แค่เราเชื่อ_ลูกจะใช่
แอบสารภาพตามตรงว่าแต่ก่อนตอนสอนเรื่องเลี้ยงลูกกับคนไข้ หมอเด็กอย่างหมอก็จะสอนจากที่อ่านผ่านทฤษฎี
แต่พอได้มามีลูกเป็นของตัวเอง หมอพบว่ามีทฤษฎีอันหนึ่ง
ที่หมอนำมาใช้แล้วมันให้ผลที่มหัศจรรย์มากๆ จนอยากจะเขียนบทความเชียร์อย่างจริงจัง
"การเลี้ยงลูกเชิงบวก"
การเลี้ยงลูกเชิงบวกมีรายละเอียดพอสมควร (ซึ่งจะเอามาเล่าให้ฟังเรื่อยๆ วันหลังนะคะ) แต่วันนี้เอาแค่เรื่องง่ายๆ
"ทำให้ลูกเชื่อ...ว่าเค้าใช่"
การเดินทางไกลข้ามซีกโลกครั้งนี้ทำให้หมอได้เห็นความมหัศจรรย์อย่างมากของการที่หมอลงทุนและตั้งใจ "เลี้ยงลูกเชิงบวก"
เพราะตลอดทางที่มีเสียงเด็กร้องไห้กันเป็นระยะๆในเครื่องบิน ลูกสาวของหมอก็มักจะพูดประโยคนึงขึ้นมาเสมอๆว่า
"เบเน่เป็นเด็กอารมณ์ดี เบเน่ไม่ร้องไห้"
และตลอดการเดินทางโดยเครื่องบินยาวนานเกือบ 17 ชั่วโมง ก็ไม่มีเสียงโยเยงอแงจากลูกสาววัยขวบเก้าเดือนแม้สักครั้ง
และประโยคติดปากของลูกสาว ณ ขณะนี้
"เบเน่เป็นเด็กดี เบเน่เป็นเด็กอารมณ์ดี"
การเดินทางครั้งนี้ถือว่าค่อนข้างทรหดสำหรับเด็กวัยยังไม่สองขวบ
ทั้งการเดินทางที่ยาวนานและเวลาที่กลับตาลปัตร ทำให้จากเด็กหญิงแสนอารมณ์ดี
เริ่มจะมีงอแงโยเยเป็นระยะๆ แต่แทบทุกครั้งอาการงอแงเหล่านั้นจะหายไปภายในเวลาอันรวดเร็ว
ด้วยประโยคมหัศจรรย์ที่พูดขึ้นมากับตัวเอง
"เบ เน่ เป็น เด็ก อา รมณ์ ดี เบ เน่ ไม่ งอ แง"
ประโยคที่ทุกครั้งน้ำเสียงจะมีพลังแห่งความภาคภูมิใจ และหลายครั้งที่แม้จะเป็นประโยคพูดปนกับเสียงสะอื้น
แต่สุดท้ายก็หยุดร้องไห้ได้อย่างรวดเร็ว
การพยายามไม่ทำตัวงอแงและหยุดร้องไห้ได้เองของลูกสาวโดยไม่ต้องร้องขอ ขู่ให้กลัว กำราบ ลงไม้ลงมือ หมอว่ามันมาจากสิ่งง่ายๆ
"ความเชื่อและศรัทธาว่าตัวเองเป็นอย่างนั้น"
ในการเลี้ยงลูกสิ่งที่หมอพยายามจะหลีกเลี่ยงเสมอ คือ ประโยคเชิงลบ ไม่ว่าจะ
"ไม่น่ารักเลยทำไมงอแงอย่างนี้" "ทำไมดื้อนักนะ" "ซนจริงๆเลยเรา" เวลาที่ลูกทำอะไรไม่ได้ดั่งใจหรือทำให้โมโห
หมอจะพยายามอดทนและรอคอยจังหวะที่จะเปลี่ยนประโยคในใจเหล่านั้นเป็นประโยคเชิงบวก
"หนูเก่งมากลูกที่หยุดร้องไห้"
"หนูน่ารักจังเลยที่แม่ห้ามแล้วไม่ทำ"
"หนูเป็นเด็กอารมณ์ดีจังเลยลูก"
"แม่อยู่กับหนูแล้วมีความสุขจัง"
ที่สำคัญหมอจะแสดงความรักกับลูกอยู่เสมอไม่ว่าจะกอด หอม บอกรัก ลูบหัว ยิ้มให้
อะไรก็ได้ที่ทำให้ลูกรู้สึกว่าลูกนั้น "ถูกรัก"
พ่อแม่เปรียบเหมือนกระจกบานใหญ่ของลูกที่ทำให้เค้า"เห็นเงาสะท้อนของตัวเอง"
พ่อแม่ที่เลือกสะท้อนด้านบวกเสมอๆ ลูกก็จะเห็นตัวเองในด้านดีแบบที่พ่อแม่เห็น
และเค้าจะอยาก"เป็น" แบบที่พ่อแม่เชื่อและศรัทธาว่าเค้าเป็น
พ่อแม่ที่แสดงความรัก.. ลูกก็จะรับรู้ว่าตัวเองเป็นที่รัก
และความรักนี้จะกลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ในการ "รักและศรัทธากับตัวเอง"
พ่อแม่ที่เลือกสะท้อนแต่ด้านลบ
"ทำไมดื้ออย่างนี้" "ทำไมซนจังเลย" "นี่มันลิงรึเปล่าเนี่ย" "ขี้เกียจจริงๆ" "โง่" "ไม่ได้เรื่อง"
แม้จะเป็นประโยคติดปาก.. เป็นประโยคที่ก็พูดไปงั้นๆ ..หรือพูดกันจนเป็นความเคยชิน
ลูกจะเชื่อว่าตัวเองเป็นอย่างนั้น...
"ไม่ว่าเค้าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม"
และถ้าเราเชื่อว่าเราร้องเพลงไม่เก่ง ยากที่เราจะขออาสาลุกขึ้นมาจับไมค์ร้องเพลง
ถ้าลูกเชื่อว่าตัวเอง ซน ดื้อ ไม่ได้เรื่อง เป็นเด็กงอแง ลูกก็จะไม่มีแรงใจจะลุกขึ้นมาทำอะไรให้ได้ดี
และสุดท้ายเค้าจะเป็นอย่างนั้น
"ไม่ว่าเค้าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม"
เวลามีใครถามว่าทำยังไงให้ลูกอารมณ์ดี มีความสุข หมอก็ตอบง่ายๆ
"เริ่มจากเชื่อให้หมดใจ ว่าลูกเราจะเป็นอย่างนั้น"
ความเชื่อ จะออกมาทางคำพูด
ความศรัทธา จะส่งผ่านสายตามาสู่ลูก
โปรดอย่าสิ้นศรัทธาในตัวลูก
เพราะจะทำให้ลูกสิ้นศรัทธา..."กับตัวเอง"
รักลูก...เชื่อมั่นในตัวลูก พูดถึงลูกด้วยประโยคดีๆเสมอๆนะคะ เชื่อหมอเถอะค่ะว่า
"แค่คุณเชื่อ...เค้าจะใช่"
"ไม่ว่าเค้าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม"
#หมอโอ๋เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน
ผู้กำลังสำเริงสำราญอยู่อเมริกา ^____^
ป.ล. ขณะที่เขียนบทความอยู่นี้ เด็กหญิงวัยขวบเก้าเดือนยิ่งทำให้หมอรู้สึกมหัศจรรย์กับการเลี้ยงลูกเชิงบวกเข้าไปอีกด้วยประโยคหลังหยุดสะอื้น
"เบเน่เป็นเด็กดี เด็กดีร้องไห้ได้ แต่ต้องไม่งอแง"
"เบเน่ขอโทษมามี้ค่ะ เบเน่ไม่งอแงแล้ว"
ที่มา https://www.facebook.com/takekidswithus/posts/1395626704088011
No comments:
Post a Comment