Tuesday, November 17, 2015

Development


Relationship when Think different


responsive to change

Fuji กับ Kodak เมื่อยี่สิบปีที่แล้วแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย พวกเขาคือ Apple กับ Samsung ในยุคยี่สิบปีที่แล้ว

ทุกวันนี้ Kodak ขึ้นสวรรค์ไปแล้ว คำถามคือวันนี้ Fuji มีสถานภาพอย่างไร

ผู้บริหารของ Fuji ชื่อ Yojiro Yamashita บอกว่า
Fuji รู้ดีตั้งแต่ปี 1980 ว่าโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อันเป็นผลมาจาก Digital technology
เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงกวาดเอา Analog film ให้หมดไปจากโลกในเวลาเพียงสิบปี
สาเหตุที่ Fuji คาดเดาอนาคตได้ล่วงหน้าเพราะ Fuji เป็นผู้ผลิตกล้อง Digital คนแรกของโลกในปี 1988
ถ้าพวกเขาทำได้ แน่นอนต้องมีคนทำตาม แล้วสุดท้าย Digital film ต้องครองโลก ***

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Fuji ทำ Forward planning ด้วยการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่
โดยใช้พื้นฐานของสิ่งที่ตัวเองทำเป็นตัวตั้งต้น แล้วดูว่าสามารถขยายตัวออกไปที่ธุรกิจอื่นใดได้บ้าง
ในปี 2006 Fuji ลงทุนสร้างห้อง Lab ที่เมือง Kaisei เพื่อใช้เป็นฐานในการผลิตสินค้าใหม่ๆ

และที่ห้อง Lab นี้เกิดคำว่า Life science ความฉลาดและช่างสังเกตุของทีมวิจัยของ Fuji ค้นพบว่า
ในการผลิต Film พวกเขาต้องใช้ Collagen เคลือบ Film เพื่อไม่ให้ Film เสื่อมคุณภาพ
และพวกเขามี Know how ที่รู้ว่าจะควบคุมไม่ให้แสงสร้างความเสียหายกับ Film ได้อย่างไร

Fuji จึงนำความรู้เหล่านี้ Cross transfer มาสร้างเป็นธุรกิจ Skin care

วิธีคิดคือ Film กับ ผิวหน้าของคนเราก็มีความคล้ายคลึงกัน

Film โดนแสงก็จะเสียหาย เช่นเดียวกันผิวหน้าของคุณผู้หญิงโดนแสงแดดก็จะมีรอยด่างดำ
ที่สำคัญความรู้ของพวกเขาในเรื่อง Collagen คือตัวตั้งต้นที่ใช้ในการผลิตเครื่องสำอางค์

นี่คือเส้นผมบังภูเขา ที่ Fuji เปลี่ยนสนามรบ
ถ้าพวกเขาดูแล Film ให้มีสีสรรสดสวยได้ พวกเขาก็น่าจะช่วยคุณผู้หญิงมีผิวหน้าที่งามเปล่งปลั่งได้เช่นเดียวกัน

ภายในเวลาหนึ่งปี Fuji ทำสิ่งที่เรียกว่า Cross industry learning
นำองค์ความรู้ในการผลิต Film มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนา Skin care product line
แล้ววางตลาดภายใต้ชื่อ Astalift ในปี 2007 สินค้าได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี
เพราะผลิตด้วย Nanotechnology ยอดขายในปี 2010 มีมูลค่า 10,000 ล้านเยน
ตอนนี้สินค้าตัวนี้เริ่มอาละวาดในตลาดโลก มีขายในประเทศจีน และขยายตัวไปในทวีปยุโรป Fuji
ตั้งเป้าว่า Astalift ในปี 2018 จะมียอดขายถึง 1 ล้านล้านเยน

คือความชาญฉลาดของการทำสิ่งที่เรียกว่า Natural extension โดยใช้ทุนเดิมเป็นตัวตั้งต้น

Charles Darwin เคยพูดไว้ว่า
It is not the strongest of the species that survives,
nor the most intelligent, but the one most responsive to change”

http://www.blacksheep.co.th/news/business/different-story/

Gap Year

หนึ่งปี...ที่ไม่เท่ากัน
» โดย หนูดี - วนิษา เรซ

เวลาหนึ่งปีมีค่าไม่เท่ากันสำหรับคนสองคน ไม่เท่ากันสำหรับคนสามคน และไม่เท่ากันสำหรับคนสิบคน แม้เวลาในปฏิทินจะเท่ากันก็ตาม

ตอนอายุสิบแปด...

หนูดีเคยได้รับสิทธิพิเศษที่เด็กไทยน้อยคนจะได้รับในวันที่เรียนจบชั้นมัธยมศึกษา แต่เด็กอเมริกันหรืออังกฤษได้รับกันเป็นเรื่องธรรมดา นั่นคือ

คำอนุญาตให้เดินทางท่องเที่ยวหรือเรียนอะไรก็ได้เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม โดยยังไม่ต้องตรงดิ่งเข้ามหาวิทยาลัยในทันทีเหมือนเพื่อน ๆ ที่จบพร้อมกัน

แนวคิดนี้เด็กฝรั่งเรียกกันว่า “Gap Year” หรือ “หนึ่งปีระหว่าง” ที่พวกเขามักออกเดินทางท่องโลก

หรือไปลองทำงานในสาขาที่กำลังคิดจะเรียนต่อด้านนั้น

หรือไปทำงานอาสาสมัครในประเทศโลกที่สาม

โดยเด็ก ๆ และพ่อแม่หวังว่า ภายในเวลาหนึ่งปีที่ไม่ต้องถูกจำกัดด้วยระบบการศึกษา พวกเขาจะรู้จักตัวเองมากขึ้น รู้จักโลกมากขึ้น

และกลับมาตัดสินใจเลือกเรียนได้ในสาขาที่เหมาะกับตัวเองที่สุด

◌◌◌◌◌◌

หลายครั้งพวกเขาพบว่า...

วิชาที่เคยคิดว่าอยากเรียน เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่ได้อยากเรียนขนาดนั้น ที่เคยคิดว่าชอบ เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้น

แถมพอเปิดหูเปิดตาเปิดโลกก็มองเห็นโอกาสใหม่ ๆ อาชีพใหม่ ๆ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ได้เจอคนจากที่ต่าง ๆ ที่ให้คำแนะนำต่อชีวิตที่เป็นประโยชน์ต่อมาอีกในระยะยา

หนูดีได้พบเพื่อนฝรั่งหลายคนที่ใช้ “Gap Year” เสียคุ้มเกินคุ้ม

บางคน...ไปทำงานอาสาสมัครในเม็กซิโก แล้วกลับมาตัดสินใจสมัครเรียนหมอ เพื่อกลับไปช่วยคนประเทศนั้

บางคน...ตัดสินใจเรียนกฎหมาย เพื่อไปช่วยคนที่ถูกเอาเปรียบ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยคิดเป็นทนายมาก่อน

บางคนเรียนด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะติดใจการเดินทางเข้าเสียแล้ว

◌◌◌◌◌◌

ชีวิตหลายคนเปลี่ยนไปในทางที่ดีหลัง`หนึ่งปีระหว่าง´

นับว่าแม่ของหนูดีกล้ามากที่อนุญาตแบบนั้นในตอนนั้น เพราะแม่ไม่บังคับอะไรเลย บอกให้หนูดี “เต็มที่” กับการเดินทางของชีวิตบทใหม่ในครั้งนี้

ส่วนเพื่อน ๆ แม่ก็ดูไม่ค่อยมีใครเห็นด้วยกับ “วิธีเลี้ยงลูก” แบบนั้น เพราะแทบทุกคนลงความเห็นว่า มันเป็นการเสียเวลาอย่างยิ่งไปเปล่า ๆ หนึ่งปีโดยไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย

...แต่จริงหรือ !?

◌◌◌◌◌◌

ปีนั้นเป็นปีที่หนูดีลืมไม่ลง และมีผลกับการตัดสินใจของหนูดีตลอดมาอีกทั้งชีวิต

ทำให้หนูดีเลือกเรียนในสิ่งที่เหมาะกับตัวเองที่สุดมาเรื่อย ๆ

ทำให้หนูดีเห็นโลกกว้างและเข้าใจ “โลกแห่งความเป็นจริง” ที่ชีวิตไม่ใช่แค่การทำการบ้านไปส่งครู

หรือเห็นการทะเลาะกับเพื่อนรักเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในโลกอีกแล้ว

หนูดีใช้เวลานั้นไปเรียนละคร เรียนร้องเพลง ไปทำงานอาสาสมัคร และไปฝึกงานแบบจริงจัง

◌◌◌◌◌◌

หนึ่งในงานที่หนูดีได้ลองทำคือ...

การฝึกงานในโรงแรมห้าดาวโรงแรมหนึ่ง ซึ่งหนูดีต้องทำทุกอย่าง ตั้งแต่ขัดห้องน้ำไปจนถึงเช็ดรองเท้าให้แขก

นี่เป็นคำแนะนำจากคุณแม่ เพราะอยากให้ลูกสาวได้ลำบากเสียบ้าง และก็ได้ลำบากสมใจ แต่แถมความสนุกมาอีกเป็นกระบุง

เพราะการได้ฝึกงานแผนกต่าง ๆ ตั้งแต่หลังบ้าน ไปจนถึงห้องทำดอกไม้ ทำให้หนูดีได้เห็นวิธีคิดของคนที่ต้องทำงานบริการให้ออกมาสมบูรณ์แบบทุกวินาที พลาดไม่ได้เพราะแขกจ่ายแพงมากก็หวังมาก

เห็นกับตาถึงความเหนื่อยยากของคนที่อยู่ฟากของการให้บริการ จนกลายเป็นนิสัยติดตัวมาทุกวันนี้ว่า หนูดีมักจะให้ทิปเยอะไว้เสม

หนแรกที่ได้ทิปมาหนึ่งร้อยบาทนั้นน้ำตาแทบร่วง เพราะการรับใช้มันช่างเหนื่อยเหลือเกินค่ะ

และพอมีคนเห็นค่าเราก็หวั่นไหวได้ง่าย ๆ

ตอนแรกที่แม่ขอให้ฝึกงานนี้หนูดีก็ไม่เข้าใจ แต่พอได้ไปทำก็ซึ้งเลยว่า แม่อยากสอนอะไร

จากเด็กที่มีแม่บ้านมาทั้งชีวิต พอต้องกลายเป็น “แม่บ้าน” เองก็ได้เหนื่อยสมใจแม่

ที่ขำก็คือ... วันหนึ่งหนูดีขัดห้องน้ำใกล้กับล็อบบี้ ก็มีแขกผู้หญิงเดินเข้ามาหน้าคุ้น ๆ ที่แท้คือ เพื่อนของคุณแม่

คุณน้าดูท่าทางงงมากถามว่า “หนูดี หนูมาทำอะไรลูก”

พอรู้หน้าที่ก็ขำใหญ่ และยังเป็นเรื่องที่ขำกันได้จนทุกวันนี้

◌◌◌◌◌◌

แม้เวลาผ่านมาประมาณสิบปีแล้ว... ชีวิตช่วงนั้นทำให้หนูดีเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถึงหัวใจของคนที่ทำงานให้หนูดีทุกคน

ส่งผลให้หนูดีไม่เคยขึ้นเสียงใส่พนักงานแม้แต่คนเดียว ไหว้แม่บ้านและคนขับรถทุกคนก่อน

และคิดด้วยหัวใจถึงเขาและครอบครัวในทุกครั้งที่ถึงช่วงขึ้นเงินเดือนประจำปี ไม่ได้ชั่งน้ำหนักแค่คำว่า “ธุรกิจ” เสมอไป

จริง ๆ แล้ว เทรนด์ที่พูดถึงคุณธรรมในการทำธุรกิจไม่ได้ใหม่ในความรู้สึกหนูดีเลย

เพราะถ้าเจ้าของกิจการได้ลองพลิกบทบาทไปอยู่อีกฝั่งบ้าง คำว่า “ความยุติธรรม” จะผุดขึ้นมาในใจเอง โดยไม่ต้องเข้าเรียนคลาส “Business Ethics” ที่ฮิตกันนักหนาตอนนี้เลย

และถ้าไม่เคยต้องยืนอยู่ในจุดนั้นด้วยตัวเอง หนูดีคงเข้าใจชีวิตผิวเผินกว่านี้อีกมาก

◌◌◌◌◌◌

หนึ่งปีตรงนั้น... ไปกระตุ้นต่อมความคิดสร้างสรรค์ของหนูดีเข้าอย่างจังอีกด้วย

เพราะจากที่มีคนบอกว่า ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ การบ้านต้องส่งเวลานี้ รายงานต้องทำหัวข้อนี้

กลายเป็นว่า...โลกนี้เปิดกว้าง และไม่มีใครกำหนดอะไรอีกแล้

จริง ๆ แล้ว เวลาไม่มีใครมาบอกว่าเราควรทำอะไรเป็นเวลาที่น่ากลัวที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเวลาที่ท้าทายที่สุดเช่นกัน

หนูดีเริ่มคิดโปรเจกต์ใหม่ ๆ เริ่มวางแผนชีวิต เริ่มนั่งลงดูชีวิตตัวเองอย่างจริงจังก็ปีนั้น

และที่ดีที่สุดก็คือ หนูดีเปลี่ยนสาขาที่คิดจะเรียนปริญญาตรีจริง ๆ เสียด้วย ทั้ง ๆ ที่ไม่คิดเลยว่าจะเปลี่ยน

ดังนั้นแทนที่จะ รีบ ๆ เรียนให้จบ ๆ ไปสี่ปี แล้วต้องเสียเวลาไปฟรี ๆ สี่ปีในชีวิตเพราะไปเรียนด้านที่ไม่ชอบอย่างแท้จริง

กลายเป็นว่าหนูดีได้รู้ใจตัวเองในนาทีที่เดินเข้ามหาวิทยาลัยเลย

◌◌◌◌◌◌

หนึ่งปีที่ใช้ไปจึงแสนคุ้มค่า เวลาผ่านไปรวดเร็ว และของแถมที่ได้มาก็คือ “ความเป็นผู้ใหญ่” ที่ตัดสินใจเป็นตั้งแต่เป็นเด็กปีหนึ่ง

เพราะหนึ่งปีนั้น คุณแม่ขอร้องให้ไปเรียนผสมเหล้าและชิมไวน์ วิชาที่ปกติลูกผู้หญิงคงไม่ได้เรียนกันเท่าไร

แต่คำอธิบายของแม่ก็คือ ลูกสาวต้องรู้จักเหล้าจะได้ดูแลตัวเองเป็น เพราะบ้านเราไม่มีใครดื่มเหล้ากันเลย

จากเด็กที่ไม่หยิบเหล้ากลายเป็นรู้จักและผสมเป็นทุกอย่าง รู้อีกด้วยว่าดื่มอย่างไรถึงไม่เมา เหล้าอะไรมีไว้มอมผู้หญิง

(แน่นอนค่ะ ครูของหนูดีซึ่งเป็นผู้ชายใจดีวัยกลางคน รีบสอนเรื่องนี้กับนักเรียนสาว ๆ เป็นอย่างแรกด้วยความเป็นห่วงพวกเรา)

หนูดีรู้ราคาต้นทุนของเหล้าทุกแก้ว ทำให้ยิ่งไม่อยากดื่มเข้าไปใหญ่

และพอไปเรียนต่อต่างประเทศเลยได้วิชาที่แม่ให้ไปเรียนเล่น ๆ เพื่อให้รู้มาหารายได้พิเศษเสียเลย ด้วยการเป็นบาร์เทนเดอร์ และพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารไทย

ทำให้ชีวิตมหาวิทยาลัยต่างแดนกลายเป็นเรื่องแสนสนุก ได้เพื่อนใหม่ ๆ ในร้านอาหารไทยที่ยังคบกันจนทุกวันนี้

แถมได้เงินพิเศษขนาดบางเดือนจ่ายค่าเช่าบ้านได้เลยค่ะ


◌◌◌◌◌◌

น่าเสียดาย หลายครั้งที่หนูดีเห็นพ่อแม่ไทยรีบบังคับให้ลูก ๆ รีบเรียนให้จบ

พอจบปริญญาตรีก็ให้รีบต่อ ปริญญาโท จบแล้วให้รีบทำงาน ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เห็นโลกกว้างเท่าไรเลย

ทำงานไม่เท่าไรก็รีบแต่งงาน มีลูกกันเสียแล้ว แล้วคราวนี้พอมีลูก ก็ยาวแล้วค่ะ เพราะการมีลูกคือ งานที่มีอายุประมาณยี่สิบปีอย่างต่ำ ลาออกไม่ได้เสียด้วย

หนูดีคิดว่า...หนูดีอยากเห็นเด็กไทยมีโอกาสได้รับสิทธิพิเศษของการใช้ “หนึ่งปี ระหว่าง” เพื่อปรับเข็มทิศ เช็กมุมมองชีวิต

ทำความรู้จักโลกที่กว้างกว่า...บ้าน กับ ห้องเรียน โดยไม่ต้องรู้สึกผิดว่าเขาโยนเวลาทิ้งไปเปล่า ๆ หนึ่งปีดูบ้าง

ทั้ง ๆ ที่ความจริงการรีบร้อนวิ่งเข้ามหาวิทยาลัยโดย ไม่รู้จักตัวเอง อาจทำให้เขาโยนเวลาทิ้งไปเปล่า ๆ สี่ปี เหมือนกับเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย

◌◌◌◌◌◌

หนึ่งปีนั้น...ยังส่งผลให้หนูดีเป็นมิตรกับการเดินทางเรียนรู้รอบโลกมาจนทุกวันนี้

ทำให้หนูดีเห็นโลกนี้ เป็นเหมือนห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ห้องใหญ่ ที่ค้นคว้าอย่างไรก็ไม่จบสิ้น ตื่นเต้นได้ทุก ๆ วัน

หนึ่งปีของแต่ละคนไม่เท่ากันจริง ๆ ค่ะ

แล้วหนึ่งปีของคุณผู้อ่าน...มีความยาวเท่าไหนคะ ?

◌◌◌◌◌◌

Credit บทความ : หนูดี - วนิษา เรซ

Freedom for Creative or Disobedient Child

ตอนที่ 216 “ดื้อตามวัย โตมาเดี๋ยวก็หาย?”

ปิ่นวัย 2 ปี ไม่เชื่อฟังและต่อต้านแม่มาก....
เวลาเรียกมานั่งกินข้าว...เป็นเรื่องที่แม่เครียดที่สุด

เรื่องอื่นๆที่ลูกไม่เชื่อฟัง แม่พอจะรับได้
แต่เรื่องกินข้าว แม่กลุ้มใจมาก....

แม่จึงต้องอนุโลมให้ปิ่นกินข้าวไป เดินเล่นไปด้วย....
แต่ลึกๆในใจแม่...แม่คิดว่า เราน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้....
แม่จึงมาหาหมอ....

ในห้องตรวจ ปิ่นเดินไปมารื้อของเล่น....
สลับกับเปิด ปิดประตูห้องตรวจเป็นระยะๆ....
ปิ่นไม่ได้สนใจเล่นของเล่นเป็นเรื่องเป็นราว....
ดูเหมือนสำรวจมากกว่าเล่น....

พ่อ “ผมปล่อยเขาเล่นอิสระ เมื่ออิสระเขาน่าจะเกิดความคิดสร้างสรรค์”
หมอ “แต่หมอเห็นว่า เขาไม่ได้ลงมือเล่นเลยค่ะ เขาเดินสำรวจไปมา เหมือนไม่สนใจอยากจะเล่นอะไรเลย”

แม่ “ใช่ค่ะ ไม่ค่อยสนใจจะเล่นของเล่น ถ้าเล่นก็หยอดก้อนไม้ชิ้นกลมๆ หากเป็นทรงอื่น ใส่ไม่ลงก็เลิก ไม่เคยเห็นพยายามจะเล่นให้จบเลยค่ะ ส่วนนิทานยิ่งฟังไม่จบเข้าไปใหญ่ อยากเปิดเอง หยิบเอง เอาแต่หน้าที่ตัวเองสนใจ ทำให้เขารู้แต่หน้านี้หน้าเดียวมาเป็นอาทิตย์แล้วค่ะ”

หมอ “หมอคิดว่าเขาอิสระมากเกินไป มากจนไม่รู้ว่าขอบเขตอยู่ตรงไหน ทำให้ความคิดสร้างสรรค์เขาไม่มาแล้วค่ะ”

หมอ “ก่อนที่คนเราจะเล่นอิสระได้อย่างมีความคิดสร้างสรรค์ หรือเรียกว่าจะคิดนอกกรอบได้ ก็ต้องเข้าใจความเป็นไปของเรื่องราวในกรอบก่อน หมอคิดว่า ปิ่นไม่รู้ทั้งกรอบกติกาของวินัย ที่คุณพ่อคุณแม่ ไม่ทันได้ตระหนักว่าสำคัญ และปิ่นก็ไม่รู้ว่าของเล่นที่มีอยู่เขาออกแบบมาเพื่อให้เล่นอย่างไร”

หมอ “เมื่อปิ่นไม่รู้ว่าของเล่นควรต้องเล่นอย่างไร หรือเมื่อใส่ไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะต้องพยายามบิดข้อมือหรือเปลี่ยนชิ้นอื่นก่อน ก็จะไม่เคยทำสำเร็จ ดังนั้นความภาคภูมิใจก็จะไม่มี ปิ่นก็ย่อมไม่พาตัวเองลงมานั่งเล่นของเล่นแบบนี้ ที่นอกจากจะทำไม่ได้ เล่นไม่สนุกแล้ว ยังทำให้รู้สึกไม่ดีอีก ที่ติดขัดแล้วไปต่อไม่เป็น”

หมอ “เมื่อปิ่นไม่สนใจกติกาของบ้านที่พ่อแม่กำหนด ปิ่นก็จะไม่เรียนรู้การเชื่อฟัง... ลูกไม่เคารพเรา และเมื่อเราอยากให้ลูกนั่งทานข้าว ความที่ไม่เชื่อเรา เชื่อแต่ตัวเองจึงทำให้ลูก ไม่ยอมลงนั่ง....”

หมอ “หมอไม่แนะนำให้เรามาจริงจังเฉพาะทานข้าว เพราะนั่นจะทำให้เกิดการร้องไห้ ทรมานกิน เกิดความเครียด แต่หมอขอให้เราจริงจังกับกติกาอื่นๆก่อนเพื่อพัฒนาตนเองให้ลูกเคารพ เมื่อนั้นการเรียกมาก็จะง่ายขึ้น”

หมอ “ส่วนความคิดสร้างสรรค์นั้น เราสามารถช่วยลูกพัฒนาได้ เมื่อคนเรารู้เนื้อในของกรอบ และมีความอดทน อดกลั้นเป็น การต่อยอดต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องลำบาก เพียงแต่ตอนนี้ ช่วยให้เขารู้ก่อนว่า เขาจะภาคภูมิใจในตัวเองกับของเล่นได้อย่างไร”

พ่อ “เด็กไม่เชื่อฟัง โตขึ้นเดี๋ยวก็หายมั๊ยครับหมอ?”
หมอ “ตามหลักเวลาเด็กโตขึ้น ความเข้าใจจะมากขึ้น จึงทำให้คุยกันรู้เรื่อง โอกาสที่ลูกจะหายดื้อก็สูง แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าจะหาย เพียงแต่เรามีโอกาสที่จะช่วยลูกได้ง่ายขึ้น

แต่หากเราไม่ได้ทำอะไรต่างจากเดิม ยังเลี้ยงแบบเดิมๆ ก็แปลว่ามีคนอื่นมาช่วยทำให้หายแทน...เช่น ครู ญาติ ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นใช้วิธีอะไรทำให้ลูกหายดื้อ และจะมีผลข้างเคียงอะไรเหลืออยู่ในใจหรือไม่ เราก็ไม่รู้”

หมอ “เราสามารถทำได้ด้วยตัวเองนะคะ อย่าเพิ่งถอดใจ ที่ผ่านมาเราเพียงแต่ไม่รู้วิธี กลับไปปรับการเลี้ยงดูใหม่ ทั้งตาชั่งฝั่งบวกและฝั่งลบตามที่คุยกัน แล้วเราจะค้นพบว่า เรามีความสามารถมากกว่าที่เราคิด”

หมอเสาวภา

ที่มา https://www.facebook.com/237160756408180/photos/a.237161899741399.1073741827.237160756408180/289810494476539/

Monday, November 16, 2015

Unconfident

การศึกษาทึ่ทำร้ายความภาคภูมิใจของเด็ก

เมื่อโพสต์ก่อนหมอได้พูดถึงเรื่องเด็กอนุบาลคนหนึ่งที่เล่าให้หมอฟังว่า ครูให้ท่องสูตรคูณถึงแม่เจ็ดตั้งแต่อนุบาล2

เด็กคนนี้มาด้วยเรื่องของครูบอกให้แม่พาเด็กมาตรวจเพราะสงสัยว่ามีปัญหาการเรียน

ประวัติคือ เวลาให้เด็กทำงาน เด็กจะถามครูบ่อยๆว่า "ถูกไหมครับ" "ใช่ไหมครับ"

ครูมองว่าเด็กมีปัญหา

----------------------------------------

แม่เล่าว่า เด็กอยู่อนุบาลสอง ต้องท่องสูตรคูณให้ได้ บวกเลขได้หลายๆหลัก เรียนศัพท์อังกฤษยากๆ ที่มีตัวอักษรเยอะๆ เช่น คำว่า mouth เด็กทำได้ ทำได้แค่คำสั้นๆ อย่าง ant, cat

เด็กเดิมเป็นเด็กที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร เพราะขี้กลัว กังวลง่าย พอมาเจอการเรียนที่ยากๆ ยิ่งทำให้รู้สึกกลัว กังวลมากขึ้น

ทำให้ต้องถามต้องเช็คกับคนอื่นตลอดว่า "ถูกหรือเปล่า"

------------------------------------------

หมอคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กจะมีพื้นอารมณ์แตกต่างกัน เช่น ความขี้กลัว กังวล เด็กบางคนอาจจะกล้า ไม่กลัวใคร

แต่การเรียนการสอนในปัจจุบันต่างหากที่ทำให้เด็กๆรู้สึกแย่โดยไม่จำเป็น

จากเด็กปกติ กลายเป็นเด็กที่สูญเสียความภาคภูมิใจในตัวเอง

เด็กที่กังวลง่าย ก็ กังวลมากขึ้น
เด็กที่กล้า ก็ ไม่กล้า ไม่มั่นใจ

เรามาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร และเราจะไปทางไหนต่อดี ท่ามกลางการศึกษาไทยที่อาจจะกลายเป็นหอกดาบทิ่มแทงจิตใจดวงน้อยๆของลูกหลาน

ที่มา https://www.facebook.com/kendekthai/photos/a.468916916480833.98758.468898189816039/870863906286130/

Inner Voices

‎แค่เราเชื่อ_ลูกจะใช่‬

แอบสารภาพตามตรงว่าแต่ก่อนตอนสอนเรื่องเลี้ยงลูกกับคนไข้ หมอเด็กอย่างหมอก็จะสอนจากที่อ่านผ่านทฤษฎี
แต่พอได้มามีลูกเป็นของตัวเอง หมอพบว่ามีทฤษฎีอันหนึ่ง
ที่หมอนำมาใช้แล้วมันให้ผลที่มหัศจรรย์มากๆ จนอยากจะเขียนบทความเชียร์อย่างจริงจัง
"การเลี้ยงลูกเชิงบวก"

การเลี้ยงลูกเชิงบวกมีรายละเอียดพอสมควร (ซึ่งจะเอามาเล่าให้ฟังเรื่อยๆ วันหลังนะคะ) แต่วันนี้เอาแค่เรื่องง่ายๆ

"ทำให้ลูกเชื่อ...ว่าเค้าใช่"

การเดินทางไกลข้ามซีกโลกครั้งนี้ทำให้หมอได้เห็นความมหัศจรรย์อย่างมากของการที่หมอลงทุนและตั้งใจ "เลี้ยงลูกเชิงบวก"
เพราะตลอดทางที่มีเสียงเด็กร้องไห้กันเป็นระยะๆในเครื่องบิน ลูกสาวของหมอก็มักจะพูดประโยคนึงขึ้นมาเสมอๆว่า
"เบเน่เป็นเด็กอารมณ์ดี เบเน่ไม่ร้องไห้"
และตลอดการเดินทางโดยเครื่องบินยาวนานเกือบ 17 ชั่วโมง ก็ไม่มีเสียงโยเยงอแงจากลูกสาววัยขวบเก้าเดือนแม้สักครั้ง

และประโยคติดปากของลูกสาว ณ ขณะนี้
"เบเน่เป็นเด็กดี เบเน่เป็นเด็กอารมณ์ดี"

การเดินทางครั้งนี้ถือว่าค่อนข้างทรหดสำหรับเด็กวัยยังไม่สองขวบ
ทั้งการเดินทางที่ยาวนานและเวลาที่กลับตาลปัตร ทำให้จากเด็กหญิงแสนอารมณ์ดี
เริ่มจะมีงอแงโยเยเป็นระยะๆ แต่แทบทุกครั้งอาการงอแงเหล่านั้นจะหายไปภายในเวลาอันรวดเร็ว
ด้วยประโยคมหัศจรรย์ที่พูดขึ้นมากับตัวเอง
"เบ เน่ เป็น เด็ก อา รมณ์ ดี เบ เน่ ไม่ งอ แง"

ประโยคที่ทุกครั้งน้ำเสียงจะมีพลังแห่งความภาคภูมิใจ และหลายครั้งที่แม้จะเป็นประโยคพูดปนกับเสียงสะอื้น
แต่สุดท้ายก็หยุดร้องไห้ได้อย่างรวดเร็ว

การพยายามไม่ทำตัวงอแงและหยุดร้องไห้ได้เองของลูกสาวโดยไม่ต้องร้องขอ ขู่ให้กลัว กำราบ ลงไม้ลงมือ หมอว่ามันมาจากสิ่งง่ายๆ

"ความเชื่อและศรัทธาว่าตัวเองเป็นอย่างนั้น"

ในการเลี้ยงลูกสิ่งที่หมอพยายามจะหลีกเลี่ยงเสมอ คือ ประโยคเชิงลบ ไม่ว่าจะ
"ไม่น่ารักเลยทำไมงอแงอย่างนี้" "ทำไมดื้อนักนะ" "ซนจริงๆเลยเรา" เวลาที่ลูกทำอะไรไม่ได้ดั่งใจหรือทำให้โมโห

หมอจะพยายามอดทนและรอคอยจังหวะที่จะเปลี่ยนประโยคในใจเหล่านั้นเป็นประโยคเชิงบวก
"หนูเก่งมากลูกที่หยุดร้องไห้"
"หนูน่ารักจังเลยที่แม่ห้ามแล้วไม่ทำ"
"หนูเป็นเด็กอารมณ์ดีจังเลยลูก"
"แม่อยู่กับหนูแล้วมีความสุขจัง"

ที่สำคัญหมอจะแสดงความรักกับลูกอยู่เสมอไม่ว่าจะกอด หอม บอกรัก ลูบหัว ยิ้มให้
อะไรก็ได้ที่ทำให้ลูกรู้สึกว่าลูกนั้น "ถูกรัก"

พ่อแม่เปรียบเหมือนกระจกบานใหญ่ของลูกที่ทำให้เค้า"เห็นเงาสะท้อนของตัวเอง"
พ่อแม่ที่เลือกสะท้อนด้านบวกเสมอๆ ลูกก็จะเห็นตัวเองในด้านดีแบบที่พ่อแม่เห็น
และเค้าจะอยาก"เป็น" แบบที่พ่อแม่เชื่อและศรัทธาว่าเค้าเป็น

พ่อแม่ที่แสดงความรัก.. ลูกก็จะรับรู้ว่าตัวเองเป็นที่รัก
และความรักนี้จะกลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ในการ "รักและศรัทธากับตัวเอง"

พ่อแม่ที่เลือกสะท้อนแต่ด้านลบ
"ทำไมดื้ออย่างนี้" "ทำไมซนจังเลย" "นี่มันลิงรึเปล่าเนี่ย" "ขี้เกียจจริงๆ" "โง่" "ไม่ได้เรื่อง"
แม้จะเป็นประโยคติดปาก.. เป็นประโยคที่ก็พูดไปงั้นๆ ..หรือพูดกันจนเป็นความเคยชิน

ลูกจะเชื่อว่าตัวเองเป็นอย่างนั้น...
"ไม่ว่าเค้าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม"

และถ้าเราเชื่อว่าเราร้องเพลงไม่เก่ง ยากที่เราจะขออาสาลุกขึ้นมาจับไมค์ร้องเพลง
ถ้าลูกเชื่อว่าตัวเอง ซน ดื้อ ไม่ได้เรื่อง เป็นเด็กงอแง ลูกก็จะไม่มีแรงใจจะลุกขึ้นมาทำอะไรให้ได้ดี
และสุดท้ายเค้าจะเป็นอย่างนั้น
"ไม่ว่าเค้าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม"

เวลามีใครถามว่าทำยังไงให้ลูกอารมณ์ดี มีความสุข หมอก็ตอบง่ายๆ
"เริ่มจากเชื่อให้หมดใจ ว่าลูกเราจะเป็นอย่างนั้น"

ความเชื่อ จะออกมาทางคำพูด
ความศรัทธา จะส่งผ่านสายตามาสู่ลูก

โปรดอย่าสิ้นศรัทธาในตัวลูก
เพราะจะทำให้ลูกสิ้นศรัทธา..."กับตัวเอง"

รักลูก...เชื่อมั่นในตัวลูก พูดถึงลูกด้วยประโยคดีๆเสมอๆนะคะ เชื่อหมอเถอะค่ะว่า
"แค่คุณเชื่อ...เค้าจะใช่"
"ไม่ว่าเค้าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม"

‪#‎หมอโอ๋เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน‬
ผู้กำลังสำเริงสำราญอยู่อเมริกา ^____^

ป.ล. ขณะที่เขียนบทความอยู่นี้ เด็กหญิงวัยขวบเก้าเดือนยิ่งทำให้หมอรู้สึกมหัศจรรย์กับการเลี้ยงลูกเชิงบวกเข้าไปอีกด้วยประโยคหลังหยุดสะอื้น
"เบเน่เป็นเด็กดี เด็กดีร้องไห้ได้ แต่ต้องไม่งอแง"
"เบเน่ขอโทษมามี้ค่ะ เบเน่ไม่งอแงแล้ว"

ที่มา https://www.facebook.com/takekidswithus/posts/1395626704088011

Child's Brain Develops

ทำไมลูกชอบฟังนิทานเรื่องเดิมซ้ำๆ

สมองของเด็กทำงานอย่างไร : ทฤษฎี ใช้ต่อ หรือ ยกเลิก

การทำงานของสมองเกิดขึ้นจากการส่งต่อข้อมูลระหว่างเซลสมองผ่านทางช่องว่างเล็กๆ (gap)
โดยมีการเชื่อมต่อสัญญาณ (synapse) ทุกครั้งที่สมองทำงาน
การเชื่อมต่อสัญญาณจะเพิ่มขึ้น ส่วนที่ไม่ได้ถูกใช้งาน การเชื่อมต่อสัญญาณจะถูกยกเลิกไป

โดยแรกเริ่ม สมองสร้างการเชื่อมต่อสัญญาณมากเกินความต้องการ
แต่ต่อมา ยกเลิกส่วนที่ไม่ได้ใช้
สมองของนักศึกษามหาวิทยาลัยมีการเชื่อมต่อสัญญาณน้อยกว่าเด็กอายุ 2 ขวบ โดยการยกเลิกส่วนที่ไม่ได้ใช้
สมองจะทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ทำให้ความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆยากขึ้น
เช่น นักศึกษามหาวิทยาลัยเข้าใจเรื่องยากๆเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในแขนงวิชาที่กำลังศึกษาอยู่
แต่หากให้มาเริ่มเรียนภาษาจีน จะทำได้ไม่ดีเท่าเด็ก 2 ขวบ

ความสำคัญของเรื่อง ใช้ต่อหรือยกเลิก คือ การเลี้ยงเด็ก
ควรเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งต่างๆหลายๆด้าน
เพื่อสมองจะได้มีความสามารถในการปรับตัวอย่างสูงสุด
เด็กๆต้องการของเล่นเพื่อการสัมผัส การเคาะ การชิม การวาด การประกอบหรือแยกชิ้นส่วน
การกระโดดขึ้นกระโดดลง การถือของไว้ การปาของ และต้องการได้ยินหลายๆภาษา
เพื่อการเรียนรู้ที่มากขึ้นและกว้างขวางขึ้นในอนาคต

เอาอีก! เอาอีก! เรื่อง “ใช้ต่อหรือยกเลิก” ช่วยอธิบายว่าทำไม เด็กเล็กจึงชอบทำอะไรซ้ำแล้วซ้ำอีก
เช่น เด็ก 10 เดือนจับราวเตียงเพื่อยืนขึ้นมาได้แล้ว ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี ก็ปล่อยมือทิ้งก้นลงพื้น
อีกหนึ่งนาทีต่อมา ก็ทำเหมือนเดิมอีกซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าจะเหนื่อยหลับไป

ขณะที่เด็กกำลังทำสิ่งนี้ ไม่เพียงแต่บริหารกล้ามเนื้อ แต่เป็นการบริหารสมอง
เพราะแต่ละครั้งที่เขายืนขึ้น การเชื่อมต่อของสัญญาณที่สมองจะมากขึ้น
ทำให้สมองส่วนที่ควบคุมการทรงตัวทำงานมากขึ้น นำไปสู่ความสามารถในการเดินต่อไป และแน่นอน
เมื่อเขาฝึกฝนจนทำได้ดีแล้ว เขาจะหมดความสนใจ แล้วหันไปทำอย่างอื่นต่อไป

คุณจะเห็นการทำซ้ำๆในทุกด้านของพัฒนาการ ลูกมีสัญชาตญาณในการเรียนรู้
พ่อแม่จึงควรสนับสนุนให้เต็มที่ ถึงแม้ลูกจะขอฟังนิทานเรื่องเดิมครั้งที่ 500 ก็ตาม

ที่มา https://www.facebook.com/SuthiRaXeuxPhirocnKic/photos/a.711288128897337.1073741838.591075960918555/1111633785529434/

Business Model Matters

ทุกวันนี้ หนึ่งในแนวโน้มใหญ่ๆของคนรุ่นใหม่ก็คือ การอยากที่จะเป็นเจ้าของกิจการกันมากขึ้น อาจเป็นเพราะได้รับแรงบันดาลใจจากคนที่ประสบความสำเร็จเมื่ออายุยังน้อยจากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นจากในหนังสือ รายการโทรทัศน์ หรือบทสัมภาษณ์ที่เอาลงในโลกออนไลน์

ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ดีและควรสนับสนุน เพียงแต่... การมีแค่ความปรารถนาอย่างเดียวนั้น อาจไม่เพียงพอต่อการประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจในระยะยาว มันยังมีส่วนประกอบอื่นอีกหลากหลาย แต่หนึ่งในนั้นที่สำคัญก็คือ การมี Business Model ที่ตอบโจทย์ตลาดได้

หากคุณอยากเปิดร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายเสื้อ แล้วเปิดไปตามยถากรรม ประมาณว่าได้เงินจากที่บ้านมาก้อนหนึ่งแล้วเปิดกิจการไปก่อน มีปัญหาอะไรค่อยไปแก้เอาดาบหน้า

พวกนี้ ในช่วงเริ่มแรกของธุรกิจ ยอดขายอาจจะพอไปได้เพราะเพื่อนฝูง หรือคนรู้จักมาช่วยกันมาอุดหนุน แต่ถึงคราวหมดโปรโมชั่นของเพื่อนๆและคนรู้จักแล้ว ตัวตัดสินว่าธุรกิจของคุณจะไปรอด หรือไม่รอด ก็คือ Business Model นี่แหล่ะ ว่ามันตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มใหญ่หรือไม่

ในประเทศญี่ปุ่น ผู้ประกอบการเค้าแข็งแรงมาก แม้จะเป็นร้านค้าเล็กๆ แต่ทุกคนพยายามสร้างอัตลักษณ์ขึ้นมาเฉพาะตัวขึ้นมา ไม่ลอกเลียนแบบใคร ไม่ว่าจะเป็นร้านขายของฝาก ร้านอาหาร เรียกได้ว่าถ้าเกิดหิว หลับตาจิ้มร้านอาหารไหนก็ได้ อร่อยหมด (เพราะถ้าไม่อร่อย คงอยู่ไม่ได้) แม้แต่ร้านขายขนมเล็กๆ ก็ยังมีแพคเกจจิ้งเป็นของตัวเอง

Business Model เปรียบเสมือนแผนที่เดินเรือ มันจะกำหนดทิศทางของบริษัทของเราว่าจะไปทางไหน และจะทุ่มทรัพยากรของเราไปใช้ในกิจกรรมใด

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น เหล่านี้คือ Business Model ที่ประสบความสำเร็จในระดับโลกครับ

Uber - เป็นบริษัท Taxi ที่ใหญ่ที่สุดในโลก...... ทั้งๆที่ไม่มีรถ Taxi เป็นของตัวเองเลย

Facebook – คือ "สื่อ" ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลก..... ทั้งๆที่ไม่เคยผลิตเนื้อหาเป็นของตัวเอง

Alibaba – เป็นช่องทางในการซื้อขายที่ใหญ่และมีมูลค่ามากที่สุดในโลก (นับทั้งออนไลน์และออฟไลน์)..... ทั้งๆที่ไม่มีสินค้าเป็นของตัวเองซักชิ้นเดียว

Airbnb – คือผู้จัดหาที่พักรายใหญ่ที่สุดในโลก..... ทั้งๆที่ไม่มีโรงแรมเป็นของตัวเองเลย

อย่างไรก็ตาม Business Model ที่ดีในวันนี้ ก็ไม่ได้แปลว่าจะดีในตลอดไป เพราะสมัยนี้เส้นแบ่งเขตแดนของแต่ละอุตสาหกรรมมันน้อยลงมาก จากการที่เทคโนโลยีได้ถูกพัฒนาไปอย่างเร็วในปัจจุบัน หากมีโอกาสอยู่ตรงหน้า แต่ละบริษัทพร้อมที่จะลงทุนข้ามอุตสากรรมกันมากขึ้น ธุรกิจจะรอดไม่รอดก็ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของผู้นำและความสามารถในการปรับตัวของทั้งองค์กร

เป็นความจริงที่ว่า.... ตอนนี้ ตอนที่ท่านกำลังอ่านบทความชิ้นนี้อยู่ มีผู้คนอีกนับแสน นับล้านคนทั่วทั้งโลก กำลังคิด Business Model ใหม่ๆ พร้อมจะก่อกวน (Disrupt) เพื่อที่จะมาโค่นพวกผู้เล่นหน้าเดิม

เหมือนอย่าง Dell Computer ที่เมื่อ 10 ปีที่แล้วไม่มีใครไม่รู้จักชื่อนี้... Dell ได้สร้าง Business Model แบบสุดยอดขึ้นมาไม่ว่าจะเป็น

- Made-to-order ให้ลูกค้าเลือก Spec และสั่งทาง Internet ได้เอง จากนั้น Dell ถึงจะประกอบเครื่อง และส่งให้ถึงหน้าบ้าน

- Zero Inventory ทำให้ Dell ไม่มี Stock ของเครื่อง Computer ในมือเลย

- Pricing Strategy ราคาต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เพราะไม่มีหน้าร้าน ไม่ต้องผ่านคนกลาง ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายลงไปได้มาก

- มีระบบ Logistic อันสุดยอด เชื่อมระหว่างทุก Supplier มาถึง DELL จนไปสู่มือผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว

- มีบริการหลังการขายเป็นเลิศ

ดูๆไปแล้ว Business Model ของ DELL นี้เรียกได้ว่าแทบจะเป็นอมตะเลยในช่วง 10 ปีก่อน.... ทั้ง IBM, Compaq, Acer ต่างมองดู Dell เติบโตแบบตาละห้อย

แต่จุดเริ่มต้นของจุดจบก็มาถึง.... เมื่อ Apple ออก iPad ออกมา ซึ่งมันสามารถกินตลาด PC ของ DELL ไปได้มาก บวกกับแบรนด์ของ Apple ที่กำลังเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลก คนจำนวนมหาศาลพร้อมที่จะบอกว่าตัวเองเป็นสาวก Apple

ค่านิยมพวกนี้ ทำให้คนที่คิดจะซื้อ PC ก็หันไปซื้อ Macbook กันแทนจะเป็นยี่ห้ออื่น

อยากจะร้องเพลง.... “ทุกอย่างมันดีหมดแล้ว เหลือเพียงแต่ฟ้า ชะตาที่มาขวางกั้น” ของพี่เบิร์ดให้จริงๆ เหอๆ

หรืออย่างอุตสาหกรรมรถ Eco Car เช่นพวก Honda Brio หรือ Mitsubishi Mirage ที่ประกอบในไทย ราคาขายคันละประมาณ 4 แสนบาท (ก็ถือว่าถูกมากแล้ว) กดราคายังไงก็ลงไปมากกว่านี้

ลองมาเจอ Tata Nano 2015 ราคาขายในอินเดียคันละ 52,300 บาท พิมพ์ไม่ผิดครับ ราคาขายคันละ 5หมื่น.... นั่นเพราะ Business Model ของ Tata Nano มันมาจากการเอารถมอเตอร์ไซค์มาใส่ประตู ใส่กระจก ทำให้เกิดตลาดใหม่ขึ้นมา เจาะกลุ่มผู้บริโภคที่มีเงินเกินกว่าจะซื้อมอเตอร์ไซค์ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะซื้อรถยนต์ ซึ่งมีจำนวนมหาศาล

หรือในอนาคต รถพลังงานทางเลือกอย่าง Tesla หรือ Project Apple Car ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า และ Toyota Mirai ที่ใช้พลังงานน้ำ คงแข่งขันกันอย่างชัดเจน ต่างฝ่ายต่างก็ต้องมีอาการหนาวๆร้อนๆกันบ้างไม่มากก็น้อย แล้วรถที่ใช้น้ำมันธรรมดาในปัจจุบัน หากยังไม่ปรับตัวก็คงเหนื่อย
.
.
.
สถิติของประเทศไทย ระบุไว้ว่า ผู้ประกอบการเกิดใหม่มีอัตราการอยู่รอดประมาณ 10กว่า ไม่ถึง 20%

คนที่จะอยู่รอดได้นั้น อาจจะประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความรักในงาน ความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง ความขยัน อดทน หรือแม้แต่จะเป็นความโชคดี.... สิ่งเหล่านี้มันเป็นนามธรรม จับต้องไม่ค่อยได้

แต่สิ่งที่เป็นรูปธรรมจริงๆ วัดความสำเร็จได้จริงๆก็คือการมี Business Model ที่ดีพอ

Entrepreneurship is not a part-time job, and it’s not even a full-time job. It’s a lifestyle. – Carrie Layne, Best Buzz

หากริอยากจะเป็นนายของตัวเองแล้ว ต้องทุ่มทั้งชีวิตจริงๆ เหยาะแหยะไม่ได้

ที่มา https://www.facebook.com/1536715283275877/photos/a.1541486682798737.1073741827.1536715283275877/1601439433470128/

Persimmon

สามีภรรยาคู่หนึ่ง รับจ้างเลี้ยงปลาให้กับเถ้าแก่ เถ้าแก่จ่ายเงินเดือนให้แก่สามีภรรยาคู่นี้เดือนละ 5,000บาท บ้านพัก ข้าวสารอาหารแห้งและของใช้เถ้า แก่เป็นผู้จัดหามาให้ เขาทั้งสองคน มีหน้าที่ให้อาหารปลาวันละ 2 รอบ รอบเช้า 1 รอบ และรอบเย็นอีก 1 รอบ นอกเหนือจากนั้น แล้วแต่สองสามีภรรยาจะจัดการกับชีวิตอย่างไร

เถ้าแก่ไม่ได้จำกัดกับชีวิตส่วนตัวของลูกน้อง เขามาที่บ่อเลี้ยงปลาเพียงแค่ต้นเดือน กลางเดือน และปลายเดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องนำอาหารปลามาให้ และถือเป็นการนำข้าวของเครื่องใช้มาให้ลูกน้อง อีกทั้งถือเป็นการมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ

เมื่อผ่านไป 2 ปี ปลาในบ่อทำกำไรให้เถ้าแก่ 4 แสนบาท เถ้าแก่ดีใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงนำเงิน 1 หมื่นบาทมอบให้ลูกน้องเพื่อเป็นกำลังใจ และอนุญาตให้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดได้ 1 เดือน ส่วนค่าเดินทางก็มอบให้อีกจำนวนหนึ่ง

เมื่อภรรยาของเถ้าแก่รู้เข้า ก็โมโหเห็นอย่างยิ่ง
"คุณจะบ้าเหรอ? สมองบวมน้ำหรือยังไง? เงินเดือนก็จ่ายเต็มที่ บ้านก็ไม่ต้องเช่าข้าวก็ไม่ต้องซื้อ นี่ยังแถมทั้งเงินเหมื่นและเงินค่ารถอีก ทำอะไรทำไมไม่ปรึกษาฉันก่อน..."

เถ้าแก่ได้แต่หัวเราะ จากนั้นก็บอกกับภรรยาว่า "ผมจะเล่าอะไรให้คุณฟัง...."

"มีหมู่บ้านหนึ่ง ชาวบ้านต่างมีอาชีพปลูกลูกพลับ เมื่อถึงฤดูหนาว พวกเขาพากันเก็บลูกพลับจนไม่เหลือคาต้นไว้แม้แต่ลูกเดียว ปีหนึ่งที่อากาศหนาวมากเป็นพิเศษ หิมะก็ตกมากกว่าทุกปี นกสาลิกาจำนวนสองสามร้อยตัวหา อาหารกินไม่ได้ พากันหนาวตายภายในคืนเดียว เมื่อฤดูใบไม้ผลิของอีกปี ต้นพลับก็ผลิใบใหม่ออกมา เมื่อมันเริ่มออกดอก ไม่รู้ว่าหนอนมาจากไหนจำนวนมากมาย พากันกัดกินทั้งดอกและใบของต้นพลับจนเกิดความเสียหายมากมาย ส่วนลูกพลับที่เล็ดรอดมาได้ พอโตสักนิ้วก้อย ก็ถูกหนอนเหล่านั้นกัดกินไปจนหมด ชาวบ้านต่างก็พากันคิดถึงนกสาลิกา หากยังมีนกสาลิกาอยู่ หนอนเหล่านี้ก็คงจะไม่นำภัยมาให้..."

"...จากนั้นเป็นต้นมา เมื่อถึงฤดูเกี่ยวเกี่ยวลูกพลับ ชาวบ้านก็จะเหลือลูกพลับคาไว้บนต้นเพื่อให้เป็นอาหารของนกสาลิกาในหน้าหนาว ลูกพลับสีเหลืองแสดดึงดูดให้นกสาลิกาจำนวนมากให้มาจิกกินในฤดูหนาว นกสาลิกาก็แสนรู้คุณ เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ยอมบินจากไป คอยจัดการกับหนอนที่มารังควานต้นพลับ จากนั้นเป็นต้นมา ชาวบ้านก็มีลูกพลับเกี่ยวเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ทุกปี"

"ผมเหลือลูกพลับไว้ให้นกสาลิกากิน คุณว่าผมโง่เหรอ?"

ที่มา https://www.facebook.com/wirodePAG/photos/a.1636356973256434.1073741828.1632981996927265/1843410359217760/

Reading Expressions

#อย่าลืมฟังในสิ่งที่ลูกไม่ได้พูด

บ่อยครั้งที่เห็นลูกเริ่มตาปรือๆ ขยี้ตาบ่อยๆ ตอบสนองช้าลง ไม่ว่าจะในช่วงบ่ายหรือช่วงกลางคืน
เมื่อหมอถามเขาว่า “ง่วงเหรอลูก” ลูกก็มักจะตอบเร็วมาก แบบไม่ต้องคิดว่า

“ไม่ง่วงค่ะ”

และที่ตลกมากก็คือ เคยมีครั้งหนึ่ง หลังตอบไม่เกิน2นาที เขาก็หลับไปแบบเรียกได้ว่าแทบจะกลางอากาศ

จ้ะ...ไม่ง่วงเลย แม่เชื่อ 55555 !!

หมอเคยนึกบ่นอยู่ในใจว่า “ง่วงจนตาจะปิด ตัวจะล้มลงไปอยู่แล้วจะฝืนทำไมเนี่ย แล้วทำไมต้องบอกว่าไม่ง่วงด้วย”

ก็เลยทำให้อยากหาคำตอบว่า ทำไมลูกต้องพูดตรงข้ามกับความเป็นจริง?

หมอ : แม่เห็นหนูตาปรือๆเหมือนจะปิด จริงๆแล้วหนูง่วงนิดหน่อยใช่มั๊ยจ๊ะ

ลูก : ใช่ค่ะ หนูง่วงนิดหน่อย แต่หนูไม่ง่วงขนาดต้องนอน

หมอ : อืม หนูยังไม่ค่อยอยากนอนเหรอ

ลูก : ใช่ค่ะ ยังไม่อยากนอน

หมอ : ไม่อยากนอน แล้วอยากทำอะไรเหรอจ๊ะ

ลูก : อยากเล่นต่อ

หมอ : อ๋อ จริงๆแล้วหนูก็ง่วงนิดหน่อย แต่ที่บอกแม่ว่าไม่ง่วง เพราะว่ายังอยากเล่นต่อนั่นเอง ใช่มั๊ยลูก

ลูก : (ยิ้มแหะๆ เหมือนถูกจับไต๋ได้) ช่ายยยยย

หมอ : อืม เป็นแม่ ถ้ากำลังเล่นสนุกอยู่ก็คงอยากเล่นไปเรื่อยๆจริงๆแหละ.... แต่เราเล่นไปเรื่อยๆ ไม่พัก ไม่นอน ไม่ได้ หนูรู้ใช่มั๊ย

ลูก : (หน้าจ๋อยๆ) รู้สิคะ

หมอ : (ยิ้มให้) ลูกแม่เป็นเด็กโตแล้วนะเนี่ย ถึงหนูจะไม่อยากนอน แต่จริงๆหนูก็รู้ว่า ถึงเวลาคนเราก็ต้องเข้านอน
จะได้สดชื่น มีแรงมาเล่นต่อในวันพรุ่งนี้ วันนี้เราเล่นมาเยอะแล้ว งั้นเราพักก่อนดีมั๊ย ไปนอนตื่นมาแล้วค่อยมาเล่นต่อ ดีมั๊ยคะ

ลูก : (มองหน้าหมอ เหมือนกำลังลังเล และกำลังประเมินท่าทีของหมอ ซึ่งหมอก็ยิ้มหวานๆให้แล้วพาเค้าลุกจากที่นั่งไปยังที่นอน)
โอเคค่ะ พักเฉยๆนะ พรุ่งนี้หนูจะตื่นมาเล่นต่อ

หมอ : ได้เลยจ้ะคนเก่ง

หมอดีใจที่วันนั้น ตัดสินใจนั่งลงคุยกับลูก ด้วยท่าทีที่อยากจะรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเขา
เพราะมันทำให้หมอได้เข้าใจมากขึ้นว่า ความจริงแล้วเขาคงอยากจะอธิบายอะไรกับเราอยู่เหมือนกัน
แต่ด้วยวัย หรือข้อจำกัดทางภาษา (แถมอยู่ในภาวะง่วง) ที่ทำให้ไม่สามารถจะสื่อสารความรู้สึก และ ความต้องการได้อย่างที่ใจคิดทั้งหมด
แถมผู้ใหญ่อย่างเราก็มักจะไม่ได้มองลึกลงไปภายใต้สิ่งที่เขาพยายามจะบอก
ไม่ให้เวลาพูดคุยด้วยมากพอ เลยอาจทำให้ไม่เข้าใจเหตุผลของเขาเท่าที่ควรจะเป็น

เพราะบางทีเด็กๆก็มีเหตุผลมากกว่าที่เราคิดนะคะ เพียงแต่เขาต้องการคนรับฟัง และพูดดีๆกับเขา รวมทั้งเทคนิคอีกนิดหน่อยก็เท่านั้นเอง ^____^

ที่มา https://www.facebook.com/Growingupnormal/photos/a.257974647717243.1073741829.257704944410880/463445313836841/

sunlight

รังสี UV วิตามินดี และแคลเซี่ยม เกี่ยวกันตรงไหน?
อยู่เมืองไทย เทรนด์ที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ ต้องขาววิ้ง
บางครั้งแอดมินเจอคำถามเช่น
"กลัวลูกเกิดมาดำ แม่ท้องควรทานอะไร"
"ทาซันบล็อคให้ลูกทุกวันได้ไหม กลัวลูกผิวดำ"
.
แอดมินอยากบอกว่า เราเข้าใจผิดไปมากมายนะคะ
1) สีผิวคือ #ค่านิยม การที่เราผิวสีแทน ผิวสองสี ก็สวยไม่แพ้ผิวขาวหรอกค่ะ
2) สีผิวของลูก คือ #พันธุกรรม ที่ได้รับจากพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย
3) #อาหารที่แม่ทาน ไม่มีส่วนให้ลูกผิวขาวหรือดำค่ะ
- การทานน้ำเต้าหู้มากๆ ดื่มนม ทานโปรตีนผงมากๆ ไม่ช่วยให้ลูกผิวขาวนะคะ แต่มีส่วนกระตุ้นให้ลูกในครรภ์แพ้ง่ายมากขึ้น
4) การ #ทาซันบล็อกทุกวัน ไม่ดีเพราะนอกจากลูกจะได้รับสารเคมีเกินความจำเป็นแล้ว ยังทำให้ลูกไม่ได้รับแสงยูวีด้วย
(แต่ถ้าคิดว่าจะเจอแดดแรงๆ เช่นไปทะเล ก็ทานะคะ)
.
อ่ะ! แสง UV สำคัญนะคะ เราควรให้ลูกสัมผัสถูกแดดอ่อนทุกวัน เพราะร่างกายมนุษย์สามารถ #สังเคราะห์วิตามินดีจากแสงยูวี ค่ะ
พอร่างกายมี #วิตามินดีก็จะสามารถดูดซึมแคลเซี่ยมได้ดี ส่งผลให้กระดูกและฟันแข็งแรงนะคะ
.
ในทางกลับกัน ร่างกายของเรา #สูญเสียแคลเซี่ยม ได้ เนื่องจากเราทาน #อาหารโปรตีนสูง ค่ะ
นี่แหล่ะ บทบาทความสำคัญของผักใบเขียว
พอเราทานอาหารครบหมู่ ร่างกายแข็งแรงกว่านะคะ
แต่เมื่อใดที่ร่างกายทานโปรตีนมากเกินไป จะมีผลให้ร่างกายปล่อยแคลเซี่ยมออกจากกระดูกเพื่อรักษาสมดุลกรดด่าง แถมยังส่งผลให้เป็นนิ่วได้อีกด้วยค่ะ!
.
#แม่ที่ให้นมบุตรสูญเสียแคลเซี่ยมเล็กน้อย แต่ร่างกายจะสร้างกระดูกใหม่ให้แข็งแรงยิ่งขึ้นค่ะ
เพราะเหตุนี้เราควรทานอาหารให้ครบหมู่ ทานผักเขียวผลไม้ และโดนแดดบ้างนะคะ
.
ลูก .... ก็เช่นกันค่ะ
1) ให้เจอแดดบ้าง แดดอ่อนๆ
2) ให้ลูกได้วิ่งเล่นนอกบ้าน การออกกำลังกายช่วยให้สูงนะคะ
3) ทานอาหารให้ครบหมู่ ไม่เน้นแต่โปรตีนหรือนมมากๆ นมมีแคลเซี่ยมก็จริง แต่หากทานมากเกินไปก็มีผลให้สูญเสียแคลเซี่ยมเช่นกัน (ตามที่เขียนไว้ด้านบนค่ะ)
4) นอนหลับสนิท ไม่จำเป็นต้องนอนยาวๆ
เด็กมี cycle การนอนต่างกับผู้ใหญ่ จะหลับลึกและสั้นกว่า
สำคัญที่หลับสนิทค่ะ หากน้องนอนแล้วครืดคราด กระสับกระส่าย อาจเป็นภูมิแพ้นะคะ จะมีผลต่อการเจริญเติบโตได้ คุณแม่ควรพาไปหาหมอค่ะ
.
ในชีวิตประจำวันเราหลีกเลี่ยงแสงแดด มนุษย์ออฟฟิศเดินทางแต่เช้า กว่าจะออกจากที่ทำงานก็ค่ำ โอกาสที่จะเจอแสงแดดนั้นมีน้อยกว่าคนที่ทำงานนอกสถานที่มาก
คนออฟฟิศจึงพบว่ากระดูกพรุนมากขึ้น อาจเป็นเพราะไม่ได้เจอแดด ไม่ได้ออกกำลังกาย และบางคนก็เน้นแต่อาหารโปรตีนสูงนะคะ
.
อยากสุขภาพดี ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (และความเชื่อ) ค่ะ
smile emoticon


อ้อ คุณแม่ให้นมทานแคลเซี่ยมเม็ด น้ำมันปลาได้นะคะ แต่ให้สังเกตตัวเอง ถ้าเต้านมตันบ่อยๆ ก็อาจเป็นเพราะวิตามินเสริม ก็เป็นได้ค่ะ

ที่มา https://www.facebook.com/HappyBreastfeeding/photos/a.232993926840649.1073741828.212081905598518/606450746161630/

Let them faceing problems


The Big Red Apples

นักจิตวิทยาท่านหนึ่ง ต้องการศึกษาผลกระทบการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่มีต่อลูกว่าเป็นอย่างไร
เขาจึงขอให้อาสาสมัครที่ประสบความสำเร็จในชีวิต 50 คน และนักโทษในเรือนจำอีก 50 คน เขียนจดหมายเล่าถึงผลการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่มีต่อพวกเขา

ในจำนวนจดหมาย 100 ฉบับ มีจดหมาย 2 ฉบับ ที่ทำให้เขายากลืมเลือน เพราะทั้ง 2 ฉบับ ต่างก็พูดถึงการแย่งแอปเปิลเหมือนกัน
ฉบับหนึ่งมาจากชายหนุ่มเจ้าของบริษัท อีกฉบับหนึ่งเป็นของนักโทษหญิง

และนี่ก็คือข้อความที่อยู่ในจดหมายของนักโทษหญิงคนนั้น

ตอนที่ฉันเป็นเด็ก วันหนึ่งคุณแม่ซื้อแอปเปิลทั้งเขียวและแดงหลายลูกมาจากตลาด
ฉันเห็นแอปเปิลสีแดงลูกใหญ่ลูกนั้นก็หมายมั่นอยากจะได้
ตอนที่คุณแม่วางแอปเปิลไว้บนโต๊ะก็ได้ถามฉันและน้องชายว่า
“เอ้าเด็กๆอยากได้ลูกไหนจ๊ะ?”
ฉันกำลังจะพูด แต่ไม่ทันน้องชายเสียแล้ว
“ผมจะเอาลูกใหญ่สีแดงๆ”
เมื่อแม่ได้ฟัง ก็ถมึงตาใส่น้องชายทันทีพร้อมกับตำหนิว่า
“ลูกต้องรู้จักแบ่งปันคนอื่น จะกินอะไรก็หัดคิดถึงคนอื่นบ้าง เป็นเด็กเป็นเล็กไม่มีน้ำใจเลย ทำไมเห็นแก่ตัวอย่างนี้นะ?”
ฉันรู้ในทันทีว่าน้องชายพลาดเสียแล้ว ฉันจึงเปลี่ยนใจทั้งๆ ที่ยังอยากได้แอปเปิลลูกใหญ่นั้นอยู่
“แม่คะ หนูขอลูกเล็กลูกนี้นะคะ ลูกใหญ่สีแดงแม่ให้น้องเถอะค่ะ!”
พอแม่ฟังฉันพูดจบก็ยิ้มดีใจ แม่หอมแก้มฉันหนึ่งทีและก็นำแอปเปิลลูกใหญ่ลูกนั้นให้ฉัน
ท่ามกลางสายตาละห้อยของน้องชายที่มองมา
ฉันได้ในสิ่งที่ฉันต้องการ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันเริ่มโกหก
ฉันเริ่มตบตีเพื่อนๆ ขโมย ฉกชิงเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ฉันต้อการ จนถึงวันนี้ วันที่ฉันต้องติดคุก

ส่วนข้อความของชายเจ้าของกิจการนั้น มีดังต่อไปนี้
ตอนที่ผมเป็นเด็ก แม่ได้นำแอปเปิลหลายลูกออกมาจากถุงที่แม่เพิ่งซื้อมา
มีทั้งแอปเปิลเขียวและแอปเปิลแดงและลูกใหญ่เล็กไม่เหมือนกัน ผมและน้องๆ พาแย่งกันเอาลูกใหญ่
แม่หยิบแอปเปิลลูกใหญ่แล้วบอกกับพวกเราว่า
“แอปเปิลลูกนี้ลูกใหญ่สุด สีแดงสุดและอร่อยที่สุด ในเมื่อลูกๆ ของแม่ต่างก็ต้องการ
เอาอย่างนี้ดีไหม เรามาแข่งกัน แม่แบ่งหญ้าที่สนามไว้เป็นสามส่วน
ให้ลูกแข่งกันตัดหญ้า ใครทำได้สวยและเรียบร้อยคนนั้นจะได้เป็นเจ้าของแอปเปิลลูกนี้!”

ผลปรากฏว่าผมเป็นคนชนะ ผมจึงได้ครอบครองแอปเปิลลูกใหญู่ลูกนั้น
ผมรู้สึกขอบคุณแม่เสมอมา เพราะแม่สอนให้ผมเข้าใจว่า “เมื่ออยากได้สิ่งที่ดีที่สุดก็ต้องลงมือทำให้ดีที่สุด”
...............................
พ่อแม่คือครูคนแรกของลูก และบ้านก็คือโรงเรียนหลังแรกของลูกเช่นกัน
การกระทำของพ่อแม่นั่นเองที่สอนให้ลูกหัดเป็นคนพูดโกหกหรือลงแรงทำจริง!

ทีมา https://www.facebook.com/NusonBooks/photos/a.286417594859673.1073741828.286409091527190/469518063216291/?type=3

Compliment n Insult

#ชมให้เท่ากับตำหนิ

จากประสบการณ์ในห้องตรวจ หมอพบว่ามักจะมีคุณพ่อคุณแม่หลายคู่ที่เมื่อเล่าถึงปัญหาต่างๆของลูกให้หมอฟังจนหมดสิ้นแล้ว ก็มักจะปรึกษาหมอต่อว่า ทำอย่างไรลูกจึงจะมีความมั่นใจในตนเอง รู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง

ว่าแล้วก็หันไปบอกลูกด้วยสีหน้าคาดคั้นว่า "คนเราต้องรู้จักมั่นใจในตัวเอง รู้มั๊ยลูก!"

ซึ่งหมอชอบถามคุณพ่อคุณแม่ว่า "แล้วคุณแม่เห็นอะไรในตัวเขา ที่คิดว่าเป็นเรื่องน่าภูมิใจ หรือน่าชื่นชมบ้างคะ"

พ่อแม่บางคนนั้นก็สามารถที่จะตอบสิ่งดีๆอันน่าภูมิใจหลายอย่างของลูกได้ในทันที

แต่เมื่อถามต่อว่า แล้วเคยบอกลูกให้รู้มั๊ยว่าพ่อแม่รู้สึกภูมิใจในตัวเขาด้วยเรื่องนี้

คำตอบที่หมอมักจะได้คือ “ไม่เคย” ค่ะ

ส่วนพ่อแม่บางคนก็หยุดคิดไปนาน.......และบอกว่านึกไม่ออก

หมอก็จะพยายามเสริมให้ว่า สิ่งดีๆที่หมอเห็นในตัวลูกคุณแม่ในครึ่งชม.ที่เราคุยกันนี้ คือ....... (มีทุกคนแน่นอนค่ะ บางคนเยอะด้วย) ซึ่งปฏิกิริยาของคุณแม่หลายๆคนก็คือ ตาเป็นประกาย "จริงด้วยค่ะหมอ"

แล้วหลังจากนั้นเราก็มักจะนั่งคุยกันถึงสิ่งดีๆในตัวลูกกันอีกยาว

สิ่งหนึ่งที่หมอมักจะเจอบ่อยๆในห้องตรวจ คือ การที่คุณพ่อคุณแม่สนใจมองแต่ส่วนที่เป็นปัญหาของลูก จนบ่อยๆเข้าปัญหานั้นมันก็ดูใหญ่ขึ้น(ในความรู้สึกคนมอง)จนบดบังคุณสมบัติอื่นๆที่ดีของลูกไปหมด แล้วพ่อแม่ก็เผลอสรุปว่า

ลูก = ไม่รับผิดชอบ

ลูก = ไม่ได้เรื่อง

ทั้งที่จริงแล้ว ลูกนั้นมีทั้งนิสัยที่ดี และ ไม่ดี ในหลายแง่มุมซึ่งก็อาจจะไม่ต่างไปจากคนเป็นพ่อแม่เอง

พูดให้ถูกต้อง อาจเป็นว่า ลูก = ทำงานช้า + สมาธิสั้น + มีน้ำใจ + มีความคิดสร้างสรรค์ + เตะฟุตบอลเก่ง ก็เป็นได้ค่ะ

และการที่พ่อแม่เผลอตีตราลูกด้วยปัญหาของเขา บ่อยๆเข้าก็ทำให้ลูกคิดว่าตัวเองเป็นเช่นนั้นจริงๆ และ ก็มักจะละเลยสิ่งๆดีที่ตนเองมีอยู่ไปตามมุมมองของพ่อแม่

แล้วแบบนี้จะบังคับให้มั่นใจในตนเองอย่างไรไหวล่ะคะ

การบ้านที่หมอชอบเสนอให้คุณพ่อคุณแม่ลองกลับไปทำ มีแค่อย่างเดียวค่ะ นั่นคือ ทุกเย็นให้ทบทวนว่าวันนี้ดุ/บ่น/ตำหนิลูกไปกี่ครั้ง กี่เรื่อง ก็ให้ชมลูกคืนไปให้จำนวนครั้ง จำนวนเรื่อง เท่ากันหรือมากกว่าค่ะ

อย่าได้กลัวว่าลูกจะเหลิง หากคุณแน่ใจว่าคุณชมในสิ่งที่ดีจริงๆและไม่ได้ชมเกินจริง รวมทั้งคุณก็ยังคงเตือนเขาในเรื่องที่มีปัญหาควบคู่ไปด้วย

อย่าคิดว่าลูกที่สีหน้าดูเฉยๆไม่ยินดียินร้าย จะไม่ชอบคำชมนะคะ เด็กวัยรุ่นบางคนฟอร์มเยอะ แม้ปากจะบอกว่าไม่สนใจคำชม แต่จริงๆแล้วคำชมนั้นเหมือนน้ำทิพย์ชะโลมใจเขาทีเดียวค่ะ

ในความเป็นจริงแล้ว คำชมอาจไม่สามารถหักล้างกับคำบ่นได้ แต่อย่างน้อย ลูกก็จะรู้สึกได้ว่าพ่อแม่ไม่ได้มองเขาแค่ด้านลบเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ความสัมพันธ์ของพ่อแม่กับลูกดีขึ้น

แถมเมื่อลูกเห็นว่า "ถ้าทำดี แม่ก็เห็น" ลูกก็จะมีแรงใจในการปรับปรุงสิ่งที่เป็นปัญหามากขึ้นด้วย

และแน่นอน ความสามารถในการยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็น รู้จักข้อดีและข้อเสียและยอมรับตัวตนของตนเองได้ ก็คือบันไดที่สำคัญขั้นหนึ่งของการสร้างความภาคภูมิใจในตนเองค่ะ

หมอก้อย

Childish


Attitude

พ่อแม่บางคนไม่มีเงินไม่มีฐานะในสังคม แต่ลูกกลับได้ดี
พ่อแม่บางคนมีทั้งเงินและฐานะในสังคม แต่ลูกกลับไม่ได้ดี
พ่อแม่บางคนอะไรๆก็จัดการแทนลูกไม่ค่อยได้ แต่ลูกกลับรักดี
พ่อแม่บางคนอะไรๆก็จัดการให้ลูกหมด แต่ลูกกลับไม่รักดี
พ่อแม่บางคนไม่เคยได้เรียนหนังสือ แต่สอนลูกให้เป็นคนดีในสังคมได้
พ่อแม่บางคนมีการศึกษาสูง แต่สอนให้ลูกเป็นคนดีในสังคมไม่ได้
พ่อแม่บางคนไม่มีปริญญา แต่มีวัฒนะธรรม
พ่อแม่บางคนมีปริญญาเต็มบ้าน แต่ขาดวัฒนะธรรม
พ่อแม่บางคนฉลาดแต่ขาดปัญญา
พ่อแม่บางคนไม่ฉลาดแต่มีปัญญา

พ่อแม่สอนสงบว่า
1. ลูกเอ๋ย พ่อแม่ไม่มีเงินทองจะกองให้ เจ้าต้องหาเอาเองนะลูก
2. ลูกเอ๋ย จะทำอะไรต้องทำตัวให้ดีก่อน อย่าไปคิดร้ายหรือทำลายใคร
3. ลูกเอ๋ย จงออกไปสร้างฐานะ หากไม่ไหวก็กลับบ้าน บ้านเรายังมีข้าวให้ลูกกิน

พ่อแม่สอนนิรุตติ์ว่า
1. ลูกเอ๋ย ตั้งใจเรียนก็พอ นอกเหนือจากนั้นพ่อแม่จัดการให้เอง
2. ลูกรัก จำไว้นะอย่ายอมเสียเปรียบใคร
3. พ่อกับแม่จะบอกลูกอีกครั้ง หากลูกไม่ตั้งใจเรียน วันหน้าลูกจะไม่มีข้าวกิน

พ่อแม่ของสงบและนิรุตติ์ ให้ทัศนะและแนวทางแก่ลูกๆต่างกันตรงไหน?
ข้อที่ 1
พ่อแม่ของสงบสอนลูกให้เข้มแข็ง เมื่อสงบโตมาเขายืนหยัดด้วยขาของตัวเองและเป็นที่พึ่งของครอบครัว
พ่อแม่ของนิรุตติ์สอนลูกให้เป็นลูกแหง่ เมื่อนิรุตติ์โตมาเขาจะกลายเป็นชาวเกาะ เกาะพ่อแม่ไปจนตลอดชีวิต

ข้อที่ 2
พ่อแม่ของสงบสอนลูกให้รู้จักความเป็นคนใจกว้าง และเคารพผู้อื่น เมื่อเขาเติบใหญ่เขาจะไม่เป็นภาระของสังคม
พ่อแม่ของนิรุตติ์สอนลูกให้เป็นคนใจแคบ เห็นแก่ตัว เมื่อนิรุตติ์เติบใหญ่เขาจะเข้ากับใครๆลำบาก เป็นคนขี้ระแวงและไม่ไว้ใจใคร

ข้อที่ 3
พ่อแม่ของสงบสอนลูกให้รู้จักมีอุดมการณ์ ให้รู้จักสร้างฝัน แต่ก็บอกกับลูกไปในตัวว่า พ่อแม่รักลูก หากลูกพบเจอความยากลำบาก ยังมีครอบครัวของลูกอยู่เบื้องหลัง ให้ลูกให้พึ่งพาและพักพิง
พ่อแม่ของนิรุตติ์สอนลูกให้เห็นเรื่องปากท้องเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อเขาเติบใหญ่ เขาจะไม่ทำทุกอย่างเพื่อปากท้องได้อย่างไร เขาจะไม่โกงกินได้อย่างไร?

นุสนธิ์บุคส์

ที่มา https://www.facebook.com/NusonBooks/photos/a.286417594859673.1073741828.286409091527190/465303656971065/

fight over sth

หมอไปงานวันเกิดลูกของเพื่อนสนิทมาค่ะ เพื่อนมีลูกสองคน วันนี้เป็นวันเกิดของลูกชายคนโตอายุ 6 ปี

เรื่องมีอยู่ว่า...
หลังจากแกะของขวัญ ลูกชายคนเล็กที่อายุ 3 ขวบกว่าๆ ก็มาเลยค่ะ
ร้องโวยวายว่าทำไมไม่มีของขวัญของเค้ามั่ง และเริ่มเข้าไปแย่งรถยนต์คันใหญ่ของขวัญวันเกิดของพี่
หมอเลยได้แอบเป็นผู้สังเกตการณ์ด้วยความสนใจ

พ่อ...ผู้ช่วยคนแรก พอเห็นน้องร้องก็มาด้วยประโยคคลาสสิค "แบ่งให้น้องหน่อย เราเป็นพี่นะ ของขวัญมีตั้งหลายชิ้น"
น้องก็เลยได้ใจเดินไปหยิบของพี่ พี่เลยเกิดโมโห ตะโกนลั่นแย่งของกลับมา ชุลมุนชุลเก ไม่ยอมให้

ผู้ช่วยคนที่สองก็โผล่มาค่ะ...
น้าของเด็กๆ...
"เอ้านี่ ไม่ต้องแย่งกัน น้าซื้อของขวัญมาให้เด็กๆ ทุกคนเลย" แล้วน้าก็หยิบของขวัญ 2 ชิ้นมาให้เด็กๆ ทั้งสองคน พร้อมบอกว่า "ดีนะเนี่ย กะแล้วว่าอีกคนจะเสียใจ เลยซื้อมาให้ด้วย" น้องคนเล็กก็แกะของขวัญออก พอพบว่าไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ ก็เดินกลับไปแย่งของพี่

ผู้ช่วยคนที่สามก็ตามมา... คุณปู่ของเด็กๆ
"เนี่ยเห็นมั้ยน้องร้อง ให้น้องไปก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ปู่ซื้ออันใหม่ให้ เอาให้ใหญ่กว่าเดิมอีก"
คุณปู่เข้ามาติดสินบนด้วยข้อเสนอเย้ายวนใจ กะว่าจะได้หยุดปัญหาหลานคนเล็กร้อง แต่..ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากหลานคนโต

เด็กชายเจ้าของวันเกิดยังคนโวยวาย "ไม่ให้ๆๆๆ" และเริ่มเอามือผลักอกน้องคนเล็กให้ออกไป

เมื่อดูจะหมดหนทาง ทุกคนก็หันมาหาผู้ช่วยคนที่สี่ "หมอ" T-T T-T

หมอเอาเหตุการณ์จริงนี้มาเล่าให้ฟัง เพราะคิดว่าคุณพ่อคุณแม่ต่างต้องเคยเล่นบทบาทใดบาทบาทหนึ่งของผู้ช่วยทั้งสี่มาก่อนแน่ๆ

ซึ่งถ้าได้อ่านเรื่อง "เรื่องเล่าจากบ้านบอล" คุณพ่อคุณแม่คงนึกออกนะคะ ว่าสิ่งที่เป็นปัญหาคือ
"การพยายามละเมิดสิทธิของคนพี่" เพื่อแก้ปัญหาเสียงร้องของคนน้อง
"ด้วยการตามใจ"

ประโยคที่คุณพ่อพูดว่า "แบ่งให้น้อง เราเป็นพี่" นี่เป็นประโยคคลาสสิคที่ทำร้ายจิตใจพี่ๆทุกคน และหลายครั้งเป็นต้นเหตุของปัญหา "พี่ไม่ชอบขี้หน้าน้อง"

การเอาของมาแจกทุกคนของคุณน้าเท่าๆกัน เพราะคิดว่าจะแก้ปัญหา...หมอมองว่าเรากำลังสอนเด็ก... "ถ้าได้ต้องได้เหมือนกัน" ซึ่งนั่นจะยิ่งนำมาซึ่งปัญหาในการเลี้ยงดู
เพราะในความเป็นจริง พี่น้องไม่ควรต้องได้ของทุกอย่างเหมือนกันทุกครั้ง

การขายฝันติดสินบนของปู่ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้พ้นๆ ยิ่งทำให้เกิดเงื่อนไข
"ต่อไปของๆใครชั้นก็จะไปแย่ง" "ก็ซื้ออันใหม่ให้เค้าไปซี้"

จริงๆปัญหานี้แก้ง่ายนิดเดียวค่ะ...
"ทำในสิ่งที่ถูกต้อง"
"ใครไม่พอใจก็มีหน้าที่เรียนรู้และฝึกจัดการกับอารมณ์ของตนเอง"

หมอเข้าไปหาน้องค่ะ แล้วบอกสั้นๆว่า
"วันนี้วันเกิดของพี่ ของขวัญเป็นของพี่นะครับ ไม่ใช่ของเรา"
"ถ้าอยากจะได้ต้องขอและต้องรอให้พี่อนุญาตก่อน"

น้องก็หันไปขอค่ะ พี่ที่อารมณ์เสียอยู่ก็ไม่ยอมให้ แหม...มาถึงจุดนี้ละ อารมณ์มันขึ้นนนน แพ้ไม่ได้ 5555
น้องก็โวยวายร้องจะเอาให้ได้

หมอเลยจับน้องแยกออกมาให้นั่งสงบตรงบันได (คล้าย timeout เล็กๆ)
แล้วบอกว่า "น้ารู้ว่าหนูเสียใจ หนูร้องไห้ได้ครับ แต่ไปแย่งของพี่ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ของเรา"
"หนูนั่งให้ตัวเองสงบตรงนี้ก่อน หนูหยุดร้องไห้เมื่อไหร่เดี๋ยวเราค่อยไปเล่นกันนะลูก"
เด็กชายก็แหกปากตะเบ็งเสียงกว่าเดิมค่ะ
หมอส่งสายตาบอกทุกคนว่าห้ามขยับให้เฉยๆไว้ อดทนๆๆไว้ค่ะ
"ใครอดทนกว่ากัน คนนั้นชนะ!"

หมอกอดเค้าบอกว่า "น้ารู้ว่าหนูคุยรู้เรื่อง หนูเก่งแล้ว ตอนนี้หนูแค่อารมณ์ไม่ดี หนูอารมณ์ดีหยุดร้องไห้แล้วเดี๋ยวเราค่อยไปเล่นกัน"
"ถ้าอยากจะเล่นรถ ลองไปขอ"เล่นกับพี่" เค้าอีกทีก็ได้ แต่ต้องหยุดร้องไห้ก่อนครับ"
แล้วหมอก็นิ่งๆอยู่ตรงนั้น เด็กชายคนนั้นก็ร้องไห้อีกพักนึงค่ะ แต่พอรู้ว่า"ร้องไปก็เท่านั้น" ไม่ได้อะไร ก็เริ่มหยุดในเวลาอีกไม่นาน

หมอชมเค้าว่าเก่งมาก และชวนไปเล่นอย่างอื่น พออารมณ์ดี ก็พาเค้าไปขอพี่ดีๆ ซึ่งคราวนี้พี่ก็ยอมให้ ด้วยความเต็มใจที่ดีกว่าเดิม

หมอเอาเรื่องนี้มาเล่า เพื่ออยากจะบอกว่า
1. อย่าละเมิดสิทธิเด็กอีกคน เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของเด็กอีกคนให้พ้นๆไป เพราะเรากำลังจะสร้างปัญหาใหม่ "ให้กับเด็กทั้งสองคน"
2. อย่าเลี้ยงพี่น้อง ให้มีเงื่อนไข "ต้องได้เหมือนกัน" เพราะนั่นไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริง
3. เด็กที่เอาแต่ใจแล้วโวยวาย "มีหน้าที่จัดการกับอารมณ์ของตัวเอง"
4. อย่ากลัวเสียงร้องไห้ เด็กร้องไห้ ไม่ใช่ปัญหา แต่ "ร้องแล้วได้" จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ยิ่งแก้ยาก
5. ให้รู้ว่าทุกครั้งที่ปล่อยลูกร้องไห้ แต่ลูกได้เรียนรู้สิ่งใหม่ที่ถูกต้อง "นั่นคือการทำหน้าที่พ่อแม่ที่ดีมากแล้ว"

ที่มา
https://www.facebook.com/takekidswithus/photos/a.1383891795261502.1073741829.1383393308644684/1423350467982301/?type=3

Dream



The Pursuit of Happiness เป็นหนังที่สร้างจากเรื่องราวชีวิตจริงของ คริส การ์ดเนอร์ วีรบุรุษนักขายผู้โด่งดังของอเมริกา เขาเป็นชายหนุ่มที่มีความสามารถ แต่ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำของอเมริกาสมัยยุคประธานาธิบดีเรแกน เหตุการณ์หลายๆ อย่างไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคาดหวังไว้ ชีวิตของเขาต้องตกต่ำอย่างถึงที่สุด ถึงกับต้องกระเตงลูกชายตัวน้อยไปเข้าแถวแย่งชิงที่พักของสถานสงเคราะห์คนไร้บ้าน และวันไหนวิ่งไปเข้าแถวไม่ทัน คืนนั้นก็ต้องก็ต้องไปนอนในห้องน้ำสาธารณะกัน เมื่อลูกชายหลับ คนเป็นพ่ออย่างเขานั่งร้องไห้ด้วยความกดดัน เขาจึงนั่งนึกทบทวนและพบว่าเขามีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์และการเจรจาต่อรอง เขาผ่านการต่อสู้แข่งขันอย่างมากมาย จนในที่สุดเขาก็ได้เป็นโบรกเกอร์ของบริษัทหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ชื่อ ดีน วิทเทอร์ และหลังจาก ชีวิตโบรคเกอร์ในบริษัทนี้ คริส ก็ได้ออกไปตั้งบริษัทค้าหุ้น ชื่อการ์ดเนอร์ ริช แอนด์ โค ในชิคาโก เมื่อปี 1987 และในปี 2006 เขาก็ขายหุ้นบางส่วนในบริษัทได้เป็นเงินจำนวนหลายร้อยล้านดอลล่าร์
.
คริสไม่เพียงแต่เป็นสุดยอดนักขายในหน้าประวัติศาสตร์ของอเมริกาแต่เขายังเป็นพ่อที่ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย

"อย่าให้ใครมาบอกว่าลูกทำอะไรไม่ได้ ไม่แม้แต่พ่อเอง 

เมื่อลูกมีความฝัน ลูกต้องปกป้องมัน 
เวลาคนอื่นทำอะไรไม่ได้ เขาก็จะบอกลูกว่าลูกทำมันไม่ได้หรอก ... 
ถ้าลูกต้องการอะไร ลูกก็แค่ลงมือทำและไปเอามันมาให้ได้"
Will Smith


graduate

ปริญญา : ปัญญา

แม้เรียนมา น้อยนัก แต่รักคิด
ไม่ได้ติด คุณวุฒิ ใช่ฉุดต่ำ
แต่ถ้าติด ความคิดดี มีคุณธรรม
อาจเลิศล้ำ ด้วยปัญญา กว่าผู้ใด

แม้เรียนสูง ประทับตรา ปริญญาเอก
มิอาจเสก ปัญญา มาให้ได้
วัดกันที่ มีปัญหา ในคราใด
ใครผ่านไป ใครจนตรอก จะบอกเอง

เขาเรียนน้อย ใช่เหยียดหยาม ถามหาวุฒิ
ใจชำรุด ใช้ปริญญา มาข่มเหง
ถือว่าเรียน สูงกว่าเขา เท่านั้นเอง
อาจไม่เก่ง เรื่องชีวิต พินิจดู

คนจะสูง ดูที่ใจ ใช่ต่ำแหน่ง
อย่าได้แบ่ง ใครจบไหน ใช่โก้หรู
ปริญญา หามาได้ ใช้เชิดชู
แต่ความรู้ จะเพิ่มค่า ปัญญาชน.

ถ้อยคำ : ธรรมโชติ

ที่มา https://www.facebook.com/Dhammahaidoo/photos/a.407660906106064.1073741829.407580402780781/412183598987128/

Hurried Child Syndrome

# เด็กที่ถูกเร่งรัด หรือ Hurried Child Syndrome (ตอนที่ 1 + ตอนที่2)
แบ่งปันจาก ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย

หมอสังเกตว่า พ่อแม่ในปัจจุบันนิยมให้ลูกเรียนหรือทำกิจกรรมหลายๆ อย่างมากเกินควร
วันนี้หมอจึงมีบทความที่น่าสนใจจาก ศ.พญ.วินัดดา ปิยะศิลป์ มาฝากให้อ่านกันเพื่อศึกษากันดูนะครับ
และลองเสนอความคิดเห็นกันด้วยก็ดีครับ (บทความต้นฉบับยาวสักหน่อย หมอจึงได้ตัดต่อเรียบเรียงใหม่นะครับ)
# หมอมินพระราม 6
__________

Hurried child syndrome หมายถึง ภาวะที่เด็กถูกเร่งในหลายๆ เรื่อง ให้แสดงพฤติกรรมเกินวัย
อาจจะแต่งตัวแต่งหน้าและทำพฤติกรรมเลียนแบบผู้ใหญ่ รวมถึงการใช้ชีวิตที่รับผิดชอบสูง
มีกำหนดการสำหรับกิจกรรมต่างๆ มากมาย
ถูกผลักให้เข้าโรงเรียนเข้าสังคมเร็วกว่าเด็กอื่น ต้องเรียนรู้มากทั้งด้านการเรียนและการทำกิจกรรมหรือแม้แต่เรื่องเพศ
ถูกเร่งรัดกดดันตั้งแต่เช้าจนค่ำจนขาดเวลาที่จะเป็นตัวของตัวเองมากพอ
ขาดโอกาสหัวเราะสนุกสนาน หรือทำตัวตามวัยกับเพื่อนที่อายุเท่ากัน
ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทั้งทางร่างกาย อารมณ์และจิตใจ

สาเหตุ งานวิจัยที่วิเคราะห์พ่อแม่ที่เร่งรัดลูก พบว่ามีความเป็นมาจากการที่
พ่อแม่เลี้ยงลูกเพื่อชดเชยความล้มเหลวหรือความขาดแคลนของตนเองในอดีต
พ่อแม่ที่เรียนไม่ดีมาก่อน ขาดแคลน ต้องทำงานหนัก หรือมีเกียรติที่ด้อยกว่าคนอื่นในสังคม
จึงพยายามผลักดันให้ลูกพัฒนาโดยเฉพาะในด้านที่ตนเองไม่พอใจกับสิ่งที่ตัวเองได้รับ เช่น
แม่เรียนไม่เก่ง จะเร่งรัดด้านการเรียนของลูก
หรือพ่อไม่มีโอกาสเรียนดนตรีตอนเด็กเพราะยากจน
จึงบีบบังคับให้ลูกเรียนดนตรีตามความใฝ่ฝันของตนเอง
หรือแม่ที่ทำงานหนักเพื่อหาเงินให้ตายายและน้องๆในครอบครัวใช้จ่ายตั้งแต่เด็ก
จะส่งเสริมให้ลูกใช้เงินเกินฐานะโดยไม่รู้ตัว เป็นต้น

การส่งเสริมเร่งรัดเด็กในด้านต่างๆ จนเด็กมีความสามารถขึ้น
เป็นความภาคภูมิใจในตัวพ่อแม่ที่ได้คุยกับผู้อื่นอย่างสง่าผ่าเผยว่าลูกของฉันทำได้
ความสามารถของเด็กจึงเสมือนเป็นหน้าเป็นตาให้พ่อแม่
เพียงแค่ส่งเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงหรือค่าเล่าเรียนแพงๆ
หรือเข้าโรงเรียนนานาชาติที่หรูหรา พ่อแม่ก็รู้สึกดี ใครจะมาดูถูกฉันไม่ได้อีกแล้ว

เด็กที่ถูกเร่งรัดในด้านการเรียน มีลักษณะคือมักจะเข้าเรียนเร็ว
หรือครูให้ข้ามชั้นเพราะมีความรู้มาก (เนื่องจากพ่อแม่จะสอนเนื้อหาที่เกินกว่าอายุ)
ในระยะแรกของการเรียน เด็กกลุ่มนี้มักจะมีผลการเรียนดี ความพึงพอใจของเด็ก
คือการทำให้พ่อแม่พอใจในผลการเรียน แต่เมื่อการเรียนยากขึ้น
ถูกเร่งรัดเนื้อหาวิชาการ ต้องเรียนนานจนไม่รู้จุดสิ้นสุด
จะเริ่มเห็นความเฉื่อยชา ไม่สนุก และเบื่อหน่ายจนในที่สุด
จะละทิ้งวิธีการที่เคยพยายามเรียนให้ได้ตามที่พ่อแม่ต้องการ
แต่ขณะเดียวกันก็วิตกกังวลกลัวว่าพ่อแม่จะไม่ยอมรับ
เมื่อการเรียนตามไม่ทัน จะเริ่มเรียนไม่รู้เรื่อง ไม่มีสมาธิ ขาดความสนใจ ไม่จดจำ
หรือมีอาการทางกาย เช่น ปวดศีรษะและปวดท้องที่หาสาเหตุทางกายไม่พบ เป็นต้น

เมื่อเด็กเหล่านี้เติบโตเข้าวัยรุ่น ซึ่งตามปกติจะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย อารมณ์ และสังคม
เด็กกลุ่มที่ถูกเร่งรัดก็จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพใหม่เช่นกัน
ถ้าปรับตัวไม่ได้จะมีผลกระทบต่อพัฒนาการทุกด้าน
แต่ความที่พื้นฐานดูมั่นคงแค่สภาพภายนอก และสภาพภายในกลวง
ทำให้วัยรุ่นกลุ่มนี้มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป แปรปรวนหรืออาจไปในทิศทางตรงข้ามได้โดยสิ้นเชิง
คืออาจจะพบพฤติกรรมก้าวร้าวต่อต้านสังคม ไม่ยอมเรียน ปรับตัวไม่ได้ หรืออารมณ์แปรปรวน
ซึ่งนำไปสู่การใช้สารเสพติด การขับรถซิ่ง ก่อกวนสังคม พฤติกรรมทางเพศเบี่ยงเบน หรือซึมเศร้า
และนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่กับเด็กได้ง่ายและรุนแรงคาดว่าเป็นเหตุผลหนึ่งที่นำไปสู่การฆ่าตัวตายในวัยรุ่นด้วย
_____
# ภาค2
ปฏิกิริยาของเด็กที่มีต่อความเครียดจากการถูกเร่งรัด

ความที่เคยชินกับการทำตามกติกาที่พ่อแม่วางไว้ตั้งแต่เด็ก
อาจดูเหมือนว่าสนุกสนานต่อการเรียนรู้ในช่วงแรก
โดยแสดงพฤติกรรมเกินวัย ทั้งคำพูดและท่าทาง
ระยะแรกพ่อแม่จะชื่นชมพฤติกรรมเกินวัยของเด็ก
เพราะเห็นว่าเป็นพฤติกรรมที่แสดงถึงความรับผิดชอบ
จึงเป็นเหตุให้พ่อแม่สบายใจ จนให้เวลากับเด็กลดลง
ซึ่งอาจถึงขั้นละเลยหรือละทิ้ง เด็กเองก็รับรู้ถึงเหตุผลต่างๆ ที่พ่อแม่ยกขึ้นมาอ้าง
เพียงแต่มีความรู้สึกภายในตัวเองที่เหงา เศร้า
และไม่สามารถแสดงหรือเล่าความรู้สึกเหล่านั้นออกมาได้
เพราะเท่ากับเป็นการแสดงลักษณะแบบเด็กเล็กที่พ่อแม่ไม่พอใจ
และส่งผลให้ได้รับคำตำหนิตามมาได้

เด็กพยายามจะเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใหญ่
จึงมีบุคลิกภาพแบบชอบแข่งขัน ไขว่คว้าหาความสำเร็จที่มากขึ้นไปเรื่อยๆ (achievement striving)
กระวนกระวาย อ่อนเพลีย ความอดทนต่ำและหงุดหงิดง่าย
เอาจริงเอาจัง ไม่ร่าเริง แจ่มใส รู้สึกอึดอัดเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามแผน
เครียดและวิตกกังวลสูง แสดงออกเป็นพฤติกรรมเจ้าระเบียบ บีบคั้น เน้นความถูกต้อง ยึดกับกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้มากเกินไป
ถ้าไม่เป็นไปตามแผนที่พ่อแม่คาดหวัง เด็กมักจะวิตกกังวลมาก มีอาการกระวนกระวาย ไม่มีสมาธิ ไม่รู้ว่ากลัวอะไร
บางคนมีพฤติกรรมก้าวร้าว ผลการเรียนไม่ดี อาจมีอารมณ์ซึมเศร้าและร้องไห้ง่าย
หรือมีอาการเครียดที่แสดงออกทางกาย เช่น ปวดท้อง ปวดศีรษะ เป็นต้น
ไม่ยินดีเริ่มหรือไม่สนใจทำกิจกรรมที่เคยสนใจ ชอบอยู่บ้านมากกว่า
แสดงพฤติกรรมต่อต้านสังคม พูดปด ขโมย ลืมหรือปฏิเสธไม่ทำงานบ้าน ผลการเรียนตกลง
แสดงความสนใจน้อยหรือไม่สนใจต่อการเข้าเรียนและทำการบ้าน และหันมาพึ่งพาพ่อแม่มากกว่าเดิม

มีคำพูดอธิบายความรู้สึกภายในของเด็กกลุ่มนี้ว่า
“คำพูดและพฤติกรรมสะท้อนความเป็นผู้ใหญ่ แต่สภาวะจิตใจยังเป็นเด็ก”

เด็กและวัยรุ่นกลุ่มนี้มักจะมาพบแพทย์ด้วยปัญหาต่างๆ ได้หลายรูปแบบ เช่น

1. ปัญหาสุขภาพ เช่น ตัวเล็ก ไม่สูง ไม่กินอาหาร เป็นต้น
ซักประวัติจะพบว่าขาดการออกกำลังกาย
บางรายเป็นลม บ่นเหนื่อย หมดแรง บ่นปวดศีรษะ ปวดท้องโดยหาสาเหตุทางร่างกายไม่พบ เป็นต้น
ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากความเครียดที่เกินกว่าจะควบคุมได้

2. ปัญหาการเรียน เช่น ผลการเรียนลดลง ไม่มีสมาธิ เรียนไม่ทัน ไม่รู้เรื่อง
ความจำไม่ดี รู้สึกเฉื่อย ไม่สนุกหรือเบื่อการเรียน เป็นต้น
จนบางครั้งอาจถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้นได้

3. ปัญหาด้านอารมณ์ ไม่แจ่มใส แยกตัว วิตกกังวลสูง ซึมเศร้า ร้องไห้ง่าย
เจ้าระเบียบ เน้นความถูกต้อง และยึดกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้
จนอาจมีปัญหาในการปรับตัวกับเพื่อน

4. ปัญหาพฤติกรรม อาจจะมีพฤติกรรมเหมือนพฤติกรรมของวัยรุ่นทั่วไป แต่จะรุนแรงและยาวนานกว่า เช่น
เฉื่อยชา ไม่รับฟังความคิดเห็นของพ่อแม่ แยกตัว ไม่ร่วมกิจกรรม นอนน้อย ต่อต้านสังคม ไม่ยอมเรียน
หรือก้าวร้าว ขาดความรับผิดชอบ และจริยธรรมต่ำ
ไปจนถึงเคร่งครัดกับตัวเองและคนอื่นมากเกินไป หรือแสดงพฤติกรรมเกินวัยทั้งคำพูดและท่าที

5. ปัญหาการปรับตัว เช่น ปรับตัวกับพ่อแม่ พี่น้อง ครูอาจารย์ หรือเพื่อนไม่ได้ ซึ่งการปรับตัวที่มีปัญหานี้เป็นผลมาจากการเร่งรัดเด็ก

6. ปัญหาพฤติกรรมทางเพศ เช่น แสดงพฤติกรรมทางเพศเกินพอดี ทั้งด้านการพูด การแสดงออก หรือแต่งตัวเกินวัย
มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ตั้งครรภ์ ทำแท้ง หรือเปลี่ยนคู่บ่อย เป็นต้น

7. ปัญหาพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การเสพสารเสพติด และพฤติกรรมเสี่ยงอันตรายอื่นๆ เป็นต้น ซึ่งมักจะพบบ่อยในวัยรุ่นชายและวัยรุ่นหญิงบางราย
______________

# เด็กที่ถูกเร่งรัด หรือ Hurried Child Syndrome (ตอนสุดท้าย) #

บทความที่น่าสนใจเรื่องเด็กที่ถูกเร่งรัด โดย ศ.พญ.วินัดดา ปิยะศิลป์ อีกตอนหนึ่งนะครับ
ผู้อ่านถามมาว่าแล้วพ่อแม่จะต้องทำอย่างไร ลองอ่านในตอนนี้ดูนะครับ
_______
การช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาของเด็กที่ถูกเร่งรัด
เด็กและวัยรุ่นต้องการเวลาในการเติบโตและพัฒนา ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ที่เหมาะสม พอดี และสมดุลทุกด้าน
ควรให้เวลาเด็กและวัยรุ่นคิดหรือทำในสิ่งที่เขาสนใจ
ใช้ความสามารถทางด้านจินตนาการสร้างสรรค์งาน โดยให้งาน กิจกรรม และการเล่น ที่ลูกได้ทำ
ทั้งในส่วนที่พ่อแม่กำหนดและสิ่งที่ลูกชอบ สนใจ หรือรู้สึกสนุก ควรส่งเสริมให้ทำจนสำเร็จและเกิดทักษะใหม่ๆ ตามมา

เปิดโอกาสให้เด็กและวัยรุ่นแสดงความคิดเห็น ช่วยคิดวางแผน พัฒนาความสามารถรอบด้าน
เปิดพื้นที่ให้ลองเรียนรู้ หัดทำ ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน.
แต่ไม่ใช่ไปผลักดัน ให้ความสนใจในกิจกรรมและสิ่งที่เขาทำพร้อมแสดงความชื่นชม

เมื่อลูกไม่อยากทำ เริ่มไม่สนใจ วิตกกังวลเกี่ยวกับกิจกรรม
มีปัญหาเรื่องเพื่อนหรือกลุ่มเพื่อน ก็เข้าไปช่วยค้นหาเรื่องราวตามความเป็นจริง
ซึ่งอาจแก้ไขให้ลุล่วงได้ หรือบางครั้งต้องหยุดกิจกรรมไปในที่สุด
ให้ค่อยๆ ฝึกหัดไปเป็นขั้นตอนตามระยะที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

การป้องกัน การป้องกันย่อมให้ผลดีกว่าการรักษาเสมอ
แต่น่าเสียดายที่ระบบสาธารณสุขไทยยังให้ความสำคัญกับครอบครัวน้อยมาก
ปล่อยปละละเลยให้พ่อแม่ต่างคนต่างเลี้ยงดูลูกไปตามใจชอบ
และเมื่อมาพบกับปัญหาของระบบการศึกษาไทยที่ไม่แข็งแรง
เด็กไทยจึงถูกพัฒนาแบบไร้ทิศทางและมีคุณภาพไม่ดีพอ

การป้องกันต้องมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมให้พ่อแม่และครูทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม
เพื่อเพิ่มคุณภาพการเลี้ยงดู ฝึกฝน และอบรมเด็กอย่างถูกต้องมาตั้งแต่เล็ก
การเร่งรัดและกดดันแต่พอเหมาะจึงจะทำให้เด็กพัฒนาได้สูงสุด
แต่เมื่อแรงกดดันเด็กมากเกินพอดี จะต้องมีระบบค้นหาปัญหาและให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสม

งานวิจัยพบว่าเด็กที่จัดการกับความเครียดได้ดีมีลักษณะดังต่อไปนี้

1. ปรับตัวเข้ากับคนอื่นง่าย วางตัวง่ายๆ ใครอยู่ด้วยสบายใจ มีความสามารถในการเข้าสังคม (social competence)
2. เป็นคนมีเสน่ห์ ทำให้คนอื่นประทับใจได้ และมั่นใจในตนเอง (self-confidence)
3. เป็นตัวของตัวเอง (independence) พึ่งตนเองได้ อยู่ได้ด้วยตนเองอย่างสงบ และจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะกับความต้องการของตน
4. เข้าใจและเห็นจุดอ่อนจุดแข็งในตัวเอง พัฒนาตนเองได้ และจัดการกับปัญหาโดยมองเหตุการณ์ด้านบวกตามความเป็นจริง
5. เป็นผู้มีความสำเร็จ เป็นผู้มีผลผลิต (producer) ชอบทำงาน มีงานอดิเรก ผลการเรียนดี มักเป็นผู้ริเริ่มและสร้างสรรค์
หากพ่อแม่และครูอาจารย์จะคาดหวังและเรียกร้องให้เด็กทำสิ่งที่เกินอายุ หรือคาดหวังให้ประสบความสำเร็จตามความต้องการ พ่อแม่และครูอาจารย์จะต้องฝึกฝนและให้ความช่วยเหลือไปพร้อมกัน เพื่อให้ความเครียดลดลง ให้กำลังใจสนับสนุน (encouragement and support) และให้ความหวัง โดยให้เด็กรับผิดชอบในภารกิจให้มอบหมาย (commitment) แต่ก็จัดเวลาอิสระ (free time) ที่เด็กจะมีเวลาเป็นของตนเอง เมื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ซื่อสัตย์ หวังดี และใกล้ชิดเด็ก สิ่งที่จะตามมาคือเด็กจะซื่อสัตย์และภักดี (loyalty) ต่อพ่อแม่และครูอาจารย์เช่นกัน

สรุป วิธีการเลี้ยงดูส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านบุคลิกภาพของเด็กไปตลอดชีวิต ผลจากการเร่งรัดทำให้เด็กมักแสดงออกมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีบุคลิกภาพแบบแข่งขันสูง ชอบเปรียบเทียบ และไขว่คว้าหาความสำเร็จที่มากขึ้นไปเรื่อยๆ (achievement striving) แต่จะเครียดง่าย กระวนกระวาย อ่อนเพลีย มีความอดทนต่ำและหงุดหงิดง่าย เอาจริงเอาจัง ไม่ร่าเริงแจ่มใส อึดอัดเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามแผน เครียดและวิตกกังวลสูง แสดงออกเป็นพฤติกรรมเจ้าระเบียบ บีบคั้น เน้นความถูกต้อง และยึดกับกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้มากเกินไป

เด็กทุกคนต้องการเวลาสำหรับการพักผ่อน เวลาที่เป็นอิสระจากคำสั่ง เพื่อให้สมองได้พักและย่อยข้อมูล การฝึกฝนเด็กให้เป็นไปตามที่พ่อแม่ต้องการอาจเกิดปัญหาตามมามากกว่าการส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาไปตามศักยภาพและความถนัด ควรจะคงสภาพให้เด็กได้แสดงความเป็นเด็ก สนุกสนาน มีความสุขในการใช้ชีวิต และมีสัมพันธภาพที่ดีระหว่างเด็กกับพ่อแม่ ถึงแม้ว่าเด็กจะยังไม่สามารถทำไปถึงระดับที่พ่อแม่ต้องการได้ก็ตาม

Cr: หมอมินพระราม6
ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย
_____

เพิ่มเติม:เด็กเก่ง ต้องเครียด อัดเรียน
หรือ เด็กเก่งต้องพาเรียนรู้หลากหลาย. พาเรียนรู้ประสบการณ์อื่นๆนอกห้องเรียน
เด็กเก่งต้องเชื่อพอ่แม่ทุกอย่าง
หรือ ต้องรู้จักฝึกคิด ฝึกถาม สิ่งที่สงสัย

ที่มา https://www.facebook.com/1404769783067839/photos/a.1424351057776378.1073741859.1404769783067839/1639322949612520/?type=3

Corporal punishment

เลี้ยงลูกให้เป็นทรพี (โดยไม่เจตนา)
โดย ศ นพ วิทยา นาควัชระ

เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องจริง
ตั้งใจจะยกให้ดูเป็นตัวอย่าง ไม่อยากจะโทษใคร เพราะตัวละครแต่ละคนในเรื่องก็เจ็บปวดอยู่แล้ว ถือว่าเป็นกรณีศึกษา และเป็นตัวอย่างประกอบก็แล้วกัน

ตัวอย่างที่ 1 พ่อมีการศึกษาจบปริญญาเอก แม่จบปริญญาโท ทั้งพ่อและแม่มีการงานทำดีมาก การเงินก็ดี แต่ก็ทำงานหนักทั้งคู่

ทั้งสามีภรรยามีลูกชาย 2 คน คนโตอายุ 14 ปี คนเล็กอายุ 9 ปี
ลูกทั้งคู่ แลดูน่ารักตลอดมา การเรียนไม่เก่ง แต่การสังคมเก่ง พูดเก่ง กีฬาเก่ง กำลังเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อมากแห่งหนึ่ง

พ่อแม่เริ่มปวดหัวที่ลูกไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน ลูกคนโตเริ่มก้าวร้าว พ่อแม่ว่าอะไรก็เถียง หรือไม่สนใจ

ครั้งล่าสุดนี้ ลูกฃายพูดจายอกย้อนพ่อ เถียงพ่อ จนพ่อทนไม่ได้ เอามือไปตีลูกชายเข้า 1 ที
ลูกชายลุกขึ้นเตะพ่อ 1 ที แล้วผลักพ่อกระเด็น แถมเดินหนีออกจากบ้านไป

พ่อมาเล่าให้ผมฟังด้วยหัวใจปวดร้าว

ผมถามว่าแล้วทำอย่างไรต่อ

เขาบอกว่า ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่เคยลงโทษลูกมาก่อนเลย เพราะคิดว่าจะเลี้ยงลูกด้วยการไม่ลงโทษเลย

ครั้นโตแล้วจึงเห็นว่าลูกทำผิดเรื่อยๆ ไม่อยู่ในโอวาท ถ้าจะลงโทษตอนนี้ ลูกก็ไม่ยอมรับ แถมสู้ และหนีไปเฉยๆ จะสู้กับลูกก็สู้ไม่ได้ อายเขาด้วย เขาถามผมว่า

ทำไงดี……หมอครับ?

ตัวอย่างที่ 2 พ่อเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แม่เป็นหมอ ก็ทำงานหนักทั้งคู่ ลูกชายคนโตอายุ 13 ปี ไม่เชื่อฟังพ่อแม่

ครั้งล่าสุดนี้ แม่เผลอไปเอ็ดลูกเข้ามากๆ ลูกชายเลยเอาไม้ตีหัวแม่แตก และหนีออกจากบ้านไป
พ่อแม่ก็ไม่รู้จะทำอะไร ทั้งคู่ไม่เคยลงโทษลูก

แม่โทรศัพท์มาหาและบอกว่า ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง กลัวเขาจะหาว่าเป็นลูกทรพี

เธอถามผมว่า….

หมอ….ทำไงดี?…..อยากฆ่าตัวตายอยู่แล้ว !!!

จากทั้งสองกรณีนี้ แสดงให้เห็นว่าเด็กเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ไม่ได้สร้างวินัยให้แก่เด็กตั้งแต่เล็กๆ

เด็กจึงเติบโตขึ้นมา มีร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง สังคมดี พูดเก่ง กีฬาเก่ง อาจจะเรียนเก่งด้วยก็ได้ แต่ขาดวินัยกับตัวเอง

ไม่มีการยอมรับกติกาของสังคม ของครอบครัว ของพ่อแม่ ซึ่งถ้าเติบโตต่อไปก็จะไม่ยอมรับกติกาของสถาบันการศึกษา ของที่ทำงาน และแม้แต่กฏหมายบ้านเมือง

เรียกว่าเติบโตต่อไป ทำงานก็ยาก อยู่ก็ยาก มีครอบครัวก็ยาก มีลูกก็ยาก…..ยากไปหมดทุกอย่าง แม้แต่อยู่คนเดียวก็ยาก เผลอๆก็ทำผิดกฏหมายบ่อยๆโดยอ้างว่า…..ไม่เจตนา ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

ก็เป็นเพราะพ่อแม่ไม่ลงโทษ เมื่อเด็กทำผิดตั้งแต่เล็กๆ
และไม่ชมเชย หรือให้รางวัลเมื่อเขาทำความดี

ผมจำได้แม่นว่า เมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว มีการเชื่อกันมากเรื่องการเลี้ยงลูกโดยไม่มีการลงโทษทางกาย ซึ่งก็คือการตีลูกนั่นเอง พวกมีความรู้ระดับปริญญาโทขึ้นไป ครูบาอาจารย์ แพทย์ เชื่อถือกันมากและเลี้ยงลูกโดยไม่ลงโทษโดยการตีเลย แต่จะบอกให้เด็กคิดเอง ให้เด็กมีอิสระในการแสดงออก ซึ่งแลดูก็น่ารักดีหรอกในตอนเด็กๆ

ในช่วงนั้นๆ ผมเคยถูกเชิญไปบรรยายพิเศษให้สมาคมผู้ปกครองของโรงเรียนสาธิตที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งฟัง และผมก็ถูกถามเรื่องนี้ ซึ่งผมก็ตอบในที่ประชุมเลยว่า ผมไม่เห็นด้วยหรอกที่ไม่มีการลงโทษเด็กทางฝ่ายกายเมื่อทำผิด ถ้าเป็นผม ผมจะตีเด็ก ใช้มือตีก้นเขาจะดีที่สุด ผมถูกหาว่า…..แหมหมอเหี้ยมจัง

แต่ผมเชื่อว่า การถูกตี หรือการถูกลงโทษทางฝ่ายกายตั้งแต่เด็กๆนั้น เด็กจะตระหนักและรับรู้ถึงบทบาทของการลงโทษได้ดีกว่าและเร็วกว่าการลงโทษทางจิตใจและทางสังคม เพราะเด็กนั้นเล็กเกินไปที่จะเข้าใจ และจะได้ใจด้วย

ผมยังพูดอีกด้วยว่า……"จำไว้ ถ้าคุณไม่ลงโทษลูกของคุณเมื่อทำผิด สักวันหนึ่งสังคมจะลงโทษลูกของคุณ ซึ่งจะเจ็บยิ่งกว่าที่คุณลงโทษเขาเสียอีก"

สิบกว่าปีผ่านไป เด็กๆยุคนั้นก็คงเติบโตเป็นวัยรุ่นกันในขณะนี้พอดี

ปัญหาเรื่องลูกวัยรุ่นนี้ ทำความปวดหัวมาให้กับพ่อแม่มาก มีพ่อแม่นำลูกวัยรุ่นมาปรึกษาผมที่คลินิกมากมาย ท้งที่เจ้าตัวยอมมาหาเอง และจ้างกันมา

มีวัยรุ่นรายหนึ่งมาจากเยอรมัน พ่อแม่ต้องจ้างให้มาหาผมด้วยการซื้อเสื้อผ้าให้ 30 ชุด ซึ่งหลังจากมาหาพูดคุยกับผมแล้ว เขาบอกว่า ไม่ต้องจ้างก็ได้เพราะมาหาแล้วคุยกับผมได้สนุกดี อยากมาคุยบ่อยๆ

โดยส่วนตัวผมเองแล้ว ผมสนใจเรื่องของวัยรุ่นและกิจกรรมวัยรุ่นตลอดมาในทุกๆรูปแบบ และต้องเข้าใจหรือตามให้ทันอยู่เสมอๆ

สมัยที่รับราชการอยู่ในโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ ผมก็เป็นผู้ริเริ่มตั้งแผนกจิตเวชวัยรุ่นขึ้นมาเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพราะมองเห็นความสำคัญของบุคคลในวัยนี้ ที่จะต้องได้รับการดูแล ช่วยเหลือแนะนำหรือแก้ไขโดยจิตแพทย์ หรือบุคลากรที่พร้อมจะเข้าใจจิตใจของพวกเขาโดยแท้จริง และต้องทันสมัย ทันเหตุการณ์ด้วย

ในอเมริกาก็จะมีแผนกจิตเวชวัยรุ่นนี้อยู่ตามโรงเรียนแพทย์ใหญ่ๆที่ผมเคยได้ไปศึกษามา

วัยรุ่นที่มีปัญหาหลายๆราย ก็ช่วยเหลือได้ทั้งในแง่เกเร ไม่เรียนหนังสือ ชอบหนีเที่ยว ติดยา สำส่อนทางเพศ แปรปรวนทางเพศ ก้าวร้าว แยกตัว ขาดความเชื่อมั่นตัวเอง กังวล ฯลฯ

บางรายก็ช่วยเหลือได้ยากมาก เพราะเขาไม่อยากให้แพทย์ช่วย

และที่แน่นอนคือ พ่อแม่ต้องให้ความร่วมมือด้วย

แต่ไม่อยากจะรอให้ถึงขั้นนี้หรอก จะเจ็บด้วยกันทั้ง พ่อ แม่ ลูก

จงมาตั้งใจอบรมลูกให้มีวินัยตั้งแต่เด็กๆดีกว่าครับ

จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจว่า เลี้ยงลูกผิด

ซึ่งถือว่าเป็นบาปบริสุทธิ์ชนิดหนึ่งก็ได้ หรือ อย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า เป็นการเลี้ยงลูกให้เป็นทรพีโดยไม่เจตนาก็ได้

ที่มา https://www.facebook.com/photo.php?fbid=811364535628066&set=a.132887846809075.24638.100002635827336

Diabetes & Hypertension

เบาหวานความดันที่ไม่เห็นความสำคัญของการกินยามาตามนัด
กำลังตายผ่อนส่งและสร้างภาระใหญ่หลวงให้ลูกหลาน

เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่เป็นแล้วเป็นเลย ไม่หาย แต่ควบคุมให้อยู่ในระดับปกติได้ ต้องกินยา ต้องนัดมาติดตามอาการกันตลอด สิ่งเหล่านี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่หมอจะบอกคนไข้ ก่อนเริ่มการรักษาเสมอๆอยู่แล้ว

ข้ออ้างจากคนไข้ที่ได้ยินบ่อยๆคือ
"ก็ไม่เป็นอะไรสบายดี
เลยไม่มาตามนัด ไม่กินยา"

ความดันโลหิตสูง ถ้ามันไม่ได้สูงทะลุเพดาน ไม่มีอาการแสดงอะไรอยู่แล้ว
แต่ในช่วงที่ไม่มีอาการแต่ความดันยังสูงไม่ได้คุมด้วยยาลดความดันนี่แหละ ที่มันไปทำลายกระแทกเส้นเลือดตามอวัยวะต่างๆ หัวใจ สมอง ไต ให้ได้รับบาดเจ็บ เราจึงต้องให้กินยาคุมความดันไว้ เพื่อลดความเสียหายกับเส้นเลือดในอวัยวะต่างๆ ไม่กลายเป็น ไตเสื่อม เส้นเลือดสมองแตก/ตีบ เส้นเลือดหัวใจตีบตามมา

และถ้าความดันสูงมาก จนคุณต้องมาโรงพยาบาลแสดงว่าแย่ละ อาจเกิดเส้นเลือดสมองแตกเฉียบพลันได้

ส่วนเบาหวาน พอไม่กินยาไม่คุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในระดับปกติ น้ำตาลมันก็ไปสะสมในเส้นเลือดต่างๆ สร้างความเสียหายกับอวัยวะต่างๆ
ไปที่เส้นเลือดในตาทำให้ตาบอดได้
ไปที่ไตก็ไตวายเรื้อรัง มานั่งฟอกไตกันอีก ไปที่เส้นเลือดหัวใจก็เส้นเลือดหัวใจตีบ
ไปเกาะเส้นเลือดสมองก็เส้นเลือดเปราะเป็นเส้นเลือดสมองแตก/ตีบตามมา

อาการเหล่านี้มันไม่มาทันทีครับ (แต่บางรายก็มาทันทีนะ) แต่มันจะสะสม 5 ปี 10 ปี คุมน้ำตาลไม่ได้ ความดันไม่คุม รับรองไม่เกินนี้ ทั้ง ตา หัวใจ ไต สมอง ไปแน่

การนัดทุกนัดมีความสำคัญ ยาที่หมอให้กินทุกอย่างเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อควบคุมให้ความดันและระดับน้ำตาลปกติ อย่าคิดไปเองว่าไม่เป็นอะไรสบายดีไม่ต้องกินไม่ต้องมาก็ได้

วิธีคิดแบบนี้จะสร้างภาระให้ลูกหลานในภายหน้า เวลาที่ต้องพาพ่อแม่มาฟอกไต อาทิตย์ละ 3 วัน ดูแลพ่อแม่ที่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ฝากไว้นะครับ

ที่มา https://www.facebook.com/Drnextdoor/photos/a.173043039541155.1073741922.138161163029343/174446189400840/

Sunday, November 15, 2015

Strategic Thinking is a habit - not a skill

เรียนรู้วิธีคิดเชิงกลยุทธ์ จาก นิทานหิ่งห้อย
» โดย : ดร.ธัญ ธำรงนาวาสวัสดิ์

`Strategic Thinking is a habit ; not a skill´
-- การคิดเชิงกลยุทธ์ เป็นนิสัยไม่ใช่ความสามารถ --

ช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมา ผมใช้เวลาส่วนใหญ่กับองค์กรต่าง ๆ ในหลักสูตร “Strategic Thinking”

นัยว่า...หลายองค์กรตระหนักถึงสองประเด็น

1) ความเร่งด่วนของสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง
เช่น Asian Economic Community ที่จะมาถึงอยู่รอมร่อ

2) ช่วงว่างระหว่างผู้นำที่จะเกษียณกับผู้บริหารที่จะขึ้นมาทดแทนเป็น Successors ...
จึงต้องเร่งสปีดการเตรียมความพร้อมด้านการคิดเชิงกลยุทธ์

.
----------------------------------
.

Insight ที่เกิดในสมองผมคือ...

“การคิดเชิงกลยุทธ์ไม่ใช่ความสามารถ” ที่จะเรียนกันเฉพาะในวันสองวัน แต่มันคือนิสัย หรือ Habit

เด็กน้อยได้ยินเรื่องราวกล่าวขานมานาน... หากใครได้จับหิ่งห้อยมาเก็บเอาไว้ใต้หมอน

นอนคืนนั้นจะฝันดี ฝันเห็นดวงดาวมากมาย ฝันเห็นเจ้าชายเจ้าหญิง ฝันแสนสวยงาม

นี่คือ การคิดแบบ Fixed Mindset ว่ากลยุทธ์เป็นทักษะ
ที่สามารถเอาคนมานั่งเรียนวิธีเขียน Vision Mission Strategies สองสามวัน

หรือมานั่ง Brainstorm กันหาความคิดใหม่ ๆ แล้วจะบรรลุผลสำเร็จ

คล้ายว่าสมองเป็นหิ่งห้อย จับเอามาขังไว้ในกล่องแล้วคืนนั้นจะฝันดี
อย่างที่พี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง ไอดอลของผมร้องไว้ใน ‘นิทานหิ่งห้อย’ กับวงเฉลียง

.
----------------------------------
.

หากสมองไม่ได้ทำงานอย่างนั้น
ระบบ Default Network คือ หัวใจของความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม
ฝรั่งเรียกว่า Thinking by not thinking

เพราะระบบนี้จะทำงานเมื่อเรา ‘หยุดบังคับ’
เช่น หนึ่งในเวลาที่สมองคิดได้ดีที่สุดคือ ระหว่างที่เจ้าของนอนหลับ
เราจึงมักได้ความคิดใหม่ ๆ ดี ๆ ยามเช้าเมื่อตื่นขึ้น

ครึ่งหนึ่งของรางวัลโนเบลในปี 1981 มอบให้กับ Dr. Roger Sperry
ผู้เป็นที่มาของการแบ่งสมองเป็นซีกซ้ายและขวา

ส่วนอีกครึ่งหนึ่งมอบให้กับ Dr. David Hubel and Dr. Torsten Wiesel
ผู้ศึกษาเรื่องการทำงานของเซลส์สมอง

เป็นงานวิจัยที่เติบโตมาสู่ความเข้าใจในปัจจุบันว่าสมองทำงานเป็นสังคม เป็นเน็ตเวิร์คเหมือนเฟสบุ๊ค (Neuronal Network)

และอาศัยการแบ่งปันข้อมูลเพื่อนำไปสู่นวัตกรรมความคิดใหม่ ๆ ในสมองมนุษย์

วิธีคิดเชิงกลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือ การคิดบ่อย ๆ คิดเสมอ ๆ เจออะไรก็คิด ก็ตั้งคำถาม ตั้งข้อสังเกต

พี่จิก-ประภาส ชลศรานนท์ เคยให้เคล็ดลับไว้ว่า “ความคิดเหล่านั้นจะตกตะกอนเองในภายหลัง”

.
----------------------------------
.

💡
ข้อคิดสำหรับผู้นำสมอง

1) ฝึกคิดให้เป็นนิสัย

การคิดเชิงกลยุทธ์เป็นนิสัย...ไม่ใช่ความสามารถ

นิสัยคือสิ่งที่คุณทำซ้ำ ๆ จนไม่ต้องกำหนดให้ตนเองทำอีกต่อไป

องค์กรอาจช่วยคนของคุณสร้างนิสัยเหล่านี้ได้ด้วยการ ‘บังคับ’ ให้คิดอย่างสม่ำเสมอจนติด

เหมือน Google ที่ให้เวลา 20% ต่อสัปดาห์กับพนักงานเพื่อคิดโน่นคิดนี่
แล้วมีเวทีเพื่อแชร์ความคิดของแต่ละคน

หรืออย่างน้อย ๆ ก็ ‘อย่าขัดขวาง’ เวลาคนอยากคิด
ลูกน้องมีไอเดียจะนำเสนอ แม้จะดูไร้เหตุผลและไม่เห็นด้วยเพียงไร
หัวหน้าควรปล่อยให้พูดปล่อยให้ลอง

เพราะวัตถุประสงค์คือการฝึกคิดให้เป็นนิสัย...ไม่ใช่การหาคำตอบ

.
----------------------------------
.

2) ฝึกคิดอย่างนิทานหิ่งห้อย

Growth Mindset คือ การหยุดขังสมองไว้ใต้หมอน
แทนการเรียกคนที่เกี่ยวข้องมานั่งประชุมครั้งละสองสามชั่วโมงที่กำกับโดยหัวหน้า

ควรใช้วิธีที่เป็นมิตรต่อการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ในสมองมากกว่า

อาจให้มารับบรีฟหัวข้อและวัตถุประสงค์สักครึ่งชั่วโมง...
หลังจากนั้นมอบสมุดโน้ตให้หนึ่งเล่มพร้อมปากกา
บอกพวกเขาว่าอีกหนึ่งสัปดาห์เราจะมาพบกันใหม่

หน้าที่ของเขาคือ “จดทุกความคิดที่เกิดขึ้นในหัวระหว่างนี้” แล้วนำกลับมาแชร์กันตอนนั้น

ผมเชื่อว่าองค์กรจะได้คำตอบใหม่ ๆ ของปัญหาเดิม ๆ
 มากกว่าการขังเขาไว้ในห้องเพื่อ brainstorm

.
----------------------------------
.

3) ฝึกให้รักในสิ่งที่ทำ

วิธีคิดถึงกลยุทธ์...มีสองประเภท

#1 กลยุทธ์เป็นศาสตร์ ที่เรียนได้ศึกษาได้
เช่น Game Theory, BCG Growth Share Matrix, Blue Ocean Strategy ฯลฯ

#2 กลยุทธ์เป็นศิลป์ ที่เกิดขึ้นจากความรัก ความลุ่มหลง และความมุ่งมั่นในสิ่งที่ทำ
เช่น Sam Walton กับ Wal-Mart
หรือ Steve Jobs กับ Apples
หรือ Howard Schultz กับ Starbucks

สมการที่ดีคือ ต้องมีทั้ง #1 และ #2 อย่าหลงยึดติดกับสมองจนลืมหัวใจ

หากคุณฝึกรักและหาทางฝึกให้สมาชิกของคุณรักในสิ่งที่ทีมทำ
กลยุทธ์จะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อทุกเวลา

เหมือน...

"หิ่งห้อยนับร้อยนับพันที่สว่างไสวอยู่บนต้นลำพู

เด็กน้อยนอนหลับสบาย อมยิ้มละไม
ใต้หมอนไม่มีกล่องอะไร ไม่มีสิ่งใด ๆ ถูกขัง

นอนคืนนั้นจึงฝันดี ฝันเห็นดวงดาวมากมาย
ฝันเห็นเจ้าชายเจ้าหญิง...

...ฝันแสนสวยงาม"

.
----------------------------------
.

Credit บทความ : ดร.ธัญ ธำรงนาวาสวัสดิ์
 - ที่ปรึกษาอาวุโส บริษัท ออคิด สลิงชอท | CEO Blogs - กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์

Experience

ผมขอเล่าเส้นทางอาชีพตัวเองเผื่อเป็นประโยชน์กับคนรุ่นใหม่

เริ่มต้นด้วยอาชีพวิศวกร ตำแหน่งสุดท้ายเป็น Plant Manager ถามว่าผมชอบงานที่ผมทำไหม
ไม่ชอบเลยครับ แต่ผมได้วิชามาหนึ่งวิชาคือ Production planning
โดยเฉพาะ Scenario planning ผมก็ได้เพียงใส่กระเป๋าเสื้อพกติดตัวไว้

หลังจากนั้นหันไปทำอาชีพโฆษณา ตอนแรกก็ชอบนะครับ
แต่ทำไปได้สองปีกว่าก็ไม่ชอบ ไม่ใช่ไม่ชอบที่เนื้องาน แต่ไม่ชอบที่ลูกค้าบางคนชอบกดดันและขู่
แต่สิ่งที่ได้จากงานโฆษณามีคุณค่ามหาศาลคือ “ความคิดสร้างสรรค์” เช่นกัน
ก็ได้แต่พกติดกระเป๋าเสื้อ

จากนั้นข้ามไปทำงานการตลาด ทำได้ไม่นาน ก็บอกลา
เพราะงานการตลาดเป็นงานทำซ้ำ ผมไม่ได้บอกงานการตลาดเป็นงานไม่ดี
แต่บอกว่างานการตลาดไม่เหมาะกับจริตผม
ถึงแม้ไม่ชอบผมก็รู้ Marketing process แบบ Inside out ว่าต้องทำอย่างไร และหนีบติดตัวไว้

จากนั้นกลับมาวงการโฆษณา คราวนี้อยู่ในอาชีพนี้ถึง 10 ปี
สุดท้ายโบกมือลาเพราะมีความขัดแย้งกับ Regional office

คราวนี้ผมพกติดตัววิชาหนึ่งคือ Strategic planning
ถึงแม้ผมไม่ได้ทำหน้าที่นี้ แต่ผมเรียนรู้จากพวก Account planner
และผมใช้เวลาอยู่หลายปีที่พัฒนา Planning process ให้เป็นรูปแบบของผม

หลังจากนั้นมาเปิด Media Agency ร่วมกับหุ้นส่วน
ได้วิชาติดตัวมาสองอย่าง Law of flywheel effect และ Law of relativity
มันเป็นหลักการสร้างแบรนด์ในบริบทของการบริหารจัดการสื่อ

มาถึงตรงนี้ผมหยิบทุกวิชามาประมวลเป็นภาพใหญ่ แล้วขมวดทุกวิชาเป็นวิชาใหม่
ทำให้ผมเป็น Business strategist ได้ในทุกวันนี้
และต้องบอกว่านี่เป็นอาชีพที่ผมมีความหลงใหลมากที่สุด

ประเด็นที่ผมอยากบอกกับคนรุ่นใหม่มี 2 ประเด็น

คุณจะได้ทำงานที่คุณรักก็ต่อเมื่อคุณยอมทำงานที่คุณไม่รักในช่วงแรกของชีวิต
ถ้าผมไม่ทำงานวิศวกร โฆษณา และการตลาด
เป็นไปไม่ได้ที่วันนี้ผมจะเป็น Business strategist

ผมมีความเชื่อว่าชีวิตงานของคนเราคือ Morphing process
เป็นการเปลี่ยนแปลงตลอดทางโดยใช้สิ่งที่เรียนรู้จากวิชาชีพที่เคยทำนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
ตอนแรกเป็นเพียงตัวดักแด้ แล้วกลายเป็นผีเสื้อ
จากนั้นกลายเป็นนก สุดท้ายกลายเป็นสิ่งที่เราอยากจะเป็น

2. จะทำอย่างนั้นได้ คนคนนั้นต้องรู้จักหยิบจับวิธีคิดหรือองค์ความรู้ที่ดีมีประโยชน์
จากงานที่ไม่ใช่ มาใช้เป็น Springboard ที่ดีดคุณสู่ Dream job

นี่คือวิธีในการสร้าง Career path ด้วยตัวคุณเอง

ที่มา https://www.facebook.com/Blacksheeprunbusiness/photos/a.170070333043805.55908.139289596121879/983778115006352/

Brat

ตกลงใครกัน_ที่ฉันรัก?

ในฐานะหมอที่ทำงานกับเด็กและครอบครัว
สิ่งที่หมอพบว่าเป็นปัญหาอย่างมากในการเลี้ยงลูกยุคปัจจุบัน คือ
"การเลี้ยงดูที่ตามใจ" และ "การสร้างวินัยให้เด็กไม่เป็น"

เด็กยุคใหม่โตมากับพ่อแม่ที่ไม่ค่อยมีเวลา
ดังนั้นเวลาอันน้อยนิดที่ได้ใช้กับลูก พ่อแม่จึงมักเอาไปใช้กับการตามใจ อยากได้อะไรก็ไม่ขัด
และเผลอเข้าใจไปว่านี่คือสิ่งที่เค้าเรียกกันว่า "เวลาดีๆ"

เด็กหลายคน ถูกเลี้ยงโดยปู่ย่าตายาย ซึ่งก็ไม่กล้าขัดใจเพราะ
"ก็ไม่ใช่ลูกเรา"
"ขัดใจเดี๋ยวหลานยิ่งไม่รัก"
"สงสารมันพ่อแม่ไม่มีเวลาให้"

เด็กหลายคนโตมากับพี่เลี้ยงที่ก็ยิ่งตามใจเพราะ
"เดี๋ยวพ่อแม่เค้าว่าเอา ทำลูกเค้าร้อง"

เหตุผลสารพัดอีกมากมายที่คนเลี้ยงใช้บอกตัวเอง ในการตามใจและไม่ขัดใจเด็ก

เด็กเหล่านี้จึงกลายเป็นนางฟ้าและเทวดาตัวน้อยๆ ของบ้าน
และพ่อแม่ปู่ย่าตายายหลายคนก็กลายสภาพเป็น "คนรับใช้ส่วนพระองค์"
ไม่มีอำนาจ ขัดใจไม่ได้ และเมื่อเด็กโวยวายก็กลายเป็นต้องยอมจะได้ไม่มีปัญหา

เด็กๆ ฉลาดก็ใช้วิธีแบบนี้ เพื่อเรียกร้องให้ได้สิ่งที่ต้องการ ยิ่งนับวันก็ยิ่งรุนแรง
ที่สำคัญเติบโตขึ้นก็เรียนรู้ขึ้นทุกวันว่าผู้ปกครองก็ไม่มีอำนาจอะไรให้ต้องเกรงใจหรือเกรงกลัว
"เสียงดังหน่อย พ่อแม่ก็ถอยแล้ว"

และเด็กเหล่านี้ ก็จะกลายเป็นคนไข้ใน คลินิกวัยรุ่นของหมอ ด้วยปัญหา
ไม่อยากเรียน กลับบ้านดึกดื่น ซิ่งแว้นท์ ติดเพื่อน ติดแชท ติดเกมส์ทั้งวัน
โดยที่พ่อแม่ก็ได้แต่ทำตาปริบๆ แล้วก็บอกว่า "ก็ว่าแล้วแต่เค้าไม่ฟัง"

เหตุผลที่หมอไดัยินพ่อแม่หรือผู้ปกครองพูดอยู่เสมอ
"แม่ก็รักมากน่ะหมอมีอะไรก็ให้ทุกอย่าง ไม่อยากขัดใจให้ลูกอารมณ์เสีย"
"ตายายเค้าสงสารก็เลยตามใจ"

หมอจะบอกอะไรให้ค่ะ...

หมอพบว่าถ้าเราสำรวจใจเราดีๆ บางทีคนที่เรารัก อาจไม่ใช่ลูกหลานก็ได้นะคะ

แต่ทว่ามันคือ "ตัวเราเอง"

เราไม่กล้าขัดใจลูก อาจไม่ใช่เพราะเราไม่อยากเห็นเค้าเสียใจ
แต่เป็นเพราะเราทนกับความรู้สึกผิดของตัวเองไม่ได้ หรือเบื่อที่จะต้องทำใจอดทนกับเสียงร้อง

เราไม่กล้าขัดใจ...เพราะเรากลัวจะเป็นคนสุดท้ายที่ลูกจะรัก

เราให้ ให้ และให้... เพราะเรารู้สึกดีและคิดว่านี่จะทำให้ลูกยิ่งรักเรามากขึ้น

เรายอม...เพราะเราไม่อยากเผชิญปัญหาให้ปวดหัว เลยจบๆ ไปด้วยการตามใจเพราะมันง่ายดี

เด็กเอาแต่ใจและไม่มีวินัยหลายครั้งก็เกิดจากผู้ปกครองที่ "รักตัวเอง"

ถ้ายังรักลูกหลาน...ให้ลุกขึ้นมาอดทนนะคะ
อดทนกับปัญหา อดทนที่จะกล้าขัดใจ อดทนที่จะฝึกวินัยเชิงบวก อดทนที่จะต่อสู้กับความรู้สึกตัวเอง

เพราะถ้าเราช่วยเค้าไม่ได้ในวันนี้
อย่าหวังว่าจะช่วยเค้าได้ดีในอนาคต
เพราะถ้าเค้าไม่รู้ว่าต้องเชื่อฟังพ่อแม่ตั้งแต่วันนี้
เราจะไม่มีวันทำมันได้ดีเมื่อเค้าเข้าวัยรุ่นแล้ว

และนั่น...จะเป็นวันที่เราต้องเจ็บปวด กับผลร้ายที่ปล่อยเอาไว้ โดยไม่ได้ตั้งใจจะแก้ไขหรือดูแล

รักลูก... กำหนดขอบเขต กติกา และฝึกวินัยให้ลูกนะคะ
เพราะหน้าที่ของพ่อแม่ไม่ได้มีแต่ "คอยให้ความรัก"

#หมอโอ๋เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน
ผู้ได้แรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องนี้จากการตรวจเด็กติดเกมส์จนไม่เรียนติดๆกันหลายคน
และคนเลี้ยงมีคำตอบเหมือนๆกัน
"เลี้ยงมาเราก็รักนะหมอ ให้อะไรได้ก็อยากให้ พอขัดใจแล้วอารมณ์ไม่ดี เราก็ไม่อยากให้เค้ามีปัญหา"

ที่มา https://www.facebook.com/takekidswithus/photos/a.1383891795261502.1073741829.1383393308644684/1485369405113740/

I will tell you

ชายหนุ่มซื้อปลามาจากตลาด จากนั้นก็บอกภรรยา
“ที่รัก ผมซื้อปลามา คุณช่วยทอดให้หน่อยนะ เดี๋ยวผมจะไปดูหนังสักเรื่องหนึ่ง”
เมื่อภรรยาได้ยินว่าสามีจะไปดูหนัง ก็เอ่ยขึ้นว่า
“เค้าไปดูด้วย!”
“อย่าไปเลย คุณอยู่ทำกับข้าวก็แล้วกัน ค่าตั๋วก็แพง
ผมไปดูคนเดียว เดี๋ยวจะกลับมาเล่าให้คุณฟัง พร้อมทานปลาที่คุณทำ นะๆ”

เมื่อชายหนุ่มกลับมาจากดูหนัง ก็เดินเข้าไปที่ห้องครัว
“คุณ! ปลาทอดอยู่ไหน?”
ภรรยาสาวนั่งอ่านหนังสือด้วยอาการสงบ
“ฉันกินหมดแล้ว! มาๆ มานั่งใกล้ฉันเลยคุณ
เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังว่าปลามันอร่อยยังไง? มาสิ!”

* คุณปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร เขาก็ปฏิบัติต่อคุณอย่างนั้น

ที่มา https://www.facebook.com/NusonBooks/photos/a.286417594859673.1073741828.286409091527190/511796878988409/

knowledge n experience

คุณยายคนหนึ่ง พลัดหลงเข้าไปในห้องสัมมนาของเหล่าดอกเตอร์
บนเวทีมีดอกเตอร์ท่านหนึ่งกำลังเอ่ยถามผู้ที่เข้ามาสัมมนาว่า
“เม็ดฝนที่ตกมาจากฟ้าที่สูง และตกมาด้วยความเร็วสูง
จะทำให้คนได้รับบาดเจ็บหรืออันตรายถึงแก่ชีวิตหรือไม่?”
เมื่อสิ้นเสียงของดอกเตอร์ ภายในห้องประชุมก็เกิดเสียงดังอื้ออึง
ต่างก็พากันวินิจฉัยถึงสิ่งที่ได้ยินมา
บ้างก็หาค่าความเร็วของการตกของเม็ดฝน บ้างก็หามวลน้ำหนักของเม็ดฝน ฯลฯ
ต่างคนต่างก็พากันคิดโดยหาคำสรุปไม่ได้
คุณยายเห็นท่าจะไม่ดี ก็เลยปรบมือจากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า
“พวกคุณไม่เคยตากฝนเหรอ?”
สิ้นเสียงของคุณยาย ห้องทั้งห้องก็กลับมาสงบเงียบอีกครั้ง
ทุกคนต่างพากันพยักหน้าเชิงบอกว่า “ใช่ๆ พวกเราก็เคยโดนฝนนี่นา”
ครู่ต่อมา คุณยายก็ถูกยามรักษาการณ์หิ้วปีกคุณยายออกไปจากห้อง!

* ความรู้นำมาซึ่งวิธีการคิดที่หลากหลาย
แต่ประสบการณ์ทำให้คุณแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

ที่มา https://www.facebook.com/NusonBooks/photos/a.286417594859673.1073741828.286409091527190/511796878988409/

ตัวเหลือง

ภาวะตัวเหลืองไม่อันตรายถ้ารักษาอย่างถูกต้อง

นมแม่มักถูกโทษว่าเป็นสาเหตุของตัวเหลือง เหมือนกับคุณเจี๊ยบเลียบด่วน ไก่ไม่ผ่านคิวซีสีเหลืองที่มักถูกโทษว่าเป็นสาเหตุของกาลกิณีบ้านกาลกิณีเมือง น่าสงสารทั้งนมแม่และคุณเจี๊ยบเป็นที่สุด

วันนี้ป้าหมอจึงขออธิบายให้เข้าใจถึงภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิดดังนี้ค่ะ

#ทารกแรกเกิดตัวเหลืองเกิดจากอะไร

ตัวเหลืองภายในสัปดาห์แรก เกิดจากการแตกของเม็ดเลือดแดงซึ่งส่วนใหญ่เป็นการแตกตามธรรมชาติ เมื่อแตกแล้วจะเกิดสารสีเหลืองท่ีเรียกว่าบิลิรูบินซึ่งเป็นของเสีย ร่างกายต้องกำจัดออกทางตับ แต่ตับของทารกแรกเกิดยังทำงานไม่เต็มที่ กว่าจะเปิดสวิทช์ทำงาน ต้องสัปดาห์ที่ 2 เป็นต้นไป ดังนั้นเด็กแรกเกิดทุกคนจะมีภาวะตัวเหลือง มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่คน

อันที่จริงผู้ใหญที่ตับทำงานไม่ดี ก็มีอาการตัวเหลืองได้เช่นกัน เช่น ผู้ใหญที่เป็นโรคตับอักเสบ หรือกินเหล้าเยอะจนตับทำงานผิดปกติ

ตอนอยู่ในท้อง แม่จะกำจัดของเสียทุกอย่างแทนลูก รวมทั้งสารเหลือง พอตัดขาดสายสะดือลูกก็้ต้องกำจัดด้วยตัวเอง สารสีเหลืองที่ลูกผลิตในแต่ละวัน จะสะสมมากขึ้นเรื่อยๆในสัปดาห์แรก จะเริ่มลดลงเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่สองเมื่อตอนที่ตับของทารกเริ่มทำงานดีขึ้น ลักษณะค่าสารเหลืองที่เพิ่มแล้วลดลงจะมีลักษณะเหมือนภูเขา บางคนเป็นภูเขาลูกสูง บางคนเป็นภูเขาลูกเตี้ย ขึ้นกับว่า เม็ดเลือดแดงใครแตกมากหรือน้อย ขอย้ำว่า ปริมาณสารเหลืองขึ้นอยู่กับปริมาณการแตกของเม็ดเลือดแดง ไม่ใช่เป็นเพราะได้รับนมไม่พอแต่อย่างใด

เด็กบางคนค่าตัวเหลืองมากกว่าเด็กคนอื่น พบได้ในกรณี กรุ๊ปเลือดแม่กับลูกไม่เข้ากัน หรือ เป็นพาหะของธาลัสซีเมีย หรือ ขาดเอนไซม์ G6PD หรือตับทำงานช้ากว่าชาวบ้านเขา เช่น ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือ ทารกมีปัญหาติดเชื้อ

การขับสารเหลืองออกจากร่างกาย คือ
การขับออกทางอุจจาระ หากทารกมีปัญหาตัวเหลืองแล้วได้กินนมแม่ จะทำให้อึบ่อย ค่าสารเหลืองจะลดลงได้เร็ว หากกินนมผง จะท้องผูก สารเหลืองจะขับออกได้ช้ากว่า หากกินน้ำ จะทำให้อิ่มน้ำ ไม่อยากกินนมแม่ ทำให้มีฉี่ออก แต่ไม่มีอึ จะไม่ช่วยลดค่าเหลืองค่ะ

หากใครไม่มีการแตกของเม็ดเลือดแดงเยอะตั้งแต่ต้นแล้ว ถึงน้ำหนักจะลดลงเพียงใด ก็ไม่เหลืองค่ะ ป้าหมอเจอบ่อยๆที่ทารกน้ำหนักลด 10% กว่าแล้ว แต่ค่าตัวเหลืองเจาะออกมาได้แค่ 2-3-4 เท่านั้นเอง

ดังนั้น การรักษาเหลืองที่เกิดจากการแตกของเม็ดเลือดแดง นอกจากการตากแดดอ่อนๆ การส่องไฟ หรือการถ่ายเลือดแล้ว ก็ต้องให้ลูกดูดนมแม่ให้เยอะที่สุด เพื่อให้อึบ่อยที่สุด ไม่ใช่ให้นมผงหรือน้ำเปล่า แต่ถ้าเด็กมีปัญหาน้ำหนักลดต่ำกว่า 10% ของน้ำหนักแรกเกิด ก็ดูแลเหมือนเคสอื่นๆที่นน.ลด คือ เสริมนมผงหรือนมแม่บริจาคที่ปลอดเชื้อด้วยถ้วยจิบ โดยไม่ใช้ขวดเพื่อป้องกันปัญหาลูกติดขวดไม่ยอมดูดเต้า เมื่อน้ำนมแม่มาแล้ว ก็งดนมเสริมไปได้เลย

#วิธีการรักษาภาวะตัวเหลืองภายในสัปดาห์แรก

เด็กครบกำหนด หากค่าสารเหลืองเกิน 13 ,17 , 20 ภายใน วันแรก วันที่สอง และ วันที่สาม ถือว่าเป็นเคสเหลืองมากรุนแรง ต้องรักษาโดยการถ่ายเลือดค่ะ เพราะการเหลืองมากขนาดนี้ จะทำให้สารเหลืองซึมเข้าสู่สมอง มีผลทำให้สมองทำงานผิดปกติ เน้นอีกครั้งค่ะ กรณีเหล่านี้ เกิดจากการแตกของเม็ดเลือดแดงที่มากผิดปกติอย่างมาก เช่น กรุ๊ปเลือดหมู่เล็กไม่เข้ากัน (หมู่ Rh)

เด็กครบกำหนด หากระดับอยูที่ 8,12,15 ในวันที่ 1,2 และ 3 หลังคลอด รักษาโดยการส่องไฟ หากต่ำกว่านั้น สามารถนำลูกกลับบ้านไปตากแดดอ่อนๆที่บ้านได้ และเน้นย้ำให้ลูกกินนมแม่ให้มากที่สุด เพื่อให้อึบ่อยที่สุด ค่าเหลืองจะลดลงได้เร็วที่สุด

ส่วนการเสริมนมอื่นนอกจากการดูดเต้าแม่ ทำตามข้อบ่งชี้เรื่องการลดลงของน้ำหนักแรกเกิด คือ ลดต่ำกว่า 10% สามารถเสริมนมได้เลย แต่ไม่ใช่หยุดนมแม่แล้วเปลี่ยนไปกินนมอื่นนะคะ ต้องเน้นให้ดูดนมแม่มากขึ้นกว่า เดิม และต้องหาสาเหตุเสมอว่า ทำไมน้ำหนักจึงลดลงแบบนี้ เพื่อแก้ไขที่ต้นเหตุ เช่น ไม่ได้ดูดบ่อยๆ ท่าดูดผิด มีพังผืดใต้ลิ้น เป็นต้น

คุณพ่อคุณแม่บางท่านอาจได้รับข้อมูลว่า หากไม่เสริมนมผง ลูกจะมีปัญหาตัวเหลือง ทำให้ต้องอยู่รพ.นานขึ้นเพื่อส่องไฟรักษา จึงรีบร้อนที่จะเสริมนมผงทั้งๆที่น้ำหนักตัวยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ การทำเช่นนี้ ย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพของทารกมากกว่าส่งผลดีอย่างที่คาดหวัง เพราะการกินนมผงเข้าไปในลำไส้ที่ถูกออกแบบมาให้กินนมแม่เท่านั้น จะไปเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่เป็นประโยชน์ต่อจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้ ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวของทารก เช่น เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคภูมิแพ้ โรคติดเชื้อโรคเรื้อรังเมื่อเป็นผู้ใหญ่ และโรคอื่นๆ และเสี่ยงกับการที่ลูกจะกลายไป เป็นเด็กนมผง เพราะอิ่มนมเสริมกับติดขวด และไม่ได้ดูดเต้าบ่อยๆ นมแม่ก็แห้งหายไปในที่สุด เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว จะกลายเป็นว่าค่าใช้จ่ายในการไม่ได้กินนมแม่ (ค่านมผง ค่ารักษาพยาบาลเวลาลูกป่วย) มากกว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวเหลืองโดยการส่องไฟเสียอีก

กรณีเหลืองจากสารในนมแม่ (breastmilk jaundice) จะเหลืองหลังจากอาทิตย์แรก กรณีนี้ ไม่เป็นอันตรายต่อสมอง ไม่ต้องรักษาหากเหลืองไม่เกิน 20 แต่หากเกิน ก็รักษาโดยการส่องไฟ โดยไม่ต้องงดนมแม่แต่อย่างใด เพราะหากงดนมแม่ อาจทำให้ลูกติดขวด และแม่ผลิตนมได้น้อยลง เพราะขาดการกระตุ้น มีภาวะเต้านมคัดอักเสบเพราะไม่ได้ระบายนมออก มีโอกาสล้มเหลวในการให้นมได้

อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะสรุปว่าเหลืองจากสารใน นมแม่ ต้องดูว่าไม่ได้เหลือง จากสาเหตุอื่น เช่น โรคท่อน้ำดีอุดตัน โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ โรคติดเชื้อในกระแสเลือด โรคขาดฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งต้องรักษาที่สาเหตุ ไม่ใช่รักษาโดยการส่องไฟเท่านั้น หรือ รักษาโดยการเปลี่ยนจากนมแม่เป็นนมผงแต่อย่างใด

ที่มา https://www.facebook.com/SuthiRaXeuxPhirocnKic/posts/1229950770364401:0