"ลินคอร์น"
7 ขวบ พ่อแพ้คดี ต้องเสียที่ดินไป จึงต้องออกไปหางานทำ
9 ขวบ เสียแม่
อายุ 22 ค้าขายครั้งแรก ล้มเหลว
อายุ 23 ลงสมัครผู้ว่าการรัฐ แพ้เลือกตั้ง ปีเดียวกัน ตกงาน ไปสอบเรียนนิติ สอบไม่ผ่าน
อายุ 24 ยืมเงินเพื่อนมาค้าขาย ปีเดียวกัน เจ๊ง ใช้เวลา 16 ปี คืนหนี้เงินเพื่อน
อายุ 25 ลงสมัครผู้ว่าการรัฐอีกครั้ง ได้รับเลือก
อายุ 26 กำลังจะแต่งงาน คู่หมั้นเสียชีวิต
อายุ 27 นอนป่วยครึ่งปี
อายุ 29 ชิงตำแหน่งโฆษกสภาแห่งรัฐ ไม่ได้รับเลือก
อายุ 31 เสนอตัวให้พรรคเลือกลงสมัคร แพ้
อายุ 34 ลงสมัครเป็นสมาชิกสภา แพ้
อายุ 37 ลองอีกครั้ง ชนะ
อายุ 39 ต้องการให้เลือกเป็นต่อ แพ้
อายุ 47 เสนอตัวเป็นผู้ลงสมัครตำแหน่งประธานาธิบดี แพ้
อายุ 49 ลงสมัครเป็นสมาชิกสภา แพ้อีก
อายุ 51 ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ
ในชีวิตเขา ล้มเหลวมา 35 ครั้ง มีเพียง 3 ครั้งที่สำเร็จ
เขาเคยพูดว่า
"ขาข้างหนึ่งของผมลื่นไถล อีกข้างเลยจะยืนไม่อยู่
ผมบอกตัวเองว่า นี่ก็แค่ลื่นหกล้มอีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ล้มตายที่จะลุกขึ้นมาไม่ได้"
สุดท้ายเขาได้เข้าไปทำงานในทำเนียบขาว และเลิกทาสในประเทศ
การพ่ายแพ้ทุกอย่าง เป็นแค่ลื่นไถลหกล้ม
ขอแค่ยังมีลมหายใจ จะมีอะไรที่จะชนะมันไม่ได้ ขอแค่มีชีวิต มีอะไรที่จะทำสำเร็จไม่ได้?
มีชีวิตอยู่ ก็ยังมีความหวัง ก็จะมีโอกาส ก็มีความเป็นไปได้ที่ไม่มีขีดจำกัด
.........................
"หลิวปัง" ฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์ฮั่น
หลิวปัง รบกับข้าศึกผู้เกรียงไกร เซี่ยงอี่
ทัพนำโดยเซี่ยงอี่ รบ 100 ชนะ 100
ทัพของหลิวปัง รบ 100 แพ้ 100
แต่หลิวปังทนรับความพ่ายแพ้ได้ สุดท้ายก็ชนะเซี่ยงอี่ ได้เป็นฮ่องเต้
เซี่ยงอี่แม้จะรบ 100 ชนะ 100 แต่ทนรับความพ่ายแพ้เพียงครั้งเดียวไม่ได้ จึงฆ่าตัวตายริมแม่น้ำอูเจียง
ชีวิตคนเรา ไม่ได้อยู่ที่จะสมหวังกี่ครั้ง แต่อยู่ที่สามารถเรียนรู้ข้อผิดพลาดแล้วยืนขึ้นมาใหม่
ทุกครั้งที่ผิดหวัง เอาชนะมันวิกฤตและข้ามมันได้ ความล้มเหลวทุกครั้งในชีวิต ก็จะเป็นแค่การพักคั่นโฆษณาเท่านั้น
Cr : Forward LINE
ประสพการณ์, เรื่องราวทั่วไป, แง่คิด, มุมมอง ที่น่าสนใจ - สิริพงษ์ พงศ์ภิญโญภาพ
Tuesday, April 12, 2016
Saturday, March 26, 2016
Friends
"คนเราคือลูกหลานของสภาพแวดล้อม"
ดังนั้นหากแม้ลูกมี Mindset ที่ดีแต่รายล้อมไปด้วยคนคิดลบ ในไม่ช้า Mindset ดีๆ นั้นจะเริ่มสั่นคลอนค่ะ
นอกจากนี้เด็กทุกคนล้วนมีความเก่งเฉพาะด้าน หากเขามีเพื่อนที่เก่งในด้านที่เขาไม่ถนัด พวกเขาอาจกลายเป็นคู่หูที่ดีในการสร้างอะไรบางอย่างด้วยกันก็ได้
.
วันนี้อยากแชร์บทความของคุณขุนเขา นักเขียนหนังสือ Best Seller หลายเล่ม ที่ได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจค่ะ
.
"การเลือกคบคน สำคัญต่อความสำเร็จขนาดไหน..."
.
ลองทายดูเล่นๆ นะครับว่า มหาเศรษฐีเหล่านี้มีอะไรที่เหมือนกัน
1. บิล เกตส์
2. สตีฟ จ๊อบส์
3. แลรี่ เพจ (ผู้ก่อตั้งบริษัท Google)
4. เควิน ซิสตรอม (ผู้คิดค้นแอพพลิเคชั่น Instagram)
5. วิลเบอร์ ไรท์ (หนึ่งในพี่น้องตระกูลไรท์)
.
เมื่อดูจากคุณลักษณะภายนอกคนเหล่านี้อาจมีหลายอย่างที่คล้ายกัน แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจไม่ทราบ และเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับพวกเขาก็คือ
คนเหล่านี้ไม่ได้ประสบความสำเร็จระดับโลกด้วยตัวเอง แต่พวกเขามี “คู่คิด” ที่ดีคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ
.
ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่เป็นนักประดิษฐ์ตัวจริงของบริษัท Apple แท้จริงแล้วไม่ใช่ สตีฟ จ๊อบส์ แต่เป็นคู่หูของเขาชื่อ สตีฟ วอซเนียก
และแท้จริงแล้วผู้ตั้งชื่อให้บริษัท Microsoft ก็ไม่ใช่ บิล เกตส์ แต่เป็นคู่หูของเขาชื่อ พอล อัลแลน
นอกจากนี้ พอล อัลแลน ยังเป็นผู้โน้มน้าวให้ บิล เกตส์ ลาออกจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดเพื่อมาจัดตั้งบริษัท Microsoft ที่ภายหลังมีชื่อเสียงโด่งดังก้องโลกอีกด้วย
และมหาเศรษฐีที่เหลืออีกสามคนก็ไม่อาจเป็นที่รู้จักและประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ได้เลย หากขาดคู่คิดคนสำคัญของเขาไป
.
คนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในโลกธุรกิจทุกคน จะมีผู้ที่คอยเป็น “คู่คิด” ให้เขาอยู่เสมอ หากไม่ใช่คนๆเดียวก็จะเป็นกลุ่มคนที่เขาไว้ใจ
แม้แต่ มาร์ค ซักเกอเบิร์ก มหาเศรษฐีอายุน้อยที่สุดผู้ก่อตั้ง Facebook เองก็ยังเคยให้สัมภาษณ์ว่า:
.
“ผมรู้สึกทุกข์ใจทุกครั้งที่มีคนชื่นชมความสำเร็จของผม เพราะอันที่จริงแล้วผมไม่ได้สร้าง Facebook ขึ้นมาคนเดียว ทีมงานของผมต่างหากที่เป็นผู้สร้างมันขึ้นมา คำชื่นชมทั้งหมดควรเป็นของพวกเขา และหากผมสามารถให้คำแนะนำในเรื่องธุรกิจกับคุณได้เพียงข้อเดียว ผมก็จะแนะนำว่า... จงเลือกคบคนให้ดี”
.
จริงอยู่ว่าในโลกของความสำเร็จ “ความคิด” นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ใครคิดได้เก่งกว่า เร็วกว่า ดีกว่า ย่อมจะได้รับชัยชนะ
แต่เรามักจะให้ความสำคัญกับ “ความคิด” มากเกินไป จนมองข้าม “แหล่งกำเนิดของความคิด” ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า
เพราะถ้าถามว่าความคิดของเรามาจากไหน ก็ต้องตอบว่า “มาจากสิ่งที่เราได้ยิน ได้เห็น และได้สัมผัสในแต่ละวัน”
.
ซึ่งสิ่งเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็มาจาก “คนที่อยู่ใกล้ตัวเรา” นั่นเอง...
กล่าวคือ “คนที่คุณคบ” อาจสำคัญยิ่งกว่า “สิ่งที่คุณคิด” เสียอีก
เพราะแหล่งกำเนิดความคิดส่วนใหญ่ของคุณ ก็มักจะมาจากคนที่คุณคลุกคลีอยู่ด้วยนั่นเอง
.
เรื่องราวที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับการคบคน คือเรื่องของ “ลี กา ชิง” มหาเศรษฐีชาวฮ่องกงซึ่งได้รับการจัดอันดับเป็น “บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของทวีปเอเชียในปี 2014”
และเป็น “บุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดของทวีปเอเชียในปี 2001” แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เขาเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่ใจบุญที่สุดในทวีปเอเชียอีกด้วย
โดยเขาได้บริจาคเงินช่วยเหลือผู้คนไปแล้วกว่า 2 พันล้านดอลล่าห์สหรัฐ หรือประมาณ 7 หมื่นล้านบาท
.
ทว่า... เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ไม่ใช่เรื่องของ ลี กา ชิง ... แต่เป็นเรื่องคนขับรถของเขา!
เรื่องมีอยู่ว่า หลังจากที่คนขับรถของ ลี กา ชิง ได้ทำงานด้วยความซื่อสัตย์มาตลอดระยะเวลาถึง 30 ปี ในที่สุดวันหนึ่งเขาก็ขอลาออก
ลี กา ชิงตัดสินใจมอบเช็คเงินสดมูลค่า 2 ล้านดอลล่าร์ฮ่องกงให้เขาเพื่อแทนคำขอบคุณ แต่คนขับรถกลับปฏิเสธไม่ขอรับเงินจำนวนนั้น!
.
เขาให้เหตุผลว่า “เงิน 10 ล้าน หรือ 20 ล้าน นั้นท่านได้ให้ผมมาแล้ว” ลี กา ชิง ประหลาดใจมาก จึงถามว่า
“ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยให้เงินคุณ และเงินเดือนคุณก็แค่ 2 หมื่น คุณเก็บยังไงถึงได้มากมายขนาดนั้น”
คนขับรถจึงตอบว่า “ในขณะที่ผมทำงานให้ท่าน ทุกครั้งที่ท่านคุยโทรศัพท์อยู่เบาะหลัง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อที่ดินหรือซื้อหุ้น
ผมอาศัยการฟังแล้วนำเงินที่มีอยู่เล็กๆน้อยๆไปซื้อตามท่านบ้าง จนวันนี้เงินเหล่านั้นได้งอกเงยเป็นมูลค่าร่วม 20 ล้านแล้ว”
.
ลี กา ชิง ถึงกับเอ่ยปากชมคนขับรถของเขายกใหญ่ พร้อมกับทิ้งท้ายว่าเรื่องนี้สามารถเป็นคติสอนใจให้กับนักธุรกิจได้เป็นอย่างดีว่า
“คุณจะเป็นใครนั้นไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณอยู่กับใคร” เพราะแม้เป็นเพียงคนขับรถ
แต่เมื่อรู้จักเรียนรู้และซึมซับสิ่งดีๆจากนักธุรกิจระดับพระกาฬ เขาก็สามารถมีเงินเก็บมากกว่าคนที่มีใบปริญญาและประกาศนียบัตรเต็มบ้านได้!
.
ผู้เขียนบทความนี้กล่าวต่อไปว่า คนที่รู้จักซึมซับและพัฒนาตัวเอง เมื่ออยู่กับเศรษฐีเงินล้าน ... ก็จะมีกำไรนับแสน
เมื่ออยู่กับคนอยู่กับเศรษฐีเงินสิบล้าน .... ก็จะมีกำไรนับล้าน และเมื่ออยู่กับคนอยู่กับเศรษฐีเงินร้อยล้าน ... ก็จะมีกำไรสิบล้าน
หากเราเดินตามแมลงวันก็จะเข้าใกล้ห้องสุขา หากเราเดินตามตัวผึ้งก็จะหาดอกไม้จนเจอ
อยู่กับคนที่คิดบวกคุณก็จะเป็นคนคิดบวก อยู่กับคนที่คิดลบคุณก็จะพูดแต่คำสกปรก
เพราะคนโบราณสอนไว้ว่า ‘สิ่งของแยกตามประเภท ส่วนคนนั้นแยกตามกลุ่ม’
.
พระพุทธเจ้าเองก็ตรัสสอนเรื่องนี้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นใน “มงคล 38”
(หลักการใช้ชีวิต 38 ประการที่จะทำให้ชีวิตประเสริฐและดีงาม)
มงคลข้อแรกสุดคือ “จงไม่คบคนพาล” และข้อต่อมาคือ “จงคบบัณฑิต”
จะเห็นได้ว่าทรงให้ความสำคัญกับ “การคบคน” อย่างมาก ถึงขนาดที่ทรงนำมาเป็นมงคลชีวิตสองข้อแรกสุด
ก่อนความขยัน การทำบุญ การมีวินัย หรือแม้กระทั่งความกตัญญูเสียอีก
.
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า หากคุณคบคนดี เขาก็ย่อมจะชักชวนคุณให้ทำแต่ความดี
เช่น เป็นตัวอย่างให้คุณในเรื่องการมีวินัย คอยกระตุ้นให้คุณขยัน แนะนำเรื่องความกตัญญูกตเวที หรือพยายามพาคุณไปทำบุญด้วยอยู่แล้ว
แต่ถ้าคบคนพาล ต่อให้คุณมีคุณสมบัติที่ดีอยู่ในตัวมากมาย แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จิตใจคุณจะไหลสู่ที่ต่ำตามเขาไปทีละน้อย
ทำให้คุณสมบัติดีๆทั้งหลาย เหล่านั้นค่อยๆหายไปทีละข้อ จึงอาจกล่าวได้ว่า
การมีกัลยาณมิตร หรือการ “คบคนดี” คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรมเลยทีเดียว
.
“สิ่งที่เราคิด” กับ “คนที่เราคบ” มักจะมีความคล้ายกันอย่างน่าอัศจรรย์ ฉะนั้น
ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จในระดับสูง ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม ขอให้เลือกคบคนให้ดี
เพราะหาก “คบ” คนแบบไหนเราย่อม “คล้าย” คนแบบนั้น
เมื่อเรา “คล้าย” คนแบบไหนเราย่อม “คิด” แบบนั้น
และเรา “คิด” แบบไหนเราก็ย่อมได้ “ชีวิต” แบบนั้น...
รับประกันได้เลย!
"ดอกไม้เมื่ออยู่ในกองขยะ ย่อมส่งกลิ่นเหม็นเน่า
แต่เศษขยะเมื่ออยู่ในดงดอกไม้ ย่อมส่งกลิ่นหอม"
ที่มา https://www.facebook.com/YouAreAwesomeKids/posts/1691796004424579
ดังนั้นหากแม้ลูกมี Mindset ที่ดีแต่รายล้อมไปด้วยคนคิดลบ ในไม่ช้า Mindset ดีๆ นั้นจะเริ่มสั่นคลอนค่ะ
นอกจากนี้เด็กทุกคนล้วนมีความเก่งเฉพาะด้าน หากเขามีเพื่อนที่เก่งในด้านที่เขาไม่ถนัด พวกเขาอาจกลายเป็นคู่หูที่ดีในการสร้างอะไรบางอย่างด้วยกันก็ได้
.
วันนี้อยากแชร์บทความของคุณขุนเขา นักเขียนหนังสือ Best Seller หลายเล่ม ที่ได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจค่ะ
.
"การเลือกคบคน สำคัญต่อความสำเร็จขนาดไหน..."
.
ลองทายดูเล่นๆ นะครับว่า มหาเศรษฐีเหล่านี้มีอะไรที่เหมือนกัน
1. บิล เกตส์
2. สตีฟ จ๊อบส์
3. แลรี่ เพจ (ผู้ก่อตั้งบริษัท Google)
4. เควิน ซิสตรอม (ผู้คิดค้นแอพพลิเคชั่น Instagram)
5. วิลเบอร์ ไรท์ (หนึ่งในพี่น้องตระกูลไรท์)
.
เมื่อดูจากคุณลักษณะภายนอกคนเหล่านี้อาจมีหลายอย่างที่คล้ายกัน แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจไม่ทราบ และเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับพวกเขาก็คือ
คนเหล่านี้ไม่ได้ประสบความสำเร็จระดับโลกด้วยตัวเอง แต่พวกเขามี “คู่คิด” ที่ดีคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ
.
ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่เป็นนักประดิษฐ์ตัวจริงของบริษัท Apple แท้จริงแล้วไม่ใช่ สตีฟ จ๊อบส์ แต่เป็นคู่หูของเขาชื่อ สตีฟ วอซเนียก
และแท้จริงแล้วผู้ตั้งชื่อให้บริษัท Microsoft ก็ไม่ใช่ บิล เกตส์ แต่เป็นคู่หูของเขาชื่อ พอล อัลแลน
นอกจากนี้ พอล อัลแลน ยังเป็นผู้โน้มน้าวให้ บิล เกตส์ ลาออกจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดเพื่อมาจัดตั้งบริษัท Microsoft ที่ภายหลังมีชื่อเสียงโด่งดังก้องโลกอีกด้วย
และมหาเศรษฐีที่เหลืออีกสามคนก็ไม่อาจเป็นที่รู้จักและประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ได้เลย หากขาดคู่คิดคนสำคัญของเขาไป
.
คนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในโลกธุรกิจทุกคน จะมีผู้ที่คอยเป็น “คู่คิด” ให้เขาอยู่เสมอ หากไม่ใช่คนๆเดียวก็จะเป็นกลุ่มคนที่เขาไว้ใจ
แม้แต่ มาร์ค ซักเกอเบิร์ก มหาเศรษฐีอายุน้อยที่สุดผู้ก่อตั้ง Facebook เองก็ยังเคยให้สัมภาษณ์ว่า:
.
“ผมรู้สึกทุกข์ใจทุกครั้งที่มีคนชื่นชมความสำเร็จของผม เพราะอันที่จริงแล้วผมไม่ได้สร้าง Facebook ขึ้นมาคนเดียว ทีมงานของผมต่างหากที่เป็นผู้สร้างมันขึ้นมา คำชื่นชมทั้งหมดควรเป็นของพวกเขา และหากผมสามารถให้คำแนะนำในเรื่องธุรกิจกับคุณได้เพียงข้อเดียว ผมก็จะแนะนำว่า... จงเลือกคบคนให้ดี”
.
จริงอยู่ว่าในโลกของความสำเร็จ “ความคิด” นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ใครคิดได้เก่งกว่า เร็วกว่า ดีกว่า ย่อมจะได้รับชัยชนะ
แต่เรามักจะให้ความสำคัญกับ “ความคิด” มากเกินไป จนมองข้าม “แหล่งกำเนิดของความคิด” ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า
เพราะถ้าถามว่าความคิดของเรามาจากไหน ก็ต้องตอบว่า “มาจากสิ่งที่เราได้ยิน ได้เห็น และได้สัมผัสในแต่ละวัน”
.
ซึ่งสิ่งเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็มาจาก “คนที่อยู่ใกล้ตัวเรา” นั่นเอง...
กล่าวคือ “คนที่คุณคบ” อาจสำคัญยิ่งกว่า “สิ่งที่คุณคิด” เสียอีก
เพราะแหล่งกำเนิดความคิดส่วนใหญ่ของคุณ ก็มักจะมาจากคนที่คุณคลุกคลีอยู่ด้วยนั่นเอง
.
เรื่องราวที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับการคบคน คือเรื่องของ “ลี กา ชิง” มหาเศรษฐีชาวฮ่องกงซึ่งได้รับการจัดอันดับเป็น “บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของทวีปเอเชียในปี 2014”
และเป็น “บุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดของทวีปเอเชียในปี 2001” แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เขาเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่ใจบุญที่สุดในทวีปเอเชียอีกด้วย
โดยเขาได้บริจาคเงินช่วยเหลือผู้คนไปแล้วกว่า 2 พันล้านดอลล่าห์สหรัฐ หรือประมาณ 7 หมื่นล้านบาท
.
ทว่า... เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ไม่ใช่เรื่องของ ลี กา ชิง ... แต่เป็นเรื่องคนขับรถของเขา!
เรื่องมีอยู่ว่า หลังจากที่คนขับรถของ ลี กา ชิง ได้ทำงานด้วยความซื่อสัตย์มาตลอดระยะเวลาถึง 30 ปี ในที่สุดวันหนึ่งเขาก็ขอลาออก
ลี กา ชิงตัดสินใจมอบเช็คเงินสดมูลค่า 2 ล้านดอลล่าร์ฮ่องกงให้เขาเพื่อแทนคำขอบคุณ แต่คนขับรถกลับปฏิเสธไม่ขอรับเงินจำนวนนั้น!
.
เขาให้เหตุผลว่า “เงิน 10 ล้าน หรือ 20 ล้าน นั้นท่านได้ให้ผมมาแล้ว” ลี กา ชิง ประหลาดใจมาก จึงถามว่า
“ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยให้เงินคุณ และเงินเดือนคุณก็แค่ 2 หมื่น คุณเก็บยังไงถึงได้มากมายขนาดนั้น”
คนขับรถจึงตอบว่า “ในขณะที่ผมทำงานให้ท่าน ทุกครั้งที่ท่านคุยโทรศัพท์อยู่เบาะหลัง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อที่ดินหรือซื้อหุ้น
ผมอาศัยการฟังแล้วนำเงินที่มีอยู่เล็กๆน้อยๆไปซื้อตามท่านบ้าง จนวันนี้เงินเหล่านั้นได้งอกเงยเป็นมูลค่าร่วม 20 ล้านแล้ว”
.
ลี กา ชิง ถึงกับเอ่ยปากชมคนขับรถของเขายกใหญ่ พร้อมกับทิ้งท้ายว่าเรื่องนี้สามารถเป็นคติสอนใจให้กับนักธุรกิจได้เป็นอย่างดีว่า
“คุณจะเป็นใครนั้นไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณอยู่กับใคร” เพราะแม้เป็นเพียงคนขับรถ
แต่เมื่อรู้จักเรียนรู้และซึมซับสิ่งดีๆจากนักธุรกิจระดับพระกาฬ เขาก็สามารถมีเงินเก็บมากกว่าคนที่มีใบปริญญาและประกาศนียบัตรเต็มบ้านได้!
.
ผู้เขียนบทความนี้กล่าวต่อไปว่า คนที่รู้จักซึมซับและพัฒนาตัวเอง เมื่ออยู่กับเศรษฐีเงินล้าน ... ก็จะมีกำไรนับแสน
เมื่ออยู่กับคนอยู่กับเศรษฐีเงินสิบล้าน .... ก็จะมีกำไรนับล้าน และเมื่ออยู่กับคนอยู่กับเศรษฐีเงินร้อยล้าน ... ก็จะมีกำไรสิบล้าน
หากเราเดินตามแมลงวันก็จะเข้าใกล้ห้องสุขา หากเราเดินตามตัวผึ้งก็จะหาดอกไม้จนเจอ
อยู่กับคนที่คิดบวกคุณก็จะเป็นคนคิดบวก อยู่กับคนที่คิดลบคุณก็จะพูดแต่คำสกปรก
เพราะคนโบราณสอนไว้ว่า ‘สิ่งของแยกตามประเภท ส่วนคนนั้นแยกตามกลุ่ม’
.
พระพุทธเจ้าเองก็ตรัสสอนเรื่องนี้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นใน “มงคล 38”
(หลักการใช้ชีวิต 38 ประการที่จะทำให้ชีวิตประเสริฐและดีงาม)
มงคลข้อแรกสุดคือ “จงไม่คบคนพาล” และข้อต่อมาคือ “จงคบบัณฑิต”
จะเห็นได้ว่าทรงให้ความสำคัญกับ “การคบคน” อย่างมาก ถึงขนาดที่ทรงนำมาเป็นมงคลชีวิตสองข้อแรกสุด
ก่อนความขยัน การทำบุญ การมีวินัย หรือแม้กระทั่งความกตัญญูเสียอีก
.
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า หากคุณคบคนดี เขาก็ย่อมจะชักชวนคุณให้ทำแต่ความดี
เช่น เป็นตัวอย่างให้คุณในเรื่องการมีวินัย คอยกระตุ้นให้คุณขยัน แนะนำเรื่องความกตัญญูกตเวที หรือพยายามพาคุณไปทำบุญด้วยอยู่แล้ว
แต่ถ้าคบคนพาล ต่อให้คุณมีคุณสมบัติที่ดีอยู่ในตัวมากมาย แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จิตใจคุณจะไหลสู่ที่ต่ำตามเขาไปทีละน้อย
ทำให้คุณสมบัติดีๆทั้งหลาย เหล่านั้นค่อยๆหายไปทีละข้อ จึงอาจกล่าวได้ว่า
การมีกัลยาณมิตร หรือการ “คบคนดี” คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรมเลยทีเดียว
.
“สิ่งที่เราคิด” กับ “คนที่เราคบ” มักจะมีความคล้ายกันอย่างน่าอัศจรรย์ ฉะนั้น
ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จในระดับสูง ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม ขอให้เลือกคบคนให้ดี
เพราะหาก “คบ” คนแบบไหนเราย่อม “คล้าย” คนแบบนั้น
เมื่อเรา “คล้าย” คนแบบไหนเราย่อม “คิด” แบบนั้น
และเรา “คิด” แบบไหนเราก็ย่อมได้ “ชีวิต” แบบนั้น...
รับประกันได้เลย!
"ดอกไม้เมื่ออยู่ในกองขยะ ย่อมส่งกลิ่นเหม็นเน่า
แต่เศษขยะเมื่ออยู่ในดงดอกไม้ ย่อมส่งกลิ่นหอม"
ที่มา https://www.facebook.com/YouAreAwesomeKids/posts/1691796004424579
Begin with the end in mind.
สมัยที่หนูดี เรียนอยู่ที่อเมริกา เคยถูกให้ทำแบบฝึกหัดหนึ่ง
คือเกม “เริ่มต้นที่ตอนจบ”
โดยเกมนี้เล่นไม่ยาก แต่ใช้เวลาพอสมควร
เป็นเกมที่ทำให้เราได้ ย้อนหลังกลับไปมองชีวิต
ไม่ใช่แต่ต้นจนอวสาน ...... แต่ว่ามองจากอวสาน มาตอนต้น
เกมนี้เริ่มที่ หนูดีจะขอให้ผู้อ่าน ลองหาเวลาเงียบ ๆ อยู่กับตัวเอง
ในตอนที่เราไม่มีเรื่องรีบร้อนอันใดต้องไปทำ
แล้วให้นั่งลง หลับตาจินตนาการภาพตัวเรา ตอนอายุสักแปดสิบ
โดยให้สมมติว่า
เราจะต้องตายตอนอายุสักแปดสิบ และตอนนั้น เราเจ็บป่วย นอนอยู่บนเตียง
หลังจากนั้น ให้เราลองจินตนาการ ย้อนกลับไปมองทั้งชีวิตของเราว่า
ที่ผ่านมา เราได้ใช้มันไปอย่างไรบ้าง
เราใช้เวลาของเราทำอะไรไป เราวิ่งตามอะไร เราวุ่นวายกับอะไร
เรารักใคร เราไม่รักใคร ความสุข ความทุกข์ของเราเป็นผลจากอะไร
แต่สองคำถามที่สำคัญที่สุด ก็คือ
เราจะเสียดายที่สุด หากเราตายไปโดยไม่ได้ทำอะไร ..
เราจะเสียดายที่สุด หากเราไม่ได้ใช้เวลากับใคร
........
หากเราตอบคำถามเหล่านี้ได้ อย่างกระจ่างชัด
ก็จะมีเวลาบางช่วงที่เราจะไม่ใช้ไปอย่างที่เราใช้อยู่
จะมีกิจการบางกิจการ ที่เราไม่เลือกจะก่อตั้ง
มีเพื่อนบางคนที่เราอาจจะเลิกคบ
มีเงินบางก้อนที่เราจะปฏิเสธ
ไม่รับสารพัดของสิ่งที่จะเกิดขึ้น
ถ้าเรามีเวลาถอยออกมาจากชีวิต
แล้วย้อนกลับไปมอง ... เหมือนกับว่า
เรากำลังดูหนังวิดีโอชีวิตของคนอื่นอยู่
แล้วก็วิจารณ์ว่า เขาคนนั้นตอนยังมีชีวิตอยู่ น่าจะทำอะไรที่ควรทำ
ทั้งหมดนี้ เป็นเทคนิคที่ง่ายดายและลึกซึ้ง
เมื่อหนูดี ลองทำแล้ว เป็นประโยชน์อย่างยิ่งถึงขั้น
หนูดี เปลี่ยนอาชีพ เปลี่ยนชีวิต
เพราะจากที่เคยคิดอย่างเด็กอายุยี่สิบ หนูดี กระโดดข้ามไปคิดแบบแปดสิบได้
ตอนนี้เลยเหมือนย้อนกลับมาใช้ชีวิตรอบสอง โดยอายุยังไม่ครบสามสิบเลย
เหมือนมีสองชีวิตเลยค่ะ
เมื่อก่อนหนูดี เคยคิดว่า ความสำเร็จในชีวิตก็เหมือนกับ
การหาของใส่กล่อง คนเก่งกว่าก็ใช้เวลาเป็น ใช้ชีวิตคุ้ม ก็หาของมาใส่กล่องได้เร็วและมากกว่าคนอื่น
แต่อีกปัจจัยที่ทำให้กล่องเต็มได้ที่หนูดีไม่เคยคิดมาก่อนจะเล่นเกมนี้
ก็คือ แค่เราเปลี่ยนขนาดกล่องให้เล็กลงซะ มันก็เต็มได้โดยไม่ยากเย็นเลย
ดังนั้น การใช้สมองให้เต็มที่ คุ้มค่า เพื่อให้ชีวิตมีสุขได้ครบด้านและง่ายดาย
น่าจะอยู่ที่ศักยภาพในการถอยออกมา
แล้วมองชีวิตจากมุมห่างออกไปอีกหน่อย ...
มองย้อนกลับจากวันสุดท้ายของชีวิต
ก็เป็นความท้าทายที่น่าสนุกอีกแบบหนึ่ง
มันเปลี่ยนชีวิตหนูดี มาแล้ว ในทางที่ดีขึ้นอย่างมหัศจรรย์
ด้วยคำถามง่ายๆ ไม่กี่คำถาม
แล้ววันนี้ ท่านผู้อ่านของหนูดี
คิดว่า ชีวิตนี้ ไม่ได้ทำอะไรแล้วจะเสียดายที่สุดคะ
และไม่ได้ใช้เวลากับใครแล้วจะเสียดายที่สุดคะ
ที่มา - หนูดี
คือเกม “เริ่มต้นที่ตอนจบ”
โดยเกมนี้เล่นไม่ยาก แต่ใช้เวลาพอสมควร
เป็นเกมที่ทำให้เราได้ ย้อนหลังกลับไปมองชีวิต
ไม่ใช่แต่ต้นจนอวสาน ...... แต่ว่ามองจากอวสาน มาตอนต้น
เกมนี้เริ่มที่ หนูดีจะขอให้ผู้อ่าน ลองหาเวลาเงียบ ๆ อยู่กับตัวเอง
ในตอนที่เราไม่มีเรื่องรีบร้อนอันใดต้องไปทำ
แล้วให้นั่งลง หลับตาจินตนาการภาพตัวเรา ตอนอายุสักแปดสิบ
โดยให้สมมติว่า
เราจะต้องตายตอนอายุสักแปดสิบ และตอนนั้น เราเจ็บป่วย นอนอยู่บนเตียง
หลังจากนั้น ให้เราลองจินตนาการ ย้อนกลับไปมองทั้งชีวิตของเราว่า
ที่ผ่านมา เราได้ใช้มันไปอย่างไรบ้าง
เราใช้เวลาของเราทำอะไรไป เราวิ่งตามอะไร เราวุ่นวายกับอะไร
เรารักใคร เราไม่รักใคร ความสุข ความทุกข์ของเราเป็นผลจากอะไร
แต่สองคำถามที่สำคัญที่สุด ก็คือ
เราจะเสียดายที่สุด หากเราตายไปโดยไม่ได้ทำอะไร ..
เราจะเสียดายที่สุด หากเราไม่ได้ใช้เวลากับใคร
........
หากเราตอบคำถามเหล่านี้ได้ อย่างกระจ่างชัด
ก็จะมีเวลาบางช่วงที่เราจะไม่ใช้ไปอย่างที่เราใช้อยู่
จะมีกิจการบางกิจการ ที่เราไม่เลือกจะก่อตั้ง
มีเพื่อนบางคนที่เราอาจจะเลิกคบ
มีเงินบางก้อนที่เราจะปฏิเสธ
ไม่รับสารพัดของสิ่งที่จะเกิดขึ้น
ถ้าเรามีเวลาถอยออกมาจากชีวิต
แล้วย้อนกลับไปมอง ... เหมือนกับว่า
เรากำลังดูหนังวิดีโอชีวิตของคนอื่นอยู่
แล้วก็วิจารณ์ว่า เขาคนนั้นตอนยังมีชีวิตอยู่ น่าจะทำอะไรที่ควรทำ
ทั้งหมดนี้ เป็นเทคนิคที่ง่ายดายและลึกซึ้ง
เมื่อหนูดี ลองทำแล้ว เป็นประโยชน์อย่างยิ่งถึงขั้น
หนูดี เปลี่ยนอาชีพ เปลี่ยนชีวิต
เพราะจากที่เคยคิดอย่างเด็กอายุยี่สิบ หนูดี กระโดดข้ามไปคิดแบบแปดสิบได้
ตอนนี้เลยเหมือนย้อนกลับมาใช้ชีวิตรอบสอง โดยอายุยังไม่ครบสามสิบเลย
เหมือนมีสองชีวิตเลยค่ะ
เมื่อก่อนหนูดี เคยคิดว่า ความสำเร็จในชีวิตก็เหมือนกับ
การหาของใส่กล่อง คนเก่งกว่าก็ใช้เวลาเป็น ใช้ชีวิตคุ้ม ก็หาของมาใส่กล่องได้เร็วและมากกว่าคนอื่น
แต่อีกปัจจัยที่ทำให้กล่องเต็มได้ที่หนูดีไม่เคยคิดมาก่อนจะเล่นเกมนี้
ก็คือ แค่เราเปลี่ยนขนาดกล่องให้เล็กลงซะ มันก็เต็มได้โดยไม่ยากเย็นเลย
ดังนั้น การใช้สมองให้เต็มที่ คุ้มค่า เพื่อให้ชีวิตมีสุขได้ครบด้านและง่ายดาย
น่าจะอยู่ที่ศักยภาพในการถอยออกมา
แล้วมองชีวิตจากมุมห่างออกไปอีกหน่อย ...
มองย้อนกลับจากวันสุดท้ายของชีวิต
ก็เป็นความท้าทายที่น่าสนุกอีกแบบหนึ่ง
มันเปลี่ยนชีวิตหนูดี มาแล้ว ในทางที่ดีขึ้นอย่างมหัศจรรย์
ด้วยคำถามง่ายๆ ไม่กี่คำถาม
แล้ววันนี้ ท่านผู้อ่านของหนูดี
คิดว่า ชีวิตนี้ ไม่ได้ทำอะไรแล้วจะเสียดายที่สุดคะ
และไม่ได้ใช้เวลากับใครแล้วจะเสียดายที่สุดคะ
ที่มา - หนูดี
Monday, January 4, 2016
แม่
พระคุณแม่ เริ่มแต่ ปฏิสนธิ์ แม่จะทน อุ้มท้อง เหมือนครองไข้
จะลุกนั่ง ไม่ถนัด อึดอัดใจ จนลูกได้ ย่างเข้า เก้าเดือนปลาย
แม่เจ็บปวด รวดร้าว ถึงคราวคลอด เจ็บตลอด กายา น่าใจหาย
ต้องล้มหมอน นอนซม ระทมกาย เสี่ยงความตาย แต่ละครั้ง หลั่วเลือดนอง
ถึงคราวคลอด ออกมา เป็นทารก แม่กอดกก กล่อมไกว มิให้หมอง
ป้อนข้าวน้ำ นมสรรพ ประคับประครอง ริ้นยุงป้อง ปัดให้ มิไต่ตอม
ยามลูกป่วย ช่วยรักษา ป้อนยาหยูก ความรักลูก ยิ่งชีวิต จิตถนอม
อดหลับอด นอนค่อนรุ่ง ยุงมันตอม เพราะแม่พร้อม ใจพลี ชีวิตตน
สอนลูกน้อย ยืนนั่ง เดินตั้งไข่ สอนลูกให้ มีสำเนียง เสียงเรียกขาน
เสียงพ่อจ๊ะ แม่จ๋า น่าชื่นบาน ลูกคืบคลาน เดินวิ่ง ยิ่งยินดี
หมั่นอบรม บ่มนิสัย แต่วัยย่อม ให้เพรียบพร้อม มารยาท เสริมศักดิ์ศรี
ลูกดื้อดึง ถือทิฐิ ไม่เข้าที ถึงเฆี่ยนตี ท่านก็ยัง หลั่งน้ำตา
ลูกได้ดี ท่านนี้ พลอยมีสุข ลูกมีทุกข์ ใจเพียร คอยเยียนเยี่ยม
ลูกมียาก เข็ญใจ ใครจะเทียม ท่านพลอยเตรียม ตรอมเข็ญ เป็นทุกข์ตาม
แม้ลูกตน ชั่วช้า สารพัด สังคมตัด สะบั้น พากันหยาม
ท่านก็รู้ อยู่ว่า ลูกข้าทราม แต่ด้วยความ อาลัย ตัดไม่ลง
รักใดไหน จะเท่า แม่รักลูก เฝ้าพันผูก ห่วงใย ใจพะวง
อันรักอื่น หมื่นแสน แม้นมั่นคง ไม่ดำรง จิรัง ดังแม่รัก
ที่มา หนังสือพระคุณแม่
จะลุกนั่ง ไม่ถนัด อึดอัดใจ จนลูกได้ ย่างเข้า เก้าเดือนปลาย
แม่เจ็บปวด รวดร้าว ถึงคราวคลอด เจ็บตลอด กายา น่าใจหาย
ต้องล้มหมอน นอนซม ระทมกาย เสี่ยงความตาย แต่ละครั้ง หลั่วเลือดนอง
ถึงคราวคลอด ออกมา เป็นทารก แม่กอดกก กล่อมไกว มิให้หมอง
ป้อนข้าวน้ำ นมสรรพ ประคับประครอง ริ้นยุงป้อง ปัดให้ มิไต่ตอม
ยามลูกป่วย ช่วยรักษา ป้อนยาหยูก ความรักลูก ยิ่งชีวิต จิตถนอม
อดหลับอด นอนค่อนรุ่ง ยุงมันตอม เพราะแม่พร้อม ใจพลี ชีวิตตน
สอนลูกน้อย ยืนนั่ง เดินตั้งไข่ สอนลูกให้ มีสำเนียง เสียงเรียกขาน
เสียงพ่อจ๊ะ แม่จ๋า น่าชื่นบาน ลูกคืบคลาน เดินวิ่ง ยิ่งยินดี
หมั่นอบรม บ่มนิสัย แต่วัยย่อม ให้เพรียบพร้อม มารยาท เสริมศักดิ์ศรี
ลูกดื้อดึง ถือทิฐิ ไม่เข้าที ถึงเฆี่ยนตี ท่านก็ยัง หลั่งน้ำตา
ลูกได้ดี ท่านนี้ พลอยมีสุข ลูกมีทุกข์ ใจเพียร คอยเยียนเยี่ยม
ลูกมียาก เข็ญใจ ใครจะเทียม ท่านพลอยเตรียม ตรอมเข็ญ เป็นทุกข์ตาม
แม้ลูกตน ชั่วช้า สารพัด สังคมตัด สะบั้น พากันหยาม
ท่านก็รู้ อยู่ว่า ลูกข้าทราม แต่ด้วยความ อาลัย ตัดไม่ลง
รักใดไหน จะเท่า แม่รักลูก เฝ้าพันผูก ห่วงใย ใจพะวง
อันรักอื่น หมื่นแสน แม้นมั่นคง ไม่ดำรง จิรัง ดังแม่รัก
ที่มา หนังสือพระคุณแม่
Subscribe to:
Posts (Atom)