Sunday, November 28, 2021

Homework

#การบ้านร้ายทำลายตัวตน?

"หนูนอนเกือบเที่ยงคืนตีหนึ่งทุกวัน การบ้านมันเยอะมาก"

"ผมต้องเรียนพิเศษเยอะมาก เสาร์อาทิตย์ก็ต้องเรียน ไม่งั้นเดี๋ยวไม่ทันคนอื่น"

"ผมทำการบ้านไม่ทันหรอก ส่วนใหญ่ก็ลอกเพื่อนส่งๆ ไป"

"มันยากกก แล้วก็เยอะมากอะ บางอันก็ไม่รู้จะทำไปทำไม ไปร้านเกมสนุกกว่า"

“ไม่มีเวลาออกกำลังกายอะไรหรอกครับ แค่ต้องทำการบ้านก็หมดเวลาแล้ว”

“ครูสั่งให้ทำงานกลุ่ม แต่ครูไม่ได้มาดูว่าใครทำอะไรมั่ง เพื่อนไม่ทำ ผมก็ต้องทำ ไม่งั้นก็ไม่มีคะแนน”

เสียงจากวัยรุ่นส่วนหนึ่ง ที่พูดถึงสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญ
...................................

ปัญหาการศึกษาบ้านเรา เป็นปัญหาที่หยั่งรากลึก และหลายครั้งมันบั่นทอนศักยภาพมนุษย์

ปัญหาที่มาจากรากคิด ว่าต้องรู้เยอะ เรียนเยอะ ถึงจะประสบความสำเร็จ (แม้บางอย่างที่ไม่รู้จะต้องรู้ไปทำไม ก็ยัดเยียดให้ต้องรู้)

รากคิด ที่ทำให้เด็กหลายคน เริ่มหล่นหายไปจากเส้นทางของการเรียน

โรงเรียน ควรเป็นที่ที่ทำให้เด็กค้นเจอศักยภาพ ไม่ใช่ทำลายศักยภาพ 

ควรเป็นที่ที่ทำให้รู้สึกว่าการเรียนรู้คือเรื่องสนุก ไม่ใช่คือความทุกข์ที่ต้องกัดฟันฟันฝ่า

การศึกษาที่ดี คือการศึกษา ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ทำด้วยใจที่ “มีความสุข” สนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มีเป้าหมาย ในการทำสิ่งที่มีความหมาย

การบ้านหรือบทเรียนที่มากเกินไป ทำให้เกิดความเครียดและความกดดัน บั่นทอนความสุขทางใจ และทำให้เด็กๆ ใช้ชีวิตเหมือนหนูถีบจักร

"วิ่ง" แบบไม่เคยได้รื่นรมย์กับความพอใจและความหมายของสิ่งที่ทำอยู่

"วิ่ง" ... จนไม่มีเวลาคิด ว่าจริงๆแล้ว

"เราต้องการอะไรในชีวิต"
................................

การบ้านที่พอดี จะทำให้เด็กๆ ประสบความสำเร็จได้

การบ้านที่มากเกินไป กลับกลายเป็น "ความกดดัน" ที่นับวันจะยิ่งบั่นทอนตัวตน และกำลังใจ

ความกดดัน... ที่ทำให้สุดท้าย มีเด็กไม่กี่คนที่จะไปรอด

เด็กหลายคนหลุดหายไประหว่างทาง

หลายคนที่รอด... ก็กลายไปเป็นหนูถีบจักร ที่ก้มหน้าก้มตา และไม่เคยเงยหน้าขึ้นมาเพื่อถามว่า

"ความสุขในชีวิตเรา... คืออะไร"
......................................

การศึกษา คือ การเรียนรู้ที่ทำให้ชีวิตเรามีความสุข

ดังนั้นการศึกษา จึงไม่ควรต้องแลกด้วยความสุข

#หมอโอ๋เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน
ผู้อยากบอกว่าตอนนี้คลินิกวัยรุ่นเต็มไปด้วยเด็กเครียดเรื่องการเรียน กับเด็กหมดไฟในการเรียน

ป.ล. หมออยากให้พ่อแม่ที่ได้อ่านบทความนี้ ลุกขึ้นมาช่วยลูกๆ ด้วยนะคะ เรามีสิทธิ์ที่จะส่งเสียงไปที่โรงเรียนเสมอ ถ้าเราพบว่าการศึกษาที่เป็นอยู่ มันเป็นการทำร้าย มากไปกว่าการพัฒนา

#การรักการเรียนรู้สำคัญกว่าการมีความรู้

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2848695418781125&id=1383393308644684

Friday, November 19, 2021

virtuous

#มโหสถชาดก

...ในเมืองมิถิลา มีเศรษฐีผู้หนึ่งมีนามว่า สิริวัฒกะ ภรรยาชื่อ นางสุมนาเทวี นางสุมนาเทวีมีบุตรชายคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อคลอด ออกมานั้นมีแท่งโอสถอยู่ในมือ เศรษฐีสิริวัฒกะเคยเป็นโรคปวดศีรษะมานาน จึงเอาแท่งยานั้นฝนที่หินบดยาแล้วนำมา ทาหน้าผาก อาการปวดศีรษะก็หายขาด

ครั้นผู้อื่นที่มีโรคภัย ไข้เจ็บมาขอปันยานั้นไปรักษาบ้าง ก็พากันหายจากโรค เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว เศรษฐีจึงตั้งชื่อบุตรว่า "มโหสถ" เพราะทารกนั้นมีแท่งยาวิเศษเกิดมากับตัว เมื่อมโหสถเติบโตขึ้นปรากฏว่ามีสติปัญญาเฉลียวฉลาด กว่าเด็กในวัยเดียวกัน

ครั้งหนึ่งมโหสถเห็นว่า ในเวลาฝนตกตนและเพื่อนเล่นทั้งหลายต้องหลบฝนลำบากลำบนเล่นไม่สนุก จึงขอให้เพื่อนเล่นทุก คนนำเงินมารวมกันเพื่อสร้างสถานที่เล่น มโหสถจัดการออกแบบอาคารนั้นอย่างวิจิตรพิสดาร นอกจาก ที่เล่นที่กินและที่พักสำหรับคนที่ผ่านไปมาแล้ว ยังจัดสร้างห้องวินิจฉัยคดีด้วย เพราะความที่มโหสถเป็นเด็กฉลาดเฉลียวเกินวัย จึงมักมีผู้คนมาขอให้ตัดสินปัญหาข้อพิพาท หรือแก้ใขปัญหาขัดข้อง ต่างๆ อยู่ เสมอ ชื่อเสียงของมโหสถเลื่องลือไปไกลทั่วมิถิลานคร

ในขณะนั้น กษัตริย์เมืองมิถิลา ทรงพระนามว่า พระเจ้าวิเทหราช ทรงมีนักปราชญ์ราชบัณฑิตประจำ ราชสำนัก 4 คน คือ เสนกะ ปุตกุสะ กามินท์ และ เทวินทะ บัณฑิตทั้ง 4 เคยกราบทูลว่าจะมีบัณฑิตคนที่ห้ามาสู่ราชสำนักพระเจ้าวิเทหราช พระองค์จึงโปรดให้เสนาออกสืบข่าวว่ามีบัณฑิตผู้มีสติปัญญาปราดเปรื่องอยู่ที่ใดบ้าง

เสนาเดินทางมาถึงบริเวณบ้านของสิริวัฒกะเศรษฐีเห็นอาคารงดงามจัดแต่งอย่างประณีตบรรจง จึงถามผู้คนว่าใครเป็นผู้ออกแบบ คนก็ตอบว่าผู้ออกแบบคือมโหสถบัณฑิตบุตรชายวัย 7 ขวบของสิริวัฒกะเศรษฐี

เสนาจึงนำความไปกราบทูลพระเจ้าวิเทหราช พระองค์ตรัสเรียก บัณฑิตทั้ง 4 มา ปรึกษาว่าควรจะไปรับมโหสถมาสู่ราชสำนักหรือไม่ บัณฑิตทั้ง 4 เกรงว่ามโหสถจะได้ดีเกินหน้าตนจึงทูลว่า ลำพังการออก แบบตกแต่งอาคารไม่นับว่าผู้นั้นจะมีสติปัญญาสูงถึงขั้นบัณฑิต ขอให้รอดูต่อไปว่า มโหสถจะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดจริงหรือไม่

ฝ่ายมโหสถนั้น มีชาวบ้านนำคดีความต่างๆ มาให้ตัดสินอยู่เป็นนิตย์ เป็นต้นว่า ชายเลี้ยงโคนอนหลับไป มีขโมยเข้ามาลักโค เมื่อตามไปพบ ขโมยก็อ้างว่าตนเป็นเจ้าของโค ต่างฝ่ายต่างถกเถียงอ้างสิทธิ์ ไม่มีใคร ตัดสินได้ว่าโคนั้นเป็นของใคร จึงพากันไปหามโหสถ มโหสถถามชาย เจ้าของโคว่า เรื่องราวเป็นอย่างไร ชายนั้นก็เล่าให้ฟัง มโหสถจึงถามขโมยว่า
"ท่านให้โคของท่านกินอาหารอะไรบ้าง"

ขโมยตอบว่า
"ข้าพเจ้าให้กินงา กินแป้ง ถั่ว และยาคู"

มโหสถถามชายเจ้าของโค ชายนั้นก็ตอบว่า
"ข้าพเจ้าให้โคกิน หญ้าตามธรรมดา"

มโหสถจึงให้ เอาใบไม้มาตำให้โคกินแล้วให้กินน้ำ โคก็สำรอกเอาหญ้าออกมา จึงเป็นอันทราบว่าใครเป็นเจ้าของโคที่แท้จริง พระเจ้าวิเทหราชได้ทราบเรื่องการตัดสินความของมโหสถก็ปรารถนาจะเชิญมโหสถาสู่ราชสำนัก แต่บัณฑิตทั้งสี่ก็คอยทูล ทัดทานไว้เรื่อยๆ

ทุกครั้งที่มโหสถแสดงสติปัญญาในการตัดสินคดี พระเจ้าวิเทหราชทรงทดลองสติปัญญามโหสถด้วยการตั้งปัญหา ต่างๆก็ปรากฏว่า มโหสถแก้ปัญหาได้ทุกครั้ง เช่น เรื่องท่อนไม้ ที่เกลาได้เรียบเสมอกัน พระเจ้าวิเทหราชทรงตั้งคำถามว่า ข้างไหนเป็นข้างปลาย ข้างไหนเป็นข้างโคน มโหสถก็ใช้วิธีผูกเชือก กลางท่อนไม้นั้น แล้วหย่อนลงในน้ำ ทางโคนหนักก็จมลง ส่วนทาง ปลายลอยน้ำ เพราะน้ำหนักเบากว่าไม้ มโหสถก็ชี้ได้ว่า ทางไหน เป็นโคนทางไหนเป็นปลาย

นอกจากนี้มโหสถยังแก้ปัญหาเรื่องต่างๆ อีกเป็นอันมาก จนในที่สุดพระราชาก็ไม่อาจทนรอตามคำทัดทานของบัณฑิตทั้งสี่ อีกต่อไป จึงโปรดให้ราชบุรุษไปพาตัวมโหสถกับบิดามาเข้าเฝ้าพร้อมกับให้นำม้าอัสดรมาถวายด้วย

มโหสถทราบดีว่าครั้งนี้ เป็นการทดลองสำคัญ จึงนัดหมายการอย่างหนึ่งกับบิดาและในวันที่ไปเฝ้าพระราชา มโหสถให้คนนำลามาด้วยหนึ่งตัว เมื่อเข้าไปถึงที่ประทับ พระราชาโปรดให้สิริวัฒกะเศรษฐีนั่งบนที่อันสมควรแก่เกียรติยศ ครั้นเมื่อมโหสถเข้าไปสิริวัฒกะก็ลุกขึ้นเรียกบุตรชายว่า
"พ่อมโหสถ มานั่งตรงนี้เถิด"

แล้วก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง มโหสถก็ตรงไปนั่งแทนที่บิดา ผู้คนก็พากันมองดูอย่างตำหนิ ที่มโหสถทำเสมือนไม่เคารพบิดา มโหสถจึง ถามพระราชาว่า
"พระองค์ไม่พอพระทัยที่ข้าพเจ้านั่งแทนที่บิดาใช่หรือไม่"

พระราชาทรงรับคำ มโหสถจึงถามว่า
" ข้าพเจ้าขอทูลถามว่าธรรมดาบิดาย่อมดีกว่าบุตร สำคัญกว่าบุตรเสมอไปหรือ"

พระราชา ตรัสว่า
"ย่อมเป็นอย่างนั้น บิดาย่อมสำคัญกว่าบุตร"

มโหสถทูลต่อว่า
"เมื่อข้าพเจ้ามาเฝ้า พระองค์มีพระกระแส รับสั่งว่าให้ข้าพเจ้านำม้าอัสดรมาถวายด้วย ใช่ไหมพระเจ้าค่ะ"

พระราชาทรงรับคำ มโหสถจึงให้คนนำลาที่เตรียมเข้ามา ต่อพระพักตร์ แล้วทูลว่า
"เมื่อพระองค์ตรัสว่าบิดาย่อมสำคัญกว่าบุตร ลาตัวนี้เป็นพ่อของม้าอัสดร หากพระองค์ทรงเห็นเช่นนั้นจริง โปรดทรงรับลานี้ไปแทนม้าอัสดรเถิดพระเจ้าค่ะ เพราะม้าอัสดรเกิดจากลานี้ แต่ถ้าทรงเห็นว่า บุตรอาจดีกว่าบิดา ก็ทรงรับเอาม้าอัสดรไปตามที่ทรงมีพระราชประสงค์ ถ้าหากพระองค์เห็นว่าบิดาย่อมประเสริฐกว่าบุตรก็ทรงโปรด รับเอาบิดาของข้าพเจ้าไว้ แต่หากทรงเห็นว่าบุตรอาจประเสริฐกว่าบิดาก็ขอให้ทรงรับข้าพเจ้าไว้"

การที่มโหสถกราบทูลเช่นนั้น มิใช่จะลบหลู่ดูหมิ่นบิดา แต่เพราะ ประสงค์จะให้ผู้คนทั้งหลายตระหนักใน ความเป็นจริงของโลก และเพื่อแก้ไขปัญหาที่มีผู้จงใจผูกขึ้น คือบัณฑิตทั้งสี่นั้นเอง

พระราชาทรงพอพระทัยในปัญญาของมโหสถจึงตรัสแก่ สิริวัฒกะเศรษฐีว่า
"ท่านเศรษฐี เราขอมโหสถไว้ เป็นราชบุตรจะขัดข้องหรือไม่"

เศรษฐีทูลตอบว่า
"ข้าแต่พระองค์ มโหสถยังเด็กนัก อายุ เพิ่ง 7 ขวบ เอาไว้ให้โตเป็นผู้ใหญ่ก่อนน่าจะดีกว่าพระเจ้าค่ะ"

พระราชาตรัสตอบว่า
"ท่านอย่าวิตกในข้อที่ว่ามโหสถยังอายุ น้อยเลย มโหสถเป็นผู้มี ปัญญาเฉียบแหลมยิ่งกว่าผู้ใหญ่ จำนวนมาก เราจะเลี้ยงมโหสถในฐานะราชบุตรของเรา ท่านอย่ากังวล ไปเลย"

มโหสถจึงได้เริ่มรับราชการกับ พระเจ้าวิเทหราชนับตั้งแต่นั้นมา ตลอดเวลาที่อยู่ในราชสำนัก มโหสถได้แสดงสติปัญญา และความสุขุมลึกซึ้งในการพิจารณาแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่พระราชาทรงผูกขึ้นลองปัญญา มโหสถ หรือที่บัณฑิตทั้งสี่พยายาม สร้างขึ้นเพื่อให้มโหสถอับจนปัญญา แต่มโหสถก็แก้ปัญหาเหล่านั้นได้ทุกครั้งไป

มิหนำซ้ำในบางครั้ง มโหสถยังได้ช่วยให้บัณฑิตทั้งสี่นั้น รอดพ้นความอับจน แต่บัณฑิตเหล่านั้นมิได้กตัญญูรู้คุณ ที่มโหสถกระทำแก่ตน กลับพยายามทำให้พระราชาเข้าพระทัยว่ามโหสถด้อยปัญญา พยายามหาหนทางให้พระราชา ทรงรังเกียจมโหสถ เพื่อที่ตนจะได้รุ่งเรืองในราชสำนักเหมือนสมัยก่อน

มโหสถรุ่งเรืองอยู่ในราชสำนักของพระเจ้าวิเทหราชได้รับการสรรเสริญจากผู้คนทั้งหลายจนมีอายุได้ 16 ปี พระมเหสีของ พระราชาผู้ทรงรักใคร่มโหสถเหมือนเป็นน้องชาย ทรงประสงค์จะหาคู่ครองให้แต่มโหสถขอพระราชทานอนุญาตเดินทาง ไปเสาะหาคู่ครองที่ตนพอใจด้วยตนเองพระมเหสีก็ทรงอนุญาต

มโหสถเดินทางไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ได้พบหญิงสาวคนหนึ่ง เป็นลูกสาวเศรษฐีเก่าแก่ แต่ได้ยากจนลง หญิงสาวนั้นชื่อว่าอมร มโหสถปลอมตัวเป็นช่างชุนผ้า ไปอาศัยอยู่กับบิดามารดาของนาง และได้ทดลอง สติปัญญาของนางด้วยประการต่างๆเป็นต้นว่า ในครั้งแรกที่พบกันนั้น

มโหสถถามนางว่า
"เธอชื่ออะไร"

นางตอบว่า
"สิ่งที่ดิฉันไม่มีอยู่ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต นั่นแหล่ะ เป็นชื่อ ของดิฉัน"

มโหสถ พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า
"ความไม่ตายเป็นสิ่ง ไม่มีอยู่ในโลก เธอชื่อ อมร ( ไม่ตาย ) ใช่ไหม "

หญิงสาวตอบว่า "ใช่"

มโหสถถามต่อว่า นางจะนำข้าวไปให้ใคร นางตอบว่า นำไป ให้บุรพเทวดา มโหสถก็ ตีปริศนาออกว่า บุรพเทวดาคือเทวดา ที่มีก่อนองค์อื่นๆ ได้แก่ บิดา มารดา

เมื่อมโหสถได้ทดลองสติปัญญาและความประพฤติต่างๆของ นางอมรจนเป็นที่พอใจแล้ว จึงขอนางจาก บิดา มารดา พากลับ ไปกรุงมิถิลา

เมื่อไปถึงยังเมืองก็ยังได้ทดลองใจนางอีกโดย มโหสถแสร้งล่วงหน้าไปก่อน แล้วแต่งกายงดงามรออยู่ในบ้าน ให้คนพานางมาพบ กล่าวเกี้ยวพาราสีนาง นางก็ไม่ยินดีด้วย มโหสถจึงพอใจนาง จึงพาไปเฝ้าพระราชาและพระมเหสี พระราชาก็โปรดให้มโหสถแต่งงานอยู่กินกับนางอมรต่อมา

บัณฑิตทั้งสี่ยังพยายามที่จะกลั่นแกล้งมโหสถด้วยประการ ต่างๆ แต่ก็ไม่เป็นผล แม้ถึงขนาดพระราชาหลงเข้าพระทัยผิด ขับไล่มโหสถออกจากวัง มโหสถก็มิได้ขุ่นเคือง แต่ยังจงรักภักดี ต่อพระราชา พระราชาจึงตรัสถามมโหสถว่า
"เจ้าเป็นผู้มีสติปัญญา หลักแหลมยิ่ง หากจะหวังช่วงชิงราชสมบัติจากเราก็ย่อมได้ เหตุใดจึงไม่คิดการร้ายต่อเรา"

มโหสถทูลตอบว่า
"บัณฑิตย่อม ไม่ทำชั่ว เพื่อให้ได้ความสุข สำหรับตน แม้จะถูกทับถมให้เสื่อมจาก ลาภยศ ก็ไม่คิดสละธรรมะด้วยความหลงในลาภยศ หรือด้วย ความรักความชัง บุคคลนั่งนอนอยู่ใต้ร่มไม้ ย่อมไม่ควรหัก กิ่งต้นไม้นั้น เพราะจะได้ชื่อว่าทำร้ายมิตร บุคคลที่ได้รับการ เกื้อหนุนอุปการะจากผู้ใด ย่อมไม่ทำให้ไมตรีนั้นเสียไปด้วย ความโง่เขลา หรือความ หลงในยศอำนาจ บุคคลผู้ครองเรือน หากเกียจคร้าน ก็ไม่งาม นักบวชไม่สำรวม ก็ไม่งาม พระราชา ขาดความพินิจพิจารณาก็ไม่งาม บัณฑิตโกรธง่าย ก็ไม่งาม"

ไม่ว่าบัณฑิตทั้งสี่จะกลั่นแกล้งมโหสถอย่างใด มโหสถก็ สามารถเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง และมิได้ตอบแทน ความชั่วร้าย ด้วยความชั่วร้าย แต่กลับให้ความเมตตากรุณาต่อบัณฑิต ทั้งสี่เสมอมา นอกจากจะทำหน้าที่พิจารณาเรื่องราว แก้ไขปัญหาต่างๆ มโหสถยังได้เตรียมการป้องกันพระนครใน ด้านต่างๆ ให้พร้อมเสมอด้วย และยังจัดผู้คนไปอยู่ตามเมืองต่างๆ เพื่อคอยสืบข่าวว่า จะมีบ้านเมืองใด มาโจมตีเมืองมิถิลาหรือไม่

มีพระราชาองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า จุลนีพรหมทัต ครองเมือง อุตรปัญจาล ประสงค์จะทำสงครามแผ่เดชานุภาพ จึงทรงคิด การกับปุโรหิตชื่อ เกวัฏพราหมณ์ หมายจะลวงเอากษัตริย์ร้อยเอ็ดพระนครมากระทำสัตย์สาบานแล้วเอาสุราเจือยาพิษ ให้กษัตริย์เหล่านั้นดื่ม จะได้รวบรวมพระนครไว้ในกำมือ

มโหสถ ได้ทราบความลับจากนกแก้วที่ส่งออกไปสืบข่าว จึงหาทางช่วยชีวิตกษัตริย์ทั้งร้อยเอ็ดไว้ได้ โดยที่ กษัตริย์เหล่านั้นหารู้ตัวไม่ พระเจ้าจุลนีทรงเห็นว่ามิถิลา เป็นเมืองเดียวที่ไม่ยอมทำสัตย์สาบาน จึงยกทัพใหญ่มุ่งไปโจมตีมิถิลา มีเกวัฏพราหมณ์ เป็นที่ปรึกษาใหญ่ แต่ไม่ว่าจะโจมตีด้วยวิธีใด มโหสถ ก็รู้ทัน สามารถตอบโต้และแก้ไขได้ ทุกครั้งไป

ในที่สุดพระเจ้าจุลนีทรงส่งเกวัฏพราหมณ์มาประลองปัญญาทำสงครามธรรมกับมโหสถ มโหสถออกไปพบเกวัฏพราหมณ์ โดยนำเอาแก้วมณีค่าควรเมืองไปด้วยแสร้งบอกว่าจะยกให้พราหมณ์ แต่เมื่อจะส่งให้ก็วางให้ที่ปลายมือพราหมณ์เกวัฏ เกรงว่าแก้วมณจะตกจึงก้มลงรับแต่ก็ไม่ทัน แก้วมณีตกลงไปกับพื้นเกวัฏก้มลงเก็บด้วยความโลภ มโหสถจึงกดคอเกวัฏไว้ ผลักให้กระเด็นไป แล้วให้ทหารร้องประกาศว่า เกวัฏปราหมณ์ก้มลงไหว้มโหสถ แล้วถูกผลักไปด้วยความรังเกียจ บรรดาทหารของพระเจ้าจุลนีมองเห็นแต่ภาพเกวัฏพราหมณ์ ก้มลงแทบเท้า แต่ไม่ทราบว่าก้มลงด้วยเหตุใด ก็เชื่อตามที่ ทหารของมโหสถป่าวประกาศ พากันกลัวอำนาจมโหสถ ถอยหนีไปไม่เป็นกระบวน กองทัพพระเจ้าจุลนีก็แตกพ่ายไป

เกวัฏพราหมณ์คิดพยาบาทมโหสถอยู่ไม่รู้หาย จึงวางอุบายให้ พระเจ้าจุลนีส่งทูตไปทูลพระเจ้าวิเทหราชว่าจะขอทำสัญญาไมตรี และขอถวายพระราชธิดาให้เป็นชายา พระเจ้าวิเทหราชทรงมีความยินดี จึงทรงตอบรับเป็นไมตรี พระเจ้าจุลนีก็ขอให้พระเจ้าวิเทหราชเสด็จมาอุตรปัญจาล

มโหสถพยายามทูลคัดค้านพระราชาก็มิได้ฟังคำ มโหสถก็เสียใจว่าพระราชาลุ่มหลงในสตรี แต่กระนั้นก็ยังคงจงรักภักดี จึงคิดจะแก้อุบายของพระเจ้าจุลนี มโหสถจึงทูลขออนุญาตไปจัดเตรียมที่ประทับให้พระราชอาคันตุกะในเมืองอุตรปัญจาล ก็ได้รับอนุญาต

มโหสถจึงให้ ผู้คนไปจัดสร้างวังอันงดงาม และที่สำคัญคือจัดสร้างอุโมงค์ใต้ดิน เป็นทางเดินภายในอุโมงค์ประกอบด้วยกลไกและประตูลับ ต่างๆซับซ้อนมากมาย เมื่อเสร็จแล้วมโหสถจึงทูลเชิญ ให้พระเจ้าวิเทหราชเสด็จไปยังอุตรปัญจาล ขณะที่พระเจ้าวิเทหราชประทับอยู่ในวัง รอที่จะอภิเษกกับพระธิดาพระเจ้าจุลนี

พระเจ้าจุลนีทรงยกกองทหารมาล้อมวังไว้ มโหสถซึ่งเตรียมการไว้แล้วก็ลอบลงไปทางอุโมงค์เข้าไปใน ปราสาทพระเจ้าจุลนี ทำอุบายหลอกเอาพระชนนี พระมเหสี พระราชบุตร และราชธิดาพระเจ้าจุลนีมากักไว้ใต้วังที่สร้างขึ้น นั้นแล้วจึงกลังไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช พระเจ้าวิเทหราชตกพระทัยว่ากองทหารมาล้อมวัง ตรัสปรึกษามโหสถ มโหสถจึงทูลเตือนพระราชาว่า
"ข้าพระองค์ได้กราบทูล ห้ามมิให้ทรงประมาท แต่ก็มิได้ทรงเชื่อ พระราชบิดา พระเจ้าจุลนีนั้นประดุจเหยื่อที่นำมาตกปลา การทำไมตรีกับผู้ไม่มีศีลธรรม ย่อมนำความทุกข์มาให้ ธรรมดาบุคคลผู้มี ปัญญา ไม่พึงทำ ไมตรีสมาคมกับบุคคลผู้ไม่มีศีล ซึ่งเปรียบเสมือนงู ไว้วางใจมิได้ ย่อมนำความเดือดร้อนมาสู่ไมตรีนั้น ไม่มีทางสำเร็จผลได้"

พระเจ้าวิเทหราชทรงเสียพระทัยที่ไม่ทรงเชื่อคำทัดทานของมโหสถแต่แรก มโหสถจัดการนำพระเจ้าวิเทหราช ไปพบพระชนนี พระมเหสี และพระโอรสธิดาของพระเจ้าจุลนีที่ตนนำมาไว้ในอุโมงค์ใต้ดิน แล้วจัดการให้กองทัพที่เตรียมไว้ นำเสด็จกษัตริย์ทั้งหลายกลับไปมิถิลา ส่วนตัวมโหสถเองอยู่ เผชิญหน้ากับพระเจ้าจุลนี

เมื่อพระเจ้าจุลนีเสด็จมา ประกาศว่าจะจับพระเจ้าวิเทหราช มโหสถจึงบอกให้ทรงทราบว่า พระเจ้าวิเทหราชเสด็จกลับมิถิลาแล้วพร้อมด้วย พระราชวงศ์ ของพระเจ้าจุลนี พระราชาก็ทรงตกพระทัย เกรงว่าพระญาติวงศ์จะเป็นอันตราย มโหสถจึงทูลว่า ไม่มีผู้ใดจะทำอันตราย แล้วจึงทูลเชิญพระเจ้าจุลนีทอดพระเนตรวังและ อุโมงค์ที่จัดเตรียมไว้อย่างวิจิตรงดงาม

ขณะที่พระเจ้าจุลนีกำลังทรงเพลิดเพลิน มโหสถก็ปิดประตูกลทั้งปวงและหยิบดาบที่ซ่อนไว้ ทำทีว่าจะ ตัดพระเศียรพระราชา พระราชาตกพระทัยกลัว มโหสถจึงทูลว่า
"ข้าพระองค์จะไม่ทำร้ายพระราชา แต่หากจะฆ่า ข้าพระองค์เพราะแค้นพระทัย ข้าพระองค์ก็จะถวายดาบนี้ให้"

พระราชาเห็นมโหสถส่งดาบถวายก็ทรงได้สติ เห็นว่ามโหสถนอกจากจะประกอบด้วยความสติปัญญาประเสริฐแล้ว ยังเป็น ผู้ไม่มีจิตใจมุ่งร้ายพยาบาทผู้ใด พระเจ้าจุลนีจึงตรัสขออภัยที่ได้เคยคิดร้ายต่อเมืองมิถิลาต่อพระเจ้าวิเทหราช และต่อมโหสถ

มโหสถจึงทูลลากลับไปมิถิลา จัดให้กองทหารนำเสด็จพระชนนี พระมเหสี และ พระราชบุตร ของพระเจ้าจุลนีกลับมายัง อุตรปัญจาล ส่วนราชธิดานั้นคงประทับอยู่มิถิลา ในฐานะพระชายาพระเจ้าวิเทหราชต่อไป

พระเจ้าจุลนีทรงตรัสขอให้มโหสถมาอยู่กับพระองค์ มโหสถ ทูลว่า
"ข้าพระองค์รับราชการรุ่งเรืองในราชสำนักของพระเจ้าวิเทหราช ผู้เป็นเจ้านายของข้าพระองค์แต่เดิม ไม่อาจจะไปอยู่ที่ อื่นได้ หากเมื่อใด พระเจ้าวิเทหราชสวรรคต ข้าพระองค์จะไปอยู่เมืองอุตรปัญจกาลรับราชการอยู่ในราชสำนักของพระองค์"

เมื่อพระเจ้าวิเทหราชสิ้นพระชนม์ มโหสถก็ทำตามที่ลั่นวาจาไว้ คือไปรับราชการอยู่กับพระเจ้าจุลนี และยังถูก กลั่นแกล้งจากเกวัฏพราหมณ์คู่ปรับเก่า แต่มโหสถก็เอาตัวรอดได้ทุกครั้ง

มโหสถนอกจากจะมีสติปัญญา เฉลียวฉลาดแล้ว ยังประกอบด้วยคุณธรรมอันประเสริฐ มีความสุขุมรอบคอบ มิได้หลงใหล ในลาภยศสรรเสริญ ดังนั้นมโหสถจึงได้รับยกย่องสรรเสริญว่าเป็น บัณฑิตผู้มี ความรู้อันลึกซึ้ง มีสติ ปัญญานั้นประกอบด้วยคุณธรรมอันประเสริฐ ที่กำกับให้ผู้มีสติปัญญาประพฤติปฏิบัติในทางที่ถูกที่ควร

-------------------

จบมโหสถชาดก

best 10 advices

10 ข้อคิดดีๆ

1.คนที่ ”น่าอิจฉาที่สุด“ คือ ”คนที่ไม่อิจฉาใครเลย“ มันเป็นเคล็ดลับความสุขง่ายๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำกัน

2.ทุกอย่างบนโลกใบนี้ เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว

🔹”ถ้ามันดี“ ให้มีความสุขกับมัน เพราะมันจะอยู่กับเราได้ไม่นาน

🔸”ถ้ามันไม่ดี“ อย่าไปกังวลกับมัน เพราะมันจะอยู่กับเราไม่นานอีกเหมือนกัน

3.เวลาโกรธ หรือโมโหใคร อย่าไปด่าเขา เพราะเมื่อความโกรธหายไป แต่คำด่ายังจำฝังใจ

4.ทุกวินาทีที่หายใจอยู่ คือโอกาสของชีวิต อย่ากลัวการเริ่มต้นใหม่ และอย่าแคร์สายตาใคร หายใจด้วยจมูกของเราเอง ยืนด้วยลำแข้งของเราเอง

5.ไม่ยุ่งกับชีวิตคนอื่น ไม่ขัดความสุขคนอื่น ไม่คิดแทนคนอื่น ไม่อิจฉาคนอื่น ไม่ดูถูกคนอื่น

6.จงอย่าอิจฉาคนอื่น และจงอย่าใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา แต่จงใช้ชีวิตเพื่อให้คนอื่นเคารพรักและนับถือ

7.ไม่ว่าจะมีใครหายไปจากชีวิตเรา แต่เวลาก็ยังคงเดินต่อไปตามเดิม และเวลาก็สอนให้เราได้รู้ว่า ระหว่างที่เรามีเวลาอยู่นั้น เราควรจะดูแลรักษาคนที่เรารักอย่างไร เพื่อว่าวันหนึ่งเมื่อเขาจากไป เราจะไม่เสียใจเพราะได้ทำดีที่สุดแล้ว

8.ความสุขแม้จะอยู่กับเราไม่นาน แต่ความทรงจำที่ดีจะอยู่กับเราตลอดไป อยากมีความทรงจำดีๆ ก็จงให้สิ่งดีๆกับผู้อื่น

9.บางครั้งเราไม่ต้องคิดว่า ”เราจะได้อะไรจากสิ่งที่เราทำ?“ แค่ทำแล้วมันสุขใจ.. มันก็คือกำไรของชีวิตแล้ว

10.ชีวิตคนเรามี 3 วัน

🔹”เมื่อวาน“ เราใช้ไปแล้วเอามาใช้ไม่ได้

🔸”วันนี้“ เรากำลังใช้อยู่และใช้ได้แค่ครั้งเดียว

🔹”พรุ่งนี้“ ยังมาไม่ถึง และไม่รู้ว่าจะได้ใช้มั้ย

เพราะฉะนั้น หากวันนี้เรายังมีโอกาสใช้ ก็เลือกทำในสิ่งที่ดี และสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข

cub and kitten

วันนี้หมอจะเล่านิทานให้ฟัง 
เรื่อง “อย่าเห็นแก่ตัว อย่าโทษคนอื่น”

แม่สิงโตตัวหนึ่ง เห็นลูกตัวเองกำลังโยนความผิดไปให้แมว เหตุเพราะอยากได้หินสีรุ้งจึงไปแอบขโมยมา เจ้าแมวน้อยที่แอบเห็นแล้วเอาเรื่องไปบอกสัตว์อื่นๆ จึงโดนใส่ร้ายแทน ลูกสิงโตบอกสัตว์ทุกตัวว่า แมวต่างหากที่ขโมยหินสีรุ้งไป ทำให้สัตว์ป่าสับสน ส่วนเจ้าแมวก็พยายามหาทางทำให้ความจริงปรากฏ...
.

แม่สิงโตซึ่งผ่านประสบการณ์มามากมาย รู้ว่าลูกกำลังหลงผิด เข้าใจไปว่าการได้หินสีรุ้งมาไว้ในครอบครองจะทำให้มีความสุขมากขึ้น จึงคิดหาวิธีช่วยลูก

..........
แม่สิงโต “ลูกจ๋า ทำไมลูกอยากได้หินสีรุ้งเพิ่มอีกละ ถ้ำของเรามีหินสีรุ้งมากมายอยู่แล้วนะ”

ลูกสิงโตตอบแม่ว่า “มีแล้วก็ต้องมีอีกซิแม่ สัตว์ที่ไหนก็อยากได้ ยิ่งมีมากๆ ก็ยิ่งมีความสุข”
..........
แม่สิงโตถามลูกว่า “หินสีรุ้งทำให้ลูกมีความสุขได้อย่างไร” 

ลูกสิงโตตอบแม่ “อย่างแรกเลย เราเอาไปแลกกับเนื้อชิ้นใหญ่ๆได้ หรือถ้าแม่อยากลองกินเนื้อฉลาม ก็ได้นะ! แม่ก็แค่ใช้หินสีรุ้งมากขึ้น..... และอย่างที่สอง สัตว์ทั้งป่าจะต้องเอาใจเรา เพราะเรามีสิ่งที่แลกกับทุกสิ่งได้บนโลกนี้”
..........
แม่สิงโตท่าทางสุขุมถามลูกกลับ “อืม... หินสีรุ้งดีแบบนั้นเลยหรือ แล้วมีอะไรที่หินสีรุ้งแลกไม่ได้บ้างมั้ย?

ลูกสิงโตตอบด้วยความมั่นใจ “ไม่มีหรอกแม่!!”
..........
แม่สิงโตเลยขอให้ลูกช่วย “งั้น ลูกช่วยแม่หน่อยนะ แม่อยากได้บางอย่าง ไม่รู้ว่าลูกจะช่วยได้มั้ย”

ลูกสิงโตเชิดอก “สบายมาก บอกมาเลย แม่ต้องการอะไร”
..........
แม่สิงโตกระซิบลูกเบาๆว่า “แม่อยากได้ ลูกที่มีความสุข”

ลูกสิงโตมีสีหน้างง “ลูกมีความสุขอยู่แล้ว แม่ไม่ต้องขอเรื่องนี้เลย ดูซิ หินสีรุ้งเต็มถ้ำไปหมด” 
..........
แม่สิงโตถามต่อ “แล้วมิตรภาพละ ลูกมีมั้ย”

ลูกสิงโตยิ่งงงมากขึ้น “มิตรภาพ! .. แม่คิดว่า ลูกไม่มีเพื่อนเหรอ! แม่อยากได้เพื่อนกี่คน เดี๋ยวจัดให้ เอาหินสีรุ้งไปแจก รับรองว่าได้เพื่อนับไม่ถ้วน”
..........
แม่สิงโตถามต่อว่า “เพื่อนที่คบกับลูกเพราะต้องการหินสีรุ้ง จะเรียกว่า เพื่อนได้จริงหรือ?”

ลูกสิงโตทำหน้าสงสัย....
.
.
..........
แม่สิงโตสอนลูกว่า... “ลูกจ๋า ความสุขจริงๆของคนเราคือ การได้ทำสิ่งที่ดีต่อตนเองและต่อผู้อื่นด้วย ไม่ใช่ดีต่อตนเองแต่คนอื่นโดนเอาเปรียบ ลูกไปขโมยของคนอื่นมา ลูกหาแต่ความสุขใส่ตัว แต่ลูกทำให้คนที่ต้องการจริงๆเดือดร้อน”

ลูกสิงโตตั้งใจฟัง......
..........
แม่สิงโตสอนต่อว่า “มีคนมากมาย จำเป็นใช้สิ่งนี้มาก ลูกไม่ได้จำเป็นใช้เลยสักนิด.. แม่ไม่อยากให้ลูกแม่เห็นแก่ตัวเลย”

ลูกสิงโตเสียงอ่อยลง “ลูกมีความสุขแบบนี้ แม่ไม่มีความสุขเหรอ”
..........
แม่สิงโตสอนต่อว่า “ลูกมีความสุขบนความทุกข์คนอื่นแบบนี้ แม่ไม่มีทางมีความสุขหรอก”

ลูกสิงโตหน้าเศร้า...
..........
แม่สิงโตสอนต่อ “ลูกอยากโดนเอาเปรียบมั้ยละ” 

ลูกสิงโต “ไม่อะ.. ลูกจะเศร้ามากและโกรธมาก ถ้าลูกต้องใช้ แล้วมีคนอื่นขโมยไป”
..........
แม่สิงโต “คนที่ลูกไปขโมยมาก็รู้สึกแบบที่ลูกรู้สึกแหละ ลูกไม่อยากโดนอะไร ลูกต้องไม่ทำกับคนอื่นนะ”

ลูกสิงโตพยักหน้ารับ
..........
แม่สิงโตเสริมเรื่องมิตรภาพ “อีกเรื่องนะลูก เพื่อนที่ดีคือเพื่อนที่ใส่ใจลูกจริงๆ ลูกจะมีเพื่อนแบบนี้ได้ ลูกต้องเอาใจใส่เขา เราเรียกว่า “ใช้ใจซื้อใจ” ไม่ใช่ใช้หินสีรุ้งที่ซื้อได้แต่ตัว ไม่ได้ใจจริงหรอก เพื่อนที่คบกับลูกเพราะต้องการหินสีรุ้ง วันใดที่ลูกไม่มีหินเหล่านี้ ลูกจะไม่เหลือใครเลย”

ลูกสิงโตเริ่มคิดได้ “ที่แม่บอกว่า อยากได้ลูกที่มีความสุข แม่หมายถึง ลูกจะไม่มีความสุขจริงเพราะลูกจะไม่เหลือเพื่อน ไม่เหลือใครเลย ใช่มั้ย”
..........
แม่สิงโตกอดลูกด้วยความรัก “ใช่จ้ะลูก... ตอนนี้ลูกอาจไม่รู้สึก จนกว่าจะถึงวันที่ลูกแก่ตัวลงหรือตอนที่ลูกเจ็บป่วยไม่สบาย ลูกจะเริ่มเข้าใจว่า มิตรภาพของจริงนั้น ช่วยให้ลูกมีความสุขยังไง”

ลูกสิงโตหลับตา “ลูกคิดไม่ออกหรอก น่าจะอีกนาน.. แต่ลูกเชื่อแม่นะ”
.
.
แล้วลูกสิงโตก็กลับเข้าไปในใจกลางป่า ยอมรับกับสัตว์ทุกตัวว่าเป็นคนขโมยหินสีรุ้งไปเอง และยอมรับว่าโทษเจ้าแมวน้อยเพราะกลัวมีประวัติ กลัวจะไม่ได้เป็นเจ้าป่าต่อไปในอนาคต

สัตว์ทั้งหลายเห็นว่าลูกสิงโตยอมรับด้วยใจจริง และยังเป็นเด็กจึงให้อภัยและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป😊

หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

observant

“หมอ”……ที่แท้จริง 👨‍⚕️


ในวงราวน์คนไข้ แห่งหนึ่ง

เช้าวันหนึ่ง 7.30 ครูแพทย์สาวโสดวัยเกือบ 50 มาดูคนไข้ที่วอร์ดเด็ก


นักศึกษาแพทย์ปี 4,5,6 แพทย์ใช้ทุน แพทย์ประจำบ้าน_กรูกันเข้ามาหาอาจารย์แพทย์เพื่อรายงานเคส


นสพ.ปี 6…”เคสนี้เด็กชายไทย 4 ปี มาด้วยไข้ ไอ น้ำมูก 3 วัน หลังจากนั้น ถ่ายเหลว 5 ครั้ง ก้นแดงครับ...ตรวจร่างกาย บลา.... ผลแลปบลาๆๆๆ

บลาๆๆๆๆๆ


ครูแพทย์…;”วินิจฉัยอะไร อ่ะปี 5 ตอบสิคะ”


นสพ.ปี 5…” gastroenteritis ครับ” (ลำไส้อักเสบ) อาจารย์


ครูแพทย์:-เก่งมากค่ะ


ครูแพทย์…; ปี 4 ตอบสิ มีเชื้ออะไรบ้าง 3 เชื้อค่ะ


นสพ.ปี 4… ไวรัส rota, adenovirus และ norovirus ครับ


ครูแพทย์… ยิ้ม เก่งมากค่ะ ทุกคน

                     เด็กคนนี้มีปัญหาอะไรอีกค่ะ


???????


เอาละสิ ปี4-6 พี่แพทย์ใช้ทุน แพทย์ประจำบ้าน เงียบ ในใจ มีอะไรอีกหรอ น่าจะครบสิ 


เงียบ

_


ครูแพทย์. ลองสังเกตเด็กดีๆสิ


สายตาทุกคู่ เหลือบมองไปที่เตียงเด็ก ดูเด็ก

และสังเกต


ในใจน้องๆหมอ ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่


เงียบบบบ

_


ครูแพทย์ กระตุ้น สังเกตดีๆๆสิ


ก็ยังเงียบ

_

_

_


ครูแพทย์… เห็นอะไรไหม


1) “เด็ก 4 ขวบ ทำไมตัวเล็ก จากสายตาคาดว่า จะหนักสัก 10 กก. คุณหมอได้ถามประวัติอาหารไหม นี่ก็คือปัญหานะ กินข้าวกี่มื้อ เนื้อสัตว์ผัก นมกินยี่ห้อไร กี่กล่องต่อวัน


2)เห็นขวดนมที่ตั้งอยู่หัวเตียงคนไข้ไหม

ปกติ ควรเลิกตอนอายุ 18 เดือนถึง 2 ปี ทำไมเด็กถึงยังไม่เลิก


เชื่อไหม ไป รร. ไม่ต้องกินขวด แต่กลับมาบ้านต้องกินขวด


นสพ อึ้ง


หันไปถามคนเฝ้าไข้


เป็นเช่นนั้นจริงๆตามครูแพทย์กล่าว


“แล้วคุณหมอเห็นฟันเด็กไหม”


นสพ. เงียบ ยังไม่ได้ดูครับ


ครูแพทย์ _พี่เห็นมีฟันผุที่ด้านบน เหี้ยนเลย ไม่เชื่อลองเปิดดู 


เป็นจริงดั่งครูแพทย์ว่า


นสพ. อึ้ง นี่อาจารย์แค่ฟัง 

และมองๆรอบเตียง เหมือนไม่ได้สนใจ 

แต่ครูแพทย์เก็บรายละเอียดยิบ

โดยที่ยังไม่ได้จับคนไข้เลย


ยังๆยังไม่หมด ครูแพทย์ พูดต่อ


3) เห็นคนเลี้ยงไหม ที่นั่งข้างเตียงเด็ก

นสพ. ทุกคนย้ายสายตาไปดูคนเฝ้า


ภาพที่เห็น


เป็นคุณยายอายุเกือบ 70 ปีนั่งเฝ้าหลานวัย 4 ปี

ท่าทางอิดโรย


อาจารย์แพทย์_”น้องหมอได้ถามไหม พ่อแม่เด็ก ทำงานอะไร แล้วยายมาเฝ้าหลาน เดินทางมาไง นอนที่ไหน ใครส่งเงินให้ ใครทำกับข้าวให้ ใครไปส่ง รร. 


สุดท้ายครูแพทย์กล่าว


“คนนี้น่าจะมีภาวะซีด ค่าเลือดน่าจะอยู่ที่ 25-28%

ไม่เชื่อลองเปิดผลเลือดดู”


ครูแพทย์ พูดออกมา โดยยังไม่เห็นผลเลือดเด็ก 

ได้แต่ยืนและสังเกต 


นสพ. ปี 6 เปิดผลเลือดถึงกับอึ้ง


ค่าความเข้มข้นเลือด =26%


นี่แหละครับ


การเรียนแพทย์คือ เรียนจากคนไข้ ฝึกประสบการณ์

หมอที่ดีไม่ใช่หมอที่ท่องตำราเก่งอย่างเดียว


หมอที่ดีคือหมอที่ดูคนไข้ สังเกต มองรอบข้างทุกอย่าง hollistic care


โรค กาย จิตใจ สังคม สิ่งแวดล้อม แล้วเก็บประสบการณ์แต่ละเคส เพื่อพัฒนาการดูแลคนไข้ และใช้สอนน้องๆหมอ


วันนี้น้องๆหมอดูคนไข้รอบด้าน ละเอียดหรือยังครับ


ให้กำลังใจหมอใหม่ นักเรียนแพทย์ใหม่ทุกคน


เรียนแพทย์ไม่ยาก แต่ที่ยากคือ ความรับผิดชอบและใส่ใจคนไข้


หมอเรารักษา โรค แล้ว อย่าลืม รักษา คน ด้วย


https://www.facebook.com/133050930458942/posts/699296100501086/

Chinese

เมื่อแค่เกือบๆ 5 ปีก่อน เวลาผมบอกว่า mi หรือ Xiaomi เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีมาก และวันนึงจะมาครองตลาดไทย
มีแต่คนหัวเราะเยาะผม

หลายๆคนพูดเยาะเย้ยว่า “เสี่ยวเอ้อราคาถูกๆนั่นหนะเหรอ?”

ผมพูดเสมอว่าจีนเจริญได้เพราะขยัน หมั่นศึกษา หมั่นพัฒนา “ตนเอง”
แต่ไทยเรามักจะติดกับตัวเองในการ “วิจารณ์คนอื่น” ไปเรื่อย แต่ไม่พัฒนาตัวเอง ไม่ลงมือทำ

จนผมได้พบกับรองประธาน Xiaomi ตัวเป็นๆ ตั้งแต่พูดคุย จนถึงทานข้าว ผมพบวัฒนธรรม “ขยันเพื่อทำสินค้าให้ดีที่สุดเพื่อลูกค้า” ผมมั่นใจเลยว่าเขาจะครองโลก

คนจีนมีความอยากรวยเหมือนคนไทย
แต่สิ่งที่ต่างกันคืออุปนิสัย และพฤติกรรมตอน “ก่อนจะรวย”
นิสัย “ก่อนจะรวย” นี่แหละครับ ที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ในไทย

คนจีนไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นเก่า หรือรุ่นใหม่ ก่อนจะรวยนั้นมีนิสัยคล้ายๆกันหลายอย่าง

1. ประหยัด แต่ไม่ขี้เหนียวในการพัฒนาตัวเอง 

2. จัดการการเงินดี มี 10 บาท ใช้ 2 บาท ชื่นชอบของแบรนด์เนม แต่ไม่ซื้อของแบรนด์เนมมาแข่งกัน เพราะมองว่าต้องประสบความสำเร็จซะก่อน เด็ก Startup ในจีนที่ผมรู้จักเยอะมาก จะไม่กิน Starbucks ก่อนจะรวยเด็ดขาด พวกเค้าจะเลือกทานกาแฟดีของท้องถิ่นที่ราคาไม่ต้องแพง แล้วเก็บเงินเพื่อลงทุนในการพัฒนาตัวเอง หรือหุ้น หรือลงทุนกิจการในอนาคต

3. ใครซื้อของแบรนด์เนม เห่อซื้อรถราคาแพง โดยยังไม่ประสบความสำเร็จในการทำกิจการ จะไม่ได้รับการยอมรับ

4. สังคมจีนให้ความสำคัญกับความสำเร็จที่จับต้องได้ ไม่ใช่เขียนอะไรสวยๆ พูดดูดีๆ ขับรถแพงๆ แต่ต้องเปิดร้านบะหมี่ที่อร่อยจริง มีลูกค้ามาต่อคิว ไปจนถึงทำ Startup คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ

5. สังคมจีนไม่ยึดติด และฝันอยู่กับความสำเร็จในอดีตหรือปัจจุบัน

6. สังคมจีนให้ความสำคัญกับการพัฒนาตัวเองทุกวัน ดังจะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์จีนนั้น ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดในทุกครั้งที่ออกรุ่นใหม่ๆ มือถือจีน รถจีน ที่คนไทยเคยค่อนแคะว่า “กาก” เมื่อ 4-5 ปีก่อน กลายเป็นมีคุณภาพดีไม่ต่างจากสินค้าอเมริกา เกาหลี ญี่ปุ่น และภายในเวลาไม่เกิน 3 ปี จีนจะทำให้ดีกว่าคู่แข่ง

7. คนจีนมีนิสัยทำงานหนัก ตื่นเช้า ศึกษาสิ่งรอบๆตัว ขยัน ไม่ท้อง่าย มีความเป็นนักสู้สูง และรับคำวิจารณ์ได้มาก แต่ไม่ใช่ “อยากรวย” ด้วยการ “ทำตัวเหมือนรวย” แต่ความจริงไม่ได้รวย แล้วก็มาบ่นอยู่ตามโซเชียล

8. คนจีนเป็นนักอ่าน นักเรียนรู้ นักหาข้อมูลหลากหลาย ผมเจอเด็กจีนมากมายที่ “พักผ่อน” ด้วยการอ่านหนังสือพิมพ์แบบเล่มๆ เพื่อจะหาว่าคนที่ประสบความสำเร็จเขาทำอย่างไร? ผมเจอเด็กจีนมากมายที่แหกขี้ตาตื่นตอนตี 1 ตี 2 มาดูการเปิดตัวสินค้าจาก Apple แล้วมาถึงที่ทำงานแต่เช้าเพื่อมาคุยว่าได้เรียนรู้อะไรมาบ้าง

สังคมไทยเรา ยังติดกับดักตรงนี้หนักมากครับ
คนไทยจำนวนมากยังมีค่านิยม “เจ้าคนนายคน” อยากรวยง่าย รวยเร็ว มีชีวิตหรูหรา แต่ไม่ทำชีวิตให้ไปถึงจุดนั้น

เราจึงพบพฤติกรรมใช้มือถือราคา 35,000 บาท ใช้ notebook ราคา 60,000 บาท มาเล่น line เล่นแชท ดูข่าวดารา เปิด Netflix ยันเช้า แต่ไม่สู้งาน ไม่อดทน จนเกิดวัฒนธรรม “ขี้แพ้” อยู่ทั่วเมือง

จริงๆความรักสบายก็ไม่ผิด
แต่ต้องไม่อยากรวย

คนรักสบาย ไม่ขยัน ไม่อดทน ไม่ขวนขวาย แต่บ่นว่าอยากรวย แถมโทษทุกอย่างรอบตัว คือคนที่สับสนในตัวเอง และมีชีวิตที่เปล่าประโยชน์มาก ต้องช่วยกันแก้ไขครับ

https://www.facebook.com/100000004424101/posts/4738371516172949/

The best the least

ข้อสังเกตุ 10 ความจริง !!! ของคนสมัยนี้

1. คนที่ 'จริงใจ' ที่สุด
จะ 'คบเพื่อน' น้อยที่สุด

2. คนที่ 'ฉลาด' ที่สุด
จะ 'อวดฉลาด' น้อยที่สุด

3. คนที่ 'เก่ง' ที่สุด
จะ 'หวงวิชา' น้อยที่สุด

4. คนที่ 'ใจกว้าง' ที่สุด
จะ 'ทำดีเอาหน้า' น้อยที่สุด

5. คนที่ 'เห็นค่าตัวเอง' ที่สุด
จะ 'เรียกร้องจากคนอื่น' น้อยที่สุด

6. คนที่ 'ผลงานดี' ที่สุด
จะ 'วิจารณ์' น้อยที่สุด

7. คนที่ 'พัฒนาเร็ว' ที่สุด
จะ 'อีโก้' น้อยที่สุด

8. คนที่ 'เป็นอิสระ' ที่สุด
จะ 'แคร์' น้อยที่สุด

9. คนที่ 'รวย' ที่สุด
จะ 'โอ้อวด' น้อยที่สุด

10. คนที่ 'มีความสุข' ที่สุด
จะ 'ใช้ชีวิตยุ่งยาก' น้อยที่สุด

Set bird free for merit

พ่อแม่นั้น ออกหาเหยื่อ  เพื่อเลี้ยงลูก
กลับมาถูก  จับไปขัง  ไว้เพื่อขาย
ลูกนอนรอ   แม่พ่อ  จนอดตาย
คนงมงาย  กลับหลอกตน  ว่าทำบุญ
ซื้อนกปล่อย  สะเดาะเคราะห์  เหมาะตรงไหน
คนจัญไร  เห็นแก่ได้   มันขายฝัน
ส่วนคนโง่  ก็เชื่อฟัง  คล้อยตามมัน
ว่าที่ทำ  ลงไปนั้น  มันเป็นบุญ
เหล่าคนโง่   คนงมงาย   ไร้ปัญญา
ก็มองว่า   ปล่อยนกนี้เป็นบุญใหญ่
แต่บาปกรรม  หนักหนา  กว่าสิ่งใด
บุญที่ได้   บุญแบบนี้   ไม่มีเลย.

attitude can sometimes determine fate.

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนักเดินทางสองคน ชื่อ จอห์นและจอช จอห์นได้พบเจอเมืองใหม่เมืองหนึ่ง ก่อนที่จอห์นเข้าไป เขาได้ถามกับยามเฝ้าประตูว่า มีคนไม่ดีในเมืองนี้มั้ย ยามฝ้าประตูได้ตอบกลับมาว่า “มีครับ ในเมืองนี้มีคนไม่ดีครับ”

จอห์นได้เข้าไปในเมืองด้วยหน้าที่บึ้งตึงและเริ่มสังเกตได้ทันทีว่าผู้คนไม่เป็นมิตรเอาซะเลย เขาได้เห็นสิ่งไม่ดีในตัวผู้คนอยู่เรื่อย ๆ เขาจึงรีบตัดสินใจออกจากเมืองนี้และไม่กลับมาอีกเลย

หนึ่งชั่วโมงต่อมาจอชได้มาที่เมืองเดียวกันและก็คุยกับยามเฝ้าประตูคนเดิม เขาได้ถามยามเฝ้าประตูว่า “มีคนดีในเมืองนี้มั้ย” ยามเผ้าประตูตอบกลับมาว่า “มีสิ ในเมืองนี้มีคนดีเยอะเลยครับ”

จอชได้เข้าไปในเมืองด้วยรอยยิ้มและเริ่มสังเกตได้ทันทีว่า ผู้คนในเมืองนี้เป็นมิตรขนาดไหน เขาได้เห็นสิ่งดี ๆ ในตัวผู้คนอยู่เรื่อย ๆ จอชได้ตัดสินใจอยู่เมืองนี้ต่ออีกสองสามวันเพราะเขามีความสุขมาก ๆ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บางครั้งทัศคติของเราเป็นตัวกำหนดโชคชะตา

Once upon a time there were two travelers, John and Josh.  John came across a new city and before he entered, he asked the gatekeeper if there were any bad people in the city.  The gatekeeper replied, "Yeah, there are bad people in this city."

John went in with a frown on his face and started noticing how unfriendly the people were right away. He kept meeting the worst of people and so he quickly decided to leave the city and never come back.

An hour later, Josh came to the same city and talked to the same gatekeeper but he asked, "Are there any good people in this city?"   The gatekeeper replied, "Yes, there are many good people in this city."

Josh entered the city with a smile on his face and started noticing how friendly the people were right away. He kept meeting the nicest of people.  Josh decided to stay in the city for a few extra days because he was really enjoying himself.

The moral of the story is that one's attitude can sometimes determine one's fate.

https://www.facebook.com/100053488954097/posts/399707601822202/

Sunday, November 7, 2021

The best revenge

การแก้แค้นที่ดีที่สุดคืออย่าเป็นเช่นนั้นเสียเอง

"The best revenge is not to be like your enemy."
-Marcus Aurelius

ถ้าเราแค้นรุ่นพี่ที่รับน้องแรงๆ เราก็อย่าเป็นเช่นนั้นเสียเอง

ถ้าเราแค้นพ่อค้าที่เอาเปรียบลูกค้า เราก็อย่าเป็นเช่นนั้นเสียเอง

ถ้าเราแค้นผู้นำที่คอรัปชั่น เราก็อย่าเป็นเช่นนั้นเสียเอง

เพราะเป็นการง่ายมากที่เราจะเผลอเป็นเช่นนั้นเสียเอง

หนึ่ง เพราะเราคือผลผลิตของสิ่งแวดล้อม

สอง เพราะธรรมชาติของใจคนนั้นไหลลงต่ำ

สาม เพราะกิเลสนั้นเจ้าเล่ห์ ล่อหลอกให้เราเชื่อว่าถึงคนอื่นทำมันจะผิด แต่ที่เราทำนั้นเป็นเรื่องเล็ก มีเหตุผลที่ดี และใครๆ เขาก็ทำกัน

เด็กปีหนึ่งที่เคยโดนรับน้องแรงๆ พอขึ้นปีสองก็เลยกลายเป็นรุ่นพี่จอมโหดเพื่อรักษาประเพณีเอาไว้

ลูกค้าที่เคยโดนพ่อค้าที่เอาเปรียบ พอทำธุรกิจก็อาจค้ากำไรเกินควร ด้วยเหตุผลว่าต้องดูแลคนในบริษัทและคนในครอบครัว

ประชาชนที่ต่อต้านรัฐบาลคอรัปชั่น เมื่อโดนตำรวจเรียกเพราะทำผิดกฎจราจรจึงเชื่อว่าการให้เงินตำรวจร้อยสองร้อยเพื่อแลกกับการไม่ต้องโดนยึดใบขับขี่นั้นเป็นเรื่องสมเหตุสมผล

ไม่ได้จะบอกว่ามันผิดหรือถูก แค่จะบอกว่าโลกมันก็เทาๆ อย่างนี้ ในดำมีขาว ในขาวมีดำ ดังนั้นอย่าออกตัวแรง

แต่ถ้าเราแค้นเคืองเรื่องใดจริงๆ เรื่องไหนที่เรารับไม่ได้จริงๆ ก็จงตั้งปณิธานว่าเราจะไม่ทำอย่างนั้นเด็ดขาด-ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม-ไม่ว่าใครๆ เขาจะทำกันก็ตาม

ไม่อย่างนั้นเราจะอยู่กับตัวเองได้ลำบาก

ไม่อย่างนั้นเราจะกลายเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอกโดยไม่รู้ตัวครับ

https://www.facebook.com/100044246268437/posts/431709401647265/