Wednesday, August 19, 2020

Arrow

เด็กวัยไม่เกิน 6 ขวบ จะยังเห็นพ่อแม่คือคนที่หล่อที่สวยและเก่งที่สุด คือโลกทั้งใบของเขา คำพูดของพ่อแม่เป็นความจริงเสมอ และนิทานของพ่อแม่ก็ยังสนุกไม่รู้เบื่อ เขาจะเรียกร้องให้เราเล่านิทานเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า หัวเราะชอบใจกับมุกเก่าตอนเดิมที่กระต่ายวิ่งตาลีตาเหลือกไปพบเจ้าเต่ารออยู่ที่เส้นชัย ยิ้มได้ในตอนจบของนิทานทรัพย์ในดินเมื่อลูก ๆ ที่ลงแรงขุดผืนดินมรดกจนปรุ เพื่อได้รู้ว่าสมบัติที่พ่อทิ้งเอาไว้คือไร่น่าอันอุดม

จนถึงวัยรุ่นนั่นแหละที่ความสำคัญของพ่อแม่จะเหือดหายลดลงไป พ่อแม่บางคนที่ประคองความสัมพันธ์ได้ดีอาจจะได้เลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นเพื่อนสนิทหรือที่ปรึกษาคนสำคัญของเขา แต่ส่วนใหญ่แค่ยอมฟังยอมเชื่อเราบ้างก็เป็นบุญโข ส่วนกรณีที่ลูกเห็นเราเป็นไม้เบื่อไม้เมาฝั่งตรงข้ามนั้นก็มาก 

ช่วงเวลารอยต่อในช่วงวัยรุ่นถึงวัยผู้ใหญ่นี้ช่างน่ากระอักกระอ่วน เขาจะไม่สนุกกับหนังสือเล่มเดิม และเริ่มตั้งคำถามกับเรื่องเล่าเรื่องเก่าที่แต่ก่อนก็เคยสนุกชอบใจ เขาอาจจะถามคุณว่า มันเป็นไปได้จริงหรือที่เจ้ากระต่ายจะนอนยาวจนเต่าแซงไปเข้าเส้นชัยได้ และถ้าก่อนหน้านั้นกระต่ายตื่นขึ้นมาแล้ววิ่งแซงไปล่ะ จะมีไหมกระต่ายที่ไม่หลบไปนอน หรือคำสอนตอนจบว่าชัยชนะของเจ้าเต่ามาจากความเพียรนั้นจริง ๆ มันประกอบด้วยโชคมากกว่า 

หรืออาจจะถามว่าทำไมบิดาผู้ล่วงลับในนิทานทรัพย์ในดินจึงต้องใช้วิธีหลอกลวงลูก ๆ ว่ามีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ใต้ผืนดินของไร่นา แทนที่จะบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าที่ดินนั้นอุดมสมบูรณ์เพียงใด และควรปลูกพืชชนิดไหนในฤดูกาลใด

ยิ่งถ้าพวกเขาได้เข้าถึงหนังสือที่คุณไม่ได้เป็นคนซื้อ ข้อมูลและสื่อที่คุณไม่ได้เลือกให้ คำถามและความคิดของเขาจะเป็นเรื่องที่คุณก็จะไม่เข้าใจและตอบไม่ได้ และมีใครสักคน อาจจะเพื่อนฝูง ครูอาจารย์ หรือบุคคลสาธารณะที่เขาเลือกจะฟังและเชื่อถือกว่าเราผู้เป็นพ่อแม่ นี่เป็นวิถีปกติที่ผู้มีลูกสู่วัยนี้จะต้องเผชิญ 

สิ่งที่เข้าท่ากว่าการตัดพ้อว่าคนแปลกหน้าที่คุณไม่รู้จักนี้เป็นใครสำคัญอย่างไรหรือ ลูกจึงไปเชื่อเขามากกว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูส่งเสียมา แต่คำถามสำคัญกว่าก็คือก่อนหน้านี้ คุณได้ฟังพวกเขาเพียงพอหรือยัง และได้พูดกับเขาด้วยเหตุผลที่แข็งแรงโน้มน้าวความคิดความรู้สึกได้มากกว่าคนแปลกหน้าที่คุณเอ่ยนามอย่างเจ็บช้ำน้ำใจหรือไม่ 

อย่าสิ้นไร้ไม้ตอกถึงขนาดถือเอาว่าการที่ตัวเองเลี้ยงดูส่งเสียลูกด้วยเงินทองก็เป็นเหตุผลอันสมบูรณ์แล้วที่พวกเขาจะต้องเชื่อฟังคุณเลย เพราะมันดูถูกสติปัญญาและความสามารถของตัวคุณเองอย่างถึงที่สุดแล้ว

โปรดทำใจเถิดว่า ต่อให้คุณเลี้ยงดูสั่งสอนเขามาอย่างใกล้ชิดเพียงไร ส่งมอบความรู้และประสบการณ์ให้ด้วยความเข้าใจ พูดคุยดุจดังเพื่อนสนิทมิตรคนหนึ่งแล้วทุกอย่างทุกเรื่องอยู่ทุกวัน รู้จักและตามทันทุกสิ่งที่ลูกคุณได้รับได้เรียนได้รู้ แต่มันก็เป็นไปได้อยู่ดีที่ในที่สุดพวกเขาและเธอจะมีวันที่พูดคนละเรื่องกับคุณ และสิ่งที่คุณเพียรสอนเขามาทั้งหมดก่อนหน้านั้นจะถูกละทิ้ง

ก็เพราะในทุกวันนี้ ความเปลี่ยนแปลงนั้นเร็วเกินหน้ากว่าความรู้และประสบการณ์แบบเดิมไปหลายช่วงตัว การศึกษาที่เท่าทันและมีประสิทธิภาพเพียงหนึ่งชั่วโมงอาจจะลบล้างสิ่งที่คุณเพียรสอนมาสิบปีได้จริง และสมเหตุสมผลที่เป็นเช่นนั้นด้วย ภาษาต่างประเทศที่คุณเคยเรียนเมื่อ 20 ปีก่อน วันนี้ภาษานั้นก็เปลี่ยนไปแล้วทั้งการออกเสียง ไวยกรณ์บางเรื่อง รวมถึงความหมายของศัพท์บางคำ คอมพิวเตอร์ที่เขาใช้ก็ไม่ได้มีรูปร่างแบบเดียวกับที่คุณเคยพรมนิ้วบนแป้น ซอฟต์แวร์หรือภาษาโปรแกรมมิ่งที่คุณเคยสอนพวกเขานั้นถูกทดแทนด้วยของใหม่ที่ง่ายกว่า ความรู้ด้านภูมิศาสตร์รัฐศาสตร์ทฤษฎีเดิมของคุณก็อาจจะใช้ไม่ได้ เพราะประเทศที่คุณรู้จักหายไป เกิดใหม่ หรือเพิ่มลดบทบาทจนต่างไปจากเดิม 

นับประสาอะไรกับความคิด ความเชื่อ และอุดมการณ์ในเรื่องยิ่งใหญ่กว่านั้น ความหวังและความฝันที่คุณเองก็ไม่เคยกล้านึก หรือเรื่องราวที่คุณเคยตบปากตัวเองเมื่อเผลอกล่าวถึง แต่ลูกของคุณถกเถียงกับเพื่อนได้เช่นเดียวกับการเลือกหาเสื้อผ้ามาใส่ไปงาน หรือหนังสือเล่มต่อไปที่จะอ่าน

การอาบน้ำร้อนมาก่อนอาจจะมีประโยชน์ในครั้งที่บอกพวกเขาว่าให้ระวังว่าน้ำนั้นร้อนเท่าไร ควรค่อยหย่อนกายลงมาแค่ไหนเพียงไร แต่เมื่อเขาลงมาอยู่ในบ่อเดียวกันแล้ว เขาและคุณก็คือผู้ที่อาบน้ำร้อนมาแล้วเท่ากัน

ถ้าอย่างนั้นสรุปว่าพ่อแม่ไดโนเสาร์ต้องทำใจเลยหรือว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถบังคับตักเตือน หรือเรียกให้เขากลับมาเดินตามเราต้อย ๆ และสนุกซาบซึ้งกับเรื่องเล่านิทานเก่าของเราได้

คำตอบคือ ใช่ และการยอมรับว่าเราไม่เท่าทัน อาจจะเป็นความเท่าทันในวิถีใหม่

ดังเช่น บทกวี “บุตร” (On Children) ของ คาลิล ยิบราน รจนาไว้ จากสำนวนแปลของ ระวี ภาวิไล มีว่า

.....................

บุตรของเธอ...ไม่ใช่บุตรของเธอ 
เขาเหล่านั้นเป็นบุตรและธิดาแห่งชีวิต
เขามาทางเธอ แต่ไม่ได้มาจากเธอ 
และแม้ว่าเขาอยู่กับเธอ แต่ก็ไม่ใช่สมบัติของเธอ

เธออาจจะให้ความรักแก่เขา  
แต่ไม่อาจให้ความนึกคิดได้เพราะว่าเขาก็มีความนึกคิดของตนเอง
เธออาจจะให้ที่อยู่อาศัยแก่ร่างกายของเขาได้ 
แต่มิใช่แก่วิญญาณของเขา
เพราะว่าวิญญาณของเขานั้น อยู่ในบ้านของพรุ่งนี้ 
ซึ่งเธอไม่อาจเยี่ยมเยือนได้ แม้ในความฝัน...
เธออาจจะพยายามเป็นเหมือนเขาได้  
แต่อย่าได้พยายามให้เขาเหมือนเธอ
เพราะชีวิตนั้นไม่เดินถอยหลังหรือห่วงใยอยู่กับวันวาน

เธอนั้นเป็นเสมือนคันธนู 
บุตรหลานเหมือนลูกธนูอันมีชีวิต
ผู้ยิงเล็งเห็นที่หมายบนทางอันมิรู้สิ้นสุด  
พระองค์จะน้าวเธอเต็มแรง เพื่อว่าลูกธนูจะวิ่งเร็วและไปไกล
ขอให้การโน้มงอของเธอในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์เป็นไปด้วยความยินดี
เพราะว่าเมื่อพระองค์รักลูกธนูที่บินไปนั้น 
พระองค์ก็รักคันธนูซึ่งอยู่นิ่งด้วย

............................

เมื่อเราผู้เป็นมารดาบิดาได้ลับคมศรของเราอย่างดี เล็งไปด้วยสมาธิอันตั้งมั่น ง้าวคันศรด้วยแรงที่กะเก็งแล้วว่าพอดีไม่ขาดเกิน ก่อนจะปล่อยลูกธนูออกไปจากคันสาย แต่เราก็ไม่อาจคาดหมายได้ว่าลูกธนูนั้นจะพุ่งไปสู่เป้าหมายใด แม้อาจจะพอเดาทางได้เท่านั้น

มิใช่เพียงสายลมที่แทรกแซงหรือเจตนาจากพระผู้เป็นเจ้า แต่เพราะลูกธนูนั้นก็มีความคิดและเจตจำนงของมันเอง.

-------------

อ่านฉบับเต็มได้ในคอลัมน์ "คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง"  หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันพุธที่ 19 สิงหาคม 2563 และมติชนออนไลน์ครับ

ที่มา https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2991946104365653&id=1529950080565270

No comments:

Post a Comment