สำคัญแค่ไหน
=============
ช่วงทารกในครรภ์ถึงแรกคิด จะทำให้เกิดการแท้งหรือตายก่อนกำเนิดได้ง่าย
หรือหากไม่ตาย คลอดออกมาทารกก็จะพิการแต่กำเนิด คือ หูหนวก ขาแข็ง กระตุก ตาเหล่ รูปร่างแคระแกร็น
และสติปัญญาเสื่อมจนถึงปัญญาอ่อน หรือที่เรียกว่าเป็นเอ๋อ
ส่วนวัยเด็กถึงวัยรุ่นร่างกายจะเจริญเติบโตช้า สติปัญญาด้อยลงกว่าคนปกติและมีอาการคอพอก
ขณะที่วัยผู้ใหญ่จะมีอาการคอพอก เหนื่อยง่าย ไม่สดชื่น สมรรถนะในการทำงานลดลง ร่างกายและจิตใจเสื่อมถอย
หากเป็นเพศชายจะมีอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
สำหรับผู้หญิงประจำเดือนอาจมาไม่ปกติ
ไม่เกิดกับเราหรอก
==================
การเจาะเลือดวิเคราะห์สุขภาพทารกแรกเกิดทั่วไทยในรอบ 7 ปี...
...
อันดับ 2 กทม. 26.59%
ขาดไอโอดีนสูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน องค์การอนามัยโลกไปเกือบ 9 เท่า
How come?
=========
ใส่เกลือให้เด็กหรือแม่ที่กำลังตั้งท้อง กินแล้ว
แต่เด็กอาจยังขาดไอโอดีนได้ !!!
เพราะ
1)ไอโอดีนที่เสริมลงในเกลือจะคงอยู่สภาพได้แค่ 1 เดือน
กว่าจะถึงมือผู้บริโภค มักจะหมดสรรพคุณไปแล้ว
2)ไอโอดีนจะเสื่อมสลายเมื่อถูกความร้อนในการปรุงอาหาร
แก้ไขยังไง
===========
- การรับสารไอโอดีนในรู ปแบบของยาเม็ดหรื อแคปซูล
จะเหมาะสมกับผูที่ตองการไอโอดีนเกินกว่าปริ มาณปกติ เช่น หญิงตั้งครรภ์ เป็ นต้น
- กินเกลือสด (ไม่ผ่านความร้อน) เช่น จิ้มกินกับผลไม้
- เอาสารละลายไอโอดีนเข้มข้นไปผสมในน้ำ
note
=====
- ถึงแม้ว่าเราจะต้องการไอโอดีนในปริ มาณน้อย แต่จาเป็ นต้องได้รับไอโอดีนเป็ นประจํา
เพราะไอโอดี นไม่สามารถเก็บสะสมในร่ างกายได้นาน จึ งควรได้รับสารไอโอดี นจากการ
รับประทานอาหารในแต่ละวันจากเกลือบริ โภคเสริ มไอโอดีน
- ไอโอดีนเกี่ยวกับสมองได้ยังไง
http://mor-maew.exteen.com/20100828/entry
ที่มา
- ลดโง่กันเถอะ - แม่ทองต่อ พ่อประหยัด (4 กันยายน 53)
- http://www.thairath.co.th/today/view/105646
- http://iodinethailand.fda.moph.go.th/images/file/Question/Q1-42.pdf
- http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=anotherside&month=02-2010&date=22&group=17&gblog=202
ประสพการณ์, เรื่องราวทั่วไป, แง่คิด, มุมมอง ที่น่าสนใจ - สิริพงษ์ พงศ์ภิญโญภาพ
Showing posts with label Prove it then believe it. Show all posts
Showing posts with label Prove it then believe it. Show all posts
Monday, July 4, 2011
Thursday, June 2, 2011
founder of the Samsung Group
ฉันมีน้องชายอยู่คนหนึ่งอายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันเขามีกัน
เมื่อพ่อก็รู้เรื่อง พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่า ในมือพ่อมีไม้ไผ่หนึ่งก้าน
“ใครขโมยเงินไป”
พ่อตวาดฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายของฉันก็เช่นกัน พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
“ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่”
พ่อชูไม้ไผ่ในมือขึ้น ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือพ่อไว้แล้วพูดว่า
“ผมขโมยเองครับ”
ก้านไม้ไผ่กระหน่ำลงบนหลังน้องชายของฉัน พ่อโกรธมากและด่าน้องชายของฉัน
“ของคนในบ้าน แกยังขโมยได้ ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย”
คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ หลังของเขามีแผลเต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดังและนานมาก น้องเอามือเล็กๆของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
“พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะ มันผ่านไปแล้ว”
ยังไงฉันก็อดเกลียดตัวเองไม่ได้ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ หลายปีผ่านไป ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี……
เมื่อตอนน้องชายของฉันใกล้จบม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียนม.ปลายว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยเช่นกัน
คืนนั้นฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า “ลูกเราทั้งคู่เรียนดีมากนะ แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร เราก็ไม่ค่อยมีเงิน”ทันใดนั้นน้องชายของฉันเดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า “ผมไม่ต้องการเรียนต่อ ผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว”พ่อเหวี่ยงมือตบแก้มน้องของฉันฉาดใหญ่ “ทำไมถึงคิดโง่ๆอย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้”คืนนั้นทั้งคืน พ่อเดินไปตามบ้านต่างๆทั่วหมู่บ้าน….เพื่อขอยืมเงิน
วันต่อมาในตอนเช้ามืด น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมกับเสื้อผ้าติดตัวไม่กี่ชิ้น เขาทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉันขณะที่ฉันหลับ
“พี่ครับ การเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่ใช่ง่ายๆนะ…ผมจะไปหางานทำ แล้วส่งเงินมาให้พี่”
ฉันนั่งอยู่บนเตียงอ่านข้อความของน้องชาย ด้วยน้ำตานองหน้า
ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี……
ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน รวมกับเงินที่น้องชายได้รับเป็นค่าจ้างจาการทำงานเป็นกรรมกรที่ไซต์ก่อสร้าง ฉันจึงเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
วันหนึ่งขณะฉันนั่งอาจหนังสือในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันเข้ามาบอกว่า “มีชาวบ้านมาหาเธอ อยู่ข้างนอกแน่ะ” ฉันเดินออกไป เห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ ตัวเปรอะเปื้อนฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้างฉันถามเขาว่า “ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายของพี่ล่ะ” น้องชายของฉันตอบยิ้มๆว่า “ก็ดูผมสิ สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้ เพื่อนๆก็หัวเราะเยาะพี่กันพอดี”ฉันค่อยๆเอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้องชาย พูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ “พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดอย่างไร เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะเป็นอย่างไรก็ตาม”จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า “ผมเห็นสาวๆในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง”ฉันหมดเรี่ยวแรงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามากอดแล้วร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี……
วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มมาบ้านครั้งแรก ฉันสังเกตว่าหน้าต่างบ้านที่เคยแตกไปได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว และบ้านสะอาดขึ้นมาก หลังจากที่แฟนฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า “แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านและซ่อมกระจกเพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ” แม่ยิ้มและพูดว่า “แม่ไม่ได้จ้างหรอก น้องชายลูกต่างหาก วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน ลูกไม่เห็นมือของน้องหรอเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ” ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ ฉันจับมือน้องไว้อย่างเบามือที่สุด “เจ็บมากไหม” ฉันถาม
“ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้าง วันๆมีหินหล่นใส่เท้าเต็มไปหมด แต่มันไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ….”
น้ำตาไหลอาบหน้าฉันอีกครั้ง “
เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ”
ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี……
หลังจากนั้นฉันได้แต่งงาน สามีของฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันรับตำแหน่งผู้จัดการ แต่น้องชายของฉันไม่รับ เขาเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
วันหนึ่งเขาปีนไปซ่อมสายเคเบิ้ลและตกลงมาเพราะโดนไฟดูด ฉันและสามีไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือก ฉันโกรธมากจึงตวาดน้องไปว่า “ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!! จะได้ไม่ต้องทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมไม่ยอมฟังพี่บ้าง”คำตอบจากปากน้อง รวมทั้งสีหน้าเคร่งเครียด ยืนยันความคิดเดิมของเขา “พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งเป็นประธาน ส่วนผมการศึกษาต่ำ ถ้าผมเป็นผู้จัดการคงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด”น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย…ฉันบอกกับน้องว่า “แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่….” “ทำไมต้องพูดเรื่องที่ผ่านมาด้วยล่ะครับ” น้องชายจับมือของฉันไว้ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ29 ปี……
เมื่อน้องชายของฉันอายุ 30 ปี เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานเดียวกัน ในงานแต่งงาน ประธานได้ถามน้องชายของฉันว่า “ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้”น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล “พี่สาวของผมครับ” …และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้“
ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม เราสองคนต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมงเพื่อเดินไปโรงเรียน และเดินกลับบ้าน วันหนึ่งหิมะตกหนัก ผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวของผมจึงให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง และเธอใส่ถุงมือข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล เมื่อถึงบ้าน มือของเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ …นับจากวันนั้น ผมสาบานกับตัวเองว่า ตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีและจะทำดีกับเธอ”เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาของแขกเหรื่อทุกคู่จับจ้องที่ฉัน คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก
“ในโลกใบนี้ คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ”
ป.ล. ปัจจุบันพี่สาวอายุ 86 ปี ดำรงตำแหน่งผู้บริหารบริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท
น้องชายอายุ 83 ปี เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า “ซัมซุง”
ที่มา Fwd mail
ว่าแต่
Lee Byung-chull (February 12, 1910 in Uiryeong, Gyeongsangnam-do, – November 19, 1987 in Seoul) was the founder of the Samsung Group. He was the son of a wealthy landowning family....
http://en.wikipedia.org/wiki/Lee_Byung-chull
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันเขามีกัน
เมื่อพ่อก็รู้เรื่อง พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่า ในมือพ่อมีไม้ไผ่หนึ่งก้าน
“ใครขโมยเงินไป”
พ่อตวาดฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายของฉันก็เช่นกัน พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
“ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่”
พ่อชูไม้ไผ่ในมือขึ้น ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือพ่อไว้แล้วพูดว่า
“ผมขโมยเองครับ”
ก้านไม้ไผ่กระหน่ำลงบนหลังน้องชายของฉัน พ่อโกรธมากและด่าน้องชายของฉัน
“ของคนในบ้าน แกยังขโมยได้ ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย”
คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ หลังของเขามีแผลเต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดังและนานมาก น้องเอามือเล็กๆของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
“พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะ มันผ่านไปแล้ว”
ยังไงฉันก็อดเกลียดตัวเองไม่ได้ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ หลายปีผ่านไป ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี……
เมื่อตอนน้องชายของฉันใกล้จบม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียนม.ปลายว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยเช่นกัน
คืนนั้นฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า “ลูกเราทั้งคู่เรียนดีมากนะ แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร เราก็ไม่ค่อยมีเงิน”ทันใดนั้นน้องชายของฉันเดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า “ผมไม่ต้องการเรียนต่อ ผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว”พ่อเหวี่ยงมือตบแก้มน้องของฉันฉาดใหญ่ “ทำไมถึงคิดโง่ๆอย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้”คืนนั้นทั้งคืน พ่อเดินไปตามบ้านต่างๆทั่วหมู่บ้าน….เพื่อขอยืมเงิน
วันต่อมาในตอนเช้ามืด น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมกับเสื้อผ้าติดตัวไม่กี่ชิ้น เขาทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉันขณะที่ฉันหลับ
“พี่ครับ การเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่ใช่ง่ายๆนะ…ผมจะไปหางานทำ แล้วส่งเงินมาให้พี่”
ฉันนั่งอยู่บนเตียงอ่านข้อความของน้องชาย ด้วยน้ำตานองหน้า
ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี……
ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน รวมกับเงินที่น้องชายได้รับเป็นค่าจ้างจาการทำงานเป็นกรรมกรที่ไซต์ก่อสร้าง ฉันจึงเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
วันหนึ่งขณะฉันนั่งอาจหนังสือในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันเข้ามาบอกว่า “มีชาวบ้านมาหาเธอ อยู่ข้างนอกแน่ะ” ฉันเดินออกไป เห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ ตัวเปรอะเปื้อนฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้างฉันถามเขาว่า “ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายของพี่ล่ะ” น้องชายของฉันตอบยิ้มๆว่า “ก็ดูผมสิ สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้ เพื่อนๆก็หัวเราะเยาะพี่กันพอดี”ฉันค่อยๆเอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้องชาย พูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ “พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดอย่างไร เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะเป็นอย่างไรก็ตาม”จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า “ผมเห็นสาวๆในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง”ฉันหมดเรี่ยวแรงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามากอดแล้วร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี……
วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มมาบ้านครั้งแรก ฉันสังเกตว่าหน้าต่างบ้านที่เคยแตกไปได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว และบ้านสะอาดขึ้นมาก หลังจากที่แฟนฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า “แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านและซ่อมกระจกเพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ” แม่ยิ้มและพูดว่า “แม่ไม่ได้จ้างหรอก น้องชายลูกต่างหาก วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน ลูกไม่เห็นมือของน้องหรอเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ” ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ ฉันจับมือน้องไว้อย่างเบามือที่สุด “เจ็บมากไหม” ฉันถาม
“ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้าง วันๆมีหินหล่นใส่เท้าเต็มไปหมด แต่มันไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ….”
น้ำตาไหลอาบหน้าฉันอีกครั้ง “
เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ”
ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี……
หลังจากนั้นฉันได้แต่งงาน สามีของฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันรับตำแหน่งผู้จัดการ แต่น้องชายของฉันไม่รับ เขาเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
วันหนึ่งเขาปีนไปซ่อมสายเคเบิ้ลและตกลงมาเพราะโดนไฟดูด ฉันและสามีไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือก ฉันโกรธมากจึงตวาดน้องไปว่า “ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!! จะได้ไม่ต้องทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมไม่ยอมฟังพี่บ้าง”คำตอบจากปากน้อง รวมทั้งสีหน้าเคร่งเครียด ยืนยันความคิดเดิมของเขา “พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งเป็นประธาน ส่วนผมการศึกษาต่ำ ถ้าผมเป็นผู้จัดการคงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด”น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย…ฉันบอกกับน้องว่า “แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่….” “ทำไมต้องพูดเรื่องที่ผ่านมาด้วยล่ะครับ” น้องชายจับมือของฉันไว้ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ29 ปี……
เมื่อน้องชายของฉันอายุ 30 ปี เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานเดียวกัน ในงานแต่งงาน ประธานได้ถามน้องชายของฉันว่า “ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้”น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล “พี่สาวของผมครับ” …และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้“
ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม เราสองคนต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมงเพื่อเดินไปโรงเรียน และเดินกลับบ้าน วันหนึ่งหิมะตกหนัก ผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวของผมจึงให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง และเธอใส่ถุงมือข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล เมื่อถึงบ้าน มือของเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ …นับจากวันนั้น ผมสาบานกับตัวเองว่า ตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีและจะทำดีกับเธอ”เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาของแขกเหรื่อทุกคู่จับจ้องที่ฉัน คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก
“ในโลกใบนี้ คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ”
ป.ล. ปัจจุบันพี่สาวอายุ 86 ปี ดำรงตำแหน่งผู้บริหารบริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท
น้องชายอายุ 83 ปี เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า “ซัมซุง”
ที่มา Fwd mail
ว่าแต่
Lee Byung-chull (February 12, 1910 in Uiryeong, Gyeongsangnam-do, – November 19, 1987 in Seoul) was the founder of the Samsung Group. He was the son of a wealthy landowning family....
http://en.wikipedia.org/wiki/Lee_Byung-chull
Labels:
Prove it then believe it
Subscribe to:
Posts (Atom)