Wednesday, November 25, 2009

Languages and Cultures

เพื่อนอเมริกันของหนูดี เคยมีโจ๊กที่แซวกันเล่นว่า
คนพูดได้สามภาษาเราเรียกว่า “ไทรลิงกวล”
ถ้าคนพูดสองภาษาเราเรียก “ไบลิงกวล”
ถ้าพูดได้ภาษาเดียวเรียกว่าคน “อเมริกัน” (ฮา)

จริงๆ เด็กอเมริกัน รักสบายค่ะ ถือว่าพูดภาษาอังกฤษได้ ก็ไปได้ทั่วโลกแล้ว
เลยไม่ค่อยขวนขวาย
ไม่เหมือนพวกเรา พูดไทยได้แล้วยังไม่พอ ต้องพูดอังกฤษได้
เสร็จแล้วยังต้องพูดจีนได้อีก ดีไม่ดีเรียนภาษาเกาหลี ญี่ปุ่นแถมด้วย

พอเรียนหลายภาษา สิ่งที่เราได้แถมมาก็คือ
วิธีคิด วิธีการสื่อสาร ความเชื่อ และวิถีชีวิตของเจ้าของภาษานั้น
และน่าทึ่งมากนะคะ ในการที่ตัวเราจะค่อยๆ คิดและเปลี่ยนแปลงไป
ในกระบวนการเรียนรู้ต่างภาษา

หนูดีชอบเรียนภาษา ไม่ใช่เพื่อให้พูดได้หลายภาษา
แต่จะสนุกกว่าถ้าได้รู้ว่า เจ้าของภาษานั้น “คิด” อย่างไร

เช่น เพื่อนญี่ปุ่นก็จะเล่าว่า ภาษาของเขาเป็นขั้นบันได
มีแบ่งระดับความสุภาพชัดเจน
เรียกพ่อแม่ตัวเองก็คำหนึ่ง
เรียกพ่อแม่เพื่อนก็อีกคำหนึ่ง
แม้กระทั่งการให้ของขวัญใครก็จะพูดทำนองว่า
“ได้โปรดให้เกียรติรับของอันเล็กน้อยนี้ไว้ด้วย”

ภาษาเป็นเครื่องมือให้ความคิด “เกาะ”
เพราะฉะนั้นเราใช้ภาษาไหน นิสัยเราก็มักจะคล้ายคนภาษานั้นนะคะ
ลองสังเกตสิคะ แม้เวลาฝัน เรายังฝันด้วยภาษาที่เราคุ้นชินเลย

แม้กระทั่งภาษาเดียวกัน ลองสังเกตบุคคลิกของเด็กที่ เรียนภาษาอังกฤษสิคะ
ถ้าไปเรียนที่อเมริกาก็จะบุคคลิกหนึ่ง
ไปเรียนที่อังกฤษก็อีกบุคคลิกหนึ่ง ไม่ใช่แค่สำเนียงที่ต่างนะคะ
แต่วิธีการวางรูปประโยคแค่ฟังก็รู้ว่าเขา “คิดต่าง” กันแค่ไหน
และถ้าเราส่งลูกไปเรียนที่จีน คราวนี้ก็จะเห็นความแตกต่างในบุคลิกและวิธีคิดที่ชัดเจนมาก
รวมถึงวิธีการใช้เงิน การใช้ชีวิตอีกด้วย

ตอนที่หนูดีไปเที่ยวที่ปักกิ่งมีโอกาสได้รู้จักนักเรียนไทยที่ไปเรียนต่อ มาเป็นไกด์พาเที่ยว
ก็พบด้วยความประหลาดใจว่า บุคคลิกและวิธีการเรียน วิธีการใช้ชีวิตของน้อง
ไม่เหมือนกับพวกเราที่เรียนอเมริกา
และไม่เหมือนกับเพื่อนที่ถูกส่งไปโซนยุโรปหรือออสเตรเลีย นิวซีแลนด์เลย

เมื่อลองถามดูก็เลยรู้ว่า เด็กจีน เรียนกันหนักมาก
เรียนเช้าถึงค่ำเป็นเรื่องปกติ เลิกสองสามทุ่มหรือสี่ทุ่มก็มี
แถมถ้ามีห้องเรียนว่าง ยังเอาการบ้านเข้าไปนั่งทำในห้องว่างนั้น แทนที่จะไปเที่ยวเล่น
เด็กไทยไปแรกๆ ก็งง พอถามว่า เรียนจนค่ำไม่เหนื่อยเหรอ
เด็กจีนก็บอกว่า อ้าว ถ้าเลิกเรียนก็ว่าง ทำอะไรไร้สาระไปเรื่อยๆ
สู้เอาเวลามาเรียนดีกว่า

ที่น่ารัก คือน้องคนหนึ่งที่เรียนต่อปริญญาโทเล่าว่า
ไปครั้งแรกเพื่อนจีนทั้งห้องอยากจัดปาร์ตี้เพื่อทำความรู้จักกัน
โดยมีหนุ่มนักเรียนจีนคนหนึ่งเป็นโต้โผ
เด็กไทยของเราได้ยินคำว่า “ปาร์ตี้” ก็นึกถึงร้านอาหาร หรือไม่ก็คาราโอเกะ
แต่ปรากฏว่า วันนัด เด็กจีน ทั้งกลุ่มกลับไปเจอกันช่วงบ่ายที่สวนสาธารณะ
เอาเสื่อไปคนละผืน ถือขนมติดมือไป แล้วไปเล่นเกมกัน
ทายคำถาม แถมน้องยังบอกว่า “มีเกมอะไรคล้ายๆมอญซ่อนผ้าด้วย”

ฟังแล้วน่ารักจริง คนที่เล่าเสริมว่า
“ผมคิดในใจว่า...ระดับปริญญาโทแล้วนะเนี่ย เด็กจีนนี่ใสจริงๆ เลย”
ฟังแล้วก็ได้แต่คิดว่า ถ้าเป็นที่อเมริกา เรื่องแบบนี้ไม่มีวันเกิดขึ้นเป็นอันขาด

ด้วยความที่ชอบสังเกตแบบนี้ หนูดีเลยชอบถามเจ้าของภาษาถึง
“สำนวน” ของเขาเสมอ
แล้วก็มานั่งหัวเราะด้วยกัน เช่น
คำว่า “รถด่วนขบวนสุดท้าย” ของไทยนั้น
ถ้าเป็นเพื่อนเม็กซิกันของหนูดีจะพูดว่า “เขาตีงูได้ในวันศุกร์”
เหมือนกับว่า ถ้าตีไม่ได้วันนี้จะไม่มีงูกินทั้งสัปดาห์เลยเชียวนะ
(เลยต้องถามว่า คนประเทศคุณกินงูวันเสาร์อาทิตย์ด้วยเหรอ)

ที่ชวนคุยมาทั้งหมดนี้ เพราะหนูดีอยากเชิญชวนว่า ปีใหม่นี้
ใครจะไปเที่ยวประเทศอื่น อย่านำติดตัวไปแค่ภาษาอังกฤษนะคะ
แต่ลองเรียนภาษาพื้นถิ่นตรงนั้นดูไหมคะ
แล้วลองเดาดูเล่นๆ ว่า คนประเทศนี้มีวิธีคิดและอุปนิสัยเป็นอย่างไร
เดาได้ไม่ยากหรอกค่ะ เพราะมันมักจะปรากฏชัดเจนในภาษาที่เขาใช้ทุกวันนั่นเอง

นี่คืองานอดิเรกที่หนูดีทำทุกครั้งเวลาเดินทาง

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/health/20091124/87466/เด็กหลายโลก.html

Which one is more important?

ฉันเดินชนคนแปลกหน้า ฉันเอ่ยขอโทษไม่ตั้งใจ
เขากลับตอบ"ขออภัย ผมเองไม่ทันเห็นคุณ"
เราต่างสุภาพ ถ้อยทีถ้อยอาศัยแสดงน้ำใจ แม้ไม่รู้จักกัน

แต่ที่บ้านเย็นวันนั้นฉันทำอาหารอยู่ในครัว
ลูกสาวตัวน้อยแอบมายืนข้างหลัง
ไม่ทันระวังฉันหันกลับ
มาชนเธอล้มลง
"อย่ามายืนเกะกะ" ฉันดุใส่
ลูกสาวเดินจากไป หัวใจเธอปวดร้าว

คืนนั้นฉันได้ยินเสียงกระซิบจากเบื้องลึกของหัวใจ
กับคนแปลกหน้าเจ้าสุภาพได้
กับลูกรักชิดใกล้ ทำไมทำได้ลงคอ

ที่มา: fwd mail

Monday, November 23, 2009

The Target

เพลง : ความฝันอันสูงสุด
ทำนอง : พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลฯ
คำร้อง : ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค

ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ
ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว
ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ
ขอฝ่าฟันผองภัยด้วยใจทะนง
จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด
จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง
จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง
จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา
ไม่ท้อถอยคอยสร้างสิ่งที่ควร
ไม่เรรวนพะว้าพะวังคิดกังขา
ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา
ไม่เสียดายชีวาถ้าสิ้นไป
นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง
หมายผดุงยุติธรรมอันสดใส
ถึงทนทุกข์ทรมานนานเท่าใด
ยังมั่นใจรักชาติองอาจครัน
โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่
เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้แม้ถูกหยัน
ยังคงหยัดสู้ไปใฝ่ประจัญ
ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทย

เพลง พระราชนิพนธ์ ลำดับที่ ๔๓ ทรงพระราชนิพนธ์ ใน พ.ศ. 2514

Saturday, November 21, 2009

Before & After by Shin-A

เข้างาน 8.30
===========
before: ไปตั้งแต่ 7.00 เลิกงาน 17.30 กลับบ้าน 22.00-24.00
บางทีกลับบ้านตี 1 ตี 2
ตี 3 ก็มีนะ
after: ไปตั้งแต่ 9.30 เลิกงาน 16.00 (มาสายแอบกลับก่อนอีกตะหาก)

Entertainment
=============
Before: ดูหนัง ทุกเรื่อง ที่เข้าโรง
After: ปีกว่าแล้วยังไม่ได้เข้าโรงหนังเลย

Before:หนัง DVD ซี่รี่เกาหลี ชอบมาก
After: ซื้อซี่รี่มาแต่ยังหาเวลาดูไม่ได้สักที

Before: คืนนี้มีรายการไหนน่าสนใจบ้าง
After: TV ในห้องนอนไม่ได้เปิดมาตั้งแต่พาลูกกลับบ้านมาแล้ว

Before: ตาม AF ทุกรุ่น
ดูทั้งในบ้าน + ซ้อมใหญ่ + Concert
After: รุ่น 6 ดูแค่ตอน re-run เทป Concert บ่ายวันอาทิตย์พอ

Before: เย็นวันศุกร์หนุกหนานอยู่คาราโอเกะ ร้องเพลง แดนส์กะเพื่อนๆ
After: ทุกเย็นไม่เฉพาะวันศุกร์เลิกงาน 5 ครึ่ง ตรงเวลาแป๊ะ
กลับบ้านหาลูก คิดถึงลูกยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้

Before: เย็นวันเสาร์ไปหาอะไรอร่อยทานที่ไหนดีหนา
After: มีของสดอะไรในตู้เย็นพอทำทานได้บ้าง ถ้าไม่มีขอเบอร์ Delivery ด่วนจ้า

before: กินอะไรก็ได้ ที่อยากกิน เผ็ดๆ แซ่บๆ
after: จะกินอะไร นึกถึงลูก
ลูกชอบอันนั้น ซื้อให้ลูกก่อน เรากินกับลูกได้

Before: เที่ยวบ่อย ไปที่ไหนก็ได้ สะดวก ไว
After: ไปไหน ต้องวางแผนก่อนล่วงหน้า ลูกไปด้วย สะดวกไหม

Before: เล่นเน็ตนี่ หน้าดาราก่อนเลย อัพเดทก่อนใคร กลัวตกข่าว
After: วิธีเลี้ยงลูก โดยเฉพาะบอร์ดสนุก 555


Shopping
========
Before: เงินเดือนออก อยากได้มานานละ ช็อปกระจาย
After: เงินเดือนออก ฉันจะซื้อผ้าอ้อมลดราคาที่ไหนดี เก็บเงินไว้ซื้อนมลูกหรือยังหว่า

Before: ชุดก็จะต้องเลือกแล้วเลือกอีก
เสื้อผ้าแบบไหนที่ out แล้ว พับเก็บไว้ไม่หยิบมาใส่เลย
After: ขุดของเก่าที่ out แล้วน่ะ มาใส่ต่อ แถมท่องเอาไว้ในใจว่า ยังได้อยู่ ยังได้อยู่

Before: จะใช้กระเป๋าใบไหนดี
After: เอากระเป๋าที่ใส่ของสำหรับออกนอกบ้านของลูก
จัดของของลูกเสร็จ ก็เอาของตัวเองใส่เข้าไปเลย ใบเดียวจบ

Before: ตอนนี้มีเครื่องสำอางค์, โทรศัพท์ ฯลฯ อะไรมาใหม่บ้าง
จะหาซื้อมาไว้ประทินโฉมตัวเอง
ทาครีมกลางวัน กลางคืน, อายครีม, โลชั่น, ครีมรองพื้น
กว่าจะออกนอกบ้านได้เป็นชั่วโมง
After: ไม่เอาละ ช่างมันสวยไม่สวย
ทามันครีม 3 in 1 อะไรถูกๆ ซื้อมาทาแค่พอไปวัดไปวาได้
โทรศัพท์ ฯลฯ อะไรมาใหม่กลายไปเรื่องไม่น่าสนใจ


หลังจากอ่าน ทำให้ผมเข้าใจคำพูดที่ว่า
การมีลูก จะเป็นจุดเปลี่ยนของคน จากรักตนเอง เป็นรักคนอื่น

;)

What my son have taught me

ท้องอ่อนๆ
=======
เห็นคนที่ชอบกาแฟ เลิกกิน(อย่างไม่มีกำหนด)

ท้องแก่
=====
เห็นคนตื่นนอนตอนกลางคืนบ่อย เพราะขึ้นมาฉี่
หรือไม่ก็ขาเป็นเหน็บเพราะลูกทับเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงขา
เห็นคนปวดหลัง เนื่องจากน้ำหนักบริเวณหน้าท้อง

ตอนคลอด
=======
รู้สึกถึงความกังวลเป็นห่วง ของคนใกล้ชิด
ก็ผ่าตัดใหญ่อะครับ
(มีความเสี่ยงที่อาจจะไม่ได้คุยกันอีก)
ผ่านมาได้ก็โล่งไป

หลังคลอดใหม่ๆ
===========
เห็นคนเจ็บแผลจนน้ำตาไหล เวลาเดิน หลังจากการผ่าคลอด
เห็นคนที่เคยมีความสุขกับการนอน ขยี้ตาลูกขึ้นมาทุกๆสามชั่วโมง ในช่วงกลางคืน
เพื่อปั๊มกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำนม
ความรู้สึกที่ลูกดูดแล้วไม่มีน้ำนมไหลออกมา ทำร้ายจิตใจคนเป็นแม่เหลือเกิน
เห็นคนไม่ชอบกินแกงเลียง ซดแกงเลียงทุกมื้อ(ไม่มีบ่น)
เห็นผู้หญิงที่เคยใช้ชีวิตสุขสบายคนหนึ่ง เช็ดขี้ของคนอื่นอย่างไม่มีอิดออด ด้วยความคล่องแคล่ว

โตขึ้นมาหน่อย
==========
เห็นคนทั้งไกวทั้งอุ้ม ร้องเพลงกล่อมลูกจนเจ็บคอ
(เมื่อไหร่ลูกจะเคลิ้มหลับซักที เด็กบางคนก็นอนยากจังเนอะ)

เมื่อลูกน้อยมีไข้ เป็นหวัด มีน้ำมูก
========================
เห็นคนชอบนอนห้องแอร์เย็นๆ บอกว่าอย่าเปิดแอร์ ในช่วงเดือนที่ร้อนระอุแห่งปี
เห็นคนขยี้ตาตื่นขึ้นมากลางค่ำกลางคืน
เช็ดตัวเพื่อลดไข้
เอาปากดูดน้ำมูกออกจากจมูกของลูกน้อย
เพื่อให้ลูกน้อยหลับสบาย

เพียงเพื่อหวังให้ลูกน้อยเป็นคนเก่ง ไม่แพ้ใคร
=================================
เห็นคนพูดเป็นวรรคเป็นเวรเพียงฝ่ายเดียว คล้ายคนบ้า
กับอีกฝ่ายนึง อ้อแอ้ๆ เหมือนเข้าใจ

ป้อนข้าวลูก
========
แต่ละคำ = หนึ่งเหนื่อย
รวมถึงลำไส้ที่เพิ่งหัดย่อยอาหาร
ปฏิกูลที่ออกมา
Silent but Deadly
เงียบแต่(กลิ่น)ถึงตายครับ

ลูกหัดเดิน
=======
เห็นคนปวดหลังเพราะก้มให้ลูกน้อยจูงมือขณะหัดเดิน เป็นเวลานาน

เมื่อลูกเริ่มเติบใหญ่ เพื่อให้ลูกเป็นเก่งคนดีในอนาคต
======================================
เห็นคนที่เคยทำอะไรตามใจตัวเองตัวเองมาตลอดชีวิต
เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม แก้ไขจุดบกพร่อง ต่างๆนานา
เพื่อเป็นแบบอย่างดีให้กับแก้วตาดวงใจ

อื่นๆอีกมากมาย บรรยายกันไม่หมดครับ

ถึงตอนนี้ แม้ลูกยังไม่ได้พูดซักคำ
แต่ก็ให้ประสพการณ์อันยิ่งใหญ่แก่เรา
ว่าแม่ประคบประหงมเราเพียงไร
เราไม่กลืนสิ่งของ จนติดคอตายตอนเด็กๆ
ตาไม่บอด หัวไม่กระทบกระเทีอนเพราะอุบัติเหตุ
ท่านเหนื่อยกับเราแค่ไหน กว่าเราจะโตมาถึงทุกวันนี้

Before: เกิดมาไม่เคยยอมใคร
After: ไม่ยอมใคร (เหมือนเดิม)
ยกเว้น 1) คุณแม่ และ 2) คุณภรรยา [ทั้งคู่ผู้ซึ่งแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่]
แล้วก็ 3) คุณลูก
[ชี้ไปทางไหนนี่ ต้องไป ไม่งั้นร้องกรอกหูเลยนะโว้ย
เออ(ยอม)ไปก็ได้วะ]

รักแม่ขึ้นอีกเยอะครับ


คำว่า "แม่" มาพร้อมกับภาระอันยิ่งใหญ่
บางคนก็เหมาะสมเพียงคำว่า "ผู้ให้กำเนิด"

ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาอย่างไร
"ลูก" ก็เป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่เสมอ

สิริพงษ์ พงศ์ภิญโญภาพ

Tuesday, November 17, 2009

Pokers

โดย ... ~*aom*~

ฉันได้ฟังปริศนาธรรมเรื่องนี้จากคุณแม่...
ซึ่งพระอาจารย์ประสงค์ ปริปุณฺโณ จากวัดป่าชิคาโกท่านกรุณาเทศน์เล่าให้ฟัง

พระอาจารย์เริ่มเรื่องด้วยคำถามว่า
ถ้ามีหมาเน่าลอยน้ำมาติดที่หน้าบ้านของเรา เราจะทำยังไง

ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า
ให้เอาไม้เขี่ยมันออกไป

พระอาจารย์ก็ถามต่อว่า
เขี่ยเสร็จแล้ว หมาเน่าลอยไปแล้ว ไม้นั้นเราทำยังไง

ทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันอีกว่า
ก็ต้องโยนทิ้งไป

คราวนี้พระอาจารย์ก็บอกว่า นั่นแหละ...
มีคนบางพวก ไม่ยอมทิ้งไม้เขี่ยหมาเน่านั้นไปเฉยๆ
ไม่รู้เสียดายอะไร ทั้งๆที่รู้ว่าเหม็นแต่ก็หยิบกลับขึ้นมาดมอยู่เรื่อย ไม้เขี่ยหมาเน่าๆเหม็นๆน่ะ

พระอาจารย์เล่าเรื่องจบเพียงแค่นี้
ทิ้งไว้เป็นปริศนาธรรมให้เอามาคิดต่อ...

เห็นด้วยกับฉันมั้ย...
คนที่รู้ทั้งรู้ว่าไม้เหม็นแต่ก็ยังเก็บมาดมอยู่ได้เนี่ย... ไม่โง่ก็โรคจิตนะ

- : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : -

เคยเป็นบ้างมั้ย เวลามีใครมาทำให้เราโกรธ
จนเรื่องต่างๆ เหตุต่างๆที่ทำให้เราโกรธมันดับไปหมดแล้ว
แต่เราก็ยังเก็บมาคิดมาแค้นอยู่นั่นแหละ ไม่รู้เสียดายอะไร
ทั้งๆที่รู้ว่าทำให้เป็นทุกข์ แต่ก็เก็บความคิดแค้นมาเผาใจอยู่เรื่อยๆ

หรือไม่ต้องเรื่องโกรธก็ได้... เรื่องอะไรๆที่มันผ่านไปแล้ว
แต่หลายครั้งเราก็ยังเก็บโน่นเก็บนี่มาคิด มากังวล มาเสียใจอะไรก็แล้วแต่

ฉันคนหนึ่งล่ะที่เคยเป็น
แล้วฉันก็คิดว่าทุกคนก็คงเคยเป็น

คราวหลังถ้าเป็นอีกลองบอกตัวเองสิว่า...
แน่ะ... หยิบไม้เขี่ยหมาเน่ามาดมอีกแล้วนะเรา
คนที่รู้ทั้งรู้ว่าไม้เหม็นแต่ก็ยังเก็บมาดมอยู่ได้เนี่ย... ไม่โง่ก็โรคจิตนะ

ดูซิว่ายังจะอยากเก็บไม้เหม็นๆไว้ดมอีกมั้ย


"การกระทำที่ทำไปแล้ว เราไปหวนกลับให้กลายเป็นไม่ได้ทำ ไม่ได้"
พุทธพจน์

ที่มา ทำอย่างไรจึงจะให้เชื่อเรื่องกรรม
พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยุตโต)