Tuesday, November 17, 2015

Gap Year

หนึ่งปี...ที่ไม่เท่ากัน
» โดย หนูดี - วนิษา เรซ

เวลาหนึ่งปีมีค่าไม่เท่ากันสำหรับคนสองคน ไม่เท่ากันสำหรับคนสามคน และไม่เท่ากันสำหรับคนสิบคน แม้เวลาในปฏิทินจะเท่ากันก็ตาม

ตอนอายุสิบแปด...

หนูดีเคยได้รับสิทธิพิเศษที่เด็กไทยน้อยคนจะได้รับในวันที่เรียนจบชั้นมัธยมศึกษา แต่เด็กอเมริกันหรืออังกฤษได้รับกันเป็นเรื่องธรรมดา นั่นคือ

คำอนุญาตให้เดินทางท่องเที่ยวหรือเรียนอะไรก็ได้เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม โดยยังไม่ต้องตรงดิ่งเข้ามหาวิทยาลัยในทันทีเหมือนเพื่อน ๆ ที่จบพร้อมกัน

แนวคิดนี้เด็กฝรั่งเรียกกันว่า “Gap Year” หรือ “หนึ่งปีระหว่าง” ที่พวกเขามักออกเดินทางท่องโลก

หรือไปลองทำงานในสาขาที่กำลังคิดจะเรียนต่อด้านนั้น

หรือไปทำงานอาสาสมัครในประเทศโลกที่สาม

โดยเด็ก ๆ และพ่อแม่หวังว่า ภายในเวลาหนึ่งปีที่ไม่ต้องถูกจำกัดด้วยระบบการศึกษา พวกเขาจะรู้จักตัวเองมากขึ้น รู้จักโลกมากขึ้น

และกลับมาตัดสินใจเลือกเรียนได้ในสาขาที่เหมาะกับตัวเองที่สุด

◌◌◌◌◌◌

หลายครั้งพวกเขาพบว่า...

วิชาที่เคยคิดว่าอยากเรียน เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่ได้อยากเรียนขนาดนั้น ที่เคยคิดว่าชอบ เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้น

แถมพอเปิดหูเปิดตาเปิดโลกก็มองเห็นโอกาสใหม่ ๆ อาชีพใหม่ ๆ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ได้เจอคนจากที่ต่าง ๆ ที่ให้คำแนะนำต่อชีวิตที่เป็นประโยชน์ต่อมาอีกในระยะยา

หนูดีได้พบเพื่อนฝรั่งหลายคนที่ใช้ “Gap Year” เสียคุ้มเกินคุ้ม

บางคน...ไปทำงานอาสาสมัครในเม็กซิโก แล้วกลับมาตัดสินใจสมัครเรียนหมอ เพื่อกลับไปช่วยคนประเทศนั้

บางคน...ตัดสินใจเรียนกฎหมาย เพื่อไปช่วยคนที่ถูกเอาเปรียบ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยคิดเป็นทนายมาก่อน

บางคนเรียนด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะติดใจการเดินทางเข้าเสียแล้ว

◌◌◌◌◌◌

ชีวิตหลายคนเปลี่ยนไปในทางที่ดีหลัง`หนึ่งปีระหว่าง´

นับว่าแม่ของหนูดีกล้ามากที่อนุญาตแบบนั้นในตอนนั้น เพราะแม่ไม่บังคับอะไรเลย บอกให้หนูดี “เต็มที่” กับการเดินทางของชีวิตบทใหม่ในครั้งนี้

ส่วนเพื่อน ๆ แม่ก็ดูไม่ค่อยมีใครเห็นด้วยกับ “วิธีเลี้ยงลูก” แบบนั้น เพราะแทบทุกคนลงความเห็นว่า มันเป็นการเสียเวลาอย่างยิ่งไปเปล่า ๆ หนึ่งปีโดยไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย

...แต่จริงหรือ !?

◌◌◌◌◌◌

ปีนั้นเป็นปีที่หนูดีลืมไม่ลง และมีผลกับการตัดสินใจของหนูดีตลอดมาอีกทั้งชีวิต

ทำให้หนูดีเลือกเรียนในสิ่งที่เหมาะกับตัวเองที่สุดมาเรื่อย ๆ

ทำให้หนูดีเห็นโลกกว้างและเข้าใจ “โลกแห่งความเป็นจริง” ที่ชีวิตไม่ใช่แค่การทำการบ้านไปส่งครู

หรือเห็นการทะเลาะกับเพื่อนรักเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในโลกอีกแล้ว

หนูดีใช้เวลานั้นไปเรียนละคร เรียนร้องเพลง ไปทำงานอาสาสมัคร และไปฝึกงานแบบจริงจัง

◌◌◌◌◌◌

หนึ่งในงานที่หนูดีได้ลองทำคือ...

การฝึกงานในโรงแรมห้าดาวโรงแรมหนึ่ง ซึ่งหนูดีต้องทำทุกอย่าง ตั้งแต่ขัดห้องน้ำไปจนถึงเช็ดรองเท้าให้แขก

นี่เป็นคำแนะนำจากคุณแม่ เพราะอยากให้ลูกสาวได้ลำบากเสียบ้าง และก็ได้ลำบากสมใจ แต่แถมความสนุกมาอีกเป็นกระบุง

เพราะการได้ฝึกงานแผนกต่าง ๆ ตั้งแต่หลังบ้าน ไปจนถึงห้องทำดอกไม้ ทำให้หนูดีได้เห็นวิธีคิดของคนที่ต้องทำงานบริการให้ออกมาสมบูรณ์แบบทุกวินาที พลาดไม่ได้เพราะแขกจ่ายแพงมากก็หวังมาก

เห็นกับตาถึงความเหนื่อยยากของคนที่อยู่ฟากของการให้บริการ จนกลายเป็นนิสัยติดตัวมาทุกวันนี้ว่า หนูดีมักจะให้ทิปเยอะไว้เสม

หนแรกที่ได้ทิปมาหนึ่งร้อยบาทนั้นน้ำตาแทบร่วง เพราะการรับใช้มันช่างเหนื่อยเหลือเกินค่ะ

และพอมีคนเห็นค่าเราก็หวั่นไหวได้ง่าย ๆ

ตอนแรกที่แม่ขอให้ฝึกงานนี้หนูดีก็ไม่เข้าใจ แต่พอได้ไปทำก็ซึ้งเลยว่า แม่อยากสอนอะไร

จากเด็กที่มีแม่บ้านมาทั้งชีวิต พอต้องกลายเป็น “แม่บ้าน” เองก็ได้เหนื่อยสมใจแม่

ที่ขำก็คือ... วันหนึ่งหนูดีขัดห้องน้ำใกล้กับล็อบบี้ ก็มีแขกผู้หญิงเดินเข้ามาหน้าคุ้น ๆ ที่แท้คือ เพื่อนของคุณแม่

คุณน้าดูท่าทางงงมากถามว่า “หนูดี หนูมาทำอะไรลูก”

พอรู้หน้าที่ก็ขำใหญ่ และยังเป็นเรื่องที่ขำกันได้จนทุกวันนี้

◌◌◌◌◌◌

แม้เวลาผ่านมาประมาณสิบปีแล้ว... ชีวิตช่วงนั้นทำให้หนูดีเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถึงหัวใจของคนที่ทำงานให้หนูดีทุกคน

ส่งผลให้หนูดีไม่เคยขึ้นเสียงใส่พนักงานแม้แต่คนเดียว ไหว้แม่บ้านและคนขับรถทุกคนก่อน

และคิดด้วยหัวใจถึงเขาและครอบครัวในทุกครั้งที่ถึงช่วงขึ้นเงินเดือนประจำปี ไม่ได้ชั่งน้ำหนักแค่คำว่า “ธุรกิจ” เสมอไป

จริง ๆ แล้ว เทรนด์ที่พูดถึงคุณธรรมในการทำธุรกิจไม่ได้ใหม่ในความรู้สึกหนูดีเลย

เพราะถ้าเจ้าของกิจการได้ลองพลิกบทบาทไปอยู่อีกฝั่งบ้าง คำว่า “ความยุติธรรม” จะผุดขึ้นมาในใจเอง โดยไม่ต้องเข้าเรียนคลาส “Business Ethics” ที่ฮิตกันนักหนาตอนนี้เลย

และถ้าไม่เคยต้องยืนอยู่ในจุดนั้นด้วยตัวเอง หนูดีคงเข้าใจชีวิตผิวเผินกว่านี้อีกมาก

◌◌◌◌◌◌

หนึ่งปีตรงนั้น... ไปกระตุ้นต่อมความคิดสร้างสรรค์ของหนูดีเข้าอย่างจังอีกด้วย

เพราะจากที่มีคนบอกว่า ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ การบ้านต้องส่งเวลานี้ รายงานต้องทำหัวข้อนี้

กลายเป็นว่า...โลกนี้เปิดกว้าง และไม่มีใครกำหนดอะไรอีกแล้

จริง ๆ แล้ว เวลาไม่มีใครมาบอกว่าเราควรทำอะไรเป็นเวลาที่น่ากลัวที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเวลาที่ท้าทายที่สุดเช่นกัน

หนูดีเริ่มคิดโปรเจกต์ใหม่ ๆ เริ่มวางแผนชีวิต เริ่มนั่งลงดูชีวิตตัวเองอย่างจริงจังก็ปีนั้น

และที่ดีที่สุดก็คือ หนูดีเปลี่ยนสาขาที่คิดจะเรียนปริญญาตรีจริง ๆ เสียด้วย ทั้ง ๆ ที่ไม่คิดเลยว่าจะเปลี่ยน

ดังนั้นแทนที่จะ รีบ ๆ เรียนให้จบ ๆ ไปสี่ปี แล้วต้องเสียเวลาไปฟรี ๆ สี่ปีในชีวิตเพราะไปเรียนด้านที่ไม่ชอบอย่างแท้จริง

กลายเป็นว่าหนูดีได้รู้ใจตัวเองในนาทีที่เดินเข้ามหาวิทยาลัยเลย

◌◌◌◌◌◌

หนึ่งปีที่ใช้ไปจึงแสนคุ้มค่า เวลาผ่านไปรวดเร็ว และของแถมที่ได้มาก็คือ “ความเป็นผู้ใหญ่” ที่ตัดสินใจเป็นตั้งแต่เป็นเด็กปีหนึ่ง

เพราะหนึ่งปีนั้น คุณแม่ขอร้องให้ไปเรียนผสมเหล้าและชิมไวน์ วิชาที่ปกติลูกผู้หญิงคงไม่ได้เรียนกันเท่าไร

แต่คำอธิบายของแม่ก็คือ ลูกสาวต้องรู้จักเหล้าจะได้ดูแลตัวเองเป็น เพราะบ้านเราไม่มีใครดื่มเหล้ากันเลย

จากเด็กที่ไม่หยิบเหล้ากลายเป็นรู้จักและผสมเป็นทุกอย่าง รู้อีกด้วยว่าดื่มอย่างไรถึงไม่เมา เหล้าอะไรมีไว้มอมผู้หญิง

(แน่นอนค่ะ ครูของหนูดีซึ่งเป็นผู้ชายใจดีวัยกลางคน รีบสอนเรื่องนี้กับนักเรียนสาว ๆ เป็นอย่างแรกด้วยความเป็นห่วงพวกเรา)

หนูดีรู้ราคาต้นทุนของเหล้าทุกแก้ว ทำให้ยิ่งไม่อยากดื่มเข้าไปใหญ่

และพอไปเรียนต่อต่างประเทศเลยได้วิชาที่แม่ให้ไปเรียนเล่น ๆ เพื่อให้รู้มาหารายได้พิเศษเสียเลย ด้วยการเป็นบาร์เทนเดอร์ และพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารไทย

ทำให้ชีวิตมหาวิทยาลัยต่างแดนกลายเป็นเรื่องแสนสนุก ได้เพื่อนใหม่ ๆ ในร้านอาหารไทยที่ยังคบกันจนทุกวันนี้

แถมได้เงินพิเศษขนาดบางเดือนจ่ายค่าเช่าบ้านได้เลยค่ะ


◌◌◌◌◌◌

น่าเสียดาย หลายครั้งที่หนูดีเห็นพ่อแม่ไทยรีบบังคับให้ลูก ๆ รีบเรียนให้จบ

พอจบปริญญาตรีก็ให้รีบต่อ ปริญญาโท จบแล้วให้รีบทำงาน ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เห็นโลกกว้างเท่าไรเลย

ทำงานไม่เท่าไรก็รีบแต่งงาน มีลูกกันเสียแล้ว แล้วคราวนี้พอมีลูก ก็ยาวแล้วค่ะ เพราะการมีลูกคือ งานที่มีอายุประมาณยี่สิบปีอย่างต่ำ ลาออกไม่ได้เสียด้วย

หนูดีคิดว่า...หนูดีอยากเห็นเด็กไทยมีโอกาสได้รับสิทธิพิเศษของการใช้ “หนึ่งปี ระหว่าง” เพื่อปรับเข็มทิศ เช็กมุมมองชีวิต

ทำความรู้จักโลกที่กว้างกว่า...บ้าน กับ ห้องเรียน โดยไม่ต้องรู้สึกผิดว่าเขาโยนเวลาทิ้งไปเปล่า ๆ หนึ่งปีดูบ้าง

ทั้ง ๆ ที่ความจริงการรีบร้อนวิ่งเข้ามหาวิทยาลัยโดย ไม่รู้จักตัวเอง อาจทำให้เขาโยนเวลาทิ้งไปเปล่า ๆ สี่ปี เหมือนกับเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย

◌◌◌◌◌◌

หนึ่งปีนั้น...ยังส่งผลให้หนูดีเป็นมิตรกับการเดินทางเรียนรู้รอบโลกมาจนทุกวันนี้

ทำให้หนูดีเห็นโลกนี้ เป็นเหมือนห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ห้องใหญ่ ที่ค้นคว้าอย่างไรก็ไม่จบสิ้น ตื่นเต้นได้ทุก ๆ วัน

หนึ่งปีของแต่ละคนไม่เท่ากันจริง ๆ ค่ะ

แล้วหนึ่งปีของคุณผู้อ่าน...มีความยาวเท่าไหนคะ ?

◌◌◌◌◌◌

Credit บทความ : หนูดี - วนิษา เรซ

No comments:

Post a Comment