ในโลกนี้ ไม่มีเครื่องประดับอันใดที่จะงดงามไปกว่า ความประพฤติอันบริสุทธิ์หมดจด
ที่มา หนังสือการอบรมศีลเจริญภาวนาเบื้องต้นและวิปัสสนาณาน
พระกัมมัฏฐานาจริยะ อู บัณฑิตาภิวังสะ
ประสพการณ์, เรื่องราวทั่วไป, แง่คิด, มุมมอง ที่น่าสนใจ - สิริพงษ์ พงศ์ภิญโญภาพ
Monday, March 29, 2010
Thursday, March 25, 2010
Thursday, March 11, 2010
1000
ธนบัตร 1000 บาท
อาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเริ่มการสนทนาในห้องเรียนด้วยการควักธนบัตรใบละ 1000 บาทออกมาให้นักศึกษาดู
แล้วถามว่ามีใครอยากได้บ้าง
นักศึกษาทุกคนยกมือขึ้น
อาจารย์ขยำธนบัตรใบนั้นจนยับยู่ยี่ แล้วถามอีกครั้งว่ามีใครยังอยากได้ธนบัตรใบนี้อีกหรือไม่
ทุกคนยังยกมือเหมือนเดิม
อาจารย์ถามต่ออีกว่า ถ้าธนบัตรใบนี้ถูกทิ้งที่พื้น แล้วมีคนเหยียบย่ำจนสกปรก ยังมีใครอยากได้อีกหรือไม่
นักศึกษาทุกคนตอบว่ายังอยากได้... อาจารย์จึงกล่าวสรุปว่า
"นั่นคือสิ่งมีค่าที่พวกเธอได้เรียนรู้ในวันนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรกับธนบัตรใบนี้ มันก็ยังมีราคา 1000 บาทเท่าเดิม
ชีวิต คนเราก็เช่นกัน บางครั้งเราอาจจะถูกทอดทิ้ง
ถูกใครต่อใครซ้ำเติม เหยียบย่ำ ถูกขยำขยี้
เพราะความผิดพลาดในการก้าวเดินของชีวิต จนทำให้รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เธอก็ยังมีคุณค่าของความเป็นคน ไม่ว่าเธอจะสะอาดเอี่ยม
หรือยังยู่ยี่เปรอะเปื้อนด้วยโคลนตม เธอก็ยังเป็นคนเดิมที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง
............................. โดยเฉพาะ... สำหรับคนที่รักเธอ
อาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเริ่มการสนทนาในห้องเรียนด้วยการควักธนบัตรใบละ 1000 บาทออกมาให้นักศึกษาดู
แล้วถามว่ามีใครอยากได้บ้าง
นักศึกษาทุกคนยกมือขึ้น
อาจารย์ขยำธนบัตรใบนั้นจนยับยู่ยี่ แล้วถามอีกครั้งว่ามีใครยังอยากได้ธนบัตรใบนี้อีกหรือไม่
ทุกคนยังยกมือเหมือนเดิม
อาจารย์ถามต่ออีกว่า ถ้าธนบัตรใบนี้ถูกทิ้งที่พื้น แล้วมีคนเหยียบย่ำจนสกปรก ยังมีใครอยากได้อีกหรือไม่
นักศึกษาทุกคนตอบว่ายังอยากได้... อาจารย์จึงกล่าวสรุปว่า
"นั่นคือสิ่งมีค่าที่พวกเธอได้เรียนรู้ในวันนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรกับธนบัตรใบนี้ มันก็ยังมีราคา 1000 บาทเท่าเดิม
ชีวิต คนเราก็เช่นกัน บางครั้งเราอาจจะถูกทอดทิ้ง
ถูกใครต่อใครซ้ำเติม เหยียบย่ำ ถูกขยำขยี้
เพราะความผิดพลาดในการก้าวเดินของชีวิต จนทำให้รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เธอก็ยังมีคุณค่าของความเป็นคน ไม่ว่าเธอจะสะอาดเอี่ยม
หรือยังยู่ยี่เปรอะเปื้อนด้วยโคลนตม เธอก็ยังเป็นคนเดิมที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง
............................. โดยเฉพาะ... สำหรับคนที่รักเธอ
TV
คำตอบที่ ฉันได้จากคุณหมออีก 3 แห่ง คือ
ลูกชายฉันเป็นแค่เด็กพูดช้า หรืออาจเป็น ออทิสติกเทียม
ที่เกิดจากการเลี้ยงดูที่ผิดของตัวฉัน ***
เพราะฉันเริ่มให้ลูกดูทีวีตั้งแต่อายุประมาณ 8 เดือน
วันละประมาณ 2-3 ชั่วโมง
เนื่องจากฉันเห็นลูกยิ้มและหัวเราะ ดูเขามีความสุข เมื่ออยู่กับทีวี
ไม่ทันได้คิดว่าความเข้าใจผิดของฉันมันจะส่งผลกระทบอะไร
มารู้ภายหลังว่าเป็นความคิดที่ผิดอย่างมาก !!!
คุณหมอแนะนำว่า ยังไม่ควรให้เด็กเล็กดูทีวี
เพราะทีวี คือการสื่อสารทางเดียว (one way communication)
เด็กที่ดูทีวีมากๆ จะทำให้เขามีพัฒนาการด้านภาษาช้า
และการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นไม่ดีนัก
เนื่องจากเด็กไม่ต้องตอบโต้กับใคร
ทีวีมีแต่ภาพและเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ทำให้เด็กขาดพัฒนาการ
รวมถึงการที่ฉันให้ลูกเล่นของเล่นพร้อมกันหลายๆ ชิ้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
เพราะจะทำให้เด็กสับสน
วิธีที่ถูกคือ ควรให้ลูกเล่นของเล่นทีละอย่าง ซึ่งจะทำให้เด็กมีสมาธิเพิ่มขึ้น
บทเรียนราคา แพงนี้ ฉันอยากให้คุณพ่อ คุณแม่ ที่เคยมีพฤติกรรมคล้ายๆ กับที่ฉันเคยทำ
หรือใครที่กำลังจะให้ทีวีเป็นเพื่อนคู่กายลูก
อย่าเลยนะคะ
เพราะมันอาจทำให้เด็กปกติคนนึง
เกิดความผิดปกติด้านใดด้านหนึ่งได้
ซึ่งคุณพ่อ คุณแม่ คนที่รักเขามากที่สุด
จะกลายเป็นผู้ที่หยิบยื่นความผิดปกตินี้ให้กับลูกของคุณเอง
ที่มา: บทเรียนราคาแพง... ลูกเป็นออทิสติกเพราะ ”ทีวี”
http://www.momypedia.com/knowledge/toddlers/detail.aspx?no=24785
แม้แต่รายการเด็กประเภทเบบี้จีเนียส ยังควรเป็นเริ่มกับเด็กที่มาอายุตั้งแต่ 2 ขวบขึ้นไป
......
นอกจากทีวีจะไปสร้างความผิดเพี้ยนให้กับวงจรสมอง
เนื้อหาของรายการยังมีส่วนที่กระตุ้น และหล่อหลอมพฤติกรรมที่ผิดเพี้ยนให้กับเด็ก !!
การเรียนรู้ของคนที่ถูกกำหนดขึ้นที่สมองและมีวงจรต่างๆ ร่วม
การที่วงจรต่างๆ ที่อยู่ในสมองสามารถควบคุมทักษะบางอย่างได้โดยอัตโนมัติ
เนื่องจากได้มีการเรียนรู้และบันทึกไว้แล้ว
(อาทิเช่น คนสามารถเดินได้พร้อมๆ กับการคุยโทรศัพท์
หรือยังสามารถขับรถได้แม้จะไม่ทำมาเป็นปี)
ตรงกันข้ามกับ “การมีสมาธิ”
ซึ่งเด็กต้องพัฒนาขึ้นมาเองอย่างต่อเนื่อง ***
เช่น ระหว่างการอ่านหนังสือ
หรือทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างจดจ่อและเข้าใจ
ซึ่งเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นจะขาดสมาธิที่สร้างขึ้นเองจากภายใน ***
ที่มา: ทีวี.. เพชฌฆาตสมองเด็ก
http://clickkids.multiply.com/journal/item/82
ลูกชายฉันเป็นแค่เด็กพูดช้า หรืออาจเป็น ออทิสติกเทียม
ที่เกิดจากการเลี้ยงดูที่ผิดของตัวฉัน ***
เพราะฉันเริ่มให้ลูกดูทีวีตั้งแต่อายุประมาณ 8 เดือน
วันละประมาณ 2-3 ชั่วโมง
เนื่องจากฉันเห็นลูกยิ้มและหัวเราะ ดูเขามีความสุข เมื่ออยู่กับทีวี
ไม่ทันได้คิดว่าความเข้าใจผิดของฉันมันจะส่งผลกระทบอะไร
มารู้ภายหลังว่าเป็นความคิดที่ผิดอย่างมาก !!!
คุณหมอแนะนำว่า ยังไม่ควรให้เด็กเล็กดูทีวี
เพราะทีวี คือการสื่อสารทางเดียว (one way communication)
เด็กที่ดูทีวีมากๆ จะทำให้เขามีพัฒนาการด้านภาษาช้า
และการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นไม่ดีนัก
เนื่องจากเด็กไม่ต้องตอบโต้กับใคร
ทีวีมีแต่ภาพและเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ทำให้เด็กขาดพัฒนาการ
รวมถึงการที่ฉันให้ลูกเล่นของเล่นพร้อมกันหลายๆ ชิ้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
เพราะจะทำให้เด็กสับสน
วิธีที่ถูกคือ ควรให้ลูกเล่นของเล่นทีละอย่าง ซึ่งจะทำให้เด็กมีสมาธิเพิ่มขึ้น
บทเรียนราคา แพงนี้ ฉันอยากให้คุณพ่อ คุณแม่ ที่เคยมีพฤติกรรมคล้ายๆ กับที่ฉันเคยทำ
หรือใครที่กำลังจะให้ทีวีเป็นเพื่อนคู่กายลูก
อย่าเลยนะคะ
เพราะมันอาจทำให้เด็กปกติคนนึง
เกิดความผิดปกติด้านใดด้านหนึ่งได้
ซึ่งคุณพ่อ คุณแม่ คนที่รักเขามากที่สุด
จะกลายเป็นผู้ที่หยิบยื่นความผิดปกตินี้ให้กับลูกของคุณเอง
ที่มา: บทเรียนราคาแพง... ลูกเป็นออทิสติกเพราะ ”ทีวี”
http://www.momypedia.com/knowledge/toddlers/detail.aspx?no=24785
แม้แต่รายการเด็กประเภทเบบี้จีเนียส ยังควรเป็นเริ่มกับเด็กที่มาอายุตั้งแต่ 2 ขวบขึ้นไป
......
นอกจากทีวีจะไปสร้างความผิดเพี้ยนให้กับวงจรสมอง
เนื้อหาของรายการยังมีส่วนที่กระตุ้น และหล่อหลอมพฤติกรรมที่ผิดเพี้ยนให้กับเด็ก !!
การเรียนรู้ของคนที่ถูกกำหนดขึ้นที่สมองและมีวงจรต่างๆ ร่วม
การที่วงจรต่างๆ ที่อยู่ในสมองสามารถควบคุมทักษะบางอย่างได้โดยอัตโนมัติ
เนื่องจากได้มีการเรียนรู้และบันทึกไว้แล้ว
(อาทิเช่น คนสามารถเดินได้พร้อมๆ กับการคุยโทรศัพท์
หรือยังสามารถขับรถได้แม้จะไม่ทำมาเป็นปี)
ตรงกันข้ามกับ “การมีสมาธิ”
ซึ่งเด็กต้องพัฒนาขึ้นมาเองอย่างต่อเนื่อง ***
เช่น ระหว่างการอ่านหนังสือ
หรือทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างจดจ่อและเข้าใจ
ซึ่งเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นจะขาดสมาธิที่สร้างขึ้นเองจากภายใน ***
ที่มา: ทีวี.. เพชฌฆาตสมองเด็ก
http://clickkids.multiply.com/journal/item/82
Labels:
raising children
Monday, March 8, 2010
remove
"ก๊อกๆๆๆๆ"
เสียงเคาะประตูที่ดังผ่านแผ่นไม้มา พร้อมๆ กับเสียงที่ดูเหมือนกับเป็นคำสั่งว่า
"ตื่นนอนได้แล้วจะได้ช่วยกันทำงาน"
เด็กน้อยคนหนึ่งตื่นขึ้นมา ท่าทางงัวเงียสลึมสลือ มือจับผ้าห่มที่อยู่ปลายเตียงมาพับและตอบรับเสียงปลุกนั้น
"อืม.....ตื่นแล้ว ได้ยินแล้ว" "นี่วันหยุดนะเนี่ย" เด็กน้อยบ่นกับตัวเอง
"เดี๋ยวกินข้าวเสร็จ ไปถอนหญ้าที่ไร่นะ" พ่อสั่งขณะที่ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาให้ลูกชาย
เด็กน้อยพยักหน้าตอบ และลงมือทานอาหารมื้อแรกของวัน
หลังจากทานอาหารเสร็จ เด็กน้อยเดินไปหยิบหมวกและเสื้อแขนยาวมาสวมเพื่อกันแดด แล้ววิ่งออกไปหน้าบ้าน
กระโดดขึ้นซ้อนท้ายจักรยานโบราณสภาพเก่าโทรม บ่งบอกถึงอายุการใช้งานซึ่งมีพ่อเป็นผู้ขี่
ในระหว่างทาง เด็กน้อยคุยกับพ่อตลอด เขาป้อนคำถามที่อยากรู้
ซึ่งบางครั้งดูเหมือนกับว่าผู้เป็นพ่อจะพยายามสอดแทรกให้แง่คิดตลอด
โดยที่เด็กน้อยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่นานนักก็ถึงไร่ที่เขามีภารกิจที่จะต้องทำ
"ถอนหญ้า" ภาระกิจที่ได้รับมอบหมาย ..หญ้าเปรียบเสมือน "ศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่"
"เดี๋ยวเจ้าถอนแปลงนี้นะ" พ่อสั่งพร้อมกับชี้นิ้วไปที่แปลงผัก
เด็กน้อยรับคำและลงมือถอนหญ้าออกจากแปลงผัก ทีละต้น ทีละต้น จนกระทั่งศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่หายไปจากแปลงผักจนหมดสิ้น
"ไปพักกินน้ำที่ใต้ต้นมะม่วงก่อน....ไป" เด็กน้อยรับคำพ่อแล้วเดินไปพัก
"กลับมาเร็วๆ นะ ยังมีอีกแปลงหนึ่ง" เสียงพ่อสั่งตามหลังเด็กน้อย
หลังจากได้พักกินน้ำ พ่อได้ส่งจอบให้เด็กน้อย พร้อมกับพูดว่า "เอ้า...เอาไปถากหญ้า"
เด็กน้อยรับจอบและตรงไปยังแปลงผักเพื่อทำภารกิจต่อ
ดูเหมือนว่าเด็กน้อยจะพึงพอใจกับการใช้จอบถากหญ้ามากกว่าการใช้มือถอน
เหตุผลก็คือ มันทำให้เขาสามารถทำงานได้รวดเร็ว ซึ่งไม่นานนักเขาก็จัดการกับศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่อย่างราบคาบ
หลังจากที่ภารกิจเสร็จสิ้นลง พ่อลูกก็พากันกลับบ้าน
ระหว่างทางเด็กน้อยถาม "ทำไมไม่ให้ผมใช้จอบตั้งแต่แรกล่ะ ทั้งๆ ที่ทำงานได้เร็วกว่า"
พ่อไม่ตอบ ได้แต่อมยิ้ม เก็บซ่อนคำตอบไว้เพียงผู้เดียว
ผ่านไป 1 สัปดาห์
พ่อได้พาเด็กน้อยกลับไปที่ไร่อีก สิ่งที่เด็กน้อยเห็นก็คือ
แปลงที่ใช้มือถอน บัดนี้ไม่มีหญ้าให้เขาถอนเลย แม้แต่ต้นเดียว
แต่... แปลงที่ใช้จอบถาก กลับมีต้นหญ้าปกคลุมเหมือนเดิม
"ทำไมมันเป็นอย่างนั้นล่ะ" เด็กน้อยถามด้วยความสงสัย ทั้งๆ ที่เขาได้จัดการมันหมดไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
พ่อตอบ "แปลงที่เจ้าใช้มือถอนน่ะ เจ้าได้ถอนมันถึงรากถึงโคน ส่วนแปลงที่เจ้าใช้จอบถากน่ะ
เจ้าเพียงแต่ตัดเอาส่วนปลายของมันออกเท่านั้น มันยังคงมีส่วนที่ฝังลึกอยู่ในดินอีก”
“มัน ก็เหมือนกับปัญหาต่างๆ ที่เราพบเจอนั่นแหละ ถ้าเราแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยปล่อยสาเหตุของปัญหาไว้ ไม่นานนักปัญหานั้นก็จะกลับมาสร้างความเดือดร้อนให้เจ้าอีก แต่ถ้าเราแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แม้มันจะยากสักนิด แต่มันก็ทำให้ปัญหานั้นหมดไปได้"
เด็กน้อยยิ้มรับด้วยความเข้าใจ
ที่มา: Internet
เสียงเคาะประตูที่ดังผ่านแผ่นไม้มา พร้อมๆ กับเสียงที่ดูเหมือนกับเป็นคำสั่งว่า
"ตื่นนอนได้แล้วจะได้ช่วยกันทำงาน"
เด็กน้อยคนหนึ่งตื่นขึ้นมา ท่าทางงัวเงียสลึมสลือ มือจับผ้าห่มที่อยู่ปลายเตียงมาพับและตอบรับเสียงปลุกนั้น
"อืม.....ตื่นแล้ว ได้ยินแล้ว" "นี่วันหยุดนะเนี่ย" เด็กน้อยบ่นกับตัวเอง
"เดี๋ยวกินข้าวเสร็จ ไปถอนหญ้าที่ไร่นะ" พ่อสั่งขณะที่ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาให้ลูกชาย
เด็กน้อยพยักหน้าตอบ และลงมือทานอาหารมื้อแรกของวัน
หลังจากทานอาหารเสร็จ เด็กน้อยเดินไปหยิบหมวกและเสื้อแขนยาวมาสวมเพื่อกันแดด แล้ววิ่งออกไปหน้าบ้าน
กระโดดขึ้นซ้อนท้ายจักรยานโบราณสภาพเก่าโทรม บ่งบอกถึงอายุการใช้งานซึ่งมีพ่อเป็นผู้ขี่
ในระหว่างทาง เด็กน้อยคุยกับพ่อตลอด เขาป้อนคำถามที่อยากรู้
ซึ่งบางครั้งดูเหมือนกับว่าผู้เป็นพ่อจะพยายามสอดแทรกให้แง่คิดตลอด
โดยที่เด็กน้อยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่นานนักก็ถึงไร่ที่เขามีภารกิจที่จะต้องทำ
"ถอนหญ้า" ภาระกิจที่ได้รับมอบหมาย ..หญ้าเปรียบเสมือน "ศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่"
"เดี๋ยวเจ้าถอนแปลงนี้นะ" พ่อสั่งพร้อมกับชี้นิ้วไปที่แปลงผัก
เด็กน้อยรับคำและลงมือถอนหญ้าออกจากแปลงผัก ทีละต้น ทีละต้น จนกระทั่งศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่หายไปจากแปลงผักจนหมดสิ้น
"ไปพักกินน้ำที่ใต้ต้นมะม่วงก่อน....ไป" เด็กน้อยรับคำพ่อแล้วเดินไปพัก
"กลับมาเร็วๆ นะ ยังมีอีกแปลงหนึ่ง" เสียงพ่อสั่งตามหลังเด็กน้อย
หลังจากได้พักกินน้ำ พ่อได้ส่งจอบให้เด็กน้อย พร้อมกับพูดว่า "เอ้า...เอาไปถากหญ้า"
เด็กน้อยรับจอบและตรงไปยังแปลงผักเพื่อทำภารกิจต่อ
ดูเหมือนว่าเด็กน้อยจะพึงพอใจกับการใช้จอบถากหญ้ามากกว่าการใช้มือถอน
เหตุผลก็คือ มันทำให้เขาสามารถทำงานได้รวดเร็ว ซึ่งไม่นานนักเขาก็จัดการกับศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่อย่างราบคาบ
หลังจากที่ภารกิจเสร็จสิ้นลง พ่อลูกก็พากันกลับบ้าน
ระหว่างทางเด็กน้อยถาม "ทำไมไม่ให้ผมใช้จอบตั้งแต่แรกล่ะ ทั้งๆ ที่ทำงานได้เร็วกว่า"
พ่อไม่ตอบ ได้แต่อมยิ้ม เก็บซ่อนคำตอบไว้เพียงผู้เดียว
ผ่านไป 1 สัปดาห์
พ่อได้พาเด็กน้อยกลับไปที่ไร่อีก สิ่งที่เด็กน้อยเห็นก็คือ
แปลงที่ใช้มือถอน บัดนี้ไม่มีหญ้าให้เขาถอนเลย แม้แต่ต้นเดียว
แต่... แปลงที่ใช้จอบถาก กลับมีต้นหญ้าปกคลุมเหมือนเดิม
"ทำไมมันเป็นอย่างนั้นล่ะ" เด็กน้อยถามด้วยความสงสัย ทั้งๆ ที่เขาได้จัดการมันหมดไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
พ่อตอบ "แปลงที่เจ้าใช้มือถอนน่ะ เจ้าได้ถอนมันถึงรากถึงโคน ส่วนแปลงที่เจ้าใช้จอบถากน่ะ
เจ้าเพียงแต่ตัดเอาส่วนปลายของมันออกเท่านั้น มันยังคงมีส่วนที่ฝังลึกอยู่ในดินอีก”
“มัน ก็เหมือนกับปัญหาต่างๆ ที่เราพบเจอนั่นแหละ ถ้าเราแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยปล่อยสาเหตุของปัญหาไว้ ไม่นานนักปัญหานั้นก็จะกลับมาสร้างความเดือดร้อนให้เจ้าอีก แต่ถ้าเราแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แม้มันจะยากสักนิด แต่มันก็ทำให้ปัญหานั้นหมดไปได้"
เด็กน้อยยิ้มรับด้วยความเข้าใจ
ที่มา: Internet
Sunday, March 7, 2010
You have two choices
เจอร์รี่ เป็นผู้จัดการร้านอาหารผู้มีอารมณ์เบิกบานเสมอ
และเป็น ผู้สร้างขวัญและกำลังใจที่เป็นธรรมชาติมาก
ชายคนหนึ่งถามเขา "ผมไม่เข้าใจเลย ไม่มีใครที่มองทุกสื่อเป็นบวก
มองโลกด้านดีตลอดเวลาเช่นคุณ คุณทำได้อย่างไร"
เจอร์รี่ตอบ
"ทุกเช้าที่ตื่นนอน ผมจะพูดกับตัวเองว่า เรามี 2 ทางเลือก
คือ เลือกมีอารมณ์ดี หรือไม่ดี ผมเลือกมีอารมณ์ดีเสมอ
แต่ละครั้งที่มีเรื่องเลวร้าย เราเลือกได้ว่า จะตกเป็นเหยื่อ หรือเรียนรู้จากมัน
ผมเลือกเรียนรู้เสมอ
ทุกครั้งที่มีใครมาต่อว่า เราสามารถเลือกรับ หรือชี้นำสู่ด้านบวกมาใช้
ผมจะเลือกด้านบวกของมันเสมอ"
"แต่มันไม่ง่ายเสมอไป" ชายคนนั้นแย้ง
"ถูกต้อง" เจอร์รี่ตอบ
ชีวิตเต็มไปด้วยทางเลือก ยามที่ตัดส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องออก
ก็จะมองเห็นทางเลือกนั้นได้
เราจะเลือกวิธีปฎิบัติกับเรื่องนั้น
เราจะเลือกวิธีที่ผู้คนจะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเรา
เราเลือกที่จะมีอารมณ์ดี หรือไม่ดี
เราจะเลือกวิธีใช้ชีวิตของเราเอง
หลายปีต่อมา
ได้รับข่าวมาว่า เจอร์รี่ได้ทำสิ่งผิดพลาดที่ไม่นึกฝันขึ้น
เขาลืม และเปิดประตูหลังร้านทิ้งไว้
จากนั้นตอนเช้า มีโจรพกอาวุธ 3 คนเข้าร้านมาปล้น
ขณะที่เจอร์รี่พกลังพยายามไขตู้เซฟอยู่
มือที่สั่นเทาด้วยความกลัว จนกุญแจหมุนรหัสลื่นหลุดไป
โจรเองก็ตกใจ จึงลั่นกระสุนใส่เจอร์รี่
โชคยังดีที่เขาถูกนำส่งโรงพยาบาลทันเวลา
หลังจาก พักฟื้นใน ICU หลายสัปดาห์ เจอร์รี่ก็ออกจากโรงพยาบาล
มีคนถามเจอร์รี่ถึงสิ่งที่เขาคิดตอนโจรเข้าร้าน
เขาตอบว่า
"สิ่งแรกที่คิดคือ ผมน่าจะปิดประตูหลังร้าน
จากนั้น พอถูกยิงและล้มลง ผมคิดได้ว่า ผมมี 2 ทางเลือก
คือ จะอยู่ หรือจะตาย และผมเลือกที่จะอยู่"
"แล้วไม่กลัวเลยหรือ"
เจอร์รี่กล่าวต่อว่า "เวรเปลเยี่ยมมาก เขาให้กำลังใจผมตลอดทางเลยว่า
ไม่เป็นไร แต่เมื่อไปถึงห้องฉุกเฉิน และได้เห็นสีหน้าหมอและพยาบาล
ผมรู้สึกกลัวมากจริงๆ ภายในตาของพวกเขา ผมอ่านได้ว่า
เขาต้องไม่รอดแน่ ผมรู้ว่าผมต้องทำบางอย่าง"
"แล้วคุณทำอย่างไร"
เจอร์รี่บอก "มีพยาบาลคนหนึ่งตะโกนถามผมว่า ผมแพ้ยาอะไรบ้างหรือเปล่า"
ผมตอบชัดว่า "มี"
เหล่าหมอและพยาบาลหยุดทำงานเพื่อรอคำตอบจากผม
ผมสูดหายใจลึก และร้องลั่นว่า
"ผมแพ้กระสุน"
ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ผมบอกว่า ผมเลือกจะมีชีวิตอยู่
ช่วยผ่าตัดผมที เพราะผมยังอยากมีชีวิต ผมยังไม่อยากตาย
ทุกๆ วัน เรามีทางเลือกที่จะสนุกสนานหรือชิงชังกับชีวิต
แต่จะมีสิ่งหนึ่งที่เป็นของเราเสมอ
ไม่มีใครควบคุมหรือเอาของเราไปได้ นั่นก็คือ ทัศนคติของเรา
ถ้าเราควบคุมมันได้ สิ่งอื่นที่เหลือก็ไม่มีอะไรยากอีก
และเป็น ผู้สร้างขวัญและกำลังใจที่เป็นธรรมชาติมาก
ชายคนหนึ่งถามเขา "ผมไม่เข้าใจเลย ไม่มีใครที่มองทุกสื่อเป็นบวก
มองโลกด้านดีตลอดเวลาเช่นคุณ คุณทำได้อย่างไร"
เจอร์รี่ตอบ
"ทุกเช้าที่ตื่นนอน ผมจะพูดกับตัวเองว่า เรามี 2 ทางเลือก
คือ เลือกมีอารมณ์ดี หรือไม่ดี ผมเลือกมีอารมณ์ดีเสมอ
แต่ละครั้งที่มีเรื่องเลวร้าย เราเลือกได้ว่า จะตกเป็นเหยื่อ หรือเรียนรู้จากมัน
ผมเลือกเรียนรู้เสมอ
ทุกครั้งที่มีใครมาต่อว่า เราสามารถเลือกรับ หรือชี้นำสู่ด้านบวกมาใช้
ผมจะเลือกด้านบวกของมันเสมอ"
"แต่มันไม่ง่ายเสมอไป" ชายคนนั้นแย้ง
"ถูกต้อง" เจอร์รี่ตอบ
ชีวิตเต็มไปด้วยทางเลือก ยามที่ตัดส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องออก
ก็จะมองเห็นทางเลือกนั้นได้
เราจะเลือกวิธีปฎิบัติกับเรื่องนั้น
เราจะเลือกวิธีที่ผู้คนจะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเรา
เราเลือกที่จะมีอารมณ์ดี หรือไม่ดี
เราจะเลือกวิธีใช้ชีวิตของเราเอง
หลายปีต่อมา
ได้รับข่าวมาว่า เจอร์รี่ได้ทำสิ่งผิดพลาดที่ไม่นึกฝันขึ้น
เขาลืม และเปิดประตูหลังร้านทิ้งไว้
จากนั้นตอนเช้า มีโจรพกอาวุธ 3 คนเข้าร้านมาปล้น
ขณะที่เจอร์รี่พกลังพยายามไขตู้เซฟอยู่
มือที่สั่นเทาด้วยความกลัว จนกุญแจหมุนรหัสลื่นหลุดไป
โจรเองก็ตกใจ จึงลั่นกระสุนใส่เจอร์รี่
โชคยังดีที่เขาถูกนำส่งโรงพยาบาลทันเวลา
หลังจาก พักฟื้นใน ICU หลายสัปดาห์ เจอร์รี่ก็ออกจากโรงพยาบาล
มีคนถามเจอร์รี่ถึงสิ่งที่เขาคิดตอนโจรเข้าร้าน
เขาตอบว่า
"สิ่งแรกที่คิดคือ ผมน่าจะปิดประตูหลังร้าน
จากนั้น พอถูกยิงและล้มลง ผมคิดได้ว่า ผมมี 2 ทางเลือก
คือ จะอยู่ หรือจะตาย และผมเลือกที่จะอยู่"
"แล้วไม่กลัวเลยหรือ"
เจอร์รี่กล่าวต่อว่า "เวรเปลเยี่ยมมาก เขาให้กำลังใจผมตลอดทางเลยว่า
ไม่เป็นไร แต่เมื่อไปถึงห้องฉุกเฉิน และได้เห็นสีหน้าหมอและพยาบาล
ผมรู้สึกกลัวมากจริงๆ ภายในตาของพวกเขา ผมอ่านได้ว่า
เขาต้องไม่รอดแน่ ผมรู้ว่าผมต้องทำบางอย่าง"
"แล้วคุณทำอย่างไร"
เจอร์รี่บอก "มีพยาบาลคนหนึ่งตะโกนถามผมว่า ผมแพ้ยาอะไรบ้างหรือเปล่า"
ผมตอบชัดว่า "มี"
เหล่าหมอและพยาบาลหยุดทำงานเพื่อรอคำตอบจากผม
ผมสูดหายใจลึก และร้องลั่นว่า
"ผมแพ้กระสุน"
ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ผมบอกว่า ผมเลือกจะมีชีวิตอยู่
ช่วยผ่าตัดผมที เพราะผมยังอยากมีชีวิต ผมยังไม่อยากตาย
ทุกๆ วัน เรามีทางเลือกที่จะสนุกสนานหรือชิงชังกับชีวิต
แต่จะมีสิ่งหนึ่งที่เป็นของเราเสมอ
ไม่มีใครควบคุมหรือเอาของเราไปได้ นั่นก็คือ ทัศนคติของเรา
ถ้าเราควบคุมมันได้ สิ่งอื่นที่เหลือก็ไม่มีอะไรยากอีก
Labels:
Bedtime Story
Subscribe to:
Posts (Atom)