วไม่ดีขึ้นแทนที่จะไปโทษว่ายาเป็นสาเหตุน่าจะต้องระวัง เรื่องการติดเชื้อที่รุนแรงเกินกว่ายาจะรับมือไหวดีกว่าครับ

*************************************************************************************************

8. ขวดน้ำ PET ไม่ควรใช้ซ้ำ เพราะว่ามีสารก่อมะเร็ง

เนื้อหา ของFWD << กล่าวอ้างถึงกรณีเด็กที่กินน้ำจากขวดน้ำใช้ซ้ำเป็นเวลาหลายเดือน จนกระทั่งตายลง ... ในเมล์มีข้อมูลว่าในขวดจะมีสาร DEHA ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ในเมล์เวอร์ชั่นหลังๆ จะมีการค้นเอาข้อมูลการก่อมะเร็งของสารดังกล่าวมาโชว์ด้วย วิเคราะห์FWD >> เมล์นี้เป็นเมล์แรกๆที่ผมพยายามค้นหาคำตอบ เพราะปกติจะใช้ขวดน้ำซ้ำๆ
- FDA หรืออย.อเมริกาถือว่าขวดPETปลอดภัยในการใส่อาหาร
- งานวิจัยที่บอกว่าขวดPET มีสาร DEHA คือ http://www.riskworld.com/Abstract/2001/SRAam01/ab01aa189.htm ซึ่งเป็น Thesis ของนักศึกษาปริญญาโทหรือเอกนี่แหละ ... ซึ่งจากข้อมูลหลายที่ระบุว่าเกิดความเข้าใจผิดในชื่อย่อของสาร และการปนเปื้อนสารในการทดลองมากกว่า
- สารDEHAในเมล์ไม่ว่าของไทยหรือฝรั่ง จะลงชื่อว่า diethylhydroxylamine ... แต่ว่าสารที่ใช้ในการทำขวด PET คือDiethylhexyl adipate
- ข้อมูลในIARC http://www.inchem.org/documents/iarc/vol77/77-02.html ของสารDI(2-ETHYLHEXYL) ADIPATE สรุปสั้นๆด้านล่างว่า "not classifiable as to its carcinogenicity to humans "
- การระบุว่าขวดต่างๆให้ใช้ครั้งเดียวทิ้ง... เป็นมาตรการเดียวกันกับที่เขียนไว้ที่หนังสือการ์ตูนว่า "เฉพาะสำหรับอ่าน" (ห้ามเอาไปเช็ดก้น) ผู้ผลิตมุ่งเรื่องป้องกันการนำไปใช้ซ้ำแล้วล้างไม่สะอาดทิ้งไว้จนอาจจะเกิด การสะสมของเชื้อแบคทีเรียได้ครับ

*************************************************************************************************

9. ดื่มน้ำเย็นหลังอาหาร ทำให้เป็นมะเร็ง

ตัวอย่าง FWD http://bbs.srp.ac.th/showthread.php?t=2902
เนื้อหาของFWD << บอกถึงการดื่มน้ำเย็นๆลงไป จากนั้นน้ำเย็นไปทำให้ไขมันจับเป็นก้อนสีขาวๆและไปจับลำไส้กลายเป็นมะเร็ง วิเคราะห์FWD >> เอ่อ......-_-' อ่านดูเหมือนจะดี แต่ไร้สาระครับ
- ต่อให้กินอาหารที่เป็นมันๆลงไปแล้วดื่มน้ำเย็นตามจนเกิดไขมันจับเป็นลิ่มๆใน ท้องจริง แต่ท้องเราอยู่ในลำตัว ดังนั้นสักพักอุณหภูมิจะเปลี่ยนกลับเป็น 37องศาอย่างรวดเร็ว เดี๋ยวมันก็กลายเป็นน้ำมันอยู่ดี
- ในชีวิตจริง เรากินมันหลายชนิดที่เป็นก้อนๆอยู่แล้ว ดังนั้นไขมันบางตัวจะไม่ละลายตั้งแต่ต้น
- กระบวนการย่อยไขมันใช้น้ำย่อย ... เป็นปฏิกริยาทางเคมี ต่อให้มันเป็นก้อนก็ย่อยสลายอยู่ดี
- สมมุติยังกลัวว่ามันจะไปจับลำไส้จริง ลำไส้คนเรามีการผลัดเซลล์เป็นระยะ ดังนั้นมันจับได้จับไป เดี๋ยวก็หลุดออกมาเอง
- ที่สำคัญที่สุด *** การเป็นมะเร็งในลำไส้ไม่ได้เกี่ยวกับน้ำเย็นครับ ... ถ้าจะเกี่ยวก็เกี่ยวกับการกินไขมันเยอะน้ำตาลเยอะกินกากใยน้อย ดังนั้นแก้ปัญหาผิดจุดเอามากๆ ***
จริงๆเป็นหนึ่งในฟอร์เวิร์ดที่ไร้สาระ จนอาจจะไม่มีค่าควรเอามาไว้ แต่มันมีเหตุผลบางอย่างครับที่ทำให้ผมต้องเอามาใส่ไว้ ... ถ้าเจ้าตัวบังเอิญผ่านมาเห็นรบกวนอ่านด้วยแล้วกันครับ

*************************************************************************************************

10 ระวังแมงมุมใต้ห้องน้ำเครื่องบิน / ระวังแมงมุมเทลาโมเนีย

ตัวอย่าง FWD http://www.saranair.com/article.php?sid=9292 ภาษาไทย
http://www.health2know.com/killer-spider-on-the-loose-the-twostriped-telamonia ภาษาอังกฤษ พร้อมรูป
เนื้อหาของFWD << เล่าถึงแมงมุมพิษร้ายแรงบนเครื่องบินที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาก่อเหตุที่มาเลเซีย วิเคราะห์FWD >> เรื่องนี้สืบค้นยากหน่อยนึง เพราะว่าเป็นภาษาไทยหมดโดยถูกแปลมาอีกที แต่เมื่อค้นจากชื่อแมงมุมกลับเป็นภาษาอังกฤษ เรื่องราวก็กระจ่าง
- แมงมุมเทลาโมเนีย เป็นแมงมุมกระโดดครับ (ไอ้ตัวเล็กๆที่โดดไปมาตามพื้นนี่แหละ) กัดคนได้ยังไงยังน่าสงสัยอยู่
- เมล์แบบนี้มีหลายversionมากๆๆๆ เพียงแต่เปลี่ยนชื่อแมงมุม เปลี่ยนสถานที่เกิดเหตุ ... อันแรกๆอยู่ในอเมริกา จากนั้นก็เปลี่ยนที่ไปมาจนกระทั่ง เปลี่ยนที่เป็นเกิดเหตุในกัวลาลัมเปอร์ ก็ได้มีคนแปลเป็นภาษาไทยเนื่องด้วยเห็นว่าอยู่ใกล้เมืองไทย !!!
- พวกนี้มันจะอาศัยในเครื่องบินได้ยังไงครับ (หรือว่าเครื่องบินมีหนอนกะหล่ำให้มันกิน)
สรุปแล้ว ความหวังดีของผู้ที่ได้รับเมล์แล้วแปลออกมา ก็ทำให้เกิดความตื่นกลัวแมงมุมขึ้นมา(อีกครั้ง)

*********************************************************************************************

เพิ่มเติม

- FWD Mail เรื่องในหลวงทรงมีพระเนตรเพียงข้างเดียว เป็นเรื่องจริงนะ

- เรื่องเข็มฉีดยาติดเอดส์ในโรงหนัง

ต้องอ่านนะ..เพราะห่วง
> > >ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งลงบนเบาะตัวหนึ่งในโรงหนังที่มีอะไรบางอย่างแทงขึ้นมาจากเบาะ
> > >เธอลุกขึ้นเพื่อจะมองดูว่าเป็นอะไร
> > >เธอพบว่าเป็นเข็มอันหนึ่งที่มีกระดาษเขียนติดไว้ว่าคุณติดเชื้อเอดส์เข้าแล้ว
> > >รายงานจากศูนย์ควบคุมโรคของเมืองเมลเบอร์นแจ้งว่า
> > >เกิดเหตุการณ์คล้ายกันนี้หลายครั้งในประเทศออสเตรเลีย
> > >เข็มทุกอันพิสูจน์แล้วว่ามีเชื้อเอดส์
> > >นอกจากนี้ยังพบเข็มในช่องจ่ายเงินสดของเครื่องATM
> > >เราจึงได้แต่เตือนให้ผู้ใช้เพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้
> > >ที่นั่งสาธารณะควรตรวจดูให้ดีก่อนที่จะนั่ง ประชาชน 17
> > >คนถูกแทงด้วยเข็มและติดเชื้อเอดส์ทางแถบชานเมืองทิศตะวันตกในเดือนที่ผ่านมา
> > >ตรวจดูเก้าอี้นั่งการตรวจอย่างละเอียดโดยการมองด้วยสายตาก็น่าจะเพียงพอนอก
> > >หนือจากนี้คุณสามารถช่วยส่งข่าวนี้ไปให้สมาชิก,คนในครอบครัวและเพื่อนที่คุณคิดว่า
> > >เขาจะได้รับอันตรายจากการนั่งในที่สาธารณะได้ สำคัญมาก*
> > >แค่คิดว่าจะช่วยชีวิตคนสักคนหนึ่งที่คุณไม่รู้จักหรือสำหรับคนที่คุณรักและห่วงใย
> > >โดยสละเวลาเพียง 2-3วินาทีส่ง Mail นี้ต่อไปยังเพื่อนๆที่คุณรัก

ANS: HIV เป็นไวรัสที่ตายง่ายมากครับ ออกจากร่างกายคนมาโดยไม่มีพวกน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำกาม น้ำมูก
และสารคัดหลั่งอื่น อะไรพวกนี้หล่อเลี้ยงแล้ว ไม่น่าเกิน 10 วินาทีก็ตายแล้วครับ
ผมว่าเชื้ออย่างอื่นที่ติดปลายเข็มน่ากลัวกว่าเช่น บาดทะยัก น่ะ

- ควรกินเนื้อสัตว์เพาะช่วงเช้า? อดมื้อเช้าแล้วเป็นมะเร็ง? ห้ามกินนมตอนเช้า?

ถ้าอยากกินเนื้อสัตว์ ควรกินเวลา 7.00 น - 9.00 น. เนื่องจากกระเพาะเรา
มีสภาพเป็นกรดสูงมากที่สุดดังนั้นมื้อเช้าจะจำเป็นมาก ๆ ถ้าอดมื้อเช้าไปนาน ๆ
ขั้วกระเพาะเราจะเป็นปุ่มปม และนานเข้า ๆ ก็กลายเป็นมะเร็งในกระเพาะ ?

สภาพความเป็นกรดในกะเพาะอาหารสูดสุดตอนไหน ผมไม่ทราบแต่ถ้ามีอาหาร
ตกลงมาในท้อง เดี๋ยวกะเพาะก็หลั่งกรดมาเอง จริงๆแค่คุณนึกว่าหิวๆ อยากหา
อะไรกิน กรดก็หลั่งออกมาแล้ว แต่ปริมาณเยอะน้อยนั้นคงจะแล้วแต่บุคคลมากกว่า

ส่วนที่ว่าอดมื้อเช้าไปนานๆแล้วจะเป็นมะเร็ง ดูเหมือนจะไกลความจริงไปหน่อย
ส่วนใหญ่รายงานของ มะเร็งกะเพาะอาหารมาจากการ ดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ เป็น
หลักครับ ส่วนการอดอาหาร โรคกะเพาะก็คงจะถามหาเสียมากกว่า

ห้าม กินนมตอนเช้า แทนข้าวเช้า เนื่องจาก ตอนเช้ากระเพาะเป็นกรดสูง
มาก นึกสภาพดูหากเราบีบน้ำมะนาวลงในนม จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมี กลาย
เป็นคอลลอยด์ มันไม่ย่อย นะจ๊ะ ถ้าดื่มนมตอนท้องว่างแบบนี้ติดต่อกันเป็น
ประจำแทนข้าวเช้า ระวังมะเร็งในไขกระดูกนะจ๊ะ แต่ถ้าเป็นช่วงหลังอาหาร
เช้า หรือ ตอนบ่ายไปแล้ว หรือตอนเย็นดื่มได้ตามปกติจ้า มื้อเย็นอาจเป็น
มื้อง่าย ๆ อย่างนม กับไข่ก็ไม่ว่ากัน

ต่อให้เป็น คอลลอย์ มันก็เกิดจากโปรตีนในนมเสียสภาพ แต่จากการที่มันเสีย
สภาพนี่แหละครับ ทำให้มันคลายตัวออกแล้วเอนไซม์ในร่างกายเราก็จะย่อยได้
ง่ายขึ้น

อีกอย่าง โปรตีนในนม เป็นโปรตีนที่ร่างกายนำไปใช้ได้เกิน 90% แล้วไม่ว่าเรา
จะแปลรูปมันอย่างไร (เป็นโยเกิร์ต เป็นนมเปรี้ยว เป็นเวย์โปรตีน ชีส) มันก็ยังนำ
ไปใช้ได้เกิน 90% อยู่ดีครับ

ส่วนเกี่ยวกับมะเร็งในไขกระดูกไหม บอกได้เลยว่า ณ เวลานี้ไม่มีหลักฐาน ยืนยัน
ความสัมพันธ์ดังกล่าวครับ

- เรื่องยอดฮิต SLS สารก่อมะเร็งในแชมพู
-------------------------------------------------------------------------------------
เดี๋ยวนี้ สบู่เหลวได้รับความนิยมยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลของความสะดวกสบายเป็นสำคัญ แต่คุณรู้ไหมว่า สบู่เหลวที่เราใช้กันอยู่นั้นไม่ใช่สบู่แต่เป็นสารเคมีล้วนๆ! สบู่เหลวที่ดีจริงๆจะต้องมีส่วนผสมของเนื้อสบู่อย่างน้อย 25 % แล้วที่เหลือเป็นน้ำ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่มีสบู่เหลวแบบนี้วางขายอยู่เลย เพราะผลิตภัณฑ์เกือบทุกชนิดที่วางขายอยู่นั้น เป็นแค่ใช้สารซักฟอกหรือดีเทอเจน ผสมกับสารเคมีสังเคราะห์อื่นๆ แล้วทำให้อยู่ในรูปของเหลว ซึ่งสารซักฟอกหรือดีเทอเจนก็คือสารเคมีหลัก ที่ใช้ในการผลิตแชมพู น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดพื้น หรือแม้แต่น้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำนั่นเอง จะผิดกันก็แต่ว่าความเข้มข้นของสารซักฟอก ที่ใช้ทำสบู่เหลวมีความเจือจางกว่าเท่านั้น ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สบู่เหลว คงไม่เกิดขึ้นในฉับพลันทันที แต่จะสะสมเป็นปัญหาในระยะยาวได้ เพราะสารเคมีเหล่านี้จะแทรกซึมลงไปในผิวหนัง อวัยวะภายใน และกระแสเลือดได้ทุกครั้งที่เราอาบน้ำ SLS หรือ โซเดียมลอริลซัลเฟต เป็นตัวอย่างหนึ่งของสารเคมีหลักที่มักใช้ในสบู่(คุณลองไปพลิกพวกผลิตภัณฑ์ ซักล้างทุกอย่างดู จะเห็นส่วนผสมนี้จริงๆ บางทีใช้ชื่อว่าลอริล) และเป็นสารเคมีอันตราย หลายประเทศในยุโรปและอเมริกามีกฏหมายห้ามใช้แล้ว และบางประเทศก็จำกัดให้มีการใช้น้อยลง แต่ในบ้านเรากลับใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งๆที่ SLS เป็นสารเคมีที่ดูดซึมผ่านผิวหนังได้ง่ายและรวดเร็ว สามารถสะสมอยู่ในดวงตา สมอง หัวใจ ตับ และก่อปัญหาในระยะยาว หากยิ่งมีการใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลอามีน ก็จะกลายเป็นสารก่อมะเร็งในที่สุด เพราะฉะนั้น เราอาจต้องถามตัวเองดูใหม่ ว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องใช้สบู่เหลว (ซึ่งจริงๆแล้วคือสารเคมีล้วนๆ) แต่ถ้ายังคงต้องการที่จะใช้ การใช้สบู่เหลวสำหรับเด็กก็จะดีกว่า (ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย เพียงแต่มีสารเคมีเจือจางกว่าเท่านั้น) แต่ถ้าจะให้ดี การกลับไปใช้สบู่ก้อนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด.

ถ้าท่านเป็นคนที่ ไม่สนใจเรื่องสุขภาพเลยก็คงไม่ต้องอ่านบทความนี้ แต่ถ้าท่านเป็นคนหนึ่งที่ห่วงใยในสุขภาพ ท่านควรได้รับข้อมูลที่ผมจะได้บอกต่อไปนี้

อันตรายจากสารต่อไปนี้

Sodium Lauryl Sulfate(SLS) / Sodium Lauryl Ether Sulfate(SLES) เป็นสารชำระล้างราคาถูก ใช้เพื่อให้เกิดฟอง ซึ่งไม่ได้ใช้ใน แชมพู คอนดิชั่นเนอร์ และผลิตภัณฑ์ที่ให้ฟองในการอาบน้ำเท่านั้น (กรุณาดูฉลากของท่าน ตอนนี้ !) Sodium Lauryl Sulfate ยังใช้ในการล้างพื้นอู่ซ่อมรถยนต์ และทำความสะอาดเครื่องยนต์อีกด้วย สารนี้ใช้สำหรับทดสอบการระคายเคืองของผิว เพราะว่ามันทำลายการป้องกันผิว ตามธรรมชาติให้หมดไป และเป็นสาเหตุของการเกิดผื่น และการติดเชื้อ

ซึ่งมันสามารถสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อ ได้เป็นเวลานานและดูดซึมผ่านผิวหนังได้ง่าย และเข้าสู่สมองและอวัยวะภายใน Sodium Lauryl Sulfate สามารถรวมตัวกับ สารไนเตรต ทำให้เกิดเป็นไนโตรซามีน(nitrosamine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

Aluminum compounds (Aluminum Zirconium Tetrachlorohydrex และAluminum Chlorohydrate)
เป็น สารที่ใช้กันโดยทั่วไปใน ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย เพื่อควบคุมการขับเหงื่อ เมื่อไม่กี้ปีมานี้ ได้มีการคาดการณ์ว่า aluminum เกี่ยวข้องกับ โรค อัลไซเมอร์ เพราะว่าบางส่วนของคนไข้โรคนี้มีระดับ aluminum สูงกว่าปกติ ในสมองและอวัยวะภายใน เชื่อว่า aluminum จะขัดขวางการทำงานของ acetylcholine และคาดว่าในสมองที่มีacetylcholine ต่ำมีผลต่อการเปลี่ยนสภาพจิตใจและรวมถึงความสับสน และปริมาณความเป็นพิษสามารถซึมผ่านผิวหนังได้ นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการพิจารณาการเกี่ยวข้อง ระหว่างผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย และมะเร็งเต้านม โดยเชื่อว่า สารเคมีในผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย(รวมถึง aluminum และ paraben)สามารถเร่งการเจริญของโรคได้

Propylene Glycol (สารป้องกันการแข็งตัวในอุตสารกรรม) เป็นสารที่ทำให้สารรวมตัวกันเป็นเนื้อเดียว และสารกันเสีย ที่ใช้ในครีมทาผิว โลชั่นและ ตัวปรับสภาพผมเกือบทั้งหมด Propylene Glycol เป็นตัวทำละลายชนิดหนึ่ง ซึ่งมันสามารถซึมผ่านผิวหนังและเข้าสู่กระแสเลือดได้ และเป็นสาเหตุที่ทำให้ไตและตับได้รับอันตราย รวมถึงยังส่งเสริมให้ผิวแห้งและมีรอยย่น
ข้อมูลของสาร 3 ตัวนี้ ได้มาจากในอินเตอร์เน็ต ท่านสามารถหาข้อมูลได้เองโดยการ search คำ โดยใช้ website ก็ได้ ในสิ่งที่ผมอยากจะกล่าวก็คือ ท่านเคยได้สังเกตส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ สบู่ ยาสีฟัน แชมพู โลชั่น ที่ท่านอยู่ในปัจจุบันบางหรือไม่? ถ้าไม่เคยท่านก็ยังไม่เป็นผู้บริโภคที่ดี ท่านยังคงให้การโฆษณา เป็นตัวตัดสินใจในการเลือกใช้สินค้า เพียงแต่ท่านเปลี่ยนค่านิยมการใช้สินค้า ท่านก็จะได้คำตอบว่า "นี่หรือคือผลิตภัณฑ์ที่เราควรใช้?"
ผมได้ลองสำรวจส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เหล่านี้พบว่า ในยาสีฟันตามทั่วไปที่ใช้กันอยู่ จะมีการบอกในส่วนประกอบสำคัญ และ สารควบคุมเกือบทุกยี่ห้อ ทำไมผู้ผลิตจึงไม่บอกส่วนประกอบทั้งหมด ผมก็ไม่สามารถบอกได้ แต่ท่านลองคิดดูเองก็แล้วกันว่าเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคหรือเปล่า? แต่ก็ยังดีใจเล็ก ๆ ที่บางยี่ห้อที่ค่อนข้างนิยม และที่เป็นชื่อไทย(ลองสำรวจดูได้) ได้มีการแสดงส่วนประกอบครบ แต่ก็เสียใจว่าทำไม ผู้ผลิตจึงใช้สาร SLS ในข้างต้นมาเป็นส่วนประกอบ
ใน สบู่เหลวยี่ห้อดังหลายยี่ห้อ รวมถึงสบู่เหลวสำหรับเด็ก พบว่า มีส่วนผสมของ SLS อยู่และบางยี่ห้อก็มีส่วนผสมของ Propylene Glycol(กล่าวข้างต้น)


ในโฟมล้างหน้าหลายยี่ห้อที่ดังๆ ก็พบว่าส่วนประกอบของ SLS หรือไม่ก็ Propylene Glycol ในโลชั่นทาผิวก็พบว่ามีส่วนประกอบของ Propylene Glycol เป็นส่วนใหญ่ และในยาสระผมยี่ห้อดังมาก ก็พบว่ามีสาร SLS เป็นส่วนประกอบ ที่ผมตกใจมากที่สุดก็คือ ผลิตภัณฑ์ในการทำความสะอาดอุปกรณ์เด็กอ่อนยี่ห้อดังก็พบว่า มีสาร SLS เป็นส่วนประกอบ "ทำไมผู้ผลิตไม่ได้คิดถึงผลของผู้บริโภคที่ได้รับบ้างหรืออย่างไร"

ท่านอย่าเพิ่งไว้ใจ กับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มีสารที่เป็นอันตรายเหล่านี้ระบุอยู่บนฉลาก นั้นเป็นเพราะว่า ผู้ผลิตระบุเฉพาะสารสำคัญ ที่ใช้ในการโฆษณานั่นเอง เช่น ในยาสระผมยี่ห้อดังที่มีการนำวัตถุตามธรรมชาติมาสกัด ผู้ผลิตก็ระบุแค่เพียง ว่ามีสารที่สกัดจากสิ่งนั้นมาเท่านั้น ไม่ได้ระบุส่วนประกอบทั้งหมด ซึ่งสามารถพบได้ในผลิตภัณฑ์ยี่ห้อต่าง ๆ มากมาย เพราะเขารู้ว่าผู้บริโภคเมืองไทย ไม่ใส่ใจกับส่วนประกอบหรอก แต่สนใจแค่การโฆษณา และมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะแนะนำ ถึงผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ระบุสารที่เป็นอันตราย

ท่านลองมองที่ราคาผลิตภัณฑ์ ที่ปริมาตรเดียวกัน ถ้าสินค้าที่ 1 มีการระบุสารที่เป็นอันตราย และมีราคาสูงกว่าหรือเท่า ๆ กันกับสินค้าที่ 2 ที่ไม่ได้ระบุสารที่เป็นอันตราย ท่านคิดว่าสินค้าที่ 2 จะมีหรือไม่มีสารที่เป็นอันตราย ?
ผมขอฝากไว้ให้ทุกท่านได้ลองพิจารณาถึงการใช้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของท่านด้วย ก็แล้วกัน แล้วอย่าลืมดูส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ ที่ท่านใช้อยู่ในปัจจุบันด้วย เพราะว่าสารเหล่านี้ไม่ได้แสดงผลในวันนี้ หรือพรุ่งนี้แต่มันจะแสดงผลในอนาคตข้างหน้า


สารที่ถูกโจมตีทาง Forward mail นั้นได้แก่

1. SLS (Sodium Lauryl Sulfate)
2. SLES (Sodium Lauryl Ether Sulfate)
3. PG (Propylene Glycol) และ PEG (Polyethylene Glycol)
4. Aluminum compounds (Aluminum Zirconium Tetrachlorohydrex และ Aluminum Chlorohydrate)
5. Triclosan
6. Paraben

สรุป

US FDA ไม่เคยมีมติให้ถอนทะเบียน SLS
ไม่เคยมีงานวิจัยที่ระบุว่ามันก่อมะเร็งมากกว่าสบู่ก้อนอย่างมีนัยสำคัญ
มีรายงานในระดับเคสรีพอร์ต ซึ่งไม่มีการควบคุมตัวแปร แค่ไม่กี่เคส

อธิบายนิด เคสรีพอร์ต คือ บันทึกเหตุการณ์ เช่นในกรณีนี้ คือ คนที่ใช้ SLS เป็นมะเร็งผิวหนัง

แต่ ไม่มีการเทียบว่า คนที่ใช้ SLS มีโอกาสเกิดมะเร็งมากกว่าคนปกติหรือไม่ และมะเร็งนั้นเกิดจากอะไรกันแน่ เพราะ ไปอาบแดดที่โคโคโม แช่คลอโรฟอร์ม ทำงานกับสารเคมีทุกวัน กรรมพันธุ์ หรือคำสาปเผ่าเมายา ก็ไม่รู้

เหมือนมีรายงานว่ารถวอลโว่ชนแมวตาย จะไปสรุปว่ารถวอลโว่เป็นรถกินแมว ผู้รักน้องเหมียวโปรดระวัง ประมาณนั้นแหละครับ

- ห้ามทานยาเม็ดกับน้ำผลไม้หรือนม และน้ำอัดลม

เคย ได้ยินมาว่าห้ามทานยาเม็ดกับน้ำผลไม้หรือนมและน้ำอัดลม อยากทราบว่ามีผลเสียอย่างไรคะ เพราะทุกวันนี้ต้องทานยา+วิตามินปริมาณค่อนข้างมากในแต่ละมื้อ แล้ววิตามิน+ยาบางตัวถึงจะมาในรูปแบบเม็ดก็มีกลิ่นและรสสัมผัสที่ขมมากๆน่ะ ค่ะ เลยกินกับน้ำผลไม้ เพื่อจะได้กินง่ายขึ้นค่ะ แต่อยากทราบว่ามีผลเสียอย่างไรคะ

ตอบ

แล้วแต่ชนิดของยาที่ทานครับ การจะกินยานี่มันซับซ้อนกว่าที่เห็นในหนังเยอะ

เช่น นม มีแคลเซียม ห้ามทานร่วมกับยาที่เกิดตะกอนสารประกอบเชิงซ้อนกับโลหะง่ายๆ เช่น Doxycyclin ที่เอามากินแก้สิวกัน หรือ Norfoxacin ที่แก้ท้องเสียจากแบคที่เรีย

ในทางกลับกัน นมก็มีโปรตีนเยอะ เลยเกิด สารประกอบกับพวกแร่ธาตุโลหะได้ง่าย เช่นเหล็กเม็ดดำๆ ที่ได้มาหลังบริจาคเลือด

แต่แค่กินห่างกันซักสองสามชั่วโมงก็หมดเรื่อง

น้ำ ผลไม้ที่น่าห่วงก็มีน้าเกรปฟรุต (หน้าตาคล้ายๆส้มครับ แต่เนื้อผลจะเป็นสีแดง) ซึ่งมีผลยับยั้งเอนไซม์ในกระบวนการทำลายยา ทำให้ระดับยาในเลือด "บางตัว" สูงขึ้น ในกลุ่มยาที่ทำลายโดยเอนไซม์ P 450 3A4 (ซึ่งก็มีหลายตัวนั่นแหละ)

แต่น้ำมะพร้าว น้าจับเลี้ยงนี่ซดๆ ไปเหอะ

น้ำอัดลม อาจมีผลบ้าง จากการเพิ่มความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้ยาที่ดูดซึมในภาวะกรดได้ดีถูกดูดซึมมากขึ้น (เช่นยาต้านเชื้อรา พวกคีโตฯ) ่ผลไม่ค่อยมีนัยสำคัญในคนปกติ

แต่จะมีผลมากขึ้นในคนที่มีความเป็นกรดในกระเพาะอาหารต่ำ เช่น ผู้ป่วย HIV ซึ่งมีงานวิจัยสนับสนุนอยู่บ้าง

ส่วน ยาที่ไม่ทนกรดมักจะมีการเลี่ยงมากินก่อนอาหาร (เพราะอาหารจะเป็นตัวกระตุ้นการหลั่งกรด แม้แต่โฆษณา MK ก็กระตุ้นได้) เราก็อุตส่าห์เอากรดไปบรรณาการมันอีก (น้ำส้มเป็นกรดกว่าที่คุณคิด) ยาที่เกิดเหตุแบบนี้ได้ก็พวกกลุ่มเพนิซิลลิน(ไม่เกี่ยวกับผม เพราะแพ้เพนฯ ยกกลุ่มมาตั้งแต่เด็กยันโต ตอนนี้ก็ยังแพ้ แต่เจอมันประจำ)

หรือถ้ามันสะดิ้งกรดมากๆ ก็จับทำยาฉีดซะเลย ง่ายดี เช่น แอมพิซิลลิน(ไม่รู้แบบยาเม็ดจะยังหลงอยู่บ้างรึเปล่า)

อีกอย่างก็พวกเคี้ยวยา บอกแล้วว่าอย่าบดอย่าเคี้ยว ไม่ทำตามแล้วไง ถูกหามมาหน้าเขียวมือสั่นพั่บๆ

แต่ไอ้ที่บอกให้เคี้ยว ดันกลืนเข้าไปได้ เม็ดตั้งเบ้อเริ่ม

ที่มา : http://caitsithvamp.multiply.com/journal/item/31

No comments:

Post a Comment